"มึง! กูจะไป ABC"
เป็น คำพูดหนึ่งประโยคที่เราเองพูดมาตลอดหลังจากเริ่มเดินป่าที่ไทยในช่วงโควิด 2 ปีที่แล้ว เเละทริป ABC ครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนปฐมบทแห่งการเริ่มต้นของความท้าทายนานานับประการทั้งมวลที่ทำให้เราอยากที่จะก้าวออกไปดู ไปศึกษาวัฒนธรรม และ ความเป็นอยู่ของผู้คนต่างเชื้อชาติ. แน่นอนแหละว่า การเดินทางก็เปรียบเสมือนออกไปค้นหาตัวเอง เพื่อกลับมาเป็นตัวตนที่ดียิ่งขึ้นไปกว่า. แต่ท้ายที่สุดแล้วเราว่าการเดินทาง ทำให้เรารู้ว่า โลกภายนอกนั้น ใจดีกับเราแค่ไหนมากกว่า.
แต่... เดี๋ยวค่ะ เปลี่ยนๆ ไม่เอาสวยหรูดีกว่า ประเด็นก็คือออออ อยากจะมารีวิวการเดินทางไปยังที่ ABC เส้นทางที่อื้อหืออ ทรหดสุดๆ ที่กินระยะเวลากว่า 11 วัน ลัดเลาะตามภูเขา ลำห้วย กินมัง และ ค่ำไหนนอนนั้น
โอ้ยมาค่ะ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง!!
เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ ABC ก่อนหน้าที่จะไป 7-8 เดือน โดยช่วงเวลาที่กำหนดไว้คือ 8 เมษายน เนื่องจาก ติดกับวันหยุดยาว และ ลาหลักๆแค่ อาทิตย์เดียว และ คิดว่าอากาศน่าจะค่อนข้างโอเค มีร้อน ในเมือง หนาวบนภูเขา มีดอกไม้ และความเขียว น่าจะมีแอ่งหิมะพอสวยงาม โดยการหาอ่านรีวิวทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินทาง และ หาทีมไกด์ ต่างๆ เราใช้เวลาในการคุยกับไกด์ และ บริษัทนำเที่ยวเยอะมาก ขอแผนการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆมาเปรีบบเทียบกันมากมาย จนสุดท้ายแล้วก็ได้เป็นไกด์ท้องถิ่นที่จัดทริปเองด้วย มีลูกหาบใน connection และที่สำคัญ นำเที่ยวเองด้วย เออ โอเค แล้วราคา สมเหตุสมผล! และไม่ต้องมัดจำ สัญญาใจๆไปเล๊ยย ดูซิ ใครจะแกงใครก่อน โดยเพื่อนร่วมทริปของเราก็มีกันทั้งหมด 4 คน.
การทำ VISA เข้า Nepal จะไปทำ On arrival ก็ได้จ้าแล้วแต่สะดวก แต่ขอบอกว่าเตรียมไปเลยง่ายกว่าเพราะต้องรอคิว ต่อแถวยาวเหมือนกัน และ เราไม่รับความเสี่ยงกับที่ใหม่ๆ ใดๆ ฮ่าๆ
1.เอกสารวีซ่า มีแค่รูปถ่าย / Passport ตัวจริง และ ต้องกรอกใบสมัครผ่านออนไลน์ ตรงนี้ดูรายละเอียดดีๆ เพราะนี่ก็บ้งตั้งแต่กรอกผิดไป 3 รอบ
2.ค่าทำวีซ่าท่องเที่ยว 15 วัน 1000 บาท https://nepaliport.immigration.gov.np/onlinev.../application
3.CCMC เป็นเอกสารเข้าประเทศNepal ในสถานการณ์โควิดhttps://ccmc.gov.np/arms/person_add_en.php
4.เอกสารการฉีดวัคซีนเป็น ภาษาอังกฤษ 2 เข็มขึ้นไป สามารถขอได้ใน App หมอพร้อม มันจะส่งมาให้ในอีเมลล์
5.กรอก เอกสาร Thai pass และ Test and Go ( ใครไปหลัง 1 พค คิดว่าน่าจะไม่ต้องละ)
6.เตรียมรูปถ่ายขนาด passport สำหรับซื้อซิมโทรศัพท์ที่โน้น แต่ถ้าให้สะดวก จัดการเรื่อง package sim จากที่ไทยไปเลย จบ ถ้าไปซื้อซิมที่โน้น ก็ค่าซิม 400 เนปาลรูปี แล้วก็ต้องเติมเงินซื้อเนทอีก ประมาณ 1000 รูปี รวมๆแล้วก็ประมาณ 390บาทนิดๆ สมัครแพคเกจเนท แบบ unlimited ฮ่าๆ คนไทยหิวเน็ท แต่ของเราคนรักสบายและขี้เกียจเปลี่ยนซิมสมัครไปจากไทยเลย แพคเกจ 7 วัน 2 รอบ 399 x 2 เป็น 798 แบบแกรนด์ๆ
7.ซื้อประกันการเดินทาง เราซื้อของไทยวิวัฒน์ 961 บาท
8. แลกเงินไทย เป็น USD ด้วย เราจะเอาไปแลกที่โน้นอีกที เป็น Nepal rupee
ส่วนค่าทริป รวมโรงแรมทุกคน อาหารระหว่างการtrek ไกด์ ลูกหาบ หมดแล้ว เรา Request โรงแรมคืนแรก และคืนหลังจาก trek ได้จ้า
เน้นย้ำว่าเอกสารทุกอย่างควรปริ้นออกมาเน้ออ
สำหรับตั๋วเครื่องบิน เรารีบจองก่อนไป 2 เดือน สรุป โดน Canceled จ้า เลยต้องจองใหม่ เอ้าสรุปบินกับ Nepal airline ถูกกว่าเดิม แถมบินตรงด้วย! มาในราคา 15,775 บาท รวมประกันโดน Canceled แต่รอบเเรกโดนไป 16,440 ซึ่งเราจองผ่าน Agency เพราะฉะนั้นการคืนตังจะโดนหักค่าธรรมเนียมด้วย และ ก็ช้ามากกว่าจะได้คืน แถมตอนนี้ ขากลับก็ยังไม่ได้คืนจ้า เพราะฉะนั้น ซื้อประกันตั๋วด้วยช่วงปีนี้ เพราะนางไม่แน่ไม่นอนเด้อ
ต่อมาเรื่องของอุปกรณ์ เนื่องจากนี่เป็นคน ที่เดินป่าแล้วซื้อแต่ของถูก และใช้มันอย่างสมบุกสมบัน พอมาทริปนี้มันเดินระยะไกล และเดินทุกวัน เลยคิดว่าอาจจะต้องลงทุนอย่างน้อยๆก็รองเท้า และ เป้ ซึ่งสำหรับเราเราไม่ซื้อแพงมานะ คือไปที่ Decathlon เลย เอาที่แบบเหมาะกับเรา และ ซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย แบบพวกเสื้อระบายเหงื่อ, เสื้อกันลม กัน ฝน ส่วนอื่นๆ เช่น ยา ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ส่วนขนมใครจะไปซื้อที่โน้นก็ได้นะ ราคาถูกกว่า. อะ มาเริ่มจะแจกแจงให้เป็นวันๆเลยละกัน.
