โทนสีของรูปภาพมีการแต่งสีตามอารมรณ์ของพวกเรานะคะ
เป็นความรู้สึกที่เราอยากถ่ายทอด
อาจจะมีคำหยาบเพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่อง
และถ้าพิมพ์ผิดพลาดไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ


- ทำไมถึงเลือกไปเวียดนามวะ? -


ตอง : อยากไปต่างประเทศแล้วที่นี่พอกับงบที่มี เลยชวนต้าไป แล้วมันก็ตอบรับง่ายแบบไม่ถามอะไรสักคำ
ต้า : เอาจริงๆคือเป็นคนใจง่ายมาก แค่เห็นรูปเวียดนามในfacebookแล้วแมร่งสวยก็เลยอยากไป เก็บตังได้พอดีเลยคุยกับตองว่า
ต้องไปให้ได้ว่ะ ปิดเทอมนี้ต้องเวียดนามเท่านั้น
ฝน : ตอนนั้นแค่รู้สึกอยากเที่ยว อยากออกเดินทาง อย่างน้อยก็ไปเปิดประสบการณ์ต่างประเทศที่นี่ที่แรกก่อนละกัน
แค่คำว่าอยากเที่ยวเลยทำให้เราไม่มีความกระตือรือร้นที่จะสืบเสาะหาความเป็นเวียดนาม สถานที่ท่องเที่ยว
ที่พัก ที่กิน บวกกับเพื่อนอีก 2 คน หามาให้ครบหมดทุกอย่างแล้ว มันเลยยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เออ..รอเที่ยวอย่างเดียวไปเลยละกัน
(ขอยืนยันว่ามันไม่กระตือรือร้นเลยจนตอนถึงสนามบิน555555)



- เวียดนามในความคิด? -


ตอง : เอาจริงๆนะ เราแมร่งคือคนนิสัยไม่ดีคนนึงแหละ ตัดสินอะไรไปก่อนที่จะได้ไปสัมผัสมัน เวียดนามในความคิดแรกของเราคือ

ไม่เจริญอะ โจรเต็มถนน คนน่ากลัว ขี้โกง บวกกับการอ่านมาเยอะๆ ที่ทั้งด้านดีและไม่ดีของที่นั่นแล้ว

ก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันจะโอเคหรอวะ จริงๆนอกจากรีวิวก็มีคนเตือนนู่นนี่เยอะแยะจนเริ่มมีความกลัวเข้ามาบ้าง

แต่ซื้อตั๋วไปแล้วก็คงต้องลุยแล้วแหละ

ต้า : เวียดนามหรอ..โจรเยอะแน่ที่อ่านมาเยอะแยะก็บอกมางี้อะ รถก็เยอะจะใช้ชีวิตรอดไหมเนี่ย แต่เอาวะครั้งนึงในชีวิต

มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างนั้นก็ได้มั้ง

ฝน : เวียดนามในความคิดของเรา ก็คง คนแน่นๆ เบียดๆ เดินกันให้วุ่นวาย ต้องคอยระวังขโมยตามท้องถนนให้ดีๆ

อ่า..ในความคิดเราก็ประมาณนี้ล่ะ

โชคดีที่เรามีรุ่นพี่คนนึงแนะนำเว็บ couchsurfing ให้ มันเป็นเว็บที่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวพวก backpacker ได้มาจอยกัน
เราเลยขอลองใช้ดูสักหน่อย เราเลยทักไปหาเพื่อนที่Da Latคนนึงให้เค้าพาเที่ยวจะได้ไหม
เค้าตอบตกลงมาพร้อมกับแนะนำโฮสเทลถูกๆให้เราด้วย และอีกวันนึงก็มีเพื่อนอีกคนนึงจาก
Ho Chi Minh ทักเรามาว่าเค้าอยากพาเราเที่ยว เราตอบตกลงแบบไม่คิดอะไรเลย



