แด่ กัมพูชาที่รัก
เมืองแห่งอารยธรรม
มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
"See Angkor and Die"
Cr. Arnold Joseph Toynbee
--------------------------------------
ร่องรอยของอารยธรรม สอนให้เราเติบโต
ออกเดินทางครั้งนี้ เพื่อเรียนรู้
ออกเดินทางครั้งนี้ เพื่อใช้ชีวิต
--------------------------------------
จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ คือการได้ไปทำงานที่ “จังหวัดสระแก้ว”
เมื่อรู้ตัวว่าต้องไปใช้ชีวิตที่จังหวัดสระแก้วเป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ไม่รู้ทำไม จู่ๆใจก็เผลอคิดไปถึงเธอ “กัมพูชาที่รัก” เมื่อคิดแล้วก็ต้องได้ไป คิดแล้วก็ต้องไปให้ได้ ด้วยกฎแห่งแรงดึงดูด นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันได้ก้าวขาแล้วออกเดินทางไปที่ประเทศกัมพูชา ครั้งนี้ฉันไปคนเดียว...ไม่เปลี่ยวใจ
“ไปคนเดียว อันตรายนะ” เอาจริงๆก็อยากมีเพื่อนไปนั่นแหละ แต่พอชวนแล้วก็ไม่มีใครว่างเลย ด้วยความตั้งใจอันแรงสูงยิ่งกว่าเสาไฟฟ้า และอยากที่จะไปบุกดินแดนเขมร ยังไงฉัน...ก็ต้องได้ไป ฉันผู้มีเวลาอันน้อยนิดสำหรับการเตรียมตัวและทำความรู้จักกับประเทศกัมพูชา อ่านหนังสือ อ่านรีวิว ดูคลิป ดูวิธีการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต อ่านแล้ว อ่านอีก อ่านอีก อ่านแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการเดินทางข้ามพรมแดน และการเดินทางไปเสียมเรียบ เพราะอ่านรีวิวดูแล้ว ร้อยละ 90 บอกว่า “ระวังโดนหลอกนะ”
ก่อนออกเดินทางฉันเตรียมตัว เตรียมใจเป็นอย่างดี ปริ้นท์แผนการเดินทางผ่านด่าน ตม. จากด่านคลองลึก ไปด่านปอยเปต วิธีการเดินทางไปเสียมเรียบ ราคาค่าโดยสารที่น่าจะเป็น แผนที่ไปโรงแรม และที่ไฮไลท์ไปกว่านั้นคือ “บันทึกการเดินทางพร้อมหลักฐานประกอบ” วิธีนี้คิดได้ตอนฝัน แล้วก็ใช้ได้ผลจริงๆด้วยนะ เลยขอนำมาบันทึกไว้เสียหน่อย นอกจากนี้มีคุณลุงที่รู้จักที่ร้านอาหารในสระแก้วบอกว่า จะไปกัมพูชา ก็ต้องแต่งตัวให้เหมือนชาวกัมพูชาด้วย ยิ่งไปคนเดียว จะได้ปลอดภัย คิดในใจ จะแต่งยังไงกันนะ สรุปสุดท้ายแล้ว ชุดเดินทางจึงเป็นเสื้อคลุมแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกแก็ป พร้อมกับสะพายเป้ใบโต รองเท้าสาน แล้วก็ออกเดินทาง โบกรถตู้ขึ้นไปยังอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ถึงแล้วด่านตม. จากชายแดนคลองลึกสู่ชายแดนปอยเปต