DAY 1 เดินทางจาก Bangkok ไป ยัง Kathmandu (08-04-2022)
เนื่องจากความอัดอั้นจากการไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศกันมาเป็นเวลายาวนาน คนจากประเทศไทยก็เลยเยอะมาก มิหนำซ้ำก็มีแค่สายการบิน Nepal air line บินแค่สัปดาห์ละวันสู่ประเทศเนปาล
ทำให้เวลาที่เผื่อไว้ 2 ชั่วโมงแทบจะไม่พอหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ, จะมีเจ้าหน้าที่ check-in counter จะคอยเช็คเอกสารการฉัดวัคซีนตอนเราโหลดกระเป๋า
ปริ้นเอกสารด้วยนะย้ำอีกที!
พวกเราใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง บินตรงสู่เนปาล มีอาหารหนึ่งมื้อ และ ไม่รวม 1 ชั่วโมง delay จุกๆ = =; จากนั้น พอถึงที่สนามบิน Tribhuvan international airport เราก็รีบจัดการยื่นเอกสารที่เราเตรียมมาจะ มี CCMC และ ผ่านจุดตรวจ ตม. อย่างราบรื่น ก่อนที่จะไปรับกระเป๋า ซึ่ง!! ตอนนี้ต้องดูดีๆ และระมัดระวังเป็นพิเศษเด้อ เพราะว่าจะมีคนที่ดูแลกรุ๊ปทัวร์จะคอหยิบกระเป๋าให้ลูกทริปเค้า ซึ่งนั้น อาจจะเป็นกระเป๋าเราก็ได้จ้า ฮ่าๆ . จากนั้นด้วยความที่ว่านี่รีบ อยากหาคนขับรถให้เจอ เพราะว่าไฟล์ทเรา delay มา 1 ชั่วโมง และ คิดเอาเองว่า เออ ตรงที่คนมาถือป้ายรอเราน่าจะมีบริการซิมโทรศัพท์และจุดแลกเงิน เลยเดินดุ่ยๆ ออกมานอกสนามบิน.
สุดท้าย เอ้าาาา ไม่มี เพราะจุดซื้อซิมและแลกเงินต่างๆ จะอยู่บริเวณที่เราออกจากประตูเลื่อนหลังจากที่เรารับกระเป๋าเสร็จทั้งหมด เพราะฉะนั้นใครไปก็จัดการไปตั้งแต่ตรงนั้นเลย. เราเจอคนขับรถมารอรับและเค้าก็รับเราไปที่โรงแรมใกล้ๆกับย่านตลาด Thamel สิ่งแรกที่ Amazing เลยก็คือการขับรถของคนที่นี้ เอาจริงๆคือ สุดยอดแห่งความวัดใจ ไฟแดงใช้ไม่ได้ และก็บีบแตรตลอดเวลา ปาดซ้ายปาดขวากันแบบ ว้าวซ่า แต่ก็ถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ เราเป็นคนเดียวที่แลกเงินกับเจ้าของโรงแรม ณ ตรงนั้น เพื่อเอาไปใช้จ่ายยามค่ำคืนก่อน.โรงแรมที่ไกด์จัดไว้ให้ก็ถือว่าดีไม่ได้แย่.
คืนนั้นพวกเราก็ออกไปเดินรอบๆตลาด Thamel เราไปถึงก็ค่ำแล้ว ร้านต่างๆก็ปิดหมด ยกเว้นร้านเหล้าจ้า ก็ตามนั้นเลย เห็นแสงสีวิบๆวับๆเป็นไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปเยี่ยมเยียน ดื่มกันพอประมาณในระดับหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้จะมีรถมารับเรากันแต่เช้าเพื่อไป Pokhara.ร้านที่อยากแนะนำคือ Shisha Lounge and Bar และ Tome & Jerry pub เหล้าเบียร์คือราคาถูกกว่ามากก็ถ้าไม่ติดว่าต้องตื่นเช้าก็คงจัดไปแล้ว non-stop และอาหารเนปาลที่ได้กินเป็นมื้อแรกก็จัดไปเลย Chicken Momo.
DAY 2 เดินทางจาก Kathmandu ไป Pokaraทุกคน…
ถ้ามีตัง รบกวนเครื่องบินที อีกหนึ่งการเดินทางที่โคตรเปลืองเวลาชีวิต 555 เพราะมันคือการนั่งรถ เป็นระยะเวลา 7-8 ชั่วโมง เลาะผ่านรอบเขา เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศนี้มันคือภูเขาแหละ พร้อมกับการขับรถแบบสุดโต่งของพี่เนปาลกับแยกวัดใจ และโค้งวัดดวง ยังไม่รวมฝุ่นเอยอะไรเอยแต่โชคดีหน่อยที่ออกเร็ว รถจึงไม่ค่อยติดมาก จะมีแค่ช่วงแรกๆที่เรียกได้ว่า นรกจ้าา. แต่เนื่องจาก 1 ในสมาชิกเรานำยาแก้เมารถมา ทุกคนจึงพร้อมใจกันกินและ นั้นแหละ คือการวางยานอนหลับ ที่ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ยันถึงจุดพักอาหารเที่ยงซึ่งถ้าใครไม่อยากรู้สึกตัวเลยโยกเยกไปมาระหว่างนั่งรถ แนะนำเลยว่า กินยาหลับไปเลยจ้า.
พอมาถึง Pokhara สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความสวยงามของเมือง ความสะอาดสะอ้านผิดหูผิดตา มีคาเฟ่เยอะมาก และร้านอุปกรณ์เดินป่าก็เยอะไม่แพ้กัน พวกเราจัดการซื้อซิมกัน และเติมอินเตอร์เนทเรียบร้อย ก็หวังว่าจะได้เดินเล่นสักหน่อยในเมือง แต่เราไม่ได้หยุดที่นี่จ่ะ เพราะพี่ไกด์เราที่คุยกันมาเนิ่นนานกว่า 6 เดือน ก็มาเจอเราจัดที่พักไว้ให้เราที่ Homestay ไกลออกไปอีกจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่เราจะต้องไปหยุดนอน 1 คืน.
