ขณะที่กำลังนั่งวางแผนชีวิตตัวเอง หลังจากเพิ่งลาออกจากงานประจำ จู่ๆ หูก็แว่วได้ยินเสียงเพลงเบาๆ ของพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง ดังขึ้นมา

“อยู่เกาะสมุยกลางทะเล จิตใจว้าเหว่ไหวหวั่น

ชื่นเพียงสายลม ชมเพียงแสงจันทร์ ทุกคืนวันอ้างว้าง

เห็นเกาะพะงันตรงหน้า สาวเอ๋ยเมตตาพี่บ้าง

พี่ครวญคะนึงคิดถึงน้องนาง แม่โฉมสะอางพะงัน

สาวพะงันนวลเนื้อ โปรดจงเชื่อชาวเกาะด้วยกัน

พี่หนุ่มสมุยน้องสาวพะงัน เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”

เมื่อเสียงเพลง “หนุ่มสมุย สาวพะงัน” จบลง ผมก็มานั่งนึกย้อนความหลัง นี่เราไม่ได้ไปเที่ยวสมุย พะงัน กี่ปีแล้วเนี่ย นั่งคิดคำนวณ นิ้วมือทั้งสิบของผมคงไม่พอนับ ป่านนี้ สมุยและพะงัน คงเปลี่ยนไปมากแล้ว จากที่กำลังวางแผนชีวิตใหม่ กลับกลายเป็นการวางแผนให้รางวัลกับตัวเองไปซะอย่างงั้น ก็ดี!! ทำงานเครียดๆ มานาน ถึงเวลาให้รางวัลกับตัวเองบ้างแล้ว งั้นทริปนี้ผมขอไประลึกความหลังที่เกาะสมุย และเกาะพะงันดีกว่า

รายละเอียดการเดินทางไปยังเกาะสมุย ผมขอแนะนำไว้ที่บทสรุปสุดท้ายนะครับ

ทริปนี้ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่เวลา 07.15 น. โดยมาถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีประมาณ 08.30 น. หลังรับสัมภาระเรียบร้อยก็ออกมาติดต่อซื้อตั๋วโดยสารข้ามไปยังเกาะสมุยกับบริษัทซีทรานเฟอร์รี่ นั่งรออยู่ไม่นาน รถก็ออกเดินทางในเวลา 09.10 น. และไปถึงที่ท่าเรือดอนสักประมาณ 10.30 น. โดยเรือที่ข้ามไปยังเกาะสมุย จะมีทุก 1 ชั่วโมง และเรือรอบต่อไปคือรอบ 11.00 น. ซึ่งยังพอมีเวลาเหลือเล็กน้อย ผมเลยหามื้อเช้าทานกันที่ท่าเรือให้เรียบร้อย ที่ท่าเรือมีร้านข้าวแกง และร้านก๋วยเตี๋ยวบริการครับ ค่าอาหารประมาณ 50-60 บาท/จาน ถือว่าราคาไม่แพงครับ จะสั่งนั่งทานที่ท่าเรือหรือจะใส่กล่องขึ้นไปทานบนเรือก็ได้ หรือถ้าใครกลัวไม่ทันเวลา ก็ไปหาซื้อทานบนเรือได้เช่นกัน ด้านบนเรือมีซุปเปอร์เล็กๆ น้องๆ 7-11 ที่จำหน่ายทั้งข้าวกล่อง ขนมจีบ ซาลาเปา มาม่า ขนมขบเคี้ยวทานบนเรือก็ได้ครับ สำหรับตั๋วที่ซื้อจากสนามบิน ต้องเก็บเอาไว้ให้ดีๆ นะครับ เพราะเราจะต้องนำตั๋วไปสแกนก่อนขึ้นเรือด้วยครับ

ถึงแม้ฝนจะเพิ่งหยุดตกไปไม่นาน แต่รับรู้ได้เลยว่าคลื่นทะเลค่อนข้างสูง เพราะเรือเฟอร์รี่มีอาการสู้คลื่น นั่งเรือประมาณ 1.30 ชั่วโมง เรือก็มาถึงที่ท่าเรือหน้าทอนในเวลาประมาณ 12.30 น. เมื่อลงจากเรือแล้ว ฝนเริ่มกลับมาตกพรำอีกครั้ง ตอนแรกผมยังนึกว่าจะต้องเดินออกมาที่ถนนใหญ่เพื่อไปรอคิวรถสองแถว แต่เมื่อเดินขึ้นจากเรือไม่ถึง 50 เมตร ก็เห็นมีแท็กซี่มารอรับผู้โดยสารมากมาย พอเดินผ่านรถแท็กซี่ออกมานิดเดียว ก็พลันเหลือบเห็นคิวรถสองแถวจอดรอรับผู้โดยสารอยู่แล้ว สอบถามคนขับเพื่อให้แน่ใจว่าผ่านหาดเฉวงหรือไม่ (ที่ตั้งของที่พักผม) คนขับพยักหน้า เลยสอบถามราคาให้เรียบร้อยก่อนขึ้นซะก่อน สรุปว่าค่าโดยสารอยู่ที่ 80 บาทครับ

รถสองแถวมาจอดส่งผมที่หน้า บุรี รสา วิลเลจ สมุย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายหาดเฉวง ชายหาดชื่อดังของสมุย อีกทั้งบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุยด้วย จึงทำให้ที่หาดเฉวงคราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เกือบร้อยละ 98 เป็นนักท่องเที่ยวฝรั่ง แทบจะไม่เห็นคนไทยเลยครับ

ถึงแม้ว่าบรรยากาศด้านนอกของบุรี รสา วิลเลจ สมุย จะดูคึกคัก แต่พอได้ก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูไม้เข้ามายังด้านในรีสอร์ท บอกได้เลยว่าเหมือนหลุดเข้ามายังอีกสถานที่หนึ่งเลย เพราะว่าเงียบสงบมากๆ ครับ

เมื่อก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูไม้เข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นส่วนของลอบบี้ ที่เปิดโล่งรับลมธรรมชาติ การตกแต่งเน้นโทนสีน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้และหวายครับ

พนักงานต้อนรับนำ Welcome Drink มาเสิร์ฟ Welcome Drink เป็นน้ำอัญชันมะนาว โดยแยกมาเป็นน้ำอัญชันและน้ำมะนาวแช่แข็งเป็นก้อนเล็กๆ เมื่อใส่ก้อนมะนาวในน้ำอัญชัน น้ำอัญชันก็จะเปลี่ยนสี แถมมีรสชาติเปรี้ยวขึ้นมาจากเดิม เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวครับ

สำหรับด้านขวามือ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลอบบี้ จะเป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งรอ Check in ในกรณีที่มีแขกมา Check in พร้อมๆ กันหลายคนครับ

ติดกับพื้นที่นั่งพักผ่อน หากสังเกตดีๆ จะมีประตูที่สามารถเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งได้ ด้านในห้องนั้นจะเป็นมุมห้องสมุดครับ

บุรี รสา วิลเลจ สมุย เป็นบูทีครีสอร์ทสไตล์ไทย เน้นการออกแบบเป็นบ้านไม้ครึ่งปูนทรงไทยแบบดั้งเดิมของภาคใต้ ที่แวดล้อมไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่มากมาย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวนป่า มองไปทางไหนก็ดูสดชื่น ห้องที่ผมพักอยู่ด้านในสุดของส่วนที่เป็นพื้นที่ห้องพักครับ

หลุดจากโซนห้องพัก จะมีอีกหนึ่งประตูที่เมื่อก้าวข้ามไป จะเป็นพื้นที่ของสปา ห้องอาหาร สระว่ายน้ำรวม และชายหาดครับ

โซนสปา นวดไป ฟังเสียงคลื่นทะเลไป คงจะฟินสุดๆ ครับ

ห้องอาหารริมทะเลครับ

บาร์เล็กๆ ติดห้องอาหาร ริมชายหาด

สระว่ายน้ำรวม ว่ายน้ำไป ชมวิวทะเลแบบสุดสายตาเลยครับ

มีเก้าอี้ชายหาดให้นอนอาบแดดด้วย

หาดเฉวงในวันธงแดง คลื่นลมแรง น้องพนักงานบอกว่าในวันที่ฟ้าเปิด คลื่นลมสงบ ชายหาดจะสวยมากครับ

ช่วงที่ผมเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ท เป็นช่วงเวลาที่มี Cooking Class พอดี กลิ่นของแกงเขียวหวานลอยมาเตะจมูก เลยขออนุญาตแขกถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ หลังจากจบ Class แล้ว มีการมอบใบประกาศนียบัตรให้กับผู้เรียนด้วยนะครับ

ดูบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทกันแล้ว คราวนี้มาดูบรรยากาศในห้องพักกันบ้าง ห้องที่ผมพักเป็นแบบ Boutique Garden Pool ที่เห็นเป็น 2 ชั้นนั้น ห้องแบบ Boutique Garden Pool จะมีพื้นที่ใช้สอยเพียงชั้นล่างชั้นเดียว ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องพักอีก Type หนึ่งครับ

คือถ้าหากเรามองข้ามชั้นบนไป การเข้าพักห้องแบบ Boutique Garden Pool ก็ให้ความรู้สึกแบบ villa เลยครับ มีพื้นที่ส่วนตัว มีสระว่ายน้ำเล็กๆ ท่ามกลางสวนสวย มีประตูและรั้วแบบมิดชิดครับ

