เมื่อฤดูกาลแห่งการเดินป่ามาถึง.... ( Green Season )
นักเดินทางหลายคนต่างรอคอย ฤดูกาลนี้ ...หน้าฝน...

สายฝนที่พาความชุ่มชื่นให้แก่ธรรมชาติ
คืนความเขียวชะอุ่มของป่าไม้อีกครั้ง
โปรยสะขนาดนี้แล้ว ต้องไปเยือนกันสักครั้งแล้วละ



ทริปนี้เราเดินทางกันแบบ Road Trip กับเพื่อนร่วมทริป 6 คน
ตั้งเป้าหมายกันไว้ว่า จะเดินป่า แล้วไปกางเต้นท์นอนกัน
แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างก็ไม่เป็นใจ ทำให้เราเดินป่าระยะไกลไม่ได้
ทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกคือ เดินป่าระยะไกล
ต้องปรับมาเป็น เดินป่าระยะสั้นแทน



เราใช้ชีวิตอยู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่(โคราช)กัน 2 วัน 1 คืน
หมดเงินกันไปคนละ 500 กว่าบาท ชิลๆ Save Money
และภาพที่จะเห็นต่อไปนี้มีทั้งจากกล้อง DSLR และมือถือ Asus Zenfone dtac edition
เรามาดูกันว่า ประสิทธิภาพของเจ้ากล้องมือถือรุ่นนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง

ต้องบอกก่อนค่ะ ว่าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีเดินป่าทั้งระยะไกลและระยะสั้น


เอ้าแล้วมันต่างกันยังไงละ... อธิบายง่ายๆ คือ เดินป่าระยะไกล ใช้เวลาประมาณ 2 วัน กางเต้นท์นอนในป่า

ส่วนการเดินป่าระยะสั้น สำหรับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดโคราช มีด้วยกัน 3 - 4 เส้นทาง



🚩 Day 1 :: Part 1 การเดินทาง ::




เมื่อมาถึงอุทยานกันแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ "จ่ายตัง" ค่าเข้าอุทยานกันก่อนนะคะ ^^

ค่าเข้าอยู่ที่คนละ 40 บาท รถยนต์ส่วนบุคคลคันละ 30 บาท เลยทางเข้ามาหน่อยก็จะพบกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่

หลายคนเชื่อกันว่า ถ้าอยากจะเห็นอะไรที่นี่ให้บอก "เจ้าพ่อเขาใหญ่" แล้วจะสมใจปรารถนา
แต่เราคนนึงที่ไม่ขอข้อนี้ ฮ่าๆๆ สิ่งที่เราไม่อยากเจอมาที่สุดคือ "พี่ช้าง" ข่าวทำเราหล่อนประสาทมากแกรรรร


ปล. อยากจะฝากบอกทุกคนว่า ถ้าตั้งใจจะทำอะไร อย่าวอกแวก มิเช่นนั้นจะเป็นแบบพวกเรา ที่เริ่มต้นออกเดินทางกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า แต่กลับไปถึงอุทยาน เกือบ 3 โมง ใจไม่นิ่งพอต่อสิ่งเร้าระหว่างทาง เดี๋ยวแวะนู้น แวะนี้ แวะอะไรกันก็ไม่รู้ 55555



มาๆ มาเดินทางกันต่อ เวลาเสียแล้วก็เสียไป
มีคนเคยบอกว่า การหลงทางมันคือประสบการณ์ (แล้วมันเกี่ยวไรกับเวลาหว๊าาาาาา)

ขับรถขึ้นอุทยานกันมาได้สักพัก จะเจอกับเจ้าลิงน้อย ตูดแดง ถ้าเจอแสดงว่า ถึงจุดชมวิวแรกของที่นี้
พวกมันจะพากันออกมาต้อนรับ ยังไม่ทันจอดรถก็กระโดดขึ้นรถกันมาละ (เราเคยรู้จักกันมาก่อนหราาาา)

นั่งกันสบายใจเชี่ยวน้าพวกกกก



คำเตือน!! อย่าให้ของกิน และก็อย่าเข้าไปใกล้พวกมันมาก ถึงจะน่าตาน่ารัก แต่ก็เอาเรื่องอยู่หน่าาา