คือ มันไกลมากเว้ยจากตัวเมืองและทางขึ้นก็คือเขย่ารถขั้นสุด และมันก็เป็นบ้าน Homestay ที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และนาขั้นบันไดต่างๆ มีความจังหวัดน่าน หนึ่ง! ทางพี่ไกด์ ก็ตามเรามาอธิบายความเป็นมาต่างๆ ความเชื่อทางวัฒนธรรมทางพุทธ และ ฮินดู เดินดูรอบๆหมู่บ้านฟีลแบบทัศนศึกษาอีกหนึ่ง! ให้เห็นถึงวิถีของชาวบ้านที่นี่ ส่วนอาหารค่ำก็คือ Dal bhat ก็จะมาเป็นเซทๆ มีผักโขม มันฝรั่งทอดอันนี้อร่อย แกงแพะ ข้าว และซุปถั่วเขียว.
DAY 3 อยู่ที่ Homestay!
แพลนวันนี้ไม่มีอะไรมากเลย เป็นวันที่เราได้อยู่นิ่งๆ กินอาหารพื้นบ้านของคนในหมู่บ้านแบบง่ายๆ ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันว่างที่เราอยู่นิ่งๆท่ามกลางธรรมชาติ มีไปเดินรอบๆ ช่วยคุณพ่อของไกด์แบกหญ้ามาให้ควายกินนิดหน่อย ไปเล่นน้ำตกนิดนึง และ นั่งเม้า อัพเดทชีวิต ซึ่งจะบอกว่าเรา ทั้ง 4 คนนั้น ไม่ได้รู้จักกันหมดทุกคน จะมีแค่เรากับเพื่อน สาวจาก แฟชั่น มศว ชื่อเฟิร์น และ น้องผู้ชายอีก2 คน เกท กับ อาร์ต ที่เป็นเพื่อนกัน และรู้จักกันตอนเดินป่าไทย ก็จากอีเพจ https://www.facebook.com/MOVEPA.official/นั้นแหละ. ส่วนห้องน้ำน่ะหรอ ไม่มีน้ำอุ่น และ นั่งยองๆ แต่จะว่าไปที่บ้านสะอาดมากเลยนะ. ส่วนกลางคืนโดยปกติจะมีชาวบ้านมาร้องรำทำเพลงให้เราดูเป็น Traditional ฟีลรอบกองไฟ แต่ดันฝนตก กิจกรรมนี้เลยต้องพักก่อน.
DAY 4 Trekking in Poon Hill Area: จาก Home stay ไป Ulleri และเดินไป Ghorepani
เริ่มละวันนี้! วันแรกของการเดิน หลังจากที่นั่งเกาเท้ามานานหลายวัน เราตื่นขึ้นมาดูหมอกยามเช้า และวิวภูเขา พร้อมกับพิธี Tika เป็นเหมือนพิธีดั่งเดิมของชาวเนปาลสำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เหมือนเป็นการให้ขวัญให้พรจากญาติผู้ใหญ่นั้นแหละ ก็จะมีข้าวกับน้ำแดงๆ แปะเป็นการอวยพรที่หน้าผาก พร้อมกับผ้ามนต์ตราที่มีบทสวดมนต์ให้ไปผูกที่ ABC และหมวก Nepali จบพิธีเราเดินทางจาก Homestay ผ่าน Pokhara ไปถึงจุดเริ่มเดิน คือ Ulleri เรานั่งรถผ่านจุดที่คนเดินมาเยอะพอสมควร โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะทางไกด์เราเห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรให้ดูมาก ซึ่งพวกเราต่างก็เห็นด้วยเพราะก็ไม่อยากเดินขนาบไปกับรถที่สวนไปมา พร้อมกับฝุ่นที่คลุ้งไปหมด จากนั้นเราก็เดินไปชิวๆกัน ถึง Ghorepani Poon hill
ความสูงของหมู่บ้านนี้อยู่ที่ 2,874เมตร
(Ghore : ม้า / Pani : น้ำ ในภาษา Nepali) เป็นเส้นทางที่ใช้ม้าในการขนน้ำ ก็เลยชื่อนี้ตรงตัว ส่วน poon คือชื่อของชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยที่นี่ และ ด้วยความสูงแค่ 3210 m ก็เป็นได้แค่ Hill นะจ๊ะ ไม่ช่ Mountain เพราะจะเป็น Mountain ได้ต้องมีความสูงตั้งแต่ 6,000 m ขึ้นไป และได้รับการสำรวจ และตั้งชื่ออีกด้วย!เส้นทางการเดินวันแรกไม่มีอะไรมาก เน้นบันไดชันๆ, มีหูอื้อๆ ตึงๆเหมือนขึ้นเครื่องบิน ทางไกด์จะจัดการเตรียมอาหาร และเครื่องดื่มตามจุดพักต่างๆ อากาศยังร้อน อยู่แนะนำว่า Airsm คือดีควรนำติดไปด้วยจ้า พอถึงที่พักของการเดินวันแรกก็ถือว่าดีเลยเป็นโรงแรมดีๆ ที่ไม่ใหญ่มาก มีน้ำอุ่นและห้องน้ำในตัว อาหารโอเค และมี เตาเผา Heater อยู่กลางร้านตรงห้องอาหาร,ในส่วนของน้ำเปล่า และ เบียร์ ยังซื้อดื่มได้ชิลๆ เพราะยังไม่แพงมาก! สรุปการเดินวันแรกอยู่ที่ ประมาณ 5 ชั่วโมง.
DAY 5 Ghorepani -Poonhill - Tadapni - Chuile
เราเริ่ม trek กันวันที่สองด้วยการตื่นขึ้นมา ตี 4 เพื่อออกเดินทาง ตี 4.30 ไปยัง Poon Hill ที่ความสูง 3210 เมตร ตอนแรกตื่นมาคือหนาว ก็เลยใส่เสื้อไปหลายชั้นหน่อย แต่พอเดินสักพักรู้เรื่องเลย เพราะทางขึ้นไปเป็นบันไดเดินไปเรื่อยๆ และ ไม่มีค่อยมีทางราบ แถมพอขึ้นไปถึง Poon Hill หมอกก็ดันลง ฟ้าก็ปิด พวกเราก็ยืนยิ้มแห้งแกว่งขาไปมา เดินถ่ายรูปนิดหน่อย ให้คุ้มกับการเดินขึ้นมาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ และก็รีบลงมาที่โรงแรมเพื่อทานอาหารเช้า และเตรียมตัวเดินต่อ.