มีความโชคดีเกิดขึ้นกับเราอีกอย่างคือ บังเอิญเจอรุ่นพี่ที่คณะ 2 คน มาฝึกงานที่โฮจิมินห์พอดี
พอเรามาถึงก็จัดการแลกเงิน ซื้อซิมการ์ด(viettelสัญญาณเน็ตดีมากเร็วมากๆ)
นั่งรถบัสจากสนามบินไปฟามงูเหลา เรานั่ง 109 แพงกว่า 152 แต่รถดีบริการดีส่งถึงที่เลยถ้า 152 จะส่งแค่ตลาดเบนถัน
แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ไกลกันมากนะ เดินได้สบาย แต่ตอนแรกกลัวไงถึงที่เลยก็โอเคสบายดี


- โฮจิมินห์ -
จากที่ศึกษาเวียดนามผ่านอินเตอร์เน็ตมานั้น เราต้องระวังตัวเว้ย เดี๋ยวโดนกระชากกระเป๋า ใครเดินมาใกล้ๆมาถามไรไม่ต้องไปคุย
อย่ามีมนุษย์สัมพันธ์กับใครทั้งนั้น เราจะได้ปลอดภัย สิ่งพวกนี้มันวนอยู่ในหัวเราตลอดเวลา ระแวงไปหมด
แต่พอเราเริ่มออกมาจากสนามบิน ขึ้นรถเมล์ ไปสถานีรถ ได้ถามทางกับคนเวียดนาม ได้เดินไปรอบๆ ได้หลงทาง
ไม่ได้สนใจเส้นทางหรือสถานที่เที่ยวตามที่อ่านมา แค่เดินไปเรื่อยๆ มองไปรอบๆ ยิ้มทักทาย
สิ่งที่เราหวาดระแวงหายไปหมดเลย แค่ หนึ่งชั่วโมงแรกในการที่เราเริ่มเดินเล่นรอบเมือง
เวียดนามในความคิดเราเปลี่ยนไปหมดเลย


สภาพของโฮจิมินห์ ทำให้เราหันกลับมามองตัวเอง ว่าเราเจ๋งแค่ไหนกัน?
เมืองนี้มีการพัฒนาพร้อมกับการอนุรักษ์ ตึกข้างนอกเก่า แต่ข้างในฮิปสเตอร์สุดๆ ชอบที่มีสวนสาธารณะเกือบทุกแยก
เป็นเมืองที่มีต้นไม้ใหญ่ เยอะกว่าต่างจังหวัดบ้านเราซะอีก และในเมืองมีการก่อสร้างทั้งตึกใหญ่หรือรถไฟฟ้าใต้ดินตลอดเวลา
แต่กลับเป็นการก่อสร้างที่ไม่รบกวนการดำเนินชีวิตของคนที่นั่นเลย
แค่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราควรกลับมามองตัวเองอย่างมากแล้วว่า “เราดู(ประเทศเค้า)ถูกแค่ไหนกัน"


ขอขอบคุณเมืองโฮจิมินห์ที่สอนเรา ในทุกๆก้าวที่เราเดินเล่นในเมืองนี้ รู้สึกหัวใจใหญ่ขึ้น
ปล.1เห็นหลายๆคนบอกว่าที่นี่เหมือนกรุงเทพตอนยังไม่ได้เจริญ(เค้าว่ากันว่า) แต่น่าเสียดายเราไม่ทันได้เห็น
ปล.2การข้ามถนนที่นี่เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของทริปนี้ ลองดูค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่า เมืองนี่คลูสัสๆ กูจะเดินตรงไหนก็ได้!!!!
(แต่ต้องตรงทางม้าลายก็ดีนะจ้ะวัยรุ่น)


เจนนี่ เพื่อนจาก couchsurfing พาเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารที่นึงและพาเราไปคาเฟ่บนตึกแถวเก่าๆที่สวยมาก
พร้อมกับพาเพื่อนอีกคนมาจอยด้วย ชื่อเชน ทั้งสองคนดูแลเราดีมากเหมือนเป็นพี่สาวของพวกเราเลยจริงๆ
ขอบคุณเว็บนี้มากๆที่ทำให้เราได้เจอเพื่อนที่ดีแบบนี้


