안녕하세요 สวัสดีแดนกิมจิ ดินแดนที่ใครหลายคนฝันว่าจะได้มาเยือนสักครั้ง โดยเฉพาะเหล่าสาวกของวง K-Pop หรือแม้กระทั่งสาวกของ K-Series วันนี้ผมอยากมาแชร์ประสบการณ์ไปเกาหลี สไตล์แก๊งเพื่อน รวมทั้งหมด 5 คน มาเล่าประสบการณ์ต่างแดนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ

   ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในทริปนี้ ที่เหลือเป็นสาวๆ ทั้งหมด ก็แน่หล่ะ ผมตามเขามาไง ปกติผมไม่ค่อยอะไรกับ South Korea เท่าไหร่ แต่พอได้ดู K-Series เรื่อง Descendants of the Sun ก็เลยตัดสินใจลองมาดู แน่นอนว่า ทุกคนเพิ่งคนมาครั้งแรก อ่อ!!! ยกเว้นผมนะ เพราะครั้งนี้ เป็นครั้งที่สองของผมที่ได้มาแล้ว เลยเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากเหมือนคนอื่นๆ พวกเราทั้งห้า (เหมือนขบวนการ 5 สีของ Super Sentai เลย 555+)

   โชคดีที่ได้เดินทางไปช่วงเดือน ก.พ. 2020 ช่วงที่ Covid-19 ยังระบาดไม่หนัก ซึ่งต้องบอกว่าทริปนี้เป็นทริปต่างประเทศล่าสุดของผมจนถึงปัจจุบันเลย เพราะหลังจากกลับถึงไทยแล้วไม่กี่วัน ที่เกาหลีก็มีข่าวคุณป้าคนหนึ่งที่เดินทางมาจากเมือง Daegu ได้เข้ามาแพร่เชื้อในกรุง Seoul เลยกลายเป็นวิกฤตไป จนมีข่าวผีน้อยชาวไทยหลายคนเร่งหนีกลับประเทศตามพวกผมมาในเวลาต่อมานั่นเอง ก็รอว่าถ้าเร็วๆ นี้ ที่เพิ่งได้เปิดประเทศกันแล้ว ผมอาจจะได้บินไปที่ดินแดนไหนอีกครั้งหนึ่งอีกๆ

   เอาหล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเล่าถึงทริปของผมกันครับ พวกผม ได้แก่ ผม 1 คน และสาวๆ อีก 4 คน ใช้เวลาในทริปนี้ประมาณเกือบ 4 วัน โดยอยู่แต่ในกรุง Seoul ไม่ได้ออกไปไหนกันเลย พวกเราเดินทางไป-กลับ ด้วยสายการบิน Airasia X จากสนามบิน Suvarnabhumi Airport สู่สนามบิน Incheon Airport โดยในวันแรกเราก็มาถึงช่วงค่ำๆ กันแล้ว

   พวกเรารีบจับรถไฟจากสนามบิน Incheon Airport แล้วไปลงที่สถานี Gongdeok Station พร้อมเข้าที่พักที่ Seoul Garden Hotel ซึ่งราคาแอบแพงหน่อยหลายพันบาทอยู่ แต่ต้องบอกว่าคุ้มมาก และบริการดี หากใครลองไปส่อง 2 เว็บดังอย่าง Booking.com และ Agoda.com จะพบว่า รีวิวดีมาก อยู่ที่ 8.7 และ 8.4 ตามลำดับโดยทีเดียว ซึ่งทั้งสองเว็บนี้ หากโรงแรมไหนได้มากกว่า 8.0 ก็สามารถการันตีได้แล้วว่าดีจริง คนรีวิวก็เป็นคนพักส่วนใหญ่ที่เดินทางจริงจากหลายประเทศ ลองไปดูหน้าโรงแรมกันครับ