การเดินวันนี้ จาก โรงแรมที่อยู่บริเวณ Ghorepani poon hill ไปถึงจุด Tadapani ที่ความสูง 2,610m เป็นอีกจุดหนึ่ง สวยมากๆ เหมือนเดินเลาะตามสันเขาสูงๆที่มีฝูงล่อสัญจรไปมา เราพักทานข้าวกันที่ จุด Banthanti Hill จัด Dal Bhat ไปอีก 1 ชุด ส่วนเครื่องดื่มยอดฮิตที่พวกเราจะสั่งกันตลอดก็คือ น้ำผึ้งมะนาว ใส่ขิง เพราะอากาศเริ่มหนาวๆ คลุกกรุ่นมาละ.
เราเดินต่อมาอีกประมาณ 3 ชั่วโมง จึงถึงจึดพักที่เรียกว่า Chuile ที่ความสูง 2245m โรงเเรมที่นี่ค่อนข้างดีใช้ได้เลย ส่วนห้องอาหารเราได้ฟีลแบบ โรงเตี๊ยมม้าตื่นใน The Lord of the Ring! ความทึมๆ แสงน้อยๆ และคนคุยกันเยอะเสียงดัง! ก่อนกินน้ำ รินเบียร์ก็ดมแก้วกันก่อนด้วย เพราะมันมีกลิ่น!! วันนี้สรุปการเดินไม่ได้เหนื่อยมาก แค่ล้า เพราว่าเราใช้เวลาเดินกันถึง 7 ชั่วโมง โชคดีหน่อยที่เป็นทางราบ.
Day 6 Chuile - Chomrong -Upper Sinuwa
ทุกคน Chomrong คือ ดีมาก เป็นเหมือนกับหมู่บ้านเปลี่ยนคลาสรับภารกิจในยุทธจักรเกมออนไลน์! ที่ครบเครื่องมีร้านอาหาร คาเฟ่ ซึ่งมันแลกมากับขี้ม้าขี้ล่อเต็มไปหมด มีเด็กๆ และโรงเรียน เป็นไงล่ะ Community บนเนินเขาสูง 2150m เราพักทานข้าวที่นี่ จริงๆ ตั้งแต่ทางเข้า Chomrong จะมีป้ายให้ทานมังสวิรัติเเล้ว เป็นเรื่องของความเชื่อและด้วยความเคารพ แต่พวกเราไม่ทันเห็น ก็สั่งไก่มากินกันไปเลย
ทางไกด์ไม่แนะนำเพราะคนท้องถิ่นไม่ทาน และมันไม่สด !และก็จริง เพราะไก่มันเหม็นหืนๆ. จากจุดนี้เราเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะเป็น Upper Sinuwa เดินไปก็ต้องคอยถามตัวเองไปตลอดเวลาว่า เรามาทำอะไรที่นี่ เพราะมันทั้งร้อน และชัน เดินๆก็ต้องระวังขี้บ้าง ระวังควายบ้าง หรือ ล่อบ้าง เอ้อ เวลาเดินสวนกับแก๊งล่อ ให้เดินชิดกำแพง หรือเขาไว้ด้วยเด้อ ไม่งั้นมันจะผลักเราตกผา.
ทางส่วนใหญ่จะเป็นดินลื่นๆ และ บันไดหินสลับกันไป ก่อนถึงจุดพัก เราลื่นด้วยจ้าไปล้มทับต้นไม้เวรที่มีหนามๆ ที่ชื่อว่า Gympie-gympie tree ลองเวิร์ชรูปดู เลยว่าอย่าไปโดนเข้านะ เพราะมันเเสบมาก! หรือต้นไม้ที่มีใบหนามๆทั้งหลาย โดนนิดนึงนี่คือบวมเลยนะ
ที่ Upper Sinuwa ในระดับความสูง 2320m แต่ความพีคที่นี่คือมีสัญญาณอินเตอร์เนท 4G ซึ่งจะบอกว่าที่ผ่านมา ไม่มีสัญญาณเลยจ้า เราได้ทำการ Social detox กันอย่างเต็มรูปแบบ
วันนี้เหนื่อยมาก เอาดีๆ ในความเดิน 6 ชั่วโมงที่ต้องขึ้นๆ ลงๆ เขานั้น และวันนี้ก็เป็นวันที่เราเข้าสู่การกินมังแบบเต็มรูปแบบ! ก็เน้นกินไข่ และ ถั่วไปเยอะๆเน้นผลิตแก๊สเพื่อสร้างพลังงาน. ห้องน้ำช่วงนี้จะเป็นห้องอาบน้ำรวมแล้วนะ น้ำร้อนจ่ายไปเลย 200 รูปี ส่วนชาร์จแบตจะตกอยู่ที่ 100 รูปี ต่อ โทรศัพท์ 1 เครื่อง. ก่อนมาก็เตรียม Power bank มาด้วยเด้อ.
Day7 Upper Sinuwa - Bamboo -Himalayas - Deurali
วันนี้แพลนคือการเดิน คือ 7 ชั่วโมง ไปแบบฟินๆเราเห็นวิวภูเขาของ Annapurana มากขึ้น เเละก็ยิ่งอยากถึงมากขึ้น อากาศตอนนี้ที่ upper sinuwa คือก็แบบ ว้าวหนาวเลย แฮปปี้ แต่พอเดินไปสักพัก มันก็ร้อนไง ! เพราะทางเดินมันคือชันมากๆวันนี้ และเดินระยะยาวด้วย เราเดินผ่าน Bamboo และไปนั่งพักทานข้าวที่ร้านเพิงในระเเวก Dovan ที่ความสูง 2505 m ก็กินเหมือนเดิมคือ Dal Bhat เพราะมันให้พลังงานได้ดีที่สุด.
ส่วนโค้กตรงนี้แพงแล้วนะ 500 เนปาลรูปี ถ้าซื้อจากข้างล่างก็จะตก90-120 รูปีเอง หลังจากเดินผ่าน หมู่บ้าน Himalayas ที่นี่ก็จะมีความคาเฟ่ 1 ร้านด้วยมีกาแฟสด แต่เราไม่ซื้อ เพราะคนเยอะ. สักพักเอาละ ฝนก็ตกปรอยๆ และก่อนที่จะถึง Deurali ที่ความสูง 3,200 m ตรงนี้ถ้าใครปวดหัวตุ๊บๆ จัด Diamox เลยจ่ะ อย่ารอ !