คือตอนมาเราแค่คิดว่ามาเที่ยวจริงๆไม่คิดว่าจะได้รู้จักคนที่นี่หรือเพื่อนเพิ่มขึ้นเลย เพราะภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดี
ขนาดสื่อสารได้น้ำไหลไฟดับ แต่พอเราได้ใช้แอพนั้นแล้วมีคนที่ต้องการจะรู้จักเราพาเราไปเที่ยวเราก็ยินดี
เพราะรู้สึกว่าโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แล้วเราก็ใช้ภาษาอันน้อยนิดนี้แหละในการคุยผิดบ้างถูกบ้าง
นางก็งงๆกันบ้าง แต่เรารู้สึกกันได้ว่าความจริงใจที่เค้ามีให้เรามันแบบเยอะจริงๆ แค่วันแรกเราก็อบอุ่นมากที่มาที่นี่


- ดาลัด -
พอไปถึงแล้วก้าวแรกที่ลงจากรถบัส คือ “หนาวสลัด" นั่นคือความรู้สึกแรก
ความรู้สึกต่อมาคือ เชี่ย...แมร่งโคตรคูลเลยว่ะ
มันอย่างกะเมืองในซีรี่เกาหลี(ไม่เคยไปนะแต่ดูซีรี่ย์มา555)อารมณ์นั้นเลย อากาศเย็นสบาย มีสวนสาธารณะที่กว้างสุดๆ
มีซุปเปอร์มาเกตที่อลังการงานสร้างมาก บ้านพักอยู่บนเนินสูง ภาพในความคิดแมร่งคอนทราสอย่างแรง555
ที่คิดไว้คงเป็นแค่เมืองเล็กๆแบบไม่ค่อยมีไรน่าสนใจมั้ง แต่มันไม่ใช่เลย เอาเป็นว่าเมืองนี้ไปแล้วคุ้มมาก
ไม่รู้จะอธิบายได้ดีแค่ไหนนะ แต่ถ้าถามว่าจะกลับมาที่นี่อีกไหม ถ้ามีเงิน"กลับมาอีกแน่นอน"


-Da Lat Lucky D's Hostel-
เราเลือกพักโฮสเทลเล็กๆที่น่ารักมากๆแถมถูกอีกด้วย แค่คนละ 3$ เจ้าของก็น่ารักมากแถมมีหมาสองตัวไว้ต้อนรับแขกอีกด้วย
(ตอนแรกนึกว่าหมาชื่อลัคกี้ เกือบพลาดเรียกหมาซะแล้วกรู)
เจ้าของชื่อLucky ลัคกี้ช่วยเราหามอเตอร์ไซค์ให้แถมเติมน้ำมันให้ฟรีๆอีก ตกเย็นมาก็ทำอาหารเลี้ยงเรา
นางทำซุปแกงกระหรี่ผักให้ กินกับขนมปังและข้าว อร่อยสุดๆไว้จะกลับไปชิมอีก
ใครจะไป Da Lat เราขอแนะนำให้ไปที่นี่เลย


-แว๊นแว๊น in Da Lat-
เรามีนัดกับมินเพื่อนเวียตนามที่Da Latตอนบ่ายสอง ไม่อยากจะรอให้เสียเวลางั้นก็แว๊นมั่วๆเองไปก่อนละกัน
เราไปตามที่เราอยากไปไม่ได้เก็บจนครบ เพราะบางอย่างเราก็ไม่อยาก เราเลยขอไปตามความรู้สึกแล้วกัน
และอยากใช้เวลาในแต่ละที่ที่ไปให้นานๆด้วย การขี่มอไซค์เป็นอีกอย่างที่ต้องลอง เพราะโครตฟรีด้อมพอๆกับการเดินข้ามถนนเลย


เมืองนี้มีมุมน่ารักๆเยอะมากๆด้วยพื้นที่เป็นเขาด้วยมันเลยทำให้พวกบ้านเรือนที่สลับกัน
ในแต่ละเนินมันดูน่ารักแปลกตาและน่าสนใจ การตกแต่งบ้านก็มีความตะวันตกแอบแฝงอยู่ในเกือบทุกหลังเลย
เราก็จำไม่ได้นะว่าที่เที่ยวแต่ละที่ชื่อว่าอะไรบ้าง ขอโทษด้วยน้าาาาา