ในห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองและสีน้ำตาล เตียง King size พร้อมหมอนที่หนานุ่ม ด้านข้างเตียงมีมุมให้นั่งพักผ่อน โดยมีโซฟาและเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนครับ

ที่ปลายเตียงมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ทั้ง TV ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล

ถัดจากพื้นที่เตียงนอนไปทางปลายเตียง จะเป็นโซนแต่งตัว ติดกับพื้นที่แต่งตัวด้านขวาจะเป็นโซนห้องน้ำครับ

ภายในห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน ด้วยห้องกระจกครับ

ฝักบัวแบบ Rain Shower มียาสระผมพร้อมครีมอาบน้ำกลิ่นมะพร้าวหอมๆ ให้ความรู้สึกความเป็นสมุยได้ดีเลยทีเดียวครับ

บริเวณโถสุขภัณฑ์ มีสายฉีดชำระให้พร้อม พื้นที่ในส่วนของห้องน้ำ เชื่อมต่อกับพื้นที่ด้านนอกด้วยประตูบานเลื่อนกระจกครับ

สระว่ายน้ำส่วนตัวแบบระบบน้ำวน กับความลึก 1.20 เมตร ท่ามกลางสวนสวยครับ

เครื่องชงกาแฟแบบแคปซูน พร้อมเครื่องพ่นน้ำหอมอโรม่า

นั่งอ่านหนังสือ พร้อมนั่งจิบกาแฟ ฟังเสียงนกเสียงไม้ ในบรรยากาศกลิ่นอโรมาอบอวล คือฟินมากๆ ครับ

ผมชอบไอเดียแพคเกจ Amenities ดูพิถีพิถัน ใส่ใจมากๆ ครับ 

มีตู้นิรภัย รองเท้า Slippers สเปรย์กันยุงให้พร้อม

ผ้าเช็ดตัวสำหรับเช็ดตัวหลังว่ายน้ำครับ

ห้องพักดีงาม กว้างขวางเลยทีเดียว แบ่งพื้นที่ใช้สอยได้ดีมากๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะกับการมาพักผ่อนมากๆ

เดิมทีเดียววางแผนว่า เมื่อมาถึงรีสอร์ท จะเก็บกระเป๋าแล้วไปเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่เที่ยวรอบเกาะ แต่เมื่อได้เห็นห้องพักแล้วต้องเปลี่ยนใจครับ วันแรกนี้ขอใช้เวลาอยู่ในรีสอร์ท ให้คุ้มค่าที่สุดดีกว่า

เวลาผ่านไปเร็วมาก เผลอแป๊บเดียว ตะวันตกดินไปแล้ว ค่ำนี้ผมเลยฝากท้องที่ห้องอาหารของรีสอร์ท พื้นที่ในห้องอาหารอาจไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่อาจเพราะด้วยการออกแบบที่เป็นแบบเปิดโล่ง มองเห็นวิวทะเลได้แบบเต็มๆ ตา เลยทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดอะไรครับ

ที่เพดานของห้องอาหาร มีโคมไฟรูปปลาที่สานขึ้นจากหวาย ยามที่โคมไฟต้องลม ให้อารมณ์เหมือนปลากำลังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเลยครับ

ติดกับห้องอาหาร เป็นบาร์เล็กๆ ครับ

น้ำมะพร้าวหวานๆ และคอกเทล แก้กระหาย

ค่ำนี้ ผมได้สลัดแซลมอนย่าง แซลมอนหนังกรอบกำลังดี เนื้อปลาไม่แห้งเกินไป อร่อยดีครับ

ผัดไทกุ้ง น้ำซอสผัดไทรสชาติแบบไทยๆ ไม่เอาใจฝรั่ง ดีงามแบบไม่ต้องปรุงเลย

ต้มยำกุ้ง อัดแน่นด้วยเครื่องสมุนไพร ผมเป็นคนชอบอาหารรสจัด ถ้าได้รสจัดจ้านกว่านี้อีกสักนิด จะดีมากๆ เลย แต่ขนาดนี้ก็น่าจะโอเคสำหรับแขกคนอื่นๆ

ปิดด้วยปลากะพง 3 รส เชฟจะแล่เนื้อปลาให้เป็นชิ้นแล้วนำมาทอด ทำให้ทานง่าย และรสชาติต่างๆ จะเคลือบเนื้อปลาได้ทั่วกัน อร่อยเลยทีเดียวครับ

หลังมื้อค่ำ กลับไปแช่น้ำในสระส่วนตัวกันต่อ แต่แช่ได้ไม่นาน เพราะเริ่มหนาวจนเนื้อเต้นเลยครับ 55

เปิดตัวเช้าวันใหม่กับสายฝนพรำๆ เช้านี้ผมรีบไปเติมพลังกับอาหารเช้าที่เตรียมพร้อมให้บริการตั้งแต่ 07.00 น.

อาหารเช้าที่นี่ให้บริการแบบ buffet ครับ อาหารมีทั้งแบบไทยและแบบเทศ มีให้เลือกทานกันพอสมควร รสชาติโดยรวมถือว่าดีทีเดียว ขอติเรื่องข้าวต้ม ข้าวต้มที่นี่เป็นข้าวต้มขาว โดยจะแยกหมูสับก้อนและไก่สับก้อน ให้แขกได้เลือกใส่ลงในข้าวต้ม แต่รสชาติของหมูสับและไก่สับจืดมาก หากหมักด้วยน้ำปลา พริกไทยสักนิด น่าจะดีกว่านี้ รวมถึงน้ำข้าวต้ม หากปรุงรสเพิ่มสักนิด น่าจะอร่อยขึ้นเยอะครับ

สิ่งที่ผมชอบสิ่งหนึ่ง คือการนำเนื้อมะพร้าวขูดฝอย มากวนเป็นแยม ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นแยมมะพร้าวกันบ่อยนัก มะพร้าวถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกาะสมุยเหมือนกันครับ

น้องๆ พนักงานในส่วนของห้องอาหาร บริการดีครับ เข้ามาคอยดูแลตลอดเวลา

หลังอาหารเช้า ผมเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่ไปยังท่าเรือท้องกรูด เพื่อจะข้ามไปเที่ยวยังเกาะราบ เกาะมัดสุม และเกาะแตน โดยผมเลือกเหมาเรือหางยาวผ่าน บริษัท Smile Samui Tour ในราคาลำละ 3,500 บาท (เดินทางได้ 2 คน สำหรับคนต่อๆ ไป มีบวกราคาเพิ่ม) มีเวลาให้เที่ยวทั้ง 3 เกาะภายในเวลา 5 ชั่วโมงครับ (ราคาไม่รวมรถรับส่งจากโรงแรม)

คนขับเรือพาผมไปยังเกาะราบเป็นเกาะแรก ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 40 นาที เกาะราบอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสมุย เมื่อมาถึง เราต้องเสียค่าขึ้นเกาะคนละ 50 บาท และจะได้รับน้ำดื่ม 1 ขวดครับ

มาชำระค่าขึ้นเกาะที่ซุ้มจำหน่ายเครื่องดื่มตรงนี้เลยครับ

โชคดีมากๆ ที่เมื่อมาถึงเกาะราบแล้วไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แถมฟ้าที่ปิดเมื่อเช้า ณ ตอนนี้ฟ้าเปิด สวยงามมาก มีขี้เมฆมาแต่งแต้มเพิ่มความสวยงามด้วย การมาเที่ยวเกาะ ต้องพกดวงมาเยอะๆ ครับ เพราะเอาแน่เอานอนกับสภาพอากาศที่เกาะสมุยไม่ได้เลยจริงๆ

คืออยากบอกว่า หาดทรายนุ่มเท้ามาก ทรายขาวมาก น้ำทะเลสวยมาก เงียบสงบมาก มีมุมให้ถ่ายรูปมากมายเลย ไม่ว่าจะเป็นป้ายไม้แบบเก๋ๆ ชิงช้าขนาดใหญ่บนชายหาด เปลญวน เก้าอี้ชายหาดพร้อมร่มกันแดดที่มุงด้วยใบจากครับ

ขนาดป้ายห้องน้ำยังเก๋เลยครับ

สำหรับใครที่ต้องการมาพักค้างแรมบนเกาะราบ สามารถนำเต้นท์มากางเองก็ได้ โดยจะเสียค่าบริการ 500 บาท/คน หรือถ้าใครไม่มีเต้นท์ สามารถมาเช่าด้านบนก็ได้ครับ ในราคาเต้นท์ละ 900 บาท/คน โดยติดต่อผ่านที่เพจ “ Rap Island เกาะราบ” ทั้ง 2 กรณี ต้องติดต่อล่วงหน้า 3 วันนะครับ เพราะเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมเรื่องน้ำจืดครับ

จากเกาะราบ คนเรือพาย้อนกลับมาเที่ยวที่เกาะมัดสุม เมื่อมาถึงเกาะมัดสุมแล้ว เราต้องเสียค่าขึ้นเกาะคนละ 50 บาท และจะมีน้ำดื่มให้ 1 ขวด เช่นกันครับ

เกาะมัดสุม หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ เกาะหมู อีกหนึ่งเกาะดังที่กำลังมาแรงแซงโค้งเกาะต่างๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่เกาะสมุยแล้ว ต้องจัดทริปเกาะมัดสุมลงในโปรแกรมการท่องเที่ยวด้วย แล้วเกาะมัดสุม มีดีอะไรเหรอครับ นักท่องเที่ยวถึงแห่แหนกันมา ขอเฉลยเลยแล้วกัน ที่เกาะแห่งนี้หาดทรายขาว น้ำทะเลใส เหมือนเกาะราบเลยครับ แต่ที่พิเศษกว่าเกาะไหนๆ ในสุราษฎร์ฯ ก็คือ เกาะแห่งนี้มีกิมมิคเป็นเจ้าหมู อู๊ด..อู๊ด..ตัวน้อยใหญ่เดินกันทั่วชายหาดนั่นเองครับ