ก็คือที่พักของเราวันนี้ ก็มีลูกเห็บตกลงมาต้อนรับเราอย่างอบอุ่นเลยเด้อ! จุดนี้ไกด์ไม่ได้ให้เราอาบน้ำ ==; เนื่องจากกลัวเราป่วย ก็เลยต้องงัดแก๊งทิชชูเปียกออกมา! อากาศตอนกลางคืนคือหนาวพีคเลย ! ความเหนื่อยไม่ได้มาก เพราะเริ่มปรับสภาพร่างกายกันได้ละ
Day 8 Deurali - MBC - ABC
วันนี้ตื่นขึ้นมาแบบขาวโพลนเนื่องจากลูกเห็บตกหนักมาก และมันก็ละลายเป็นน้ำเเข็งเรียบร้อย ซึ่ง ทุกคนนน มันไม่ปกติใน ช่วงเดือนเมษา ทุกคนรวมถึงไกด์ก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะตกลงมาหนักขนาดนี้ ก็กลายเป็นเรื่องที่แอบซีเรียสนิดนึงเนื่องจากทางเดินจะลื่นและอันตรายมากขึ้น! ทางทีมไกด์ถึงขั้นต้องเช่าที่สวมรองเท้าลุยหิมะให้เรา ซึ่งเราได้กันแค่คนละข้างเพราะต้องแบ่งๆกัน ต้องขอบคุณไกด์มากๆ เพราะมันเดินง่ายขึ้นเลย.
แน่นอนว่า เราต้องระวังพื้นที่น้ำแข็งสไลด์ลงมาด้วย เอาล่ะ เริ่มปวดหัวตุ๊บๆละ แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ทางเดินตรงนี้คือไม่มีอะไรชัดเจนทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนขาวโพลน และเสี่ยงต่อการฮารูพรึบ!! ต้องค่อยๆเดินตามกันไป และจิบน้ำกันตลอดเวลา ช่วยเพิ่มออกซิเจน ทางพี่ไกด์จะคอยเอาพลั่วตักน้ำแข็งออกให้ เพื่อเคลียร์เส้นทางให้เราเดินได้สะดวก. เราเดินมาพักที่ MBC ความสูง 3,700 m กับการทานข้าวเที่ยง และแปะรูปpassport เราทิ้งไว้เป็นความทรงจำ.
ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังกินมาม่าเกาหลีเป็นอาหารเที่ยง หิมะก็ตก
คือครบมาในสิ่งที่ไม่ควรจะมีในหน้าร้อนแบบ เมษา ทำให้เราต้องเดินลุย หิมะ และฝนกันไปต่อ ต้องค่อยๆเดินแบบพิจารณาสติ และก็ต้องมรณะสติไปด้วยเช่นกัน เพราะทางมันทั้งลื่น ทั้งลึก หนาวแบบแห้งๆ และก็เหนื่อยมาก หัวจะปวดเอา.
ในขณะที่พี่ไกด์เราก็คอยกับว่าต้อง จิบน้ำไปเรื่อยๆ เราเดินจนเกือบจะถึง ABC ละ อาการปวดหัวก็หนักขึ้นแบบหนักอื้อ ตอนนั้นจำได้ว่ายืนร้องไห้เลย เพราะกลัวไปไม่ถึง แต่ได้เพื่อนๆและไกด์ทุกคนยืนรอ รวมถึงคอยให้กำลังใจเอาว่ะ ฮึบ! ก็ถึง ABC จนได้โดยใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมง มันเดินยากมาก และเราก็จะพักทีนี่เลย ที่นี่เป็นโรงแรมเล็กๆ จะอยู่ตรง Basecamp เลยทำให้เราไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินมาดูมาก.
ทุกคนที่โอเคก็ไปเฮฮาต่อในห้องอาหาร ส่วนเราอะ เกมจ้า ไข้ขึ้นสูงไปเลยจ้าทีนี้ ท้องก็ดันปวดอีกเพราะน้ำ หรือ Dal bhat ก็ไม่รู้ ก็เลยต้อง กิน Diamox และ ยาแก้ท้องเสีย นอนยาวๆ ที่ความสูง 4130 m ทางทีมไกด์น่ารักมาก คอยเข้ามาดูแล และถามตลอด เพราะถ้าไม่โอเค ก็ต้องลง แต่กูไม่ลงจ้าาาา ขอบอกเลยว่าห้องน้ำที่ camp นี้กลิ่นคือที่สุด !
Day 9 ABC - MBC - Deurali -Himalayas - Bamboo
ใช่จ่ะ! เป็นการเดินลงเป็นการมัดรวบตึงจาก ABC เลย เราตื่นมาพร้อมกับอาการหวัด และยังมีไข้อยู่ หน้าแดง จมูกแดงและลอก น้ำตาไหลไม่หยุดไปหมด หัวก็ยังปวดทุกครั้งที่เหยียบเท้าลงพื้น แนะนำเลยว่า ถ้าเริ่มปวดก็กินยาดักเลย! จะบอกว่า วิวตอนเช้าที่นี้ฟ้าเปิด โชคดีมาก มีแดด มันเป็นความปลื้มปลิ่มอิ่มไปกับวิวภูเขาขาวโพลนที่สูงกว่า 8000 m ขึ้นล้อมรอบไปกับแสงแดด แม่! มันคุ้มค่ามากๆกับที่ต้องฟ่าฟันขึ้นมา
เราผูกผ้ามนตราเป็นการขอพร เพราะเชื่อว่า ยิ่งสูงก็จะยิ่งใกล้ชิดกับเทพเจ้าต่างๆของทุกศาสนา ! เสร็จสรรพก็เดินลงเลยจ้า การเดินลงมาค่อนข้างเร็วเลย เพราะอากาศดีถึงแม้ว่าเราจะปวดหัวอยู่ แต่พอลงมาที่ Himalayas แล้วอาการมันดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด แน่นอนล่ะว่าความสูงมีผลในเรื่องของออกซิเจนที่น้อย.