บ่าย2อิสคัมมิ่ง และแล้วเราก็ได้เจอกับมิน มินเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักคนนึงที่พูดอังกฤษเก่งมากกก
มินพาเที่ยวรอบเมือง พาไปร้านกาแฟที่น่ารักร้านนึง อยากเอาจะเอาบรรยากาศนี้กลับไทยจัง
มินพาเราไปตลาดกลางคืนอีกพากินนู่นนี่บลาๆๆ
เอาจริงสำหรับใครสายคาเฟ่ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยทั้งโฮจิมินห์และดาลัดคาเฟ่เยอะมาก น่ารักมาก แบบดี๊ดีเอ๊าะ
สายคาเฟ่ไม่ต้องกลัวไปนะห๊าาาาาาาาา

-มุยเน่-
สำหรับเมืองนี้ชอบที่สุดคงเป็นระหว่างทางไปมุยเน่ ระหว่างทางน่าจดจำมาก เพราะรถเด้งอย่างต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง
ตับ ไต ไส้ ปอด สลับที่กับให้วุ่น หัวกระแทกกับเพดานรถจนขี้เลื่อยหมดหัวเลยทีเดียว
ผู้ร่วมชะตากรรมบนรถบัสนี้มีชาวไทย3คนอย่างกลุ่มเรา แก๊ง7หนุ่มหล่อและ1สาวชาวฟินแลนด์
อปป้าเกาหลี 1 คน และคู่รัก 3 คู่ การนั่งรถไปมุยเน่ที่ถนนโหดมาก แถมแพคเกจรถเสียให้ด้วย
นั่งไปสักพักรถจอด ควันโพยพุ่งออกมาจากตัวเครื่อง รถจอดอยู่ระหว่างทางที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากดินทรายและต้นไม้เบาบาง


แต่ด้วยความชะนีไทย 3 คนผู้ชินชากับอากาศร้อน เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย อปป้านี่เหงื่อออกแรงมาก
แก๊งหนุ่มหล่อฟินแลนด์นางร้อนถอดเสื้อกันเป็นว่าเล่น ชนะนีน้อยน่ารักอย่างเราก็ไม่รับไม่ได้(หรอ)
สักพักมีรถมารับคันใหม่ทำให้เราได้นั่งกับพวกนาง นางก็ชวนคุยถามว่ามาจากไหน พูดภาษาไทยให้ฟังด้วยนะ
น่ารักมากๆ แต่สิ่งที่เรารู้สึกชอบมากกว่าการที่พวกนางถอดเสื้อหรือพูดไทยให้ฟังคงเป็นการที่พวกนางไม่รู้สึกโมโห
เบื่อหรือหงุดหงิดอะไรทั้งต่อสภาพอากาศที่ร้อน หรือรถที่เสียเลย พวกนางกับนั่งคุยหยอกล้อกัน
นั่งร้องเพลงสนุกสนานจนถึงมุยเน่ ถึงจะเสียงดังแต่ก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และมีเสียงหัวเราะตลอดทาง
มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ทำให้รู้สึกได้ว่า เราจำเป็นต้องเครียดกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตไหม?


-ช่วงเอาใจวัยโจ๋-


ปล.มาเที่ยวครั้งนี้ทำให้ไม่กลัวที่จะคุยกับคนแปลกหน้า เพราะรู้สึกว่าเราก็คงเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
เค้าไม่กลัวที่จะทักทายแล้วทำไมเราต้องกลัวที่จะพูดคุย ใช่ไม๊คะสาว สาวววววววว