เดิมทีเดียว มีชาวบ้านพาน้องหมูขึ้นเรือข้ามมายังเกาะแห่งนี้ พอนักท่องเที่ยวเห็น ก็คอยให้อาหาร จนน้องหมูอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ออกลูกออกหลาน เดินกันทั่วทั้งชายหาด ใครที่อยากได้ภาพน้องหมูเดินริมชายหาด อาจจะต้องมาในช่วงแดดร่มลมตกนะครับ เพราะช่วงแดดแรงๆ คนยังต้องหลบแดด น้องหมูก็เช่นกัน นอนหลับอุตุอยู่ใต้ร่มไม้เย็นสบายกว่าเยอะ น้องหมูที่นี่คุ้นเคยกับคนเป็นอย่างดีครับ แต่มีคำเตือนว่าอย่าไปจับบริเวณหน้าของมัน เพราะมันอาจจะแว้งกัดเอาได้ กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

และจุดแวะสุดท้าย อยู่ที่เกาะแตนครับ โดยคนเรือจะไปจอดเรือใกล้ๆ กับเกาะแตน แล้วปล่อยให้เราดำน้ำกันจนเป็นที่พอใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาการเที่ยวทั้ง 3 เกาะต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงนะครับ เพื่อนผมลงไปดำน้ำ ณ จุดนี้ บอกว่าน้ำไม่ค่อยใส เลยทำให้มองไม่เห็นปะการังและปลาได้เท่าที่ควร สำหรับใครที่ไม่ดำน้ำ ก็ต้องนั่งรออยู่บนเรือ โดยที่เกาะแตนเราไม่ได้ขึ้นไปบนเกาะนะครับ

เมื่อกลับมาถึงท่าเรือ เห็นท้องฟ้าสวยๆ น้ำทะเลสีคราม ผืนทรายสีขาว มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพความสวยงามที่อยู่เบื้องหน้าครับ

เมื่อขึ้นถึงฝั่งเป็นที่เรียบร้อย ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมง ผมจึงวางแผนขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบเกาะ โดยจุดหมายแรกอยู่ที่เจดีย์แหลมสอครับ

เจดีย์แหลมสอ ตั้งอยู่ในวัดแหลมสอ เป็นเจดีย์ศิลปะศรีวิชัยที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเตี้ยๆ ว่ากันว่าองค์เจดีย์ก่อขึ้นจากอิฐที่ได้มาจากการนำปะการังมาถากให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม แทนการใช้อิฐดินเผา และสอด้วยน้ำตาลโตนด ผงปะการังเผา กาวหนังควาย และยางไม้ โดยมีชาวสมุยนับพันคนมาช่วยกันเรียงแถวรับอิฐจากพื้นไปขึ้นสู่ยอดเขา ทำให้สามารถสร้างเจดีย์องค์นี้ได้เสร็จภายใน 6 เดือน จากนั้นได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เป็นส่วนพระอุรังคธาตุ (พระธาตุส่วนอกของพระพุทธเจ้า) ที่ได้อัญเชิญมาจากศรีลังกาเข้ามาประดิษฐานไว้ภายในองค์เจดีย์ ต่อมาเจดีย์ดังกล่าวได้ถูกฟ้าผ่าชำรุดเสียหายมาก หลวงพ่อแดง พระภิกษุที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของชาวสมุย จึงให้สร้างพุทธเจดีย์องค์ใหม่ขึ้นที่ชายหาดด้านล่าง และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุในเจดีย์องค์ใหม่ องค์พระเจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ประดับด้วยกระเบื้องสีทองทั้งองค์ ความที่เป็นสีเหลืองทอง ทำให้ให้ตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเล ดูงดงามมากจริงๆ ครับ

จากเจดีย์แหลมสอ ไปต่อที่ศาลเจ้าพ่อกวนอูครับ

เดิมศาลเจ้าพ่อกวนอูที่เกาะสมุย รู้จักกันในชื่อ ศาลเจ้าหน้าค่าย เป็นเพียงศาลเจ้าไม้ขนาดเล็ก ที่มีเพียงรูปสลักเทพเจ้ากวนอู ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 150 ปี สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของชาวจีนไหหลำ ที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะสมุย ต่อมาในปี 2551 ได้มีการสร้างรูปปั้นเนื้อสำริดขนาดใหญ่ ที่มีความสูงถึง 16 เมตร และมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้สวยงามครับ

เจ้าพ่อกวนอู โด่งดังมาจากพงศาวดารจีนสามก๊ก เป็นเทพเจ้าที่มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม กล้าหาญ จึงเชื่อกันว่า การได้มาบูชาเทพเจ้ากวนอูจะนำมาซึ่งโชคลาภและความร่ำรวย

ด้านข้างของศาลเจ้าพ่อกวนอู ยังมีรูปถ่ายหน้าตรงของผู้คนมากมาย ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผู้ที่ร่วมก่อสร้างศาลเจ้าหน้าค่ายครับ

ศาลเจ้าพ่อกวนอูเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. ครับ

จากศาลเจ้าพ่อกวนอู ขี่มอเตอร์ไซด์ต่ออีกนิดหนึ่ง ก็มาถึงวัดราชธรรมาราม หรือที่ชาวสมุยรู้จักกันดีในชื่อวัดพระธาตุศิลางูครับ

เหตุที่ทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อว่าศิลางู เพราะชายหาดบริเวณที่ตั้งของวัดมีหินคล้ายเกล็ดงู ตอนน้ำขึ้นจะดูเหมือนงูนอนอยู่ในทะเลครับ

    สิ่งที่น่าสนใจในวัด จะมีพระอุโบสถสีแดง ศิลปะศรีวิชัยกึ่งบายน ที่สร้างจากหินปูนเค็มบดละเอียด แล้วนำมาผสมกับปูนในเกาะสมุย จากนั้นผสมสีแดงลงไป ทำให้ได้สีที่ดูแปลกตา ด้านในพระอุโบสถมีพระประธานปางมารวิชัย ที่ผนังด้านในมีลวดลายปูนปั้นแกะสลักเป็นเรื่องรามเกียรติ์ พุทธประวัติพระแม่ธรณีบีบมวยผม หน้าต่างทุกบานเป็นลวดลายเทพประจำปีเกิดตามนักษัตร บนเพดานเป็นลวดลายเกี่ยวกับเทพเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต้องยอมรับในความอ่อนช้อยของลวดลายปูนปั้นแกะสลักเหล่านี้จริงๆ ครับ

    พระธาตุศิลางู พระธาตุสีทองทั้งองค์ ตั้งอยู่บนลานกลางวัด ด้านในองค์พระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุครับ

    ออกจากวัดพระธาตุศิลางู ไปต่อกันที่ Overlap Stone ซึ่งทางขึ้นไปยัง Overlap Stone อยู่เยื้องๆ กับวัดพระธาตุศิลางูนั่นเอง เส้นทางที่จะขึ้นไปยัง Overlap Stone แคบและสูงชัน ต้องขับขี่กันด้วยความระมัดระวังนะครับ เมื่อขี่ขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นลานจอดรถน้อยๆ พอสำหรับจอดรถมอเตอร์ไซด์ แต่ถ้าใครขับรถยนต์มา คงต้องหาจอดกันข้างทาง และเสียค่าจอดรถคันละ 40 บาทครับ

    เมื่อจอดรถเรียบร้อย ผมเห็นมีป้ายแนะนำให้ไปดูต้นไทรโบราณ เลยแวะเดินเข้าไปชมกันก่อน เส้นทางเดินก็ไม่ลำบากอะไร แถมเดินไม่ไกลด้วยครับ

    ถ่ายภาพมาได้ 1 ภาพ เป็นอันเสร็จภารกิจเที่ยวชมไทรโบราณ เดินกลับมายังที่จอดรถ แล้วเดินเท้าต่ออีกไม่ไกลนัก เส้นทางเดินสะดวก ไม่ลาดชัน เดินเท้าสักประมาณ 5 นาที ก็จะมาเจอบ้านหลังหนึ่ง หากมองทะลุบ้านหลังนี้ไป ข้างหน้าจะเป็นภาพก้อนหินขนาดใหญ่วางซ้อนกันอยู่ โดยก่อนเข้าไปในตัวบ้าน จะมีป้าคอยยืนเก็บเงินค่าเข้าชมคนละ 50 บาท (ผมว่าราคาแพงไปเหมือนกันสำหรับคนไทย) เนื่องจาก Overlap Stone เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลครับ แอบนึกอิจฉาป้ามากๆ ที่มีบ้านอยู่ในวิวที่สวยสดงดงามขนาดนี้ วันๆ ได้เงินจากค่าเข้าชมไปไม่น้อย ขนาดในช่วงที่ผมไปมีฝรั่งมานั่งรอคิวถ่ายภาพ Overlap Stone กันเป็นจำนวนมาก แล้วมากันอย่างไม่ขาดสายด้วย คาดเดาว่า วันหนึ่งน่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพไม่น่าจะน้อยกว่า 100 คนครับ รายได้เท่าไร ลองคูณกันเอาเอง

    การจะเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับ Overlap Stone จะต้องเดินผ่านสะพานปูนแคบๆ เข้าไป แต่ควรจะต้องเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะทางเดินจุดนี้ไม่มีราวที่แข็งแรงให้ยึดเกาะครับ

    จุดชมวิวนี้ สามารถมองเห็นวิวของอ่าวละไมได้แบบพาโนรามาเลย สวยงามจับใจจริงๆ

    ขี่รถขึ้นมาก็ว่าเสียวแล้ว ขาลงก็เสียวไม่แพ้กันครับ 555

    ออกจาก Overlap Stone ไปต่อที่หินตาหินยายครับ หินตาหินยายนับเป็นกิมมิคของเกาะสมุยเลยก็ว่าได้ ใครมาเกาะสมุยแล้วไม่มาเที่ยวหินตาหินยาย เหมือนมาไม่ถึงเกาะสมุยครับ

    หินตาหินยาย เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หินแกรนิตเกิดการกัดเซาะจากน้ำทะเลและความร้อน จนก่อให้เกิดประติมากรรมทางธรรมชาติอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และยังมีตำนานเล่ากันต่อๆ มาว่า นานมาแล้วมีตาเครงกับยายเรียม ชาวปากพนัง ได้เดินทางโดยเรือใบเพื่อจะไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่าย ที่อยู่ในจังหวัดประจวบฯ ให้กับลูกชายของตน แต่พอแล่นเรือมาถึงอ่าวละไม เกิดพายุใหญ่ ซัดจนเรือล่ม ทำให้ตาเครงและยายเรียมเสียชีวิต และร่างของทั้งสองก็ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยที่ชายหาด จากกลายเป็นหินดังที่เห็นในปัจจุบันครับ

      ในส่วนของหินตานั้น เราจะมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน ในส่วนของหินยาย หากใครต้องการพินิจแบบมุมที่ใช่ จะต้องเดินลงไปตามทางลาดนิดเดียว แต่คงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะครับ เพราะถ้าหากพลาด เหยียบหินแล้วลื่น อาจจะกลิ้งตกทะเลได้

      นอกจากจะได้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแล้ว วิวที่มองออกไปอีกด้านหนึ่งจะเห็นอ่าวละไม ก็ทำให้ผมประทับใจไม่น้อยกับสีเฉดสีของน้ำทะเลที่มีทั้งสีเขียวมรกตและสีฟ้าครามตัดกันอย่างงดงาม

      หินตาหินยาย ตั้งอยู่ที่หาดละไมครับ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม แต่เสียค่าจอดรถ เนื่องจากต้องไปจอดรถในที่ของเอกชนครับ

      ออกจากหินตาหินยาย ไปต่อที่วิหารออร์โธด็อกซ์พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ครับ

        วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเจ้า สร้างขึ้นด้วยงบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 14,000,000 บาท โดยเงินงบประมาณที่นำมาก่อสร้างเป็นเงินที่ได้จากการบริจาคของปุถุชนชาวคริสเตียนออร์โธด็อกซ์และผู้มีจิตศรัทธาอื่นๆ ตัวอาคารเน้นสีฟ้า ขาว ดูงดงามแปลกตา ด้านนอกว่างดงามแล้ว ภายในก็งดงามไม่แพ้กันครับ

        ใครที่มาเที่ยวหินตาหินยายแล้ว หากมีเวลาเหลือ แนะนำให้เข้าไปชมความงดงามของโบสถ์แห่งนี้ ทางขึ้นอาจจะแคบและชัน (แต่ไม่มากเท่า Overlap Stone) โบสถ์จะตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านพักตากอากาศและรีสอร์ท การเข้าชมที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมและไม่เสียค่าจอดรถ แต่ที่จอดรถมีน้อยครับ

        เย็นนี้ผมมารอชมพระอาทิตย์ตกที่หาดบางมะขามครับ หามุมเหมาะริมถนนได้เลย ที่หาดบางมะขามเป็นอีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยเลยทีเดียว มีฉากหลังเป็นหมู่เกาะมากมาย แถมยังมีเรือประมงต่างๆ เป็นองค์ประกอบในภาพด้วย

        ภาพมันฟ้องแล้วนะครับ ว่าเอาแน่เอานอนกับสภาพอากาศที่เกาะสมุยไม่ได้เลยจริงๆ กลุ่มเมฆฝนขนาดใหญ่ กำลังปกคลุมทั่วผืนฟ้าของสมุย ยังดีที่ยังได้เห็นพระอาทิตย์ตกลาลับขอบฟ้า หลังจากนั้นแล้ว ไม่ขอพูดถึง ดีที่ขี่รถหนีฝนทันครับ

        สำหรับเย็นนี้ ผมมาหาของกินที่ถนนคนเดิน ภายใน Fisherman’s Village บ่อผุดครับ

          ในอดีต Fisherman’s Village เป็นชุมชนชาวประมงเก่าแก่ของเกาะสมุย แต่ปัจจุบันกลายเป็นจุด Hang out ของนักท่องเที่ยวไปแล้ว เช่นเคย ที่เห็นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น ภายใน Fisherman’s Village มีร้านอาหารให้เลือกมากมายครับ รวมถึงด้านหน้าชายหาด จะมีร้านอาหารมาให้บริการเต็มหน้าหาดเลย

          รีบกิน รีบไป เพราะฝนไล่หลังมาแล้ว อีกอย่างต้องรีบกลับไปพักผ่อนด้วย เพราะเช้าวันใหม่ผมมีโปรแกรมลงเกาะอีกวันครับ

          วันที่สาม ผมเลือกซื้อทัวร์หมู่เกาะอ่างทองโดยเรือใหญ่ แบบไม่พายคายัค ผ่านบริษัทเดิมคือ Smile Samui Tour ในราคาคนละ 900 บาท (ถ้าต้องการพายคายัคด้วย ราคา 1,290 บาท/คน) ราคานี้รวมรถรับส่งจากรีสอร์ท-ท่าเรือ-รีสอร์ท อาหารกลางวัน ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานครับ (เรือใหญ่ไม่ได้มีบริการทุกวัน หากสนใจใช้บริการของ Smile Samui Tour ลองสอบถามกับทางบริษัทโดยตรงอีกทีนะครับ)

            จากที่ผมวางแผนไว้ ผมจะขี่มอเตอร์ไซด์ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือหน้าทอนเลยครับ เมื่อเสร็จจากการออกทริป ก็จะตะเวนขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวต่อครับ

            บนเรือมีบริการอาหารเช้าเป็นเครื่องดื่มร้อน ขนมปัง และกล้วย นั่งเรือประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงเกาะวัวตาหลับ ใครใคร่เล่นน้ำ ก็สามารถเล่นได้ที่หน้าหาดเลย แต่ถ้าใครใคร่ขึ้นไปชมวิวมุมสูง สามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวผาจันทร์จรัสได้แบบไม่ต้องเร่งรีบ เพราะทัวร์ให้เวลาแบบสบายๆ ครับ

            การจะขึ้นไปยังจุดชมวิวผาจันทร์จรัส เราต้องเดินเท้าขึ้นไปตามความลาดชันของภูเขา ระยะทางประมาณ 500 เมตรครับ อุทยานฯ ได้ปรับปรุงเส้นทางดีขึ้นจากแต่ก่อนมาก โดยทำเป็นขั้นบันไดปูน แถมยังมีราวเชือกให้เกาะไปตลอดทาง นอกจากนั้นยังมีจุดแวะให้ได้นั่งพักทุกๆ 100 เมตรด้วย โดยจุดพักแต่ละจุดก็สามารถชมวิวของหมู่เกาะอ่างทองในมุมที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าจะเดินขึ้นเขาช่วงแดดเปรี้ยง แต่ก็ไม่ต้องกังวล เพราะตลอดเกือบ 400 เมตรที่เดินขึ้นเขา สองข้างทางจะถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้แสงแดดส่องลงมาไม่ถึง จะมีเพียงประมาณ 100 เมตรสุดท้ายเท่านั้น ที่สองข้างทางจะเป็นหินแหลมคมครับ

            แนะนำเลยว่า ถ้ามาที่เกาะวัวตาหลับแล้ว ไม่ควรพลาดการขึ้นไปยังจุดชมวิวผาจันทร์จรัสนะครับ เพราะจุดชมวิวนี้เป็นจุดสูงสุดของเกาะ ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นความงดงามของเกาะน้อยใหญ่ในหมู่เกาะอ่างทอง เช่น เกาะผี เกาะแม่เกาะ (ทะเลใน) เกาะสามเส้า เกาะวัวกันตัง เกาะหินดับและอีกหลายๆ เกาะ ที่ทอดตัวเรียงรายเป็นทางยาว บนผืนน้ำสีเขียวมรกตได้แบบเต็มๆ ตา รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอนครับ

            ทัวร์ให้เวลาบนเกาะวัวตาหลับประมาณ 2 ชั่วโมง ผมว่าผมอยู่ด้านบนจุดชมวิวนานพอสมควร พอลงมาด้านล่าง ยังมีเวลานั่งพักผ่อนชิวๆ ได้แบบเหลือเฟือครับ

            จากนั้นเราเดินทางกันต่อไปยังทะเลใน ระหว่างเดินทางมีบริการอาหารกลางวัน อาหารอร่อยเลยทีเดียว ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชม เนื่องจากมีแขกฝรั่งต่อแถวรอรับอาหารเป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะเสียมารยาทหากถ่ายมาให้ชมครับ