เวลาเที่ยงวัน ฉันเดินเข้ากัมพูชา เดินข้ามด่านชายแดนคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ฉันเดินมาพร้อมกับคุณลุงคนไทย (คุณลุงคนที่หนึ่งที่ฉันรู้จัก ณ กัมพูชา) ลุงข้ามฟากมาไทยเพื่อมาซื้อขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ แล้วคุณลุงก็ข้ามชายแดนมาปอยเปตอีกเพื่อทำงาน ลุงบอกว่า ลุงมาเพื่อขับแท็กซี่ ใกล้ๆครบ 15 วัน ลุงก็จะเดินทางกลับไทย เพราะทางกัมพูชามีข้อกำหนดว่าสามารถอยู่ในประเทศของเขาได้ไม่เกิน 15 วัน วิถีชีวิตที่แตกต่าง ชวนให้ได้เรียนรู้จากความแตกต่างนั้นด้วย พวกเราคุยกันได้สักพัก ก็เดินแยกย้ายกันไป
ณ ตม. ข้ามชายแดนไทย-กัมพูชา ฉันผู้ที่อ่านรีวิวการเดินทางมาเยอะ บางรีวิวก็บอกว่าโดนเรียกเก็บเงินจากเจ้าหน้าที่ ตม. บางรีวิวบอกพาสปอร์ตใหม่เสียเงิน 100 บาทบ้าง บางรีวิวบอกมีทางแบบ VIP เสีย 200 บาท ไม่ต้องไปยืนต่อแถว อ่านเยอะก็แอบกังวลเยอะ 555 ว่าฉันจะถูกเขาหลอกไหมนะ
มาครั้งนี้ฉันเลือกที่จะผ่านด่าน ตม. แบบไม่ต้องใช้ทางลัด ฉันมาแบบถูกกฎหมาย ฉันก็ต้องผ่านด่านแบบถูกกฎหมายเช่นกัน เริ่มจากเขียนใบ ตม. เสียก่อน เขียนเอง ฟรีนะจ๊ะ ให้เขาเขียนให้เสีย 20 บาท ฉันผู้มีงบน้อยและต้องประหยัดก็เลยเลือกที่จะเขียนใบ ตม. เอง ขณะที่ยืนต่อแถวผ่านด้าน ตม. ได้ทำความรู้จักกับคุณลุงคนไทยคนที่2 ณ ดินแดนกัมพูชา ขอแทนชื่อคุณลุงว่าลุงสองนะคะ ไม่ได้ทันถามชื่อคุณลุง คุณลุงยืนต่อคิวอยู่ด้านหลัง ลุงข้ามฝั่งมาแวะเวียนเสี่ยงโชค ณ ดินแดนคาสิโนแห่งปอยเปต เลยได้มีโอกาสคุยกับลุงได้สักพัก แต่ก็พักใหญ่เลยล่ะ เพราะผู้คนต่อคิวผ่านด่าน ตม. แถวยาวมาก ลุงบอกว่าลุงมาเล่นคาสิโนได้ 23 ปีกว่าแล้ว สนุกที่ได้ลุ้น ถามว่าหมดไปเยอะไหม ก็เยอะนะ แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความสุขของลุง ความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน ทำในสิ่งที่เป็นความสุขกันเถอะ
ระหว่างต่อคิว ฉันก็มีโอกาสได้ถามคุณลุงเกี่ยวกับค่าผ่านด่าน ตม. ลุงสองผู้ซึ่งมีประสบการณ์การข้ามมาฝั่งปอยเปตนับครั้งไม่ถ้วน ลุงบอกฉันว่าไม่ต้องเสียเงินอะไรทั้งนั้น สักพักเห็นคุณลุงคนที่เจอคนที่หนึ่งอยู่ไกลๆ ลุงเซย์ไฮ พร้อมกับโบกมือให้ฉัน ลุงต่อคิวอยู่หน้าฉันประมาณ 10 กว่าคิว ลุงแอบเห็นว่าพาสปอร์ตของฉันเล่มใหม่ ลุงแอบกระซิบบอกว่าอาจต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะ ในขณะที่ลุงสองมากระซิบฉันอีกที บอก “หนูๆ ไม่ต้องจ่ายนะ ป้ายก็มีบอกว่าไม่มีการจ่ายเงินใดๆทั้งสิ้น”