   และแล้วก็เดินทางมาถึงช่วงที่หลายคนรอคอยนั่นคือของกินนั่นเอง โดยมื้อเย็นของพวกเรารับประทานกันที่ย่าน Hongdae โดยจับรถไฟมาลงกันที่สถานี Hongik University Station ย่านนี้ก็เป็นแหล่งช็อปปิ้งทั่วไป และร้านอาหารเยอะมาก สำหรับที่แห่งนี้ ถ้าเทียบกับประเทศไทยของเรา น่าจะอารมณ์ประมาณ Siam Sauqre นั่นแหละครับ และที่นี่ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีตลาดเฉพาะและกิจกรรมพิเศษด้วย โดยในวันเสาร์จะเป็น Free Market ส่วนวันอาทิตย์เป็น Hope Market เอาหล่ะที่ฝากท้องผมเป็นร้านปิ้งย่างทั่วไปชื่ออะไรไม่รู้ ลองอ่านกันดูนะครับ หาไม่ยากเลย ส่วนที่อร่อยอีกอย่าง คือ ผลไม้ที่นี่ดูน่าทานมากจริงๆ นะ

     อ่อ!!! เผื่อหลายคนสงสัยว่า เปลี่ยนราคา THB (เงินบาท) เป็น KRW (เงินวอน) แล้วราคาจะเป็นยังไง ตอนนั้นผมไป คือ 0.0298 THB ได้ 1 Won แต่ราคา ณ ปัจจุบัน (26 มิ.ย. 65) ผมลองเช็คทาง Superrrich หัวส้ม ราคาแลกไป จะอยู่ที่ 0.0282 THB ต่อ 1 Won เรียกได้ว่า ราคาดีกว่าตอนที่ผมไปเมื่อสองปีที่แล้วอีกนะครับเนี่ย ใครจะแลกลองไปเช็คกันได้ที่เว็บเลยครับ https://www.superrich1965.com/...

   เอาหล่ะวันแรกไม่มีอะไร อื่มท้องแล้วก็กลับ มาวันที่สอง มื้อเช้ากินอาหารตามร้านสะดวกซื้อธรรมดา เพราะไม่เน้นมื้อเช้ากัน หลักๆ ก็มาม่าคัพครับ เพราะอากาศหนาวมาก วันที่แก๊งผมไปกัน อากาศอยู่ที่องศาเลขตัวเดียวเลย ในวันนี้เราจับรถไฟไปที่ Ewha Woman University โดยลงที่สถานี Sinchon Station ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผมเคยไปครั้งแรกมาแล้ว แน่นอนว่า เมื่อมาถึงต้องพบกับความผิดหวัง เพราะว่าเป็นช่วง Covid-19 เริ่มระบาด เขาเลยไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ใครจะเข้าต้องโชว์บัตรนักศึกษาเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่อะไรมากเพราะเคยมาแล้ว แต่ทั้ง 4 คนที่เหลือ ไม่มีโอกาสได้เข้าไปเลยๆ ก็ถ่ายภาพแค่ป้ายข้างหน้ากัน น่าสงสารฝุดๆ

   พวกเราเลยเปลี่ยนสถานที่ไปกันที่ Namsam N Seoul Tower กันเลย โดยจับรถไฟไปลงกันที่สถานี Seoul Station และเดินไปขึ้นรถบัสกันที่ Namsan Seoul Tower Bus 03 Station ต่อ ครั้งที่แล้วผมเดินขึ้น มาครั้งนี้ได้นั่งรถบัสก็โอเครหน่อย สถานที่นี่ เป็นที่โด่งดังที่คู่รักมักจะมาคล้องกุญแจกัน เหมือนภาพยนตร์เรื่อง "กวน มึน โฮ" นั่นแหละ ที่นางเอกมาคล้องกุญแจกับแฟนเก่า สมัยครั้งแรกผมไม่มีใครให้คล้อง เลยแค่มาถ่ายรูปเหงาๆ กับเพื่อน แต่ครั้งนี้มีคนให้คล้องด้วยละ ฮิ้วๆๆ แน่นอนว่า มื้อกลางกันก็กินอะไรง่ายในศูนย์อาหารบนนั้นกันเลยๆ