              นั่งเรือต่อมาได้สักพัก เรือก็มาชะลอ เพื่อปล่อยให้แขกที่จองพายเรือคายัค ได้พายคายัคกันครับ

              สำหรับแขกที่ไม่ได้จองพายคายัคไว้ ทางทัวร์ก็จะนำขึ้นไปยังเกาะแม่เกาะเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวทะเลในครับ ใครที่ผ่านจุดชมวิวผาจันทร์จรัสมาได้ จุดชมวิวทะเลในนี่เด็กๆ ไปเลยครับ ถึงแม้ทางเดินจะค่อนข้างชันกว่า แต่ระยะทางสั้นกว่ามากครับ

              ทะเลใน ทะเลสาบสีมรกตกลางภูเขา ที่โอบล้อมด้วยแมกไม้และเทือกเขาหินปูน ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะแม่เกาะ เกิดจากแอ่งหินปูนที่ยุบตัว กว้างประมาณ 250 เมตร ยาว 350 เมตร ลึก 7 เมตร ด้านบนจุดชมวิวมีศาลาให้ได้นั่งพักผ่อน ชมวิวได้แบบสบายๆ ครับ

              เรามาปิดทริปกันที่เกาะแม่เกาะ จากนั้นมุ่งหน้ากลับท่าเรือหน้าทอน ผมมาทริปหมู่เกาะอ่างทองครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว บอกเลยว่าการมาแต่ละครั้งก็ได้รับความประทับใจกลับไปทุกที มากี่ทีก็ไม่มีเบื่อครับ

              เมื่อขึ้นมาบนเกาะสมุยเล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง ผมมุ่งหน้าสู่น้ำตกหน้าเมือง ซึ่งนับเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่บนเกาะสมุยครับ

                จริงๆ แล้วน้ำตกหน้าเมือง มีให้เที่ยว 2 จุด คือ น้ำตกหน้าเมือง 1 และน้ำตกหน้าเมือง 2 ใครขาลุย ชอบปีนป่าย แนะนำให้ไปน้ำตกหน้าเมือง 2 แต่ถ้าใครสายชิลๆ เน้นเที่ยวง่ายๆ เดินแป๊บเดียวถึง คงต้องมาเที่ยวที่น้ำตกหน้าเมือง 1 ตัวน้ำตกไหลจากหน้าผาสูงถึง 15 เมตร ทิ้งดิ่งลงสู่แอ่งน้ำเบื้องหน้าน้ำตก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเล่นน้ำ โดดน้ำกันเยอะมากครับ จากลานจอดรถ เราต้องเดินเท้าตามเส้นทางเดินคอนกรีตสักประมาณ 150 เมตร จากนั้นต้องปีนป่าย เดินตามโขดหินอีกนิดหน่อย ก็จะถึงตัวน้ำตก โดยรวมแล้ว ไม่ลำบากอะไรครับ การมาเที่ยวน้ำตกหน้าเมือง ไม่เสียค่าบำรุงสถานที่ แต่เสียค่าจอดรถ 20-30 บาทครับ

                จากน้ำตกหน้าเมือง 1 ผมมาต่อที่ชายหาดหน้าทอน ชายหาดอาจไม่ได้เหมาะกับการเล่นน้ำ แต่ก็เป็นชายหาดที่เงียบสงบ เหมาะกับการนั่งชมพระอาทิตย์ตก แต่วันนี้โชคไม่ดี ฟ้าปิด ผมเลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกบริเวณหน้าหาดหน้าทอน แต่ก็ยังได้เห็นชาวบ้านมาเก็บหอยเสียบอยู่ริมชายหาด แกบอกว่า เอาไปส่งที่ร้านอาหาร ได้กิโลกรัมละ 100 บาท โดยวันนี้เก็บหอยเสียบได้ไปเหนาะๆ ประมาณ 10 กิโลกรัม ในหนึ่งปีจะมีโอกาสได้รายได้จากการเก็บหอยเสียบได้ช่วงเดียวครับ

                ผมมาต่อแถวๆ ท่าเรือหน้าทอน มองเห็นเรือประมงจอดอยู่มากมาย รวมถึงมีแม่ค้านำปลาที่หาได้มาขายกันแบบสดๆ ปลาที่นำมาขายก็มีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลากุเลา ปลากระบอก ปลากระพงแดง ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นปลากุเลาสดๆ ก็ครั้งนี้ สำหรับใครที่ต้องการปลาสดๆ ไปปรุงอาหาร สามารถมาหาซื้อได้ที่จุดจอดเรือประมงหน้าทอนนะครับ เรือจะขึ้นช่วงเช้าและช่วงเย็น มีทุกวัน (ในช่วงฤดูหาปลา) ยกเว้นวันศุกร์ เพราะเป็นวันหยุดของชาวมุสลิมครับ

                และเย็นนี้ผมมาฝากท้องแถวๆ ท่าเรือหน้าทอนนี่แหล่ะครับ มีร้านอาหารมาออกร้านกันมากมาย บรรยากาศคล้ายๆ กับตลาดนัด มีลานพร้อมเก้าอี้สำหรับให้นั่งทานอาหาร พร้อมฟังเพลงร้องสดจากนักดนตรีที่มาเล่นเปิดหมวก ทานมื้อค่ำไปฟังเพลงเพลินๆ ไป ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอีกเป็นกอง

                อิ่มท้องแล้ว ตรงกลับไปพักผ่อนที่รีสอร์ทครับ

                เช้าวันใหม่ หลังทานมื้อเช้าแล้ว ยังพอมีเวลาเหลือ ผมเลยแวะไหว้พระที่วัดปลายแหลม วัดเก่าแก่บนเกาะสมุย วัดนี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2423 ภายในวัดมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ สีขาว สูงถึง 20 เมตร ตั้งอยู่กลางสระน้ำ แต่ละแขนแสดงถึงแต่ละด้านของศาสนาพุทธ ด้านข้างเป็นที่ตั้งของโบสถ์ ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำเช่นกันครับ

                นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพระสังกัจจายน์ โดยมีความหมายถึง ความสุข ความรัก ผู้ซึ่งให้ความรักและความสุขมาสู่ปวงชน เห็นว่าที่นี่มีคนนิยมมาขอบุตรจากพระสังกัจจายน์ด้วยครับ

                จากวัดปลายแหลม ไปต่อที่วัดพระใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน โดยวัดพระใหญ่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า เกาะฟาน ผมเองก็แปลกใจว่าทำไมถึงเรียกว่าเกาะฟาน เพราะคำว่า เกาะ คือต้องมีน้ำล้อมรอบ เลยหาข้อมูลมา จึงทราบว่าเดิมที่เกาะฟานก็มีน้ำทะเลล้อมรอบเช่นกัน แต่ชาวบ้านได้มีการก่อสร้างสะพานไม้เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเกาะฟานและเกาะสมุย แต่สะพานไม้มีอายุใช้งานได้ประมาณ 2-3 ปีเท่านั้น ภายหลังชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างแนวสันเขื่อนหินขึ้นมาแทน จึงทำให้เกาะฟานเชื่อมต่อกับแผ่นดินสมุยตั้งแต่นั้นมา เราเลยไม่เห็นสภาพว่าเกาะฟานเป็นเกาะอีกต่อไปครับ

                พระใหญ่ หรือ พระพุทธโคดม แห่งวัดพระใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์สีเหลืองทอง ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2515 และในปี พ.ศ.2549 ได้มีการก่อสร้างเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และธรรมจักรตั้งอยู่บนเรือขึ้นเพื่อถวายเป็นราชกุศล ร.9

                  นับเป็นพระพุทธรูปที่เป็นที่เคารพสักการะของชาวเกาะสมุยครับ

                  หลังจากนั้นผมกลับมาที่รีสอร์ทอีกครั้ง เพื่อเตรียมเดินทางข้ามไปยังเกาะพะงัน โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ บุรี รสา วิลเลจ พะงัน ผมจึงเลือกใช้บริการ Speed Boat ของทางรีสอร์ท โดยมีค่าบริการ 2,000 บาท/คน ค่าบริการนี้รวมรถตู้มารับที่รีสอร์ทไปส่งยังท่าเรือบางรัก และ เรือ Speed Boat ไปส่งยังหน้า บุรี รสา วิลเลจ พะงันครับ (สำหรับผู้ที่ต้องการนั่งไป-กลับ ระหว่างบุรี รสา วิลเลจ สมุย – บุรี รสา วิลเลจ พะงัน – บุรี รสา วิลเลจ สมุย มีค่าบริการ 3,500 บาท/คน)

                  จากบุรี รสา วิลเลจ สมุย รถตู้พามาสั่งที่ท่าเรือบางรัก ท่าเรือส่วนตัวของ บุรี รสา โดยใช้เวลานั่งรถตู้ประมาณ 30 นาที และในระหว่างรอเวลาเรือออก สามารถไปนั่งพักผ่อนในเลาจน์ ซึ่งอยู่บริเวณลานจอดรถได้ครับ

                  จากท่าเรือบางรัก มองออกไปเห็นพระใหญ่ด้วย ต้องบอกเลยว่าจุดนี้วิวสวยงามเลยทีเดียว บางช่วงเวลาจะมองเห็นเครื่องบินกำลังบินลงสนามบินสมุยด้วย เสียดายที่ผมหยิบกล้องมาถ่ายไม่ทันครับ