ทางเดินลงก็ยังคงความ
ชุ่มฉ่ำจากฝน และ พื้นที่กลายเป็นดินเลนปนกับขี้ ก็ลื่นนนนนไปเลยสิจ๊ะ แต่กเราก็เดินลงกันด้วย speed ที่เร็ว และใจมันก็อยากถึงที่พัก ได้พักเร็วๆ ถึงแม้จะมีทางขึ้นบ้าง แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากทางเป็นเลนดินผสมหิมะ
สุดท้ายเราก็มาถึงที่พัก BAMBOO ได้อาบน้ำร้อน จะต้องเสียเงินก็ยอมมม ถึงแม้จะยังไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนท แต่พวกเราก็มีเรื่องคุยกันมากพอจนลืมไปเลยว่าเราต้องฟ่าฟันอะไรมาแค่ไหน เป็นวันที่เดิน7 ชั่วโมงกว่าๆ ในส่วนของเกทกับแปะนั้นก็จัด วิสกี้ Krukri กันไปจนหน้าแดงให้หายเหนื่อยสักหน่อย ส่วนเราก็งดไปก่อน เพราะยังปวดหัวอยู่ 555
Day 10 Bamboo - Jhinu
วันนี้เราเดินลงเขาไปสักพัก ผ่านเขต Dovan ก็ต้องขึ้นไปใหม่ที่ Chomrong เราอยากกิน Americano มาก เพราะไม่ได้แตะเลย ก็เลยสั่งที่นี่ จะบอกว่าทางขึ้นกลับมาที่ Chomrong คือชันมาก และเหนื่อยมาก และก็ต้องลงไปที่ Jhinu ซึ่งใช้เวลา ประมาณ 5 ชั่วโมงผ่านฝน และ แดด.
แต่พอมาถึงปุ๊บซึ่ง ไอเลิฟฟฟฟฟมากก เป็นโรงแรมที่น่ารักมาก คือมีห้องน้ำในตัวก็กรี๊ดแล้ว มีน้ำอุ่นก็คือกรี๊ดดังยิ่งกว่า มีอาหารที่ค่อนข้างดีเลย ทั้งพิซซ่า ลาซานญ่า ถึงแม้ว่าจะเป็นมังสวิรัติก็ตาม.ทางไกด์แนะนำให้เราไป Hot spring ที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ แต่เราเห็นแล้วไม่น่าจอย คนเยอะมาก แล้วบ่อกระจึ้งนึง เลยไปดูๆแล้วกลับขึ้นมาพักผ่อนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เรามีเดินต่อกันยาวๆ และก็เป็นอีกคืนนึงที่ดราม่าเยอะมากกก ไว้ค่อยเล่าต่อในเพจเนอะ.
เราจัดการเก็บกระเป๋าใหม่ เเบกเฉพาะ ของที่จำเป็นขึ้นไป ส่วนเสื้อผ้าที่สกปรก และเสื้อผ้าที่ต้องใส่กลับ ก็แยกไว้ให้ลูกหาบที่จะกลับไปเมืองเอาไปไว้รอที่โรงแรม เราจึงเหลือแต่ของจำเป็น ให้ลูกหาบขน และตัวเราก็เดินสบายด้วย. มาพร้อมไปต่อ !
Day 11 Jhinu - Forest Camp
"เอาดีๆแม่ เราควรหยุด 5555" เราเหลือกตาหันไปพูดกับเฟิร์นเพื่อนเราระหว่างก้าวขาขึ้นบันได เพราะ ABC ก็สาหัสแล้ว นี่เราก็คือลงเขามาเพื่อขึ้นเขาลูกใหม่แบบเฟียซๆเส้นทางMaldi Himal และ วันนี้ก็คือ ขึ้นอย่างเดียวเลยจ้าไม่มีทางราบ มันร้อนอีกแล้ว และก็สูง แบบไม่มีความปราณี. ไม่นับว่าโอเค เส้นทางมันสวยๆกลมกล่อมฟีลเทพนิยายหน่อย มีล่อ ม้า สีขาวเต็มไปหมด แต่ก็นะ ควรหยุด เรากลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อถึงที่พัก Forest camp ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ที่ความสูง 2600m
หลังๆเราจะกินแต่มาม่าเกาหลีแล้ววว เพราะเราไม่ไหวกับ dal bhat ฮ่าๆ ทั้งกลิ่น ทั้งรสชาติ เน้นแป้งกับไข่อย่างเดียวเนอะ !
Day 12 Forest Camp - High Camp
เราเดินต่อกันอีก 6 ชั่วโมง ไปที่ความสูง 3550 m บน High Camp ส่วนที่พักก็ทำใจไว้แล้วว่ายิ่งสูง ยิ่ง here ก็เป็นไปตามนั้นแหละ แคมป์คนงานอีกหนึ่ง ! แต่ระหว่างทางจะแตกต่างกับ ABC โดยสิ้นเชิง จะไม่ตระการตาเท่า แต่มีความเนินหญ้าสีทอง Moodtone เป็นฟีลแบบดาวอังคาร มีหญ้ามีดอกไม้บาน ใครสายคุม Earth tone ก็ต้องระแวกนี้เลยจ้า และเราก็เจอ Yaks ด้วย ถึงแม้จะแค่ 3 ตัวแต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวเป็นๆ เราเดินกันสักพักลูกเห็บก็ตกอีก แต่ไม่หนักมาก ระหว่างทางฟ้าก็จะปิดตลอด เป็นแบบนี้สลับๆ กันไป แต่นั้นหมายความว่า พรุ่งนี้ฟ้าก็เปิด 🙂
Day 13 High camp - Pokhara
ตามคาดที่ว่าฟ้าจะเปิดหลังฝนตก เราเห็นยอดเขา MaldiHimal และ ยอดเขาที่เราชอบมากที่สุดก็คือมัจฉาปุชชาเร ( Matchpuchare) แค่ชื่อก็กินขาดละ มันสวยงามสะกดมากจริงๆ ตามความเชื่อคิดว่าเป็นยอดเขาของเทพเจ้า และจะไม่มีการอนุญาตให้ปีนขึ้นไป ! เราถ่ายรูปกันสักพักจึงเริ่มเตรียมตัวที่จะลง.จริงๆตาม Plan เราต้องไป Viewpoint ซึ่งต้องเดินจาก High camp ไปกลับประมาณ 4 ชั่วโมง และ ลงไป จุดที่รถรอรับกลับอีก 4 ชั่วโมง ซึ่งก็จะกินเวลาเยอะมาก ไม่รวมเวลาที่ต้องนั่งรถกลับเข้าตัวเมืองอีกประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ผนวกกับความล้า และประเมินว่า เออ ไม่ไป 555 เพราะใจก็คือ ถึงโรงแรมที่ Pokhara แล้ว พอขาลงจาก 4 ชั่วโมงตามแผน ด้วยความที่พวกเรามันพวกเด็กดื้อ เราก็คือวิ่งเลยจ่ะ 2 ชั่วโมงถึงก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ! จาก High Camp ถึง Siding ทางลงคือชันมากๆ ไม่มีบันได เป็นดินแห้งๆลื่นๆ มีหินให้ยึดเกาะเล็กน้อย ถึงเราจะลงเร็วแต่ก็ต้องระวัง เพราะ การลงแบบนี้มันทั้งเจ็บและพลาดได้ง่าย! แต่พอลงมาเห็นรถจิ๊บแล้วนั้นแหละ!!! มันเป็นความรู้สึกที่แบบ เออ เราทำได้ว่ะ เราเดินถึงกันจนได้11 วันติดต่อกัน มันเป็นความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบายจริงๆนะทุกคน เราซื้อโค้กกันคนละขวด และ ให้ทิปลูกหาบที่คอยช่วยเรา และ ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ ระหว่างทาง.