พอถึงมุยเน่ฝนตกตลอดทั้งวัน พลาดแล้วหล่ะ ไปสองที่แรก แฟรี่สตรีมกับหมู่บ้านชาวประมง
แล้วแบบไม่อินแรง เบื่อแรงเพราะบ้านเราอยู่ติดทะเลและอินกับทะเลที่บ้านมากกว่า
แต่พอไปถึงทะเลทรายแล้วแบบโอ้โห สวยหว่ะ แต่ฝนตกท้องฟ้าสีขาว ฝนก็ตกตลอดเวลา
ตอนกลางคืนตกหนักอีก(มีร้านนั่งดริ้งค์ร้านนึงน่ารักมากแต่ลืมชื่อแหะๆเก๊าขอโต๊ดแต่ดีจริงๆ)
แต่พอมาถึงที่พักโอ้โห แก๊งหนุ่มหล่อพักที่เดียวกับเราด้วยแกร๊ เขินทักทายกันเบาๆและนางก็หายไป(คิดว่าไปดริ้งค์)
จนตอนเช้าเรากลับโฮจิมินห์ก็ไม่เจอกันอีกเลย........ จิ๊บๆๆ.....


- ที่นี่เราซื้อทริปครึ่งวันนะ เราซื้อรวมกับคนอื่น ก็เลยได้ไปรวมกันชาวอเมริกัน4คนรวมกันเรา 3คนเป็น7คน
ที่แรกที่ไปก็คือแฟรี่สตรีม ต่อด้วยหมู่บ้านชาวประมง ทะเลทรายขาว และจบด้วยทะเลทรายแดง ตามนี้นะ -


-แฟรี่สตรีม-


-หมู่บ้านชาวประมง-


-ทะเลทรายขาว-

-ทะเลทรายแดง-

ขอบคุณตัวเองที่กล้าออกไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ขอบคุณอาจารย์ในคณะหลายๆท่านที่สร้างแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว และสอนให้รู้จักคิดว่าการเที่ยวให้อะไรเรา
ขอบคุณคุณตาต้าและคุณฝนที่มาด้วยกัน แค่มาด้วยกันมันก็โคตรเจ๋งแล้ว
พวกเป็นคนที่แบบอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ เฮฮาปาจิงโกะ และไม่เครียดต่ออะไรทั้งสินบนโลกใบนี้
ขอบคุณคำว่า "ลองดู" เพราะมันทำให้เราเจออะไรใหม่ๆตลอดเวลา



ตอง.



..ไม่รู้ว่าทำไมการเที่ยวครั้งนี้เราถึงโคตรมีความสุขเลย เรารู้สึกโชคดีนะที่มีเพื่อนที่พร้อมลุยกับเราทุกที่
แล้วยังมีโอกาสได้เจอเพื่อนใหม่ที่ดีแบบนี้อีก เวียตนามครั้งนี้โคตรประทับใจเลย
การเที่ยวครั้งนี้มันเหมือนได้ออกหาแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากออกเดินทางอีกในครั้งหน้า
ทุกครั้งที่เราได้เดินทางไกลๆเรารู้สึกขอบคุณตัวเองตลอดนะ ที่เรากล้าที่จะออกไปเจอโลกใหม่ๆ
บางคนเค้าไม่มีโอกาสจะได้ทำแบบเราด้วยซ้ำ แต่เราแมร่งมีโอกาสว่ะงั้นก็เที่ยวให้สนุกเต็มที่กับมัน



ตาต้า.



เราคิดไม่ถึงกับเมืองโฮจิมิน คือตึกรามบ้านช่องที่เค้าเก็บเอาไว้ อนุรักษ์ รักษา ดูแลไว้เป็นอย่างดี เราชอบมาก
หลงมากกับเมืองแบบนี้ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนมันรู้สึกอบอุ่นจนทำให้ยิ้มได้ตลอดการเดินทางเลยล่ะ
(มันเขียนมาแค่นี้ขี้เกียจตามแต่กูรู้ว่าต้องแอบขอบคุณพวกกูที่ชวนมาบ้างแหละกูรู้สึกได้)



ฝน.



