ทริปนี้ของผมเริ่มด้วยความตื่นเต้น : )

เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็ผมกำลังจะได้ขี่รถตัวใหม่แบบเกาะกล่องของยี่ห้อ Royal Alloy รุ่น Tigara Grande 150 หรือ TG150 สกู๊ตเตอร์สัญชาติอังกฤษที่มาพร้อมกับตำนานความคลาสสิกยุค ’60 ซึ่งถือเป็นน้องเล็กล่าสุดต่อจาก TG200 และ TG300

อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร? ไปลองด้วยกันเลยครับ! ในแบบ “Vintage LIFEXURY” ในทริป "สโลว์ไลฟ์...ในถิ่นนนท์" กับ TG150 สี Valencia Orange - Ivory สุดสวยคันนี้

#RoyalAlloy #RoyalAlloyThailand #RA

#TigaraGrande150 #TG150 #ModCulture

#VintageLIFEXury #สโลว์ไลฟ์ในถิ่นนนท์

#แชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทย #NuimNavigator

เปิดภาพด้วย Act หล่อๆ กับ TG150 สีทูโทน Orange และถ้วยแชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทย ช่างเข้ากับบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ ริมคลองประปาลับๆ ของ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

ขอขอบคุณทีมงานใจดี Royal Alloy Thailand ที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง และให้รถสวยๆ คันนี้มารีวิวครับ : )

ผมรีบเดินทางไปที่ We Scooter ศูนย์บริการและโชว์รูม Royal Alloy แถวซอยนวลจันทร์ กทม. เพื่อไปรับเจ้า Tigara Grande 150 หรือ TG150

นั่นไง “TG150 สีทูโทน Valencia Orange - Ivory” จอดรอผมเป็นที่เรียบร้อย บอกตรงๆ เลยว่าแค่แรกเห็นก็ประทับใจแล้ว First Impression จริงๆ...แทบรีบอยากบิดออกไปเที่ยวทริปเลย (ฮา)

แต่ก่อนที่ผมจะทำเช่นนั้น ช่างบอลและน้องทีมงานของ We Scooter ก็รีบเข้ามาทักทาย พร้อมเช็กรถ TG150 ให้อย่างเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็กลมยางให้เรียบร้อย รวมถึงแนะนำการใช้งาน TG150 ได้อย่างละเอียดมากๆ ผมนี่ขอปรบมือให้เลย (และยกถ้วยแชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทยให้เลย…ฮา) ส่วนผมก็ฟังไป แต่ก็ยังแอบลูบๆ คลำๆ TG150 ไปด้วย ก็มันสวยจริงๆ นี่ครับ...เอาล่ะ! ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวบิดไปออกทริปกัน

เกือบลืมบอกไป กุญแจของเจ้า TG150 ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้สอดคล้องไปกับรูปร่างของกระดองข้างของรถสกู๊ตเตอร์…สวยและแนวสุดๆ

สำหรับทริปนี้ ผมขอขี่เจ้า TG150 ไปเทสที่จังหวัดนนทบุรี เพราะระยะทางท่องเที่ยวไปกลับน่าจะอยู่ราวๆ 200 กม. เหมาะแก่การออกทริปรถใหม่มากๆ ครับ สำหรับเส้นทางที่ผมใช้จะเริ่มต้นที่ถนนเกษตร - นวมินทร์ บิดยาวๆ ข้ามกรุงเทพสู่นนทบุรี แม้ว่าถนนอาจมีเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะการซ่อมทาง แต่ TG150 ก็ผ่านได้สบายๆ ด้วยระบบโช๊คอัพคู่หน้าหลังที่รับแรงกระแทกได้ดีมากๆ และจุดแรกของทริปนี้ สโลว์ไลฟ์...ในถิ่นนนท์ ผมขอแวะสิ่งที่เป็นแลนมาร์คของอำเภอเมืองก่อนเลยนั่นคือ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า

ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่านี้ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2443 (ถึงวันนี้ พ.ศ. 2564 ก็อายุกว่า 120 แล้วครับ) โดยกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานที่สร้างไว้เพื่อสถานที่เรียนกฎหมาย แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ เพราะขาดบุคลากรที่จะมาสอนครับ...นี่จุดประสงค์แรกจริงๆ และได้กลายเป็นโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นมาแทน