เส้นทางระหว่างขึ้นไปยังจุดกางเต้นท์ "ลำตะคอง" สวยงามตลอดสองข้างทางเลยละฮ๊ะ
(เราเลือกกางเต้นท์กันที่นี่แหละ เพราะอยากนอนกับพี่กวาง ฮี่ๆ)

ขับๆไป เจอทั้งป่าทึบ ต้นไม้สูงจนสุดลูกหูลูกตา


หรือจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ แนวฮิปเตอร์ที่นี่ก็มีนะฮํะ


ดูวิวกันจนเพลิน จนลืมไปว่านิมัน จะสี่โมงแล้วนะเว้ยยยยยยย
หลังจากที่ดูวิวเพลิน จนดึงสติกลับมาได้ว่า เราต้องไปติดต่อจุดกางเต้นท์ของพวกเราก่อน
แล้วตั้งใจกันไว้ว่า ฉันจะไปดูพระอาทิตย์ตกดิน อยู่ถ่ายรูปเท่ๆที่ผาเดียวดาย (ให้ทาย ว่าพวกเราไปกันทันป่ะ?)



และนี่คือจุดกางเต้นท์ลำตะคองที่เราจะนอนกันในคืนนี้

จุดลานกางเต้นท์ลำตะคอง มีร้านกาแฟริมน้ำ บรรยากาศโครตชิว ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่


แต่ร้านเปิดเช้า ปิดเร็ว 4-5 โมงก็ปิดแล้วละ รีบมานะ เชื่อเราเถอะ



สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับการนอนในครั้งนี้ของพวกเราคือ

การที่เราจะนอนไปพร้อมๆกับ ...กวาง... เหล่านี้แหละท่านผู้ชม

ปล. ลานกางเต้นท์ของอุทยานมีอยู่สองจุด คือ ลานกางเต้นท์ผากล้วยไม้ กับลานกางเต้นท์ลำตะคอง(ที่นี่สวยสุดนาจา)


🚩 :: Part 2 ชมพระอาทิตย์ตกดิน ส่องสัตว์ตอนกลางคืน ::




ความลุ้นระทึก ของ ณ ช่วงเวลานี้ก็มาถึง เมื่อเวลาที่มีนั้นไม่พอ
+ กับอุปสรรค์ระหว่างทาง ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเท่านั้น

หลังจากติดต่อจุดกางเต้นท์เสร็จแล้ว เราก็รีบบึ่งรถกันไปที่ "ผาเดียวดาย"


เชื่อป่ะ!! ไม่ใช่ว่าไปไม่ทันอย่างเดียว พวกเราหาทางเข้ากันไม่เจอ แย่จริงๆ

สุดท้ายไปจบลงที่ "ผาตรอมใจ" สมชื่อผาจริงๆนะฮ๊ะ เพราะตอนนี้พวกเรากำลังตรอมใจกันอยู่

คือแบบรีบแทบตาย สุดท้ายหาทางเข้าไม่เจอ ได้แต่มา ตรอมใจที่นี้แทน

.............T . T.................



และแล้วฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ พากันเทกระหน่ำลงมาแบบไม่บอกไม่กล่าว
ทำไงละฮ๊ะ รีบบึ่งรถลงกันมายังที่พักของเรา และรีบไปหาข้าวกิน เพราะว่าร้านข้าวตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวนั้นจะปิดตอน 6 โมงเย็น
แล้วตอนกลางคืนก็จะไม่มีอะไรขายอีกแล้ว ณ เวลานี้ ตุนอะไรได้ก็ตุนนนนน

บอกก่อนว่ามาครั้งนี้เราไม่ได้เตรียมตัวไรเล้ยยยยยยย สักแต่ว่าจะเที่ยวอย่างเดียว ฮ่าๆๆ
แต่นี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางมีเสน่ห์ เพราะเราต้องช่วยกันแก้ปัญหาตลอดทาง เพื่อนแท้เพื่อนไม่แท้ก็ดูกันตรงนี้ได้เลยละ....



