โรงแรมที่ผมไปพักและจะมารีวิวคราวนี้คือ The Okura Prestige Bangkok โรงแรมหรูตรงหัวมุมถนนสุขุมวิทตัดกับถนนวิทยุที่แน่นอนว่าผมเล็งไว้นานแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีโพรโมชันอะไรเลยนี่ราคาแรงใช้ได้ ลองไปดูกันครับว่าแพ็คเกจ Deluxe & Delicious จะคุ้มราคาขนาดไหน
The Okura Prestige Hotel อยู่ในอาคาร Park venture ซึ่งนอกจากเป็นโรงแรมแล้วก็เป็นอาคารสำนักงานที่มีบริษัทชั้นนำอยู่ในนี้มากมาย ข้อดีคือชั้นล่างของอาคารจะมีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟให้ซื้อหาได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องกล้วว่าคนจะพลุกพล่านบริเวณโรงแรมนะครับเพราะทางเข้าเขาแยกกัน
หลังจากจอดรถเรียบร้อย เดินเข้ามาที่ชั้นล่างพนักงานจะช่วยนำกระเป๋าไปให้และนำให้ผมขึ้นลิฟท์ไปชั้นเช็คอิน ออกจากลิฟท์มาก็สัมผัสได้ถึงความหรูหราและความเนี๊ยบทันที สิ่งที่ติดใจผมอย่างแรกเลยคือ "พื้น" ครับ พื้นเงามากอย่างกับว่าขัดพื้นกันทุกวัน พื้นที่อื่นๆก็ดูเนี๊ยบเรียบร้อย
แพ็คเกจของผมวันนี้คือ Deluxe & Delicious ห้องพักรวมอาหารเช้าแล้วและมี Hotel credit ให้ 3000 บาท
ห้องพักแบบ Deluxe อยู่บนชั้น 29 (ชั้นสูงจริงตามแพ็คเกจ) ขนาดของห้องไม่ใหญ่โตเหลือเฟือแต่ก็ไม่เล็กจนอึดอัด ฟังค์ชันการใช้งานต่างๆในห้องก็มีให้ครบถ้วน สิ่งที่ชอบอย่างแรกคือโต๊ะทำงานที่แยกออกไปต่างหากแบบนี้ นั่งทำงานไปดูทีวีไปก็สะดวก แต่พื้นผิวกระจกของโต๊ะทำให้การใช้งานเมาส์อาจจะมีปัญหาบ้าง หาอะไรมารองเสียก็จบ
เตียงนอนใหญ่โต นอนสบายมากๆ หมอนที่ให้มาออกไปทางนุ่มแน่นไม่ยวบ จะเรียกว่าเตียงดูดวิญญาณก็ได้ ผ้าปูเตียงไม่ได้เป็นผ้าขาวล้วนนะครับแต่เป็นลายใบแปะก๊วยที่มีความหมายเรื่องความคงทนไม่เปลี่ยนแปลงและการคุ้มกันภัย
ริมหน้าต่างมี day bed ไว้นอนเอนหลังดูทีวี หรือจะนั่งเหม่อมองท้องฟ้าทำมิวสิคไปก็ตามสะดวกครับ สิ่งเดียวที่ดูไม่เนี๊ยบในห้องนอนนี้คือบานหน้าของตู้ที่อยู่ข้างทีวีที่เป็นเหมือนแม่เหล็กดูด ผ่านกาลเวลาไปแม่เหล็กหมดแรง ฝาตู้ก็ไม่ค่อยจะยอมติดสักเท่าไหร่คอยแต่จะเปิดอยู่เรื่อย
