- ทุ่งโปรงทอง -


" เส้นทางเดินเท้าบนสะพานไม้ที่ทอดยาวไปด้วยระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร สามารถไปได้ถึงอนุสรณ์เรือรบหลวงประแสร์ที่อยู่อีกฝาก แต่โดยปกติคนส่วนใหญ่ก็จะเดินเพียงระยะทางประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงจุดหมายที่เป็นเวิงต้นโปรงทอง ที่ขึ้นเรียงรายกันนับพันต้นซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ (และเราก็ยังคงเป็นคนปกติ)" 

          หลังจากเดินทางมาจากเนินนางพญา https://th.readme.me/p/40970 เพื่อเดินทางกลับเข้ากรุงเทพ ฯ จุดหมายทางผ่านที่เราสามารถแวะได้ไม่ยาก (แต่ต่อให้ยากก็จะแวะให้ได้) ที่นั่นคือ “ทุ่งโปรงทอง” ณ ชุมชนบ้านแสมภู่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อยู่ติดบริเวณป่าชายเลนปากน้ำประแส พื้นที่กว่า 6,000 ไร่ เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่ตั้งใจจะมาเก็บนานแล้ว           

          หากใครมาเที่ยว ทุ่งโปรงทอง สามารถมาได้ตลอดทั้งปีเปิดให้เข้าทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ไม่มีค่าเข้าและนั่นหมายถึง “เข้าฟรี” แต่หากเอารถมาก็สามารถนำไปจอดไว้ที่จุดจอดรถ ซึ่งมีให้บริการ 2 จุดโดยเสียค่าบริการคันละ 20 บาท และนั่งรถสามล้อของชาวบ้านที่มาให้บริการ (คนละ 5 บาท/ เที่ยว) เพื่อไปยังจุดหมายปากทางก่อนจะเริ่มออกเดิน แต่หากใครไม่ชอบการเดินเท้าชมธรรมชาติ ก็ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น นั่งเรือชมธรรมชาติ นั่งเรือไปปล่อยปู เป็นต้น แต่สำหรับเราวันนี้…เอ้าเดินสิครับมันสิบเอ็ดโมงกว่าแล้วเดี๋ยวมันจะร้อนไปกว่านี้

         เพียงหนึ่งอึดใจยังไม่ทันได้เหนื่อยก็ถึงจุดหมาย ต้นโปรงทองที่ขึ้นสูงเป็นระนาบถูกจัดวางเรียงตัวจนเป็นระเบียบ สามารถมองออกไปได้ไกลสุดสายตา สีเขียวอมเหลืองทองช่างตัดกับขอบสีฟ้าได้อย่างลงตัว ตัวอักษรสีขาว “@ ทุ่งโปรงทอง…ระยองฮิ” โดดเด่นบนแบล็คกราวเขียวสดเป็นอย่างดี ถ้าหากมีโอกาสมาตอนแดดร่มลมตกกว่านี้ ที่นี่นับเป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะแก่การถ่ายภาพอย่างดีเลยทีเดียว

           หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศจากความสดเขียวจนสบายตาที่มาพร้อมกับแสงแดดที่แสนจ้าของเที่ยงวัน (ที่สบายตาอยู่ได้ก็เพราะพาแว่นกันแดดมาพอช่วยบรรเทานั่นแหละ) เราก็เดินต่อไปอีกจนถึงบริเวณศาลเจ้าพ่อแสมผู้ และยิ่งหากท่านใดเป็นสายมูเตลูที่นี้ก็ควรคู่ที่จะไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิตามความเชื่อของชาวบ้านและคนในชุมชนของระแวกนี้ที่นับถือกันมา 

          ตลอดเส้นทางแม้แดดจะร้อนเนื่องจากเวลานี้พระอาทิตย์ตรงศรีษะแล้ว แต่บรรยากาศบนเส้นทางสะพานไม้ก็ยังพอร่มรื่น ตามทางเหมือนเดินลอดผ่านซุ้มอุโมงค์ต้นโกงกางที่ขึ้นสูงปกคลุมเหมือนโอบอุ้มเราเอาไว้ นอกจากต้นโกงกางและพระเอกอย่างต้นโปรงทอง ก็ยังมีต้นลำพู ต้นแสม ต้นตะบูนดำ โปรงแดงและพันธุ์ไม้ป่าชายเลนอีกหลากหลายชนิด ที่มีป้ายชื่อแปะไว้ให้เราทำความรู้จักทักทาย say hi กันได้หายห่วง และหากเดินต่อไปอีกสักนึดนึง อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาแวะชมที่นั่นก็คือ ก็คือ “ต้นแสมยักษ์” ที่แผ่กิ่งก้านสาขาโชว์ความกว้างใหญ่อลังการอวดโฉมให้เราได้ชักภาพกันอีกจุดหนึ่ง