เสร็จจากตรงนี้แล้ว เราต้องรีบกลับขึ้นไปกางเต้นท์ เพราะว่า พวกเราจองแพคเกจส่องสัตว์ไว้ตอน 2 ทุ่ม
จะมีรถมารับยังที่พักของพวกเราเลยความสนุกเริ่มขึ้นอีกรอบ คือพวกเรามีกัน 6 คน
สั่งข้าวกล่องมา 7 กล่อง (มีคนกินจุ กลัวคืนนี้หิวเลยเบิ้ลมา)
กำลังกางเต้นท์กันอยู่ดีๆ ก็วางถุงข้าวไว้ตรงศาลาแบบในรูปตอนแรกอ่ะ
แล้วเราก็เห็น "กวางกำลังขโมยข้าว มันกินไป 2 กล่องง" ได้แต่พูดว่า เออ ชั่งงง



และนี่ก็คือ เต้นท์ของพวกเราในคืนนี้

ใช้เวลากางเต้นท์กันเต้นท์ละ 15 นาที เป็นไงเร็วไหมมความมโนของเด็กที่ไม่เคยกางเต้นท์กัน เอาเรื่องเวลามาข่มกันใหญ่



ที่นี่สามารถเอาอาหารมาทำกินเองได้ แต่ก็ระวังกวางหน่อยนะ

เตาปิ้ง ถ่าน มีให้เช่า ไม่ต้องเตรียมมาให้หนัก ค่าเช่าก็ไม่แพง รายละเอียดค่าเช่าก็ตามรูปเลยจ้าา

และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะไปส่องสัตว์รอบๆอุทยาน
เป็นรถกระบะ มาพร้อมกับพี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่จะคอยให้ความรู้เราตลอดทาง

พอขึ้นรถเท่านั้นแหละ ความสงสัยที่ติดใจอยู่มานานก็เลยถามพี่เค้าไปว่า


Q : "พี่ค่ะ ทำไมตูดลิงมันถึงสีชมพู ชมพูแดงๆ เค้าเพิ่งผสมพันธุ์เสร็จหรอค่ะ" พี่เค้าก็เลยบอกว่า

A : "ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเป็นพันธุ์ของมัน ลิงของประเทศไทย เป็นพันธุ์แทบเอเชีย เป็นพันธุ์ที่มีขนดูสะอาดที่สุด ขนของมันจะน้ำตาล สะอาดสวย ดูนุ่มๆ แล้วตูดของมันจะมีสีชมพู อมแดง เป็นเพราะผลไม้หรืออาหารที่มันทาน ทำให้เกิดสีแบบนั้นขึ้น"

Q : แล้วทำไมกวางถึงได้มาอยู่ในแทบที่คนอาศัย เค้าไม่กลัวเราหรอ

A : เป็นเพราะวัธจักรชีวิต กวางเหล่านี้ย้ายถิ่นไปเรื่อย เพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากพวกหมาใน อยู่ใกล้คน หมาในก็จะไม่ค่อยตามมากิน มันก็อุ่นใจ แต่ว่า วิถีชีวิตของมันก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง จากที่กินอาหารตามธรรมชาติ ดึกๆ ก็มาคุยเศษอาหารกินแทน ถามว่ามันดีไม่ ก็ไม่ดี



ระหว่างทางที่เราคุยกันไปคุยกันมา ก็ได้เจอกับฝูงหมาในเข้า หัวใจนิแตกตื่น ไม่ใช่อะไรนะ
กลัวมันจะกระโดดมากินเรา แต่เปล่าเลย อยู่อีกฝั่งของลำน้ำโน้นนน กำลังจะล้อมกวางอยู่ อยู่กันเป็นฝูงงงง

เห็นป่ะว่าเป็นหมาใน เออไม่เห็นก็ไม่ผิด เพราะว่าอยู่ตรงนั้นก็ไม่เห็น เห็นแต่แสงจากด้วยตา 55555



ตลอดเส้นทางที่ส่องสัตว์ ก็เห็นแค่นี้แหละ นอกนั้นก็มีแต่กวาง กวาง กวาง และกวาง เยอะจริงๆ เยอะจนหลอน 55555

ที่พัก ไม่ได้มีไฟให้ตลอด 24 ชม. นาจาาาาา


อะไรที่จำเป็นอย่าง ปลั๊กสามตา ไฟฉาย ที่สำคัญ ยากันยุง อย่าลืมนะจ๊ะ



💰 💰 สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก 💰 💰
ค่าน้ำมันไปกลับ 1,200 บาท
ค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 40 รถส่วนบุคคล 30/คัน
ค่าเช่าอุปกรณ์เต้นท์ 225/เต้นท์ + เสื่อ 20/ผืน + เตา 30 + ถ่าน 25
ราคาข้าวกล่องเริ่มต้น 35 - 60
ส่องสัตว์ตอนกลางคืน 500/กรุ๊ป