                  เรือที่ให้บริการจากเกาะสมุย ไปยังเกาะพะงัน มี 2 รอบต่อวัน คือรอบเวลา 12.30 น. และ 17.00 น. ส่วนรอบเรือจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะสมุย ก็มี 2 รอบเช่นกัน คือรอบเวลา 09.00 น. และ 14.00 น.ครับ

                  ในวันที่คลื่นลมสงบ เรือจะออกจากท่าเรือบางรัก ไปส่งยังหน้าบุรี รสา วิลเลจ พะงันเลย ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 40 นาที แต่ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เช่นวันที่ผมไป เรือจะไปส่งที่ท่าเรือบ้านใต้ โดยใช้เวลานั่งเรือประมาณ 20 นาที จากนั้นจะมีรถตู้มารับจากท่าเรือบ้านใต้ไปส่งยัง บุรี รสา วิลเลจ พะงัน ครับ

                  ช่วงเวลาที่ผมไป มีเพียงผมกับเพื่อน 2 คนเท่านั้น ขอบอกว่า ถึงมีแขกเพียงคนเดียว เรือก็ยังคงให้บริการตามปกติครับ เมื่อขึ้นเรือมาแล้ว น้องกัปตันก็จะมากล่าวต้อนรับและจะให้คำแนะนำในระหว่างเดินทางโดยให้สวมเสื้อชูชีพ และถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้นั่งอยู่กับที่ นั่งเรือไปใจก็สั่นระรัวไป เพราะคลื่นลมค่อนข้างแรง แถมฝนก็ยังตกไปตลอดทาง แต่ถึงฝนจะตกขนาดไหน น้องๆ พนักงาน ก็ยังคอยยืนดูแลแขกอยู่ด้านท้ายเรือถึง 2 คนครับ

                  นั่งเรือมาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงยังท่าเรือบ้านใต้ครับ ดีหน่อยที่ฝนซาเม็ดลงแล้ว

                  จากท่าเรือบ้านใต้ เรานั่งรถตู้ของทางรีสอร์ทอีกประมาณ 30 นาที ก็มาถึงยังบุรี รสา วิลเลจ พะงันครับ

                  บุรี รสา วิลเลจ พะงัน เป็นบูทีค รีสอร์ท เจ้าของเดียวกับ บุรี รสา วิลเลจ สมุยครับ ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ริมชายหาดท้องนายปานน้อย ตกแต่งรีสอร์ทสไตล์ไทยๆ ด้านหน้าอาคารออกแบบเป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ มองแล้วให้อารมณ์คล้ายๆ กับร้านค้าแบบย้อนยุคนิดๆ ครับ

                  ตัวอาคารจะแบ่งเป็น 2 ปีก ปีกขวาจะเป็นลอบบี้แบบเรียบง่าย แต่ดูดี ตรงกลางเป็นทางเดินเข้ารีสอร์ท ส่วนปีกซ้าย จะเป็นที่ตั้งของ In The Mix คาเฟ่เล็กๆ ของรีสอร์ทครับ

                  ระหว่างเช็คอิน จะมี Welcome Drink เป็นน้ำมะตูม และมีของว่างเป็นคุกกี้ที่อบเสร็จใหม่ๆ จาก In The Mix ครับ

                  เช็คอินเสร็จแล้ว เราเข้าไปสำรวจด้านในของรีสอร์ทกันดีกว่าครับ

                  เริ่มที่ห้องพักก่อนเลย ห้องที่ผมพักเป็นแบบ Ocean View Deluxe ห้องกว้างขวางเลยทีเดียว โทนสีที่ตกแต่งห้องดูสดใสและหลากสีสัน เตียงขนาด King size หนา นุ่ม นอนสบายมากๆ ที่ข้างเตียงมีโซฟาพร้อมหมอนอิงให้ได้นั่งได้นอนเอกเขนก มีมุมสำหรับให้นั่งเขียนหนังสือด้วยครับ

                  ห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว แยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน มีสายฉีดชำระให้พร้อม ฝักบัวแบบ Rain Shower มียาสระผมพร้อมครีมอาบน้ำกลิ่นมะพร้าวหอมๆ เหมือนที่เกาะสมุยครับ

                  อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มีครบตามมาตรฐานของรีสอร์ทครับ

                  มีระเบียงกว้าง พร้อมทั้งโซฟา สำหรับไว้นั่งรับลมชมวิวทะเลแบบเต็มๆ ตา

                  เลือกไม่ผิดเลยครับที่เข้าพักห้อง Type นี้ ตื่นนอนมาก็ได้เห็นทะเลจากที่นอน แถมยังได้นอนฟังเสียงคลื่นทะเลกันตลอดเวลาเลยทีเดียว นี่ขนาดเป็นช่วงที่มีฝน วิวที่มองออกไปก็ยังถือว่าสวยเลยเดียว เพราะบริเวณช่วงท้ายหาด ซึ่งอยู่ติดกับรีสอร์ทเป็นที่ตั้งของกองหินขนาดใหญ่ เพิ่มความน่าสนใจให้กับชายหาดขึ้นอีกเยอะเลยครับ แอบเสียดายอยู่นิดๆ เพราะพนักงานบอกว่า ยามที่แดดแรงๆ น้ำทะเลที่นี่จะสวยมากๆ ครับ

                  ดูห้องพักกันแล้ว เราไปสำรวจรอบๆ รีสอร์ทกันบ้างดีกว่า เริ่มกันที่บริเวณด้านหน้ารีสอร์ทเลยครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรก ปีกขวาจะเป็นลอบบี้ ส่วนปีกซ้ายจะเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ชื่อ In The Mix ตกแต่งคล้ายๆ กับร้านกาแฟสมัยโบราณเก๋ๆ ที่ให้บริการทั้งขนมอบ และพิซซ่าแบบ Homemade ครัวแบบเปิดโล่ง สามารถมองเห็นเชฟกำลังทำขนมได้ด้วยครับ

                  มีบาร์เล็กๆ ริมชายหาดด้วยครับ

                  ภายในรีสอร์ทร่มรื่นมาก มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวของพืชพรรณไม้ดอกไม้ประดับมากมาย เห็นแล้วก็สดชื่นจริงๆ

                  ใจกลางรีสอร์ทมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 – 19.00 น. ครับ

                  มี Spa ด้วย อยู่ติดกับสระว่ายน้ำเลยครับ

                  มีห้อง Fitness ที่มองเห็นวิวทะเลด้วย

                  ใครที่ต้องการมาพักผ่อนแบบจริงจัง อยากจะหนีความพลุกพล่าน ที่นี่ตอบโจทย์มากครับ อยู่แต่ในรีสอร์ทแบบไม่ต้องไปไหนยังได้เลยครับ ถ้าเบื่อก็มาเล่นน้ำหน้าชายหาดได้เลย แขกที่มาเข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เห็นว่าบางคนอยู่กันยาวเป็นอาทิตย์เลยครับ

                  The Beach Club Restaurant Bar & Grill เป็นห้องอาหารริมทะเล ที่ให้บริการทั้งอาหารไทยและอาหารตะวันตก ให้บริการเกือบตลอดทั้งวัน โดยช่วงเช้าให้บริการตั้งแต่ 07.00 – 10.30 น. จากนั้นจะให้บริการอีกครั้งตั้งแต่เวลา 11.30 – 22.30 น. ครับ เสียดายช่วงที่ผมไป มีคลื่นลมแรง ทำให้ทางห้องอาหารต้องปิดม่านลง เพื่อลดแรงลมที่พัดเข้ามาในห้องอาหาร เลยทำให้บดบังทัศนียภาพสวยๆ ไปเลย

                  มีบาร์เล็กๆ ให้ได้นั่งชิลริมทะเลด้วย บรรยากาศช่วงเย็นๆ ดีมากๆ เลยครับ

                  สำหรับมื้อค่ำนี้ ผมฝากท้องไว้ที่ The Beach Club อาหารไทยที่นี่รสชาติแบบไทยๆ ไม่ได้เอาใจฝรั่ง ทุกเมนูถึงรสถึงชาติมากครับ

                  เริ่มที่มัสมั่นไก่ ไก่หั่นออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้ทานได้ง่าย กลิ่นของเครื่องเทศมัสมั่นแบบครบเครื่องมาก เมนูนี้ 260 บาทครับ

                  ไก่ทอด พร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ แต่ผมไม่ได้แตะน้ำจิ้มเลย เพราะไก่ทอดหมักมารสชาติดีอยู่แล้ว เมนูนี้ 180 บาทครับ

                  กุ้งซอสมะขาม มีกุ้ง 5 ตัว รสชาติครบรส เปรี้ยวหวานจัดจ้านดีทีเดียว เมนูนี้ 500 บาทครับ

                  ต้มข่าทะเล เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าว อัดแน่นด้วยซีฟู้ด ได้ความมันของกะทิ เพิ่มความกลมกล่อมด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อน เมนูนี้ 220 บาทครับ

                  ปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วง ที่สั่งเมนูนี้เพราะช่วงที่ผมถ่ายรูปบริเวณห้องอาหาร เห็นชาวต่างชาติกำลังมาเรียนทำข้าวเหนียวมะม่วงกันอยู่ เห็นแล้วเลยทำให้อยากทานครับ ผมว่าตัวข้าวเหนียว ถูกเสิร์ฟมาแบบอัดแน่นมาเป็นก้อน ผมว่ามันเลยทำให้เนื้อข้าวเหนียวมันแข็งแบบแน่ๆ สำหรับมะม่วงก็พอเข้าใจว่าเป็นมะม่วงนอกฤดู เลยทำให้มะม่วงไม่มีความหวานเลย เมนูนี้ 180 บาทครับ