              ความเงียบของวันธรรมดาช่างเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกสงบและจดจ่อกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เราเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยตอนแรกว่าจะเดินกลับ แต่บริเวณใกล้ ๆ ศาลเจ้าพ่อแสมผู้ เราได้คำเชิญชวน โฆษณา ลดแลกแจกแถมกับโปรโมชั่นสำหรับวันธรรมดา กับการล่องเรือชมธรรมชาติ ไปดูปูก้ามดาบที่ชูก้ามสู้ตะวัน ชมฝูงค้างคาวแม่ไก่บนยอดไม้ ชมหาดทรายดำ ฯ ในราคาพิเศษคนละ 50 บาท มองหน้ากับสมาชิกเอาเป็นว่าตกลง ลุงกัปตันผู้นำทางเราแกก็อัธยาศัยดีแนะนำความรู้ต่าง ๆ อย่างละเอียด นั่งเรือรับลมบกที่พัดประทะหน้าไปตามคลองที่เชื่อมกับทะเล สองข้างทางเป็นต้นไม้ป่าชายเลนที่ขึ้นเขียวตระการตา มีกลุ่มนกสีแปลก ๆ บินโฉบเกาะกิ่งไม้ให้เราได้ยนโฉม ได้เห็นกระรอกตัวสีแดงอมส้มสดใสกระโดดหยอกล้อเล่นข้ามกิ่งไม้กันไปมา

          และอีก 1 ไฮไลท์ บ้านปากคลอง 100 ปี ที่ออกข่าวว่าผ่านการเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วหลายรุ่น อ๋อลืมบอกลุงกัปตันเราแกชื่อ สำนัก บอกกับเราด้วยว่าเดิมทีบ้านนี้เป็นบ้านของพ่อแก เป็นคนสร้างไว้ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว เพราะมีเรื่องราวความเล้นลับที่ออกรายการทีวีอยู่หลายช่อง บอกแกรีบผ่านบริเวณนี้ไปแม้กลางวันยังคงวังเวง เส้นทางที่เรือโลดแล่นไปตามร่องน้ำ คดโค้งไปตามทางภาพเบื้องหน้ายังคงสร้างความสงบในหัวใจแม้เครื่องยนต์กลไกจะส่งเสียงดังคำรามก็ตามแต่บรรยากาศวันธรรมดาแบบนี้นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียวกับทริปนี้ที่บังเอิญได้มาแบบงง ๆ

            มื้อกลางวันเลยผ่านไปแล้ว งั้นนับเป็นมื้อบ่ายแทนก่อนเดินทางกลับก็แล้วกัน ร้านอาหารที่เรามองไว้ตั้งแต่ขามาอยู่ปากทางหลังจากเอารถออกมาแล้ว เราจะไม่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้า ร้านชื่อ ว่าร้านผู้ใหญ่เจี๊ยบ คือที่หมาย ส่วนเมนูที่เขาแนะนำขึ้นชื่อก็น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวผัดปู ที่หน้าตาออกคล้ายจะเป็นผัดไทยที่ใส่ปูนิ่มเป็นวัตถุดิบ ส่วนเรื่องรสชาติเราว่าว๊าวเลยนะเพราะเส้นที่เหนียวนุ่มผสมกับรสเปรี้ยว-หวาน-เผ็ด กันอย่างลงตัวแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ส่วนอีกเมนูที่เราสั่งมาสู้กับอากาศร้อนแบบนี้คือ เกาเหลาปลาอินทรีย์ มากับข้าวเปล่า เน้นหนักท้องเสียงหน่อย เช่นกันรสชาติปลาที่ไม่คาวนี่คือสวรรค์ของการกินแล้ว

อิ่มท้องล้อหมุน กลับบ้านได้กับทริป งง ๆ ที่ยังคงคอนเซ็ป การเดินทางแม้จะไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือเรียบหรู แต่เราเชื่อว่าหากเวลาผ่านไปแล้วลองมานั่งคิดดู ช่วงเวลาเหล่านั้นจะเป็นความทรงจำที่ยังอยู่กับเราไม่เสื่อมคลาย

สวัสดี

- เสือซ่อนยิ้ม-

เสือซ่อนยิ้ม

 วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.11 น.

ความคิดเห็น