ถึงเวลา...ยื่นพาสปอร์ตผ่าน คุณ ตม. ชายหนุ่มไร้หนวด ทำเป็นเข้ม ฉันยื่นพาสปอร์ตไปสองเล่ม มีเล่มเก่า กับเล่มใหม่ เจ้าหน้าที่ถามว่า Do you have Visa? No, I don't have. This is my old passport. I'm going to travel in Siemreap for 3 days. เจ้าหน้าที่ทำหน้าอั้มอึ้งกิมกี่เล็กน้อย มองหน้าฉันอยู่ได้สักพัก ในใจฉันก็แอบลุ้นจะเรียกเก็บเงินไหมนะ และแล้วเขาก็ไม่เรียกเก็บเงินจ้า ลุงสองผ่านด่าน ตม. มาพร้อมๆกับฉัน ลุงหยุดยืนรอฉันสักพัก แล้วหันมาถามว่า "เป็นไงไอ้หนู เสียเงินรึเปล่า" ฉันยิ้มพร้อมตอบทันใด ด้วยความลั่ลล้า "ไม่เสียเงินค่า" พร้อมกับยิ้มให้ลุงแบบกว้างๆภายใต้ Mask เราทั้งสองแยกย้ายกัน ยกมือไหว้ขอบคุณคุณลุง แล้วทั้งสองก็ส่งรอยยิ้มแทนความโชคดีให้กันและกันด้วย
หลังจากแยกย้าย ฉันเดินออกจากประตู ตม. เป็นจังหวะแบบที่ปุ๊ปปั๊ปรับโชค ทีมงานรถตุ๊กตุ๊ก รถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซด์ รถบัส มากันทุกทีม ทุกคนกรูเข้ามา เพื่อที่เรียกหาลูกค้าเพื่อให้ขึ้นรถ ฉันเปรียบเสมือบจุดศูนย์กลางที่กำลังดึงดูดให้ผู้คนแวะเวียนเข้ามา เพื่อเสนอราคาค่ารถ แน่นอนว่าฉันผู้มีปณิธานแน่วแน่ ว่าการที่จะ Go to Siemreap นั้น ราคารถต้องไม่เกิน 400 บาท หรือ 12$ คนไหนพูดเยอะกว่านี้ก็ไม่ขอรับข้อเสนอจ้า สุดท้ายได้ตกลงราคากับคุณนายหน้าแท็กซี่คนหนึ่ง ย้ำว่านายหน้า เพราะเขามิได้เป็นผู้ขับเอง พอตกลงราคาเขาถึงจะบอกว่า ผมไม่ใช่คนขับ และเขาก็พาไปอีกที่ ตกลงราคากันที่ 400 บาทขาดตัว ไม่บวกเพิ่ม ส่งถึงที่พัก และคุณนายหน้าก็พาฉันไปรอ ณ จุดขึ้นรถแห่งหนึ่ง
รอได้ 10 นาที คุณเจ้าหน้าที่แถวนั้นก็เชื้อชวนให้ขึ้นรถบัส ราคา 300 บาท ถูกขึ้นมาอีกหน่อย อีกอย่างมีคนต่างชาตินั่งรอขึ้นรถบัสอยู่จำนวนหนึ่ง ฉันจึงเปลี่ยนการเดินทางเป็นการเดินทางด้วยรถบัสแทน การรวมตัวกับแกงค์ชาวต่างชาติขึ้นรถบัสไปด้วยกันดูปลอดภัยดี
ถึงเวลาหยิบไฮไลท์ของการป้องกันตัวออกมา นั่นคือการมีบันทึกค่าเดินทางพร้อมหลักฐานประกอบ เพื่อเป็นการเน้นย้ำการตกลงราคาค่ารถที่ชัดเจน มีลายลักษณ์อักษร พร้อมลงนาม จะมาเรียกเก็บเงินเพิ่มนอกจากการตกลงกันมิได้นะ อย่างน้อยมีหลักฐานนี้ไว้ก็อุ่นใจ
ฉันและบรรดาเพื่อนต่างชาตินั่งรอรถบัสประมาณ 20 นาที รวมมีผู้ร่วมเดินทางประมาณ 10 คนได้ รวมกันเราอยู่ อย่าเพิ่งแยกหมู่ก่อนถึงเสียมเรียบกันนะทุกคน 555 จุดจอดปลายทางจะอยู่ที่ Walking street ใน Siemreap ซึ่งฉันจองโรงแรมไว้แถวๆนั้น ไว้ลงรถแล้วค่อยเปิดกูเกิ้ลแมพดูทางเอาแล้วกันนะ ผ.ผึ้ง
เวลา 14.30 น. ล้อทั้งสี่ของรถบัสก็หมุน
Let's go to Siemreap.