และการเดินของเราก็สิ้นสุดลง และ เราก็จะไป POKHARAAAAAAAAAA ซึ่ง เราบอกไกด์ว่าขอโรงแรมดีๆหน่อย ซึ่งนางก็จัดให้ แต่ว่าโรงแรมแรกที่นางพาไปเหมือนจะมีความผิดพลาดในการจอง ทำให้เราต้องระหกระเหินไปอีกโรงแรม แต่ไม่เป็นไร ห้องโอเค!
คืนนั้นเราฉลองกันด้วยกัน Hopping bar ย่าน Pokhara เป็นค่ำคืนที่สนุก และเหมือนเป็นการปลดปล่อยก่อนที่เราจะเดินทางกลับ! และไม่น่าเชื่อว่าแค่ 11 วันที่เราตรากตรำกันมาจะมีเรื่องราวให้น่าจดจำได้เยอะขนาดนี้!
Day14 กลับ Kathmandu
ไกด์แจ้งว่าเรารถจะมารับช้าหน่อยซึ่ง เราก็ได้ตื่นสาย และได้นอนมองเพดานนิ่งๆ ซึ่งกว่าจะรู้ว่านั้นแหละคือหายนะ เพราะคนขับรถรอบนี้คือ here มากนางปาดซ้ายแซงขวาจนต้องกำพระในมือแล้วขอให้รอดกลับไปไทย แล้วขับได้เวียนหัวมาก เรารู้สึกไม่อยากหลับแบบขามา เพราะอยากเห็นบ้านเมืองต่างๆ ซึ่ง ไม่น่าเลย เพราะคนขับก็ไม่ปิดกระจกรถ ร้อน ฝุ่นเยอะ และเนื้อตัวมอมแมมไปหมดอย่างกะไปเล่นซนที่ไหนกันมา
พวกเราตัดสินใจไม่แวะทานอะไรใดๆทั้งสิ้น เพราะนี่ก็เข็ดกับ Dal Bhat และ ทุกคนก็ไม่ไหวกับรสเครื่องเทศแล้ว เราเลยขอแค่ อัด
ให้ถึงก่อนค่อยหาไรกินที่ thamel ก่อนจะถึงโรงแรมเราก็แวะไหว้พระกันที่วัด Swayambhu หรือเรียกกันง่ายว่า Monkey temple เป็นวัดที่สวยดีฮะ ฟีลภูเขาทองบ้านเรา มีลิง แต่มีน้อนหมาเยอะกว่า ก็ไปเดินไหว้ขอพรชมวิว แต่สภาพพวกเราคืออ่อมมากแล้วไง อยากพัก อยากกิน เราเลยอยู่ที่วัดประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วรีบกลับโรงแรม.
สิ่งเเรกที่กินก็คือ ไก่ทอดจ้าาาาาาา ได้กินแล้วหลังจากที่ไม่ได้กินเลย แล้วก็แวะซื้อโน้นนี่นั้นต่างๆ ตอนแรกตั้งใจว้าจะไปหาเบียร์ดื่มกัน แต่ก็ต้องพักไว้ก่อน เพราะเราเหนื่อยจากการนั่งรถกันมามาก แนะนำว่า ทีหลัง นั่งเครื่องจ่ะ ไม่เสียเวลาชีวิต!
DAY 15
ใจหายมากลับแล้ว แนะนำว่าควรมาที่สนามบินก่อนเวลา 3 ชั่วโมงจ่ะ เพราะว่า ถ้าคนเยอะ ละก็ หน้าสนามบินตอนตรวจกระเป๋าคือจอแจมาก เวลาคนที่นั้นจะบินไปไหน 1 คน จะมีคนมาส่งด้วยอีก เป็นสิบ!
สุดท้าย สรุปค่าใช้จ่ายก่อน
ค่าตั๋วเครื่องบิน = 15,775 บาท
ค่าวีซ่า15 วัน = 1,000 บาท
ค่าประกันการเดินทาง ไทยวิวัฒน์ = 961 บาท
ค่าแพคเกจโทรศัพท์ 14 วัน = 798 บาท (เฉพาะเรา)
ค่าซิมโทรศัพท์ = 400 NRP (113 บาท)
เติมเงินซื้อเนท = 400 NRP (113 บาท)
ค่าทริป 14 วัน รวมโรงแรม ทุกคืน,อาหาร ระหว่างการ trek ,ไกด์, ลูกหาบ,รถรับส่ง ค่าบัตร TIMS = คนละ 840 USD ( 28,844 บาท ) เราว่าไม่ได้ถูกและไม่ได้แพง แต่เรามองว่าสมเหตุสมผลกับการที่เรามากันครั้งแรก และได้รับการดูแลที่ดีมาก อาหารก็คือสั่งไม่อั้น! แต่ถ้าเหลือก็จะโดนดุหน่อยๆ ใครสนใจก็นี่เลย https://www.friendlytrekkers.com/ หรือที่ เพจของนาง https://www.facebook.com/FriendlyTrekkersAdventure
ค่าทริป ไกด์ + ลูกหาบ = 275 USD (รวมกัน 4 คน ตกคนละ 2,360 บาท) ประทับใจแหละ แหมมม แต่ลูกหาบ และไกด์ดูแลเราดีมากจริงๆนะ คือโกยหิมะให้ แบกของเกินน้ำหนักให้ แล้วไม่มีบ่นเลย น่ารักมาก
ค่ากินขนมเล่น ซื้อของ กินข้าว กินเบียร์ โค้ก = เฉพาะเรา 200 USD (6,868 บาท) เพราะเราซื้อของเยอะ 555 และสิ้นเปลืองเรื่องการกิน ซื้อขนมแจก ฮ่าๆ
ส่วนคนอื่นก็ คนละ 100 USD (3,434 บาท)
สรุป ของเราคนเดียว 53,172 บาท
และของเพื่อนๆอีก 2 คนก็ไม่หนักเท่าเรา 49,166 บาท
ส่วนของเฟิร์น จะเป็นคนเดียวที่ใช้ไป 45,000 บาท แต่ก็จะเหลือๆเลยเพราะนางไม่กินจุกจิก และไม่ดื่มน้ำอัดลม ก็จะเป็นคนเดียวที่ใช้เงินน้อยสุด
ซึ่งถ้าคุมเรื่องของค่าใช้จ่ายการซื้อของดีๆ ก็อาจจะไม่ถึง หรือจังหวะหาตั๋วถูก หรือการหาไกด์ หรือลูกหาบ
สำหรับเรา ถือว่าคุ้มมากๆ เพราะ ทีมไกด์กับลูกหาบ ดูแลดีมากๆ เรามีหน้าที่แค่เดินอย่างเดียว ไม่ต้องวุ่นวายจัดการกับโรงแรม อาหาร หรือโต๊ะอาหารเลย ไม่ชอบ ไม่กินอะไรก็บอกเค้าได้เลย จะสั่งแพงแค่ไหนก็ได้ แต่ขอแค่กินให้หมด.