วันนี้เป็นวันที่ 4 หลังจากกลับมาจากเที่ยว การอยู่บ้านคนเดียว นั่งฟังเพลง วาดรูปเล่น อ่านหนังสือดีๆสักเล่ม ที่มุมโปรดในบ้าน ก็ทำให้คิดอะไรได้หลายๆอย่าง เราลองมองย้อนกลับไปดูตัวเองใน1ปีที่ผ่านมาตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าหมดแรงบันดาลใจในการเรียน เราไม่รู้สึกตื่นเต้นและหัวใจเต้นแรงเวลาได้ทำในสิ่งที่เราเรียกมันว่าความฝัน แต่ตอนนี้เรามานั่งคิดถึง ฝันที่กำลังทำ ฝันที่อยากทำในอนาคต และถามหาหนทางที่พาเราไปให้ถึง มันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเราได้ออกเดินทาง ได้เห็นอะไรมากขึ้น เราชอบตัวเองตอนนี้นะ ขอโทษ1ปีที่ผ่านมา ที่เราเฉยชาและไม่เป็นตัวเอง ขอบคุณสองเท้าที่พาเราเดินไปในทางใหม่ๆ ของคุณตาที่ทำให้เรามองเห็นและส่งไปให้สมองจดจำ และภาพเหล่านั้นก็ทำให้หัวใจใหญ่ขึ้น ขอบคุณที่ทำให้เราตื่นเต้นกับความฝันอีกครั้ง


-ขอบคุณที่อ่านหรือดูรูป หรือทั้งอ่านทั้งดูรูปจนมาถึงประโยคนี้
อย่าลืมให้การเดินทางพาเราไปหาความสุขนะคะ
ออกไปเที่ยวกันเถอะ..นะ-



อ่อ ลืมบอกไปว่าตอนไปซื้อตั๋วรถที่ฟามงูเหลา เจอแก๊งค์คนไทย 2 แก๊งค์
มีแก๊งค์พี่น้ำแข็ง(มากับเพื่อนๆ) และแก๊งค์คุณแม่(คุณแม่ พี่เบล คุณมาร์ค)
โอ้ยตอนเจอคนไทยบอกเลยใจชื้นมาก รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น
และเรา3แก๊งค์ได้รถรอบเดียวกันไปดาลัด จนขากลับไทยก็ได้รอบเดียวกับคุณแม่ พี่เบล คุณมาร์คด้วย
ส่วนพี่น้ำแข็งเที่ยว 5 วัน น้ำใจคนไทยนี่สุดๆช่วยเหลือกันให้คำแนะนำกันจนกลับถึงไทย อบอุ่นมาก
ต้องขอบคุณแก๊งคุณแม่พี่เบลจริงๆช่วยเหลือและเอ็นดูพวกเรา คุยสนุกมาก
ถ้าคุณแม่เห็นฝากบอกว่าคิดถึงๆนะคะ

-วิธีการเดินทางและค่าใช้จ่ายตลอดทริป-


ณ สนามบิน

อย่างแรกคือ แลกเงิน เราไม่รู้นะว่าเราและกับเจ้าที่เรทดีรึเปล่า 5555 ตอนนั้นเอ๋อๆอยู่ แต่พอถึงก็มีให้เลือกเต็มเลยแหละ

สองคือ ซื้อซิมการ์ด โทรศัพท์ เปลี่ยนให้เรียบร้อย ของเราใช้ Viettel ราคา 260,000 ดอง

ก็ประมาณ 400 บาทแพงเนอะ แต่เน็ตดีคอนเฟิร์มแรงมากกกกกกก แต่ถ้าอันอื่นดีและถูกกว่าก็เลือกอันอื่นนะ

เดินทางออกจากสนามบินไปฟามงูเหลาเพื่อซื้อตั๋วไปดาลัดตอนกลางคืน

เรานั่งรถบัสสีเหลือ ออกจากประตูไปเดินไปทางขวามือจะมีรถบัสจอดอยู่ เราขึ้นสาย 109 ราคา 20,000 ดอง(40บาท) บอกก่อนว่า

แพงกว่า 152 (ราคา5,000ดอง ประมาณ8บาท) แต่ 109 จะส่งถึงฟามงูเหลาเลย พอลงจากรถเมลล์ให้ข้ามถนน แล้วเดินไปทางขวามือ