                  โดยรวมแล้ว รสชาติอาหารดีเลยทีเดียวครับ

                  สำหรับเช้าวันใหม่ ผมแทบจะหมดหวังเรื่องแสงแรก เพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝน แต่ฟ้าก็ยังปราณีอยู่บ้าง ที่ยังให้ผมได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ โผล่ขึ้นมาพ้นเส้นขอบฟ้าเพียงแค่ชั่วครู่ จากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไปในพริบตา อดเห็นแสงสีทองสวยๆ เลยครับ

                  ไหนๆ ก็ตื่นเช้าแล้ว เลยรีบมาจัดการเติมพลังกันแต่เช้า เพราะช่วงสายผมมีแผนที่จะขี่รถมอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบเกาะพะงันครับ

                  อาหารเช้าให้บริการแบบ Buffet อาหารมีทั้งแบบไทยและแบบเทศ มีให้เลือกทานกันมากมายพอสมควร ผมเองไม่ได้ชิมทุกเมนูนะครับ เพราะชิมไม่ไหว แต่รสชาติของอาหารที่ทานไป ถือว่าอร่อยครับ ข้าวต้มผ่านทั้งรสชาติของน้ำซุปและหมูสับ อร่อยดีทีเดียว ติดที่ถ้วยเล็กไปหน่อย ต้องวนตักอยู่หลายรอบครับ 55

                  โชคดีที่ช่วงสาย ฟ้าเปิด ผมเลยมุ่งหน้าออกตะเวนเที่ยวรอบเกาะพะงัน โดยเริ่มที่หาดมาลิบู ซึ่งตั้งอยู่ที่อ่าวโฉลกหลำครับ ผืนทรายของหาดมาลิบูขาวละเอียดมากๆ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเล่นน้ำ นอนอาบแดดกันเยอะเลยทีเดียว แดดยิ่งแรง ยิ่งทำให้หาดทรายสว่างขาวจนแสบตา ขับกับสีครามของน้ำทะเล มันสวยจนบรรยายไม่ถูกจริงๆ ครับ

                  จากหาดมาลิบู ไปต่อที่หาดแม่หาด อีกหนึ่งชายหาดที่ขึ้นชื่อของเกาะพะงันครับ เพราะนอกจากจะมีทรายที่ละเอียดแล้ว ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลลง เราจะเห็นสันทรายทอดยาวเชื่อมระหว่างหาดแม่หาด กับ เกาะม้า กลายเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ที่เรียกว่า ทะเลแหวกแห่งเกาะพะงัน ใครที่มาเที่ยวเกาะพะงันแล้ว หากจะแวะมาเที่ยวที่หาดแม่หาด แนะนำให้เช็คเวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้ดีนะครับ จะได้เห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติสวยๆ แบบนี้ครับ

                  จากหาดแม่หาด ไปต่อกันที่หาดสน ชายหาดเล็กๆ แต่ความสวยงามไม่ได้เล็กตามขนาด ผมว่าหาดสนน่าจะเป็นจุดดำน้ำ เพราะเห็นมีทัวร์มาปล่อยให้แขกดำน้ำบริเวณหน้าหาดสนด้วยครับ

                  และที่หาดสน เป็นที่ตั้งของเกาะราฮัม Beach club เล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมของหาดสน ให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มครับ

                  เกาะราฮัมเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกจุดบนเกาะพะงัน นอกจากจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกแล้ว ที่นี่ยังเป็นร้านอาหาร เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ตกแต่งด้วยเศษซากไม้ รวมถึงเศษเชือกอวนทะเล ดูเป็นเอกลักษณ์เลยทีเดียวครับ

                  เมื่อเดินเข้ามาจนสุดร้าน จะมีศาลาซึ่งอยู่ที่ปลายแหลม จุดนี้เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก บ้างก็มานั่งกินลมชมวิว นอนเปลญวน บ้างก็กระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน ดีที่ผมมาถึงก่อนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นจะมาถึง เลยได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโดยรอบแบบปราศจากนักท่องเที่ยวมาให้ได้ชมกัน สำหรับผมไม่ได้มารอชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ เลยถือโอกาสมาสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ แก้ร้อน เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียวครับ

                  จากเกาะราฮัม ไปต่อที่แหลมศรีธนู อีกหนึ่งชายหาดที่ผมว่าทั้งสวยและเงียบสงบมากๆ ที่แหลมศรีธนูนี้เป็นจุดจอดเรือด้วยครับ มองจากจุดจอดเรือออกไปจะเห็นถึงความแตกต่างของสีน้ำทะเล ตัดกับสีท้องฟ้า มันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ ครับ

                  ใครมาเที่ยวที่แหลมศรีธนูแล้ว ผมแนะนำให้เดินเลาะท่าเรือไปทางขวามือ จะมาทะลุชายหาด บอกเลยว่าชายหาดตรงจุดนี้ทรายละเอียด ขาว สวยมากๆ นอกจากนี้ยังมีเศษซากของปะการังที่ถูกพัดขึ้นมาบนชายหาดเป็นจำนวนมากครับ

                  จากแหลมศรีธนู ไปต่อกันที่โบราณสถานวัดภูเขาน้อย วัดที่เก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเกาะพะงันครับ

                  วัดภูเขาน้อยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2432 โดยหลวงพ่อเพชร อดีตเจ้าอาวาสคณะอำเภอเกาะสมุย และในปี 2540 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดภูเขาน้อยให้เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ คือ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงปราสาทสีขาว มีความสูง 10 เมตร รายล้อมด้วยเจดีย์ทิศขนาดใหญ่ 6 องค์ และขนาดเล็กอีก 4 องค์ โดยเจดีย์บริวารแต่ละองค์มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ทรงระฆัง ทรงปราสาท เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เจดีย์ยกเก็จแบบพม่า และมีการประดับตกแต่งรอบฐานด้วยเครื่องถ้วยจีนครับ

                  ติดกับเจดีย์ประธาน เป็นที่ตั้งของอุโบสถเก่า ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ประทับนั่งบนฐานชุกชีปูนปั้นลายกลีบบัว และพระพุทธรูปจำหลักไม้อีก 3 องค์ครับ

                  ส่วนอีกมุมที่ติดกับเจดีย์ประธาน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอุโบสถเก่า เป็นที่ตั้งของรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร วชิโร ครับ

                  จากวัดภูเขาน้อย ผมไปต่อยังหาดริ้น หาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วโลก กับกิจกรรมฟูลมูน ปาร์ตี้ ที่จะเป็นที่ชุมนุมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติครับ

                  หาดริ้นอยู่ทางตอนใต้ของเกาะพะงัน เส้นทางที่จะมายังหาดริ้นค่อนข้างสูงชัน บางช่วงชันเกือบ 60 องศา ต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ถ้าใครขี่มอเตอร์ไซด์ไม่แข็ง แนะนำให้ใช้บริการรถสาธารณะจะปลอดภัยกว่าครับ

                    หาดริ้นมีชายหาดทอดยาวประมาณ 2 กม. ลักษณะเป็นพื้นที่ราบเชื่อมต่อระหว่างเขาหิน 2 ลูก ที่ยื่นออกไปเป็นแหลมริ้น แบ่งพื้นที่เป็นหาดริ้นนอกและหาดริ้นใน หาดทรายขาว ละเอียดเหมือนกับหลายๆ ชายหาดบนเกาะพะงัน แต่สิ่งที่ทำให้หาดริ้นมีชื่อเสียงมากที่สุดบนเกาะพะงัน ก็คงจะเป็นกิจกรรมฟูลมูนปาร์ตี้นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ทุกคนที่มาเที่ยวที่เกาะพะงันต้องมาสัมผัสกับหาดริ้นสักครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่วันฟูลมูนก็ตาม ผมว่าช่วงที่ไม่มีกิจกรรมฟูลมูนก็สวยนะครับ ผู้คนไม่เยอะ ไม่พลุกพล่านด้วยครับ

                    สำหรับเย็นนี้ ผมวางแผนจะมาชมแสงสุดท้ายที่เกาะแตใน

                    เกาะแตในเป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะพะงัน อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือท้องศาลา สามารถพายคายัคไปเที่ยวชมได้ หรือถ้าใครไม่อยากพาย ก็สามารถใช้บริการเรือของบังสุพจน์ 081-7883198 ในราคาหัวละ 200 บาทครับ 2 คน บังก็ออกเรือให้แล้วครับ โดยจุดขึ้นเรือจะอยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์เรือหลวงพะงัน

                    แล้วที่เกาะแตใน มีอะไรให้ชม? เกาะแตในเต็มไปด้วยโขดหิน ปะการัง และฝูงปลามากมาย นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำชมโลกใต้ทะเลที่เกาะแห่งนี้ และอีกหนึ่งไฮไลท์ของเกาะแตในคือ การมารอชมพระอาทิตย์ตกในซอกหลืบเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะครับ

                    ใครที่พายคายัคมา สามารถพายเข้ามาจอดไว้บริเวณนี้ได้เลย แต่สำหรับใครที่เหมาเรือมา บังจะพยายามมาส่งให้ได้ใกล้จุดนี้ที่สุด เพราะบริเวณนี้มีหินค่อนข้างเยอะ ตรงจุดนี้มีเศษขยะในทะเลที่ถูกพัดพาเข้ามาค่อนข้างเยอะ แอบนึกเสียดายที่ขยะเหล่านี้ทำให้เกิดภาพที่ไม่น่าดูชมครับ