ระหว่างทางมองดูแล้วคล้ายๆเมืองไทย ต่างกันที่ภาษา มีร้านค้า บ้านเรือนคล้ายๆกัน ขับออกไปเรื่อยๆ สองข้างทางเริ่มเป็นป่า หญ้า สลับกับบ้านเรือนที่ไม่ได้ดูแออัดมากนัก เสียงแตรของรถบัสดังเป็นระยะๆเรื่อยทาง รถขาไปขับเลนขวา รถขามาขับเลนซ้าย ขับต่างกับบ้านของเราอยู่นะ ระยะเวลาการเดินทางสู่เสียมเรียบใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
มาครั้งนี้ใช้ซิมแบบ โรมมิ่ง ซื้อแพ็คเก็ตตั้งแต่อยู่ไทย ราคารวม VAT แล้วประมาณ 107 บาท ใช้ได้ 7 วัน
ระหว่างทาง "ปวดฉี่" ทำไงล่ะทีนี้ นอกจากอดทน 555 และไม่นานโชคชะตาก็เข้าข้าง คนขับแวะพักรถที่ร้านขายของแบบมินิ เป็นร้านขายของที่มีห้องน้ำ และร้านขายของคล้ายๆร้านชำ เหมือนกับว่าเป็นจุดนี้เป็นจุดที่มีการผูกขาดกันระหว่างร้านค้ากับรถบัส ผู้คนที่ลงไปโดนเชื้อชวนให้ซื้อของกันถ้วนหน้า ส่วนฉันที่มีน้ำในกระเพาะปัสสาวะอันล้นปริ่ม ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำทันใด ระหว่างชิ๊งฉ่องก็ยังมิวายที่จะเอี้ยหูฟัง อีกนิดหน้าก็จะแนบประตูห้องน้ำแล้ว สงบนิ่ง ฟังและฟังอย่างใจจดจ่อว่ารถบัสจะออกหรือยัง เขาจะรู้ไหมว่าฉันยังอยู่ในนี้ เสร็จธุระเป็นเรียบร้อยก็รีบเปิดประตูทันใด โชคดีที่หมู่มวลชนยังอยู่ ทุกคนยังไม่ทิ้งฉันไป แล้วฉันก็ถือโอกาสได้อุดหนุน Cola ฉบับกัมพูชาสักหน่อย ซ่าส์ไม่แพ้เป๊ปซี่หรือโค้กที่ไทยเลย ราคา 40 บาท บรรยากาศในร้านนอกจากขนม น้ำต่างๆที่มีขายแล้ว ยังมีผลไม้อีกด้วย ผลไม้ที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากประเทศไทยมากนัก คนขายชวนซื้อ ชวนชิม แถมคนขายเขาคิดว่าฉันมาจากจีน ปู๋ชื่อๆ หว่อชื่อไท่กั๋วเหริน
เดินทางต่อ ขณะนี้เวลา 17.04 น. ยังไม่ถึงเสียมเรียบเลย อีกนานไหมฉันก็ไม่รู้... บรรยากาศสองข้างทางเริ่มสงบ เย็น และยังคงมองเห็นทุ่งนา ป้า หญ้า ทั้งสองข้างทาง บ้านเรือน ผู้คน ฝูงวัว ฝูงควาย พาให้ชวนคิดถึงไทยมิใช่น้อย
เวลา 17.40 น. รถบัสจอดอีกครั้ง ครั้งนี้มีชายชาวกัมพูชาขึ้นรถมา พูดชวนให้เราทุกคนลงรถ เอ๊ะ! หรือนี่คือการปล้น มิใช่เลย เขาชวนลงไปขึ้นรถตุ๊กตุ๊กต่อไปยังโรงแรม ตอนแรกฉันก็คิดว่าเขาจะไปส่งใกล้ๆ Walking Street แต่ที่ไหนได้ เขาไปส่งชานเมืองหน่อยๆ แล้วให้นั่งรถตุ๊กตุ๊กต่อไปอีก ฉันผู้ยังตั้งหลักไม่ทัน ยืนอึ้งๆอยู่สักพัก เอาไงดี หรือจะแบกกระเป๋าแล้วเดินหาโรงแรม หรือจะไปขอแชร์ทริปกับชาวบ้านเขา ตั้งสติได้แล้วก็เปิดกูเกิ้ลแมพ ตั้งราคาในใจ ถามคนขับรถตุ๊กตุ๊กทันใด ถ้าไปโรงแรมนี้กี่บาท ถ้าเกิน 2$ ฉันจะเดินไป ฮ่าๆ สรุปว่าคุณพี่ตุ๊กตุ๊กบอกมาในราคา 2$ และจุดเริ่มต้นของการนั่งรถตุ๊กตุ๊กในกัมพูชาครั้งแรกก็เริ่มขึ้น คุณ Phally คนขับตุ๊กตุ๊กใจดี บอกว่าเขาทำงานร่วมกับคนไทย ไว้ใจผมได้ ภายใน 8 นาที ฉันก็ถึงที่พักอย่างปลอดภัย