   ในช่วงเย็นๆ เราก็ไปกันที่สถานที่สุดฮิตที่ใครก็ต้องมากันนั่นคือย่าน Myeongdong นั่นเอง โดยเราจับรถไฟมาลงกันที่สถานี Myeongdong Station ที่นี่ก็อารมณ์คล้ายๆ Siam Square บ้านเราเช่นกัน ของช็อป แบรนด์เนม ของฝาก ของกิน เยอะแยะเลย สาวๆ คงเดินได้เป็นวัน ซึ่งพวกผมก็หาอะไรกินกันแถวนี้ แล้วดึกๆ ก็กลับที่พักกันเป็นอันจบวันที่สองครับ

   มาต่อกันที่วันที่สามกัน วันนี้ผมจะพาไปกันที่ไหนดีนะ อ่อ!!! ที่นี่ดีกว่า นั่นคือ พระราชวัง Gyeongbokgung Palace โดยพวกเราจับรถไฟมาลงกันที่สถานี Gyeongbokgung (Government Complex-Seoul) Station แน่นอนว่าผมเคยไปมาแล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ครั้งนี้ ผมและสาวๆ ได้ไปเช่าชุดเกาหลีโบราณมาใส่กันครับ แน่นอนว่าราวกับพวกเราหลุดเข้าไปในสมัย Seoulchon เลย

   ในสมัย Seoulchon เป็นสมัยที่มีกษัตริย์ปกครองอยู่ ก่อนที่ต่อมาประเทศ Korea จะกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของ Japan หลังแพ้สงครามเมื่อปี 1910 และหลังจบ World War II ในปี 1945 ก็มี Korean War เกิดขึ้นระหว่างปี 1950-1953 ก่อนที่จะแยกเป็นสองประเทศในปัจจุบัน โดยฝั่ง North สนับสนุนโดย Sovirt Union (Russia ในปัจจุบัน) ส่วนฝั่ง South สนับสนุนโดย U.S.A. ครับ

   ออกนอกเรื่องไปไกล เรากลับมากันต่อ พวกเราจ่ายค่าเข้ากันไปคนละ 3,000 KRW สำหรับการถ่ายรูป เราสามารถเดินได้นานเท่าที่ใจต้องการเลย และที่ผมชอบสุด ก็คงเป็นพระราชวังหนึ่งที่อยู่กลางน้ำครับ สวยงามมากๆ พวกเราก็ถ่ายภาพเพลินจนล่วงเลยมาบ่าย เราเลยไปฝากท้องกันที่ร้านนี้ มีคุณป้าดูแลร้านเอง เพราะเท่าที่เห็นแกเดินมาเสริฟ์เอง และน่าจะทำเองด้วยครับ อร่อยมากจริงๆ ใครไปแล้วลองไปทานกันนะครับ

   และอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความที่คุณป้าพูดได้แค่ภาษาเกาหลี เราเลยสื่อสารกันด้วย App ของ Google Translate กับมีเพื่อนคนหนึ่งพอพูดภาษาเกาหลีได้ และขอบอกไว้ก่อนนะครับ คนเกาหลีส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่ Airport หรือ Tourist จริงๆ จะพูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้เลย เราไปไหนมาไหนพยายามหา App แปลภาษาติดไว้ตลอดก็ดีนะครับ

   หลังอิ่มท้องกันแล้ว เราก็ไปคืนชุดกัน ในระหว่างนั้น ผมนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งที่แล้วที่ผมมา มีร้าน Burger ร้านหนึ่งอร่อยมาก และยังไม่มีในไทย ซึ่งผมเคยกินที่ U.S.A. หลายครั้งเมื่อหลายปีก่อน นั่นคือ ร้าน Shake Shack ที่ย่าน Gangnum นั่นเอง แน่นอนพวกเราจับรถไฟไปลงที่สถานี Sinnonhyeon Station ทันที ย่าน Gangnum เป็นย่านคนรวยอยู่ แล้วเคยมีเพลงที่ดังติดหูไปทั่วโลกในปี 2012 อย่างเพลง Gangnum Style ของ PSY อีกด้วย ด้วยท่าเต้นและจังหวะมันๆ เพลงนี้จึงฮิตไม่ยาก