จะเจอบริษัท Vietsea เป็นตึกแถวเล็กๆอยู่ข้างๆร้านนวด เดินเข้าไปก็จะมีรถทัวร์ให้จองเต็มเลย

เราจัดการจองรถนอน สำหรับไปดาลัด รอบ 23.00 น. ราคา 250,000 ดอง ประมาณ 375 บาท

รถจากดาลัด-มุยเน่(วันที่3) รอบ 8.00 น. ราคา ราคา 175,000 ดอง ประมาณ 263 บาท

รถจากมุยเน่ - โฮจิมินห์(วันที่4) รอบ 8.00 น. ราคา 175,000 ดอง ประมาณ 263 บาท

เราจองรอบเดียวเลยเพราะจะได้สบายใจและเคลียร์เงินไปด้วยในตัว

พอเราจองเสร็จก็ฝากกระเป๋ากไว้ที่นี่และไปเดินเล่นกันเลย เราเอาแผนที่จาดบัสเตชั่นแล้วเดินมั่วๆ

พอถึงเวลานัดก็มารอ เปลี่ยนเสื้อผ้าล้างเท้าเตรียมขึ้นรถ และนอนยาวๆ(ค่าที่พัก 3 เหรียญ ประมาณ 100 บาท/1คนและ1คืน)

วันที่ 2 พอถึงดาลัด รถไปส่งถึงที่พัก ก็จัดการเช่ามอไซค์แล้วขี่เล่นกันเลย(ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์100,000ดองประมาณ150บาท)

สำหรับคนที่ขี่มอเตอไซค์ไม่เป็น ที่ Vietsea มีทัวร์ขายอยู่ลองถามดูได้ค่ะ

(สำหรับคนที่ยังไม่มีที่พักก็ไปเดินหาได้เลยนะที่พักเยอะมากจริงๆ)

วันที่ 3 มีรถมารับตอนเช้าไปมุยเน่ พอถึงก็หาซื้อทัวร์ มีร้านเยอะเดินเลือกได้เลย

รถมารับตอน บ่ายสอง-6โมงเย็น

(ที่มุยเน่เราเดินหาที่พักเอา ได้คืนละ 100,000 ดอง ประมาณ 150 บาท/1คนและ1คืน)

วันที่ 4 มีรถมารับที่มุยเน่ตอนเช้า ถึงโฮจิมินห์เที่ยงๆ ก็ไปฝากของไว้ที่ๆเราซื้อตั๋วแล้วไปเดินเล่นอีกหน่อย

6 โมงก็ไปสนามบิน แล้วก็กลับสู้บางกอกโดยสวัสดิภาพค่าาาาาาา



ค่าเสียหาย ค่าเครื่องบินแอร์เอเชียร์ 2975 บาท ค่ากินของคนกินเยอะสุด 4000 น้อยสุด 3200 บาท แล้วแต่ขนาดตัวเนอะ 555555

เราเสียค่ารถบัสจากสนามบิน+ค่ารถไป3เมือง+ค่าที่พัก2คืน+ค่าซิมการ์ด ทั้งหมดประมาณ 1600 บาท ที่เหลือก็ค่ากินล้วนๆ



วิธีการคิดเงินของเรานะ พี่แนะนำมาว่า เราเอาเงินตัด 0 ออก 3 ตัว แล้วบวกกับเลขอีกครึ่งนึง

อย่างเช่น 50,000 ดอง ก็ ตัด0ออก4ตัว เป็น 50+25 เท่ากับ 75 บาท

พวกน้ำดื่ม เราแนะนำให้ซื้อในมินิมาร์ทนะ ถูกกว่าร้านขายของข้างนอกเยอะมาก มินิมาร์ทมีเยอะมาก

สงสัยอะไรถามมาได้ทั้งในนี้และอินบ็อกซ์ได้เลยนะค่ะ

-รถนอนของที่นี่หน้าตาแบบนี้จ้า นั่งข้างบนก็กลัวตก นั่งข้างล่างกลิ่นเท่าก็เหม็นอุ่นๆ แต่นอนสบายดีนะ-


ความคิดเห็น