ฉันพักที่โรงแรม Reaksmey Chanreas Hotel โรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง ราคาไม่แพงมาก อยู่แถวๆ Pub Street หรือ Walking Street บรรยากาศแถวนั้นเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา ฉันเก็บกระเป๋าเข้าห้องได้สักพักก็ลงมาเดินเล่นแถวๆ Pub Street ขนมมื้อแรกที่ได้ทานที่นี่คือ โรตีเขมร ราคา 1$ รสชาติพอได้ แต่ก็คิดถึงโรตีที่ไทยมากกว่า เดินไปสักพัก มองเห็น Yellow Noodle ราคา 1.5 $ ลองชิมแล้ว อร่อยดี อิ่มพุงไปหนึ่งมื้อ เดินเล่นสักพักก็กลับห้อง เตรียมตัว เตรียมเสื้อผ้า สำหรับวันรุ่งขึ้นที่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่
ถึงเวลาที่ Wonder Woman อย่างฉัน จะได้ ตะลุย
"Cambodia Kingdom"
เช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตื่น ไก่ยังไม่ขัน นกน้อยยังหลับใหล ในขณะที่ฉันต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่จุดหนึ่งห้า อาบน้ำ แต่งตัว พร้อมออกเดินทาง แผนการเดินทางของฉันวันนี้มีเป้าหมายหลักคือ การได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ณ ดินแดนเสียมเรียบแห่งนี้ เช้าวันนี้อากาศที่เสียมเรียบหนาวเป็นพิเศษ อุณหภูมิประมาณ 19 องศาเซลเซียสได้ อากาศ โชคดี วันนี้เป็นวันที่ดี แล้วฉันก็ออกเดินทาง
ก่อนออกเดินทาง ฉันขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ “พี่ตุ่ย” ถ้าออกเสียงเป็นภาษาจีนจะเป็นเสียงสาม หรือ พี่สิทธิชัย หรือ Mr.Sethy ตลอดทริปการเดินทาง ฉันเรียกพี่เขาว่า "พี่ตุ่ย" ชายกัมพูชาของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ เกิดที่พระตะบอง และโตมาทำงานที่เสียมเรียบ เคยทำงานที่บริษัทของไทย พี่เขาพูดไทยได้ ตลอดทริปนี้ พี่ตุ่ยจะเป็นผู้แว๊นตุ๊กตุ๊กพาฉันตะลุยเสียมเรียบตลอดวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น “พี่ตุ่ย” ผู้ที่จะพาฉันไปค้นหาความงดงามของเมืองเสียบเรียบ ประเทศกัมพูชา วันนี้พี่ตุ่ยนัดเวลา 4.45 น.เพื่อพบกัน
4.55 น. ตุ๊กตุ๊กล้อหมุน
ฟ้ามืด มองเห็นดาวส่องสว่าง ชัดเจน ระยิบระยับ ลมพัดตีหน้า อากาศหนาวเย็น หันมองวิวข้างทางยังมืดสลัว มองออกไปรอบนอกของรถตุ๊กตุ๊กที่มีพี่ตุ่ยเป็นคนขับ ความรู้สึกฉันเปรียบเสมือนตัวเองเป็นซินเดอเรล่า มือข้างหนึ่งถือโจ๊กคนอร์ที่ซื้อมาจากไทย เติมน้ำร้อนแล้ว พร้อมทานเป็นอาหารเช้าสำหรับวันนี้ ซินเดอเรล่าผู้ที่กำลังกินโจ๊กไปด้วย นั่งรถฟักทองไปด้วย บรรยากาศสุดคูลล์ อู้วหูว สบายใจ อิ่มพุงจริง หันมองดูรองเท้าตัวเองอีกครั้ง รองเท้ายังอยู่แฮะ โอ้ว! นี่ฉันไม่ได้ฝันไปนะ ฉันอยู่ที่นี่ ฉันอยู่กัมพูชาแล้ว ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านไปเป็นระยะๆ มองเห็นผู้คนนั่งรถตุ๊กตุ๊กแบบฉัน คิดในใจ พวกเขาคงจะมีเป้าหมายไปยังที่เดียวกันกับฉันแน่ๆเลย