สุดท้ายสถานที่แห่งนี้ได้กลางเป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในช่วงปี พ.ศ. 2471 – 2535 พูดได้ว่างานราชการทุกอย่างของนนทบุรีถูกรวมไว้ที่นี่อย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงด้านสุขภาพอย่างทันตกรรมด้วย

ภายในอาคารศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า จะมีห้องต่างๆ เพื่อไว้บริการประชาชนอย่างมากมาย เรียกว่า One Stop Service ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

ที่นี่เป็นอาคารไม้ สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ความคลาสิกนี้ช่างเข้ากับ TG150 สกู๊ตเตอร์ยุค ’60 หรือ Mod Culture ย่อมาจาก Modernism กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและแตกต่าง เน้นแฟชั่นที่บ่งบอกความเป็นตัวตนอย่างสูง...และ TG150 คือนิยามนี้อย่างแท้จริง

ไฟหน้า TG150 เป็นแบบ LED ส่องสว่างได้อย่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน ปรับไฟสูง - ต่ำได้ตลอดเวลา สามารถกระพริบไฟได้เมื่อต้องการส่งสัญญาณขอทางต่างๆ และที่สำคัญกับคำว่า Royal Alloy ที่คาดกลางดวงไฟ...โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์จริงๆ ครับ

แม้ว่าหลังจากปี พ.ศ. 2535 ศาลากลางแห่งนี้ไม่ได้ใช้แล้ว (ปัจจุบันศาลากลางจังหวัดนนทบุรี อยู่ที่บริเวณแยกแคราย) ก็ได้กลายเป็นวิทยาลัยมหาดไทยจนถึง พ.ศ. 2551 และสุดท้ายกลางมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของจังหวัดนนทบุรีในที่สุด

ด้วยศิลปะความสวยงามของศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นเป็นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551...ว่าแล้วก็ขออีกสักภาพเป็นที่ระลึกกับ TG150

ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังเก่า อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศดี นั่งเล่นแบบสโลว์ไลฟ์ได้เป็นวันๆ เลยนะครับ

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนนท์ก็คือ วงเวียนหอนาฬิกา ถ้าย้อนไป 30 ปีก่อน พ่อค้าแม่ค้าจะเอาทุเรียนมาวางขายแบกับดินกันมากมาย เริ่มต้นกิโลกรัมละ 60 บาท (ซึ่งทุกวันราคานี้ไม่ได้แล้ว...ฮา)

จากนั้นผมเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาโดยใช้ สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ ที่ถูกสร้างขึ้นล่าสุดในเมืองนนท์เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยเป็นสะพานแขวนแบบคานขึงแห่งแรกของประเทศ เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ในการก่อสร้าง และไม่ให้เข้าไปรุกล้ำเขตชุมชนและบ้านเรือนริมแม่น้ำ

ถนนเส้นเล็กและเส้นใหญ่ในนนทบุรี ถูกทำให้เชื่อมต่อถึงกันหมด ระหว่างขับรถเพลินๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็น โบสถ์สีชมพู

ผมจอดเจ้า TG150 ทันทีและเดินเข้าไปดู โบสถ์สีชมพู วัดเพลง ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 (วัดนี้ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา) เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่รัชกาลที่ 5 จึงใช้สีชมพู ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระองค์ จึงเป็นโบสถ์แห่งเดียวในเมืองไทยที่เป็นสีชมพูทั้งหลังครับ

ถึงวัดแล้วก็ไหว้พระประธาน วัดเพลง ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อยครับ

วัดเพลง ยังเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของจังหวัดนนทบุรีอีกด้วย…ปรบมือให้เลย

สีชมพูของวัดเพลง…กับสีส้มทูโทนของ TG150 คิดว่าจะสีไหนสวยกว่ากัน : )

ผมยังคงบิดเลาะเลียบแบบสโลว์ไลฟ์จนถึง วัดบางจาก อ.ปากเกร็ด กับความสะดุดตาที่สวยงามของพระพุทธมงคลชัยที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ขนาดจอดรวมกับรถอื่นๆ TG150 ก็โดดเด้งไม่แพ้ใคร