                    ภายในซอกเหลือบนี้ ไม่มีหาดทรายนะครับ แต่จะเป็นเศษซากปะการัง กองอยู่เต็มไปหมด

                    เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ทำให้แสงสีทองสาดส่องมายังผนังของซอกหลืบบริเวณนี้ ทำให้ผนังกลายเป็นสีทอง สวยงามเลยทีเดียวครับ

                    หากใครกำลังมองหาจุดชมพระอาทิตย์ตกบนเกาะพะงัน ผมว่าที่เกาะแตใน เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเลยครับ

                    สำหรับเย็นนี้ ผมกลับมาฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเช่นเดิมครับ

                      โดยเริ่มที่ Fresh Summer Roll ลักษณะคล้ายๆ ปอเปี๊ยะสด ห่อด้วยแป้งบางๆ ไส้เป็นผักหลากหลายและกุ้ง เมนูนี้ 180 บาทครับ

                      ไก่ชนิทเซล ไก่ทอดชิ้นโตๆ ราดด้วยชีส เสิร์ฟพร้อมสปาเก็ตตี้ เมนูนี้ 420 บาทครับ

                      สปาเกตตี้ผัดกับหอยตลับ เมนูนี้ 280 บาทครับ

                      บลูเบอรี่ชีสเค้ก บลูเบอรี่มาแบบเต็มๆ เรียกความสดชื่นได้ดีมากๆ เมนูนี้ 200 บาทครับ

                      อิ่มท้องแล้ว คงต้องรีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้วครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย แถมพรุ่งนี้ต้องเตรียมเดินทางกลับแล้ว

                      สำหรับเช้าวันใหม่ เมนู Buffet ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไป แต่ยังคงคอนเซปอาหารไทยและเทศเหมือนเดิม ทำให้แขกที่พักหลายวันไม่เบื่ออาหารครับ

                      หลังอาหารเช้ายังพอมีเวลาอีกเล็กน้อย เลยออกมาเดินเล่นริมหาดเก็บบรรยากาศดีๆ ไว้ในความทรงจำครับ

                      เช้านี้ฟ้าเริ่มเปิด คลื่นลมยังพอมีอยู่บ้าง นักท่องเที่ยวเลยมาทำกิจกรรมด้านหน้าหาดของรีสอร์ทกันเยอะเลยครับ

                      ถึงเวลาต้องอำลาเกาะพะงันแล้ว นึกแล้วใจหายเหมือนกัน จากรีสอร์ท ผมมุ่งหน้าสู่ท่าเรือท้องศาลา เพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่ของ บริษัท ซีทรานเฟอร์รี่ โดยมีเรือให้บริการ 4 รอบต่อวัน คือ 05.30 น., 08.30 น.,12.30 น. และ 17.30 น. ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 2.30 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 250 บาท/คนครับ โดยตอนที่เราซื้อตั๋วที่ท่าเรือท้องศาลา เราสามารถจองรถให้ไปส่งยังสนามบินได้เลย ค่ารถ 300 บาท เท่ากับขาที่มาจากสนามบินครับ

                      จากบนเรือ มองเห็นเกาะแตในอยู่ใกล้แค่เอื้อม ช่วงที่น้ำลง มองเห็นหาดทรายสีขาว ทอดยาวจากเกาะแตลงไปในทะเล สวยงามไม่เบา

                      เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ แต่ทริปนี้ถือว่าเต็มอิ่ม ได้ตักตวงความสุข ได้พักผ่อนแบบแท้จริงหลังจากที่ได้ลาออกจากงานประจำ นับเป็นของรางวัลที่มอบให้กับตัวเองอย่างคุ้มค่ามากๆ หากใครอยากจะชาร์จพลังให้กับตัวเอง ลองหาเวลาช่วงวันหยุด มาสัมผัสกับความสวยงามของเกาะสมุย และเกาะพะงันดูนะครับ แล้วจะรู้ว่า ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ

                      สำหรับการเดินทางไปสมุยนั้น มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการขับรถไปเอง หรือจะนั่งเครื่องบิน บินตรงลงที่เกาะสมุยเลยก็ได้ (แต่ราคาตั๋วอาจจะแรงตามความสะดวกสบาย) หรือถ้าใครไม่ได้เร่งรีบอะไร จะบินลงสนามบินสุราษฎร์ธานี หรือ สนามบินนครศรีธรรมราช แล้วต่อรถ ต่อเรือ มายังเกาะสมุยก็ได้ ซึ่งผมเองก็เลือกวิธีแบบหลังนี้ครับ เพราะจากการคำนวณค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว หากบินตรงลงที่สนามบินสมุยเพียงขาเดียว ผมสามารถบินไปกลับ กรุงเทพ-สุราษฎร์ฯ ได้ถึง 2 คนเลย แถมการนั่งเรือข้ามไปยังเกาะสมุย ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการไปเที่ยวสมุยครับ

                      สำหรับใครที่อยากจะเลือกเดินทางแบบผม คือบินจากกรุงเทพไปยังสนามบินสุราษฎร์ธานี ก่อนที่เครื่องจะ Landing จะมีประกาศจากสายการบินว่า หากต้องการจะข้ามไปยังเกาะสมุย หรือเกาะพะงัน สามารถติดต่อแอร์ฯ เพื่อซื้อตั๋วข้ามไปยังทั้งสองเกาะได้ โดยราคาข้ามไปเกาะสมุย จะอยู่ที่ 500 บาท ส่วนเกาะพะงัน ราคาจะอยู่ที่ 550 บาท หากไม่ใจร้อนก็อย่าเพิ่งซื้อ สามารถไปหาซื้อในสนามบินสุราษฎร์ฯ ก็ได้ครับ โดยจะมีผู้ให้บริการพาข้ามไปยังเกาะสมุย 4 บริษัท คือ

                      1. บริษัท ซีทรานเฟอร์รี่ ค่าตั๋ว 500 บาท (ราคารวมค่ารถจากสนามบินถึงท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ +ค่าเรือ) โดยเรือจะไปส่งที่ท่าเรือหน้าทอน สมุย (นั่งเรือประมาณ 90 นาที)
                      2. บริษัท ราชาเฟอร์รี่ ค่าตั๋ว 500 บาท (ราคารวมค่ารถจากสนามบินถึงท่าเรือราชาเฟอร์รี่ +ค่าเรือ) โดยเรือจะไปส่งที่ท่าเรือลิปะน้อย สมุย (นั่งเรือประมาณ 90 นาที)
                      3. บริษัท ลมพระยา ค่าตั๋ว 850 บาท (ราคารวมค่ารถจากสนามบินถึงท่าเรือดอนสัก +ค่าเรือ) โดยเรือจะไปส่งที่ท่าเรือหน้าทอน สมุย (นั่งเรือประมาณ 45 นาที)
                      4. บริษัท Phantip Travel ค่าตั๋ว 470 บาท (ราคารวมค่ารถจากสนามบินถึงท่าเรือซีทรานเฟอรี่ +ค่าเรือ) โดยเรือจะไปส่งที่ท่าเรือหน้าทอน สมุย (นั่งเรือประมาณ 90 นาที)

                      โดยผมเลือกใช้บริการตามข้อ 1 ครับ เหตุผลเพราะ

                      1. รถจากสนามบินจะวิ่งตรงไปยังท่าเรือซีทรานเลย โดยไม่แวะรับผู้โดยสารที่ไหนอีก นั่งรถประมาณ 1.15-1.30 ชั่วโมง (แต่ผมไม่รู้ว่าหากไปกับบริษัทอื่น จะมีการแวะรับผู้โดยสารในตัวเมืองสุราษฎร์ฯ หรือไม่)
                      2. เรือของบริษัทซีทรานจะไปส่งที่ท่าเรือหน้าทอน ซึ่งสะดวกต่อการต่อรถไปยังจุดต่างๆ ของสมุย เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว จะมีท่ารถสองแถวอยู่ตรงท่าเรือเลย ซึ่งราคาค่ารถสองแถว หากไปที่หาดเฉวง ราคา 80 บาท หรือใครจะเลือกเช่ารถมอร์เตอร์ไซด์ ก็สามารถหาเช่าได้ที่ตลาดหน้าทอน ใกล้ท่าเรือได้เลย แต่ถ้าหากเรือมาส่งที่ท่าเรือลิปะน้อย จะลำบากในเรื่องของการหารถออกมาส่งตามจุดต่างๆ ซึ่งบริเวณท่าเรือลิปะน้อยจะอยู่ห่างไกลจากถนนใหญ่และจะไม่มีรถสองแถวผ่าน จะมีเพียงรถตู้คอยรับส่ง ซึ่งราคาค่อนข้างแพง
                      3. หากซื้อตั๋วแบบเหมาค่ารถ+ค่าเรือ ราคาจะอยู่ที่ 500 บาท แต่ขอแนะนำว่า ให้ซื้อตั๋วเฉพาะค่ารถไปยังท่าเรือ ในราคา 300 บาทเท่านั้น ส่วนตั๋วเรือให้ไปซื้อที่ท่าเรือ จะได้ในราคา 170 บาท รวมเป็น 470 บาท ซึ่งจะถูกกว่าครับ

                      สุดท้ายนี้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ขอบคุณครับ

                      ลุงเสื้อเขียว

                       วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.20 น.

                      ความคิดเห็น