จุดแวะแรก พี่ตุ่ยพาเริ่มต้นการทัวร์ Angkhor Wat ด้วยการไปซื้อบัตรเข้าชม เป็นบัตรแบบ One day ราคาค่าบัตร 37$ หรือประมาณ 1,280 บาท (เรทค่าเงิน US ตอนนั้น 1$ = 34.80 ฿) ช่วงนี้มีโปรโมชั่น One day แถม One day ซึ่งบัตรนี้สามารถเข้าชมได้ทุกๆปราสาทในกัมพูชาเลย สำหรับคนกัมพูชาเข้าชมฟรี
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จ พี่ตุ่ยก็รีบขับพาฉันไป "นครวัด" สถานที่แรกของวันนี้ ระหว่างทางไปนครวัด บรรยากาศยังดูมืดมิด มองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าเต็มไปหมด อากาศหนาวๆ เย็นๆ พี่ตุ่ยบอกว่า กัมพูชาไม่หนาวแบบนี้มานานแล้ว เพิ่งจะมาหนาวช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ผมเลยต้องหยิบเอาเสื้อกันหนาวตัวใหม่มาใช้เสียเลย เมื่อถึงนครวัดแล้ว บรรยากาศยังมืดอยู่ พี่ตุ่ยถึงกับต้องใช้ไฟเพื่อนำทางเดินไปด้วยกัน พวกเราเดินเข้าไปยังที่จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ระหว่างทางมองเห็นผู้คนทยอยไปชมพระอาทิตย์ขึ้นรวมทั้งฉันด้วย
ฉันผู้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น ณ นครวัด พี่ตุ่ยพาฉันไปหาจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น พี่ตุ่ยบอกว่าจุดนี้วิวดี แต่ดูแล้วคนเยอะจัง พี่ตุ่ยพาฉันไปอีกที่ที่เป็นมุมสูง วิวตรงนี้ก็ดีไปอีกแบบ ระหว่างรอพระอาทิตย์ขึ้น ฉันหยิบสมุดบันทึกธรรมชาติที่พกมา พร้อมสี ขึ้นมาบันทึกธรรมชาติ ณ นครวัดเสียหน่อย การได้มองด้วยตา ดีกว่ามองผ่านเลนส์กล้องจริงๆนะ ฉันใช้โอกาสนี้ในการได้มองแสง สี เสียง และสัมผัสความงดงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น สีแดงมาร์เจนต้าค่อยค่อยสาดส่องเปิดรับวันใหม่ สีเหลืองค่อยค่อยแทรก แสงและสีของธรรมชาติค่อยค่อยแปรเปลี่ยน การได้มองพระอาทิตย์ขึ้นจากวิวของนครวัดงดงามจนต้องบันทึกภาพไว้ในใจ มันงดงามมากจริงๆ ฉับโอบรับ โอบกอดความรู้สึกนี้ไว้ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกธรรมชาติของฉัน หากได้กลับมาอ่านอีกครั้ง ภาพ อารมณ์ และความรู้สึกนี้ก็ยังคงปรากฏอย่างชัดเจน
พี่ตุ่ยพาฉันเดินชมรอบๆนครวัด พาแวะถ่ายรูปตามจุดต่างๆ พี่ตุ่ยบอกว่าวันนี้แสงดีมากๆ ตั้งแต่มานครวัด และถ่ายรูปมาสองปี วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด และวันนี้ก็เป็นวันที่ดีที่สุดของฉันเช่นกัน ทุกทุกวันยังเป็นวันที่ดีของฉันเสมอ