ตู้เสื้อผ้าจะไม่เหมือนตู้แต่จะเหมือนห้องเล็กๆมากกว่า นอกจากจะแขวนเสื้อผ้าได้แล้วก็มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าได้ ทำให้ห้องดูสะอาดและเป็นระเบียบขึ้น ห้องน้ำที่นี่จะแปลกหน่อย แต่ถ้าไปญี่ปุ่นบ่อยๆอาจจะเคยเห็นห้องน้ำแบบนี้มาบ้างคือแยกห้องอาบน้ำและห้องสุขภัณฑ์ออกจากกัน โดยถ้าต้องการปลดทุกข์ไม่ว่าจะหนักเบา ห้องจะอยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าห้อง ส่วนห้องอาบน้ำจะกระเถิบเข้ามาด้านในซึ่งก็ดีนะครับแยกกันใช้งานได้
ขนาดของห้องสุขภัณฑ์ไม่ใหญ่ครับแค่พอนั่งทำสมาธิส่วนตัวและมีอ่างล้างมือขนาดเล็กไว้ให้ ส่วนห้องอาบน้ำจะใหญ่พอประมาณ มีอ่างอาบน้ำและฝักบัวซึ่งจะรวมอยู่ในห้องเดียวกันเลย เครื่องใช้ในห้องน้ำครบถ้วนเลยครับ มีเกลือขัดตัวมาให้ด้วยจะใช้ขัดตัวตอนอาบน้ำหรือจะเปิดน้ำในอ่างแล้วละลายลงไปนอนแช่ก็ได้ กล่องอุปกรณ์ภายในห้องน้ำสวยด้วยเอาทุกกล่องมาต่อกันเป็นรูปสวยๆได้อีก...อ้อ มีแถมหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้ด้วยนะครับ
Deluxe ไปแล้วก็ไปต่อกันที่ Delicious ที่ห้องอาหาร Yamazato ซึ่งเป็นห้องอาหารใน Michelin Guide 2021 ด้วยนะครับ ผมไปทานช่วงเกือบๆจะเที่ยง ไม่ได้จองที่นั่งไว้โชคดีว่ายังได้โต๊ะริมหน้าต่าง เพราะหลังจากผมนั่งไม่นานคนก็เกือบเต็มร้านครับ
เห็นเป็น Michelin แต่ราคาไม่แพงครับถ้าเทียบกับร้านอาหารญี่ปุ่นแบบ "ไฟน์ดายนิ่ง" อาหารที่สั่งวันนี้เช่น ข้าวหน้าปลาไหลกับเนื้อวากิวก็เพียงแค่ 788 บาท รสชาติดีเสียด้วย เนื้อนุ่มแต่ไม่ถึงกับมันมาก มีเนื้อให้เคี้ยวได้บ้าง (เนื้อวากิวญี่ปุ่นถ้ามันแทรกมากๆแทบไม่ทันได้เคี้ยวเลยครับ ละลายเสียก่อน) ปลาไหลเนื้อละเอียดนุ่มไม่สากลิ้น อร่อยถูกปากอย่างที่สุด ส่วนอีกชุดเป็น Yamazato bento ราคา 600 บาท แซลมอนไม่แข็งถึงจะค่อนข้างสุกแต่ไม่กระด้าง ทำออกมากำลังดี...มื้อนี้ประทับใจครับ ถูกปากมากๆ
ทานอาหารกลางวันอิ่มๆก็มานั่งชงชาทานที่ห้องได้ มีอุปกรณ์ให้เรียบร้อยชาก็อยู่ในกล่องใส่ชาไม่ใช่แบบซองด้วยนะครับ เป็นแบบตักใส่เอาเลยอยากได้เข้มข้นระดับไหนก็ใส่ไปตามใจอยาก ทำให้บรรยากาศดูเป็นญี่ปุ่นขึ้นไปอีก
อาหารเย็นสั่งขึ้นมาทานบนห้องเพราะยังอิ่มๆจากมื้อเที่ยงอยู่เลยกะว่าจะทานเบาๆ ด้วย "ข้าวหน้าเนื้อวากิว" กับ "วากิวแฮมเบิร์กเบนโตะ" ราคา 400 และ 700 บาทตามลำดับ พออาหารมาส่ง...มันเบาตรงไหน เอาน่าอย่างน้อยก็เบากว่ากินวัวทั้งตัวแล้วกัน เนื้อในข้าวหน้าเนื้อวากิวจะให้รสสัมผัสที่ต่างจากตอนมื้อเที่ยง อันนี้ความมันจะลดลงหน่อยแต่ยังนุ่มอยู่เหมือนเดิม ส่วนแฮมเบิร์กผมแยกไม่ค่อยออกว่าเนื้อวากิวมันต่างจากเนื้อปกติอย่างไร แค่รู้สึกว่านุ่มกว่านิดหน่อย...รวมๆมื้อนี้ก็ถูกปากอีกแล้ว กลายเป็นว่าวันนี้ไม่มีมื้อไหนเบาเลย นอนอืดในเตียงดูดวิญญาณไปพรุ่งนี้เช้าค่อยเบาก็ได้