🚩 DAY 3 :: Part 3 กิจกรรมเดินป่าเส้นทางน้ำตกผากล้วยไม้ - น้ำตกเหวสุวัต ::




พวกเราเริ่มเดินกันตั้งแต่ 10.00 โมง เส้นทางนี้ใช้เวลาในการเดินประมาณ 3-4 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 3 กิโล

เส้นทางนี้เป็นเส้นทางป่าดิบชื้น จะมีสัตว์ประเภท หมี จระเข้ ช้าง เสือ หมาใน อาศัยอยู่


แต่ไม่น่ากลัวขนาดนั้น สัตว์ที่มีสิทธิอาจจะเจอได้ก็คือ ช้าง หมี จระเข้ แล้วก็หมาใน (ส่วนเสือเนี่ย ไม่เจอหรอก)

ลักษณะของป่าดินชื้น ต้นไม้จะสูงใหญ่ ทึบๆหน่อย ความสวยงามมันอยู่ตรงนี้แหละ


เจ้านี้มีชื่อว่ากระสุนพระอินทร์


ถ้าไปโดนมันก็จะดีดตัวเป็นกลมๆ แบบนี้ น่ารักชิงๆ


เส้นทางนี้เราจะเจอกับป่าทึบๆก่อน


สักระยะจะเจอกับน้ำตกผากล้วยไม้ เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอกับวังจระเข้ และไปสุดที่น้ำตกเหวสุวัต


และนี้ก็คือ "น้ำตกผากล้วยไม้"


และแล้วเราก็มาถึง "วังจระเข้" สถานที่ๆพวกเรารอคอย และอยากเจอมากที่สุด


ไม่ใช่ไรนะ ตอนมาถึงนี้นะ ได้ยินหลายคนพูดให้ฟังว่า เนี่ยจระเข้ที่นี่มีอยู่ตัวเดียว ลุงเป็นคนเจอกลุ่มแรกเลยละ หู้ ตอนนี้มันคงโตแล้วมั่ง

พูดขนาดนี้ก็อยากจะเจอสิคุณลุง

ป้ายห้ามลงเล่นน้ำ ต่อให้ไม่มีก็ไม่กล้าเล่น


แค่รู้ว่านี้คือวังจระเข้ ก็ไม่กล้าลงแล้วจ้าาาาา บายยยยยยยยยย

ผีเสื้อสีฟ้า จากวังจระเข้ ระวังโดนพี่เข้กินนะ 55555


พอเจอป้ายนี้นิรีบหยุดดูกันเลย มองเห็นอะไรในน้ำก็คิดว่าเป็น จระเข้หมด


มันคือความตื่นเต้นจริงๆนะ คือการที่เห็นจระเข้ตามธรรมชาติที่ไม่ใช่ในสวนสัตว์ มันโครตได้ฟิวอ่ะ

อย่างคำที่ว่า ธรรมชาติมีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะ......



เห้ยๆๆๆ อะไรในน้ำอ่ะลุง จระเข้ป่ะะะะ

แล้วทุกคนก็รีบหันมาดู คือมันใกล้เรามากอ่ะ ก็ก้าวขาไปอีกทีก็ลงน้ำได้แล้ว


ในใจนิแบบ ทั้งอยากเห็น และกลัว กลัวจะเหมือนในหนังแล้วแบบกระโจนขึ้นมา

จระเข้ของจริงว่ายน้ำเร็วนะจะเด็กๆ เห็นในฟาร์มนะจิ๊บๆ อะไรที่ในสารคดีพูด เชื่อเค้าเถอะ จริงหมด ไม่ได้มโนนนน

ตอนมันอ้าปาก ทุกคนคิดว่า มันกำลังจะมากินเรา รีบเดินไปเร็ววววววววว


ที่เราเจอจระเข้ ก็ใกล้สุดวังของมันแล้ว และทริปเดินป่านี้ก็ใกล้จะจบลง

ละนี่คือการผจญภัยที่สุดท้ายของเรา .....น้ำตกเหวสุวัต.....