เรื่องน้ำสำคัญมาก หา Tablet ที่ช่วยปรับสภาพน้ำให้ดื่มได้ติดไปด้วย ซื้อจากไทยไปเลยน่าจะดีกว่า เพราะว่าข้างบนน้ำดื่มแพงมากจริง อีกอย่าง เค้าไม่แนะนำให้ซื้อขวดน้ำ เพื่อเป็นการรักษาไม่ให้เกิดขยะ
Diamox ก็สำคัญ พยายามถามไกด์ว่าเค้าเตรียมให้ไหมสุดท้ายก็ค่า Test & Go ซึ่งอันนี้ก็เเล้วแต่จะพิจารณาเลยจ้า / ส่วนยาอื่นๆ อันนี้หลักๆ ลดน้ำมูก / แก้ปวด / แก้ท้องเสีย / แก้แพ้ /คลายกล้ามเนื้อ /ยาทากันผื่น หรือยาต่างๆที่คิดว่าเรามีเสี่ยงที่จะเป็น. ยาดมด้วย!
ทิชชูเปียกไม่ต้องเอาไปเยอะ เราว่าแพคเดียวอยู่ เพราะจะมีแค่ 2-3 วันที่ไม่ได้อาบน้ำ ส่วนที่เหลือ เอาซองเล็กไปไว้ใช้เข้าห้องน้ำได้
เรื่องของการเตรียมตัว อยากให้ออกกำลังกายก่อนไป อย่างน้อยๆ ก็ Squat หน่อย เอากำลังขา หรือ วิ่งสักหน่อยอย่างน้อยๆ จะได้ไม่ปวดเข่าและไม่มีปัญหาเรื่องความทรมานขามากวนใจ หรือถ้าคิดว่าเออเป็นคนเดินเยอะทุกวันอยู่แล้วอันนี้ก็ได้นะ แบบขยันเดิน เพราะมันไม่ใช่ฟีลแบบ ออกกำลังกายขนาดนั้น แต่เป็นฟีลความทนทานในการเดินมากกว่า และมันจะเหนื่อยสะสม เพราะฉะนั้นอยากให้เตรียมร่างกายไปหน่อย ไม่ต้องแบบ โหฟิตมาก แค่ประมาณนึง ให้เราสามารถ Enjoy กับการเดินได้ และที่สำคัญ ใจ! เพราะถ้าถอดใจเมื่อไหร่ก็ ไปไม่ถึงแน่นอน ถ้าเตรียมร่างกายมาแล้ว ก็ขอให้ใจมาด้วยแล้วอยากให้สนุกไปกับการเดิน.
ส่วน Attitude sickness เราจะเป็นแค่คนเดียว คนอื่นมีล้า ปวดหัวนิดหน่อย เพราะฉะนั้นใครรู้ตัวเนิ่นๆก็กิน Diamox ดักไว้เลย.
สุดท้ายนี้ ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เก็บความทรงจำไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่สวยงาม ปลายทางที่มีวิวทิวทัศน์ที่ตระการตา ผู้คนที่น่ารัก วัฒนธรรม, ความเชื่อ, ภาษา, และ อาหาร ที่มีความแปลกใหม่ และที่สำคัญที่สุด เพื่อนผู้ร่วมทาง จะบอกว่าอันนี้น่าจะเป็นความสวยงามที่มาในรูปแบบของความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลุ่มเรา 4 คน ไม่ได้มาจากลุ่มเพื่อนที่สนิทที่สุด แต่กลับกลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่มีความชอบเหมือนกัน เราแชร์ 15 วันด้วยกันอย่างคุ้มค่า และมันก็กลายเป็นความทรงจำที่ดี ตลอดเส้นทางที่สวยงาม ต้องขอบคุณทุกคนจริง.
ขอบคุณทีมไกด์ และลูกหาบจากhttps://www.facebook.com/FriendlyTrekkersAdventure รวมถึง Mr.Kabi ! ที่คอยดูแล พวกเราตลอดการเดินทาง และคอยแนะนำโน้นนี่นั้นตลอดเวลา
ส่วนใครที่รู้สึกว่าอยากไปกับคนไทยด้วยกัน เราแนะนำเพจของเพื่อนเรา Movepa ราคาคือไม่แรง และรับรองเรื่องของการดูแลเลย
สุดท้ายต้องขอบคุณตัวเองแหละที่พาตัวเองไปเจอประสบการณ์ดีๆ และ มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึง และเราก็เชื่อว่าเราจะต้องไปอีกหลายๆที่
ยังไงฝากทุกคนติดตามเพจเราด้วย
https://www.facebook.com/wannagotoMars/
จะเป็นเรื่องเล่าสนุกๆต่อจากรีวิว
รูปสวยๆจาก Get Boonsuk
ผสมกับรูปที่นี่ถ่ายจากมือถือ
เอาไว้เจอกัน Rinjani!!!!!!!!!!!!!
ขอขอบคุณ เกทสำหรับภาพถ่าย
และแป๊ะ สำหรับวีดีโอ
Theeratat Thaninbenjakul
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 22.53 น.