   แน่นอนว่าราคาของที่นี่ก็จะแพงกว่าปกติทั่วไป มื้อนี้เรียกอะไรดี อาหารว่างแล้วกันนะครับ แน่นอนว่าหลายคนก็ฟินกันไป และตอนนี้มีข่าวว่าในปี 2023 ทาง Shake Shack ประกาศว่าจะมาเปิดสาขาในกรุงเทพ แต่จะเป็นที่ไหน เราลองติดตามกันครับ ซึ่งผมไม่พลาดที่จะต้องไปกินอีกแน่นอน ใครสาย Burger ติดตามรอเลย

   จบจากอันนี้ ก็ใกล้ค่ำแล้ว เรายังเหลือสถานที่สำคัญอีกหนึ่งที่ นั่นคือ สะพานข้ามแม่น้ำฮัน หรือ Han River ซึ่ง K-Series หลายเรื่อง ก็ชอบมาถ่ายทำที่นี่กัน พวกเราจับรถไฟไปลงที่สถานี Yeouinara Station ซึ่งนอกจากวิว Han River ตรงจุดนี้ยังเป็นสวนสาธารณะที่หลายคนมาพักผ่อนกัน อย่างสวน Yeouido Park และบางส่วนก็ชื่นชอนมาปั่นจักรยานกัน ซึ่งผมก็ไม่พลาดถ่ายภาพสะพานนี้ไว้ด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่นี่คนชอบมาถ่ายรูป นั่นคือป้าย I Seoul You เหมือนหน้าปกของผมเลย

   หลังจากจบจากที่นี่เราก็จับรถไฟไปกินมื้อเย็นสุดท้ายของทริปกันที่สถานี Hongik University Station สั่งลาย่าน Hongdae ที่เรามากินกันวันแรก แน่นอนว่ามื้อนี้เราเลือกกันอาหารที่ในซีรีส์เกาหลีชอบกินกันในทุกเรื่องนั่นคือ ไก่ทอดกับเบียร์นั่นเอง ผมจำชื่อร้านไม่ได้ หากได้ไปแล้ว ลองไปเดินหากันดูนะครับ ถ้าตอนนี้ ร้านยังเปิดอยู่ บอกเลยว่าฟินมากๆ ก่อนที่จบมื้อนี้ เรากลับที่พักปกติ

   เช้าวันสุดท้าย เราก็ตื่นสายกันหน่อยแล้วก็รีบจับรถไฟ ไปที่สถานี Incheon Int’l Airport ที่มีสนามบิน Incheon Airport อยู่ แนะนำว่า ควรไปก่อนเครื่องขึ้น 4 ชั่วโมงขึ้นไปก็ดีครับ เพราะที่นี่ใหญ่มาก และมี 2 Terminals เราต้องดูด้วยว่า สายการบินเราอยู่ Terminal ไหน เพราะเราหลงหรือไปผิด เราต้องเสียเวลาต่อรถไฟไปอีก Terminal หนึ่งอีกที และพวกเราก็รับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่เลย ก่อนที่จะรอเวลาขึ้นเครื่องกลับไทยกัน เป็นอันจบทริปครับ ใครสนใจไปเกาหลีและเน้นเที่ยวในกรุง Seoul อย่าลืมแวะเข้ามาอ่านกันก่อนได้นะครับ สุดท้าย ขอให้คุณผู้อ่านที่รักการท่องเที่ยว ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย และมีความสุขครับ 안녕

Nattawit Boonsukjitseree

 วันพฤหัสที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.11 น.

ความคิดเห็น