สวยวัวตายควายล้มไหมล้าาาาา 55555 (ใครมันช่างคิดคำนี้)



💰 💰 สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง 💰 💰
เดินป่า ศึกษาธรรมชาติ เส้นทาง ผากล้วยไม้ - น้ำตกเหวสุวัต 500/กรุ๊ป
ราคาข้าวกล่องเริ่มต้น 35 - 60

มาพูดถึงเจ้ากล้องมือถือ Asus Zenfone dtac edition กันดีกว่า จากที่ได้เห็นรูปกันไปบ้างแล้ว

● กล้องที่มากับตัวเครื่อง 7/10 กล้องหลัง 8 ล้าน กล้องหน้า 5 ล้าน ชอบสุดคือกล้องหน้ามีระบบ Beauty Mood ด้วยแหละ ฟรุ้งฟริ้งไปอีก ปรับระดับความฟรุ้งฟริ้งของใบหน้าได้ด้วย ส่วนกล้องหลัง ถ่ายพวกของเล็กๆน้อยๆ มีความชัดลึกชัดตื้นให้ด้วย แต่ถ้ากลางคืนก็แอบมี Noise อยู่บ้าง เรื่องของสีมีความสดใช้ได้ และสามารถปรับ WB ได้ เหมาะเป็นกล้องมือถือขนาดพกพา เป็นตัวเลือกอย่างนึงได้ดีทีเดียว เมื่อเทียบกับราคา 2,990฿ คุ้มเกินราคาา



● ดีไซท์ 6/10 ชอบความเรียบบาง ความโค้งที่จับแล้วพอดีมือ แต่ถ้าจะใส่กระเป๋ากางเกง ยังไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่ ด้วยความที่จอใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว ทำให้บางครั้งใช้นิ้วเดียวไม่ถึง แต่ก็ดีอย่างที่จอใหญ่ดูแล้วสบายตา หน้าจอก็ไม่ได้อย่าง แต่ก็ไม่ได้เทพมาก เทียบกับราคาก็คุ้มมาก



● ความลื่นไหลของเจ้าตัวเครื่องนี้ให้ 7/10 ถ้าไม่อัดเพลง อัดแอฟจนเต็มเครื่อง เครื่องนี้เร็วใช้ได้เลย เท่าที่ใช้มายังไม่เกิดอาการค้าง (อาจด้วยเครื่องยังใหม่ 5555)



● ความสมราคา 8/10 ราคาเจ้าตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 2,990฿ (ซื้อพร้อมโปรดีแทค) กับขนาดพอดีมือ จอใหญ่สะใจ กล้องอยู่ในระดับดีเลย อาจไม่ใช่มือถือที่ดีที่สุดแต่ถ้าเทียบกับราคาแล้วเกินคุ้มมากๆ เลยค่ะ



เจ้าตัวมือถือรุ่น Asus Zenfone dtac Edition 2,990฿ 4G สำหรับวิถี Backpacker อย่างพวกเราแล้วก็สะดวกสบาย ราคาสบายกระเป๋า ได้ภาพออกมาเป็นที่น่าพอใจ ราคาแค่นี้แต่ใช้ 4G ได้ด้วย รีวิวให้เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทาง ที่อยากได้โทรศัพท์เกร๋ๆ แต่ราคาสบายกระเป๋า ลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกดูนะคะ ^^



ขอบคุณทุกคนนะคะ ที่อ่านกันมาถึงตอนสุดท้าย ฝากติดตามและเป็นกำลังใจสำหรับรีวิวต่อๆไปของพวกเราด้วยนะคะ ^^
ทริปนี้เป็นอะไรที่สวยงามมาก สดชื่นตลอดที่ได้เห็นสีเขียวเต็มไปหมด ไม่รู้สึกเหนื่อย เหมือนได้พักผ่อนจริงๆ อยากจะให้ประเทศไทยมีที่แบบนี้เยอะให้มากที่สุด ธรรมชาติมีอะไรให้เราน่าค้นหาอีกเยอะ อย่าทำลายมันเลย ให้มันน่าค้นหาแบบนี้ต่อๆไปกันเถอะ


https://www.youtube.com/c/239MilesStudioTh


https://www.facebook.com/239miles.LOWCOST

Bon Voyage

 วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.18 น.

ความคิดเห็น