พระพักตร์และพระโอษฐ์ที่ยิ้มแย้มของประธาน แค่นี้ก็ทำให้ผมสดชื่นได้ง่ายๆ แล้ว

พระพุทธมงคลชัยที่งดงามนี้สูงถึง 27 เมตร ถือว่าเป็นพระประธานกลางแจ้งปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี

อีกอย่างที่ขึ้นชื่อคือ การขับรถลอดท้องช้าง 3 เศียร เพื่อสะเดาะเคราะห์และเพิ่มความสิริมงคล…เสียดายคิวยาวไปหน่อย ผมเลยไม่ได้ลองดู

บ่ายแก่ๆ ของทุกวัน เรื่องกินกาแฟนี่ขาดไม่ได้เลย ผมจึงขอพามาคาเฟ่ (เกือบ) ลับของ อ.ปากเกร็ด ที่ชื่อว่า กาแฟบ้านสวนปันสุข

บรรยากาศ Indoor ง่ายๆ สวยงาม กาแฟสดหอมๆ เริ่มต้นเพียง 35 บาท

ส่วนบรรยากาศ Outdoor สวยงามและร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ถูกจัดโดยเจ้าของร้านมือโปร คุณจูนและคุณเปี่ยม ที่มีอาชีพจัดสวนไปในตัว

มุมนั่งชิลมีเยอะมากครับ ใครชอบแบบบ้านไทยใต้ถุนสูง…ก็มีให้พร้อมสรรพ

ผมชอบมานั่งมุมเล็กๆ ที่มีต้นกระบองเพชรอยู่ด้วย รู้สึกสบายตาดี พร้อมกับ Hot Americano เข้มๆ เมนูประจำตัว แค่นี้ก็สดชื่นแล้ว ดื่มกาแฟเสร็จก็ต้องใส่แมส...ไม่ประมาท การ์ดอย่าตกในทุกการเดินทางนะครับ

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของนนทบุรีก็คือ วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ 2 ปักหมุดไปกันได้เลยที่ อ. บางบัวทอง

สถาปัตยกรรมหลายอย่างอาจถูกถอดแบบมาจากวัดเล่งเน่ยยี่ 1 แถวเยาวราช กทม. แต่ด้วยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้เดินสบาย ไม่อึดอัด และหลายคนนิยมมาแก้ปีชงที่นี่กันด้วยครับ

มาเที่ยววัด เหมือนมาได้เที่ยวเมืองจีน…เอกลักษณ์สำคัญของวัดเล่งเน่ยยี่ 2

ความสวยงามของพระพุทธรูปที่ติดผนังนับหมื่นๆ องค์…มาถึงแล้วต้องนับนะครับ (ฮา)

เย็นย่ำก็ต้องหาที่พักกันหน่อยครับ คืนนี้ผมเลือกค้างที่ อภิรมย์ สวนอาหาร & โฮมสเตย์ พร้อมด้วย Welcome Drink กับเมนู “กาแฟมะพร้าวปั่น” ซึ่งถือเป็น Signature ของที่นี่...ห้ามพลาดเด็ดขาด!

ใครไม่พักที่นี่ก็สามารถมานั่งชิล และสั่งอาหารอร่อยๆ ได้เลย

ชอบการตกแต่งป้าย : ) Vintage Factory แนวๆ ดี

บอกเลยว่าเขียวขจีร่มรื่นมาก…สมกับคำว่าอภิรมย์

การตกแต่งเล็กๆ แบบน่ารักๆ ส่วนตัวผมถือว่าเป็นการใส่ใจรายละเอียดที่ดี

ห้องพักสวยๆ บนบึงน้ำ คืนนี้ผมได้พักสบายๆ ท่ามกลางทิวต้นมะพร้าว แบบนอนหลับฝันดีอภิรมย์

อ่านต่อได้ที่!

2 วัน 1 คืน สโลว์ไลฟ์...ในถิ่นนท์ กับ TG150 (Part 01)

Nuim Navigator

 วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564 เวลา 15.55 น.

ความคิดเห็น