ลงไปเดินเล่นที่สระว่ายน้ำเสียหน่อย สระว่ายน้ำที่นี่ขนาดไม่ได้กว้างใหญ่มากนักแต่ก็พอสำหรับการว่ายน้ำออกกำลังกายแค่อาจจะต้องกลับตัวหลายรอบหน่อย วิวจากสระว่ายน้ำสวยดีครับเป็น City view ที่เห็นได้กว้างเลยครับ แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกสูงอาจจะทำให้มุมมองด้านหน้าตรงๆแคบไปบ้างเล็กน้อย โดยรวมแล้วสวยดีครับ
วิวจากห้อตอนกลางคืนก็สวยใช้ได้อยู่...นอนดูวิวไปแล้วกันคืนนี้
อาหารเช้าที่ห้องอาหาร Up & Above ชั้นเดียวกับส่วนต้อนรับนั่นแหละ มีให้เลือกหลายอย่างอยู่ครับทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบอเมริกัน ด้วยความที่วัวตัวเมื่อวานยังย่อยไม่หมดเลยคิดว่าจะสั่งแบบเบาๆแล้วกัน
ผ่างงงงง...จะเป็นลม มันเบาตรงไหนกันเล่า สั่งชุดอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นไปคนละชุด ต่างกันตรงที่ชุดแรกเป็นไก่เทริยากิ อีกชุดเป็นปลา พนักงานบอกว่ามีข้าวหน้าปลาไหลเป็นอาหารพิเศษ...เอาที่นึง แล้วก็ข้าวมันไก่ก็เป็นเมนูเพิเศษ...อ่ะ เอาที่นึง พนักงานบอกเพิ่มเติมว่า เฟรนช์โทซ ที่นี่เป็น "ซิกเนเจอร์"...อ่ะ เอาครับผม สรุปเต็มโต๊ะ
ชุดอาหารเช้ารสชาติมาตรฐานไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายนัก...อ้อ มีนัตโตมาด้วยนะครับ ภรรยาทานแล้วบอกว่าทานได้ ไม่มีกลิ่น ทานง่ายไม่แหยะ ไม่เมือกจนกลืนไม่ลง ข้าวหน้าปลาไหลก็อร่อย เนื้อปลานุ่มเหมือนเคย ไข่ก็นุ่ม ส่วนข้าวมันไก่ผมว่าเฉยๆ มันจืดไปหน่อย เฟรนช์โทซ เนื้อเนียนนุ่มอย่างกับไข่ตุ๋น ไม่หวานจนเกินไป อร่อยดีครับ
เป็นอีกที่ที่ผมเรียกว่า "โรงแรมห้าดาว" ได้อย่างเต็มปากด้วยความเนี๊ยบ เรียบหรูของสถานที่ ห้องพักที่นอนสบายและมีรายละเอียดการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ อาหารอร่อย พนักงานบริการดี มีโอกาศจะกลับไปนอนที่นี่อีกแน่นอนครับ ใครคิดถึงญี่ปุ่นลองไปพักที่นี่ดูครับได้ฟิลอยู่...สวัสดีครับ
Pratuneung
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 14.03 น.