นครวัดแห่งนี้เป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่มากๆ เป็นศาสนสถาน และเป็นสุสานเจดีย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 สร้างหลังจากเมืองยโสธรปุระ ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกก็จะชนกับเมืองยโสธรปุระ การเดินทางก็จะไม่สะดวก จึงต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ที่ปราสาทนครวัดมีคูน้ำล้อมรอบ เนื่องจากมีความเชื่อว่าคูน้ำเปรียบดั่งมหาสมุทร ส่วนกำแพงของนครวัดเปรียบเสมือนภูเขา และยอดปราสาทตรงกลาง เปรียบได้กับเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์เทพ ปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน มาครั้งนี้ฉันได้เข้าไปเพียงแค่ปราสาทชั้นที่ 2 เนื่องจากวันนี้เป็นวันพระ ทางนครวัดจะไม่อนุญาตให้เข้าไปยังปราสาทชั้นที่ 3 ได้
มีการบันทึกประวัติศาสตร์ไว้มากมายรอบด้านบนกำแพง พี่ตุ่ยพาฉันเดินชมรอบๆ พร้อมกับบอกว่า อยากให้ฉันได้ชมภาพ 360 องศา ของปราสาทนครวัด อยากให้ฉันได้เห็นมุมที่สวย พี่ตุ่ยยังบอกอีกว่า ปราสาทแห่งนี้เราก็ต้องค่อยๆมอง แต่ละด้าน แต่ละองศาก็งดงามไม่เหมือนกัน ก็เปรียบเสมือนคนเรา เราก็มีมุมที่เราสวยในแบบของเรา เมื่อเจอแล้วก็อย่าลืมที่จะบันทึกภาพไว้เป็นความทรงจำนะ ระหว่างเดินชมนครวัด พี่ตุ่ยก็บอกเล่าประวัติความเป็นมาของนครวัดให้ฉันได้ฟัง ฉันผู้ได้เกรดวิชาประวัติศาสตร์ไม่ดีมากนัก ก็พอจะได้ทบทวนความทรงจำสมัยเรียนมัธยม ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยวก็ได้อ่านประวัติของนครวัดไว้บ้างแล้ว และยิ่งมีคนท้องถิ่นมาเล่าให้ฟังอีก ยิ่งรู้สึกสนุก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้เรียนรู้ เพื่อเติบโต
สมัยก่อนคนเขมรหรือคนกัมพูชานับถือลัทธิเทวราช โดยมีความเชื่อว่ากษัตริย์ของกัมพูชาเป็นเทพเจ้าที่ลงมาเพื่อปกครองมนุษย์ เป็นคนของท่านพญายม จึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินว่าใครจะไปนรกหรือสวรรค์ และมีความเชื่อ 2 ข้อหลักที่จะทำให้ได้ไปสวรรค์ คือ ความซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์ และการตายในสนามรบ นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชาตินิยม และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาณาจักรกัมพูชาเข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ในเวลานั้น
อาณาจักรเขมรยิ่งใหญ่ แถมยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งธรรมชาติ ล้อมรอบของปราสาทนครวัด และปราสาทในละแวกเสียมเรียบเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี ผู้คนต่างชาติ รวมทั้งชาวกัมพูชาเองมารวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งนี้มากมาย มองเห็นหลายคนนั่งรถตุ๊กตุ๊กแบบฉัน ชาวต่างชาติส่วนมากเช่าจักรยานขี่ บางคนเช่ามอเตอร์ไซด์ขับ บางคนเลือกที่จะเดิน ปราสาทแต่ละที่ค่อนข้างอยู่ไกลกัน เพราะฉะนั้นอาจต้องคำนวนระยะเวลาการเดินทางด้วย จะได้เที่ยวอย่างคุ้มค่า
หลังจาก 9 โมง พวกเราเดินทางออกจากนครวัด พี่ตุ่ยบอกว่าจะพาไปปราสาทตาพรหมต่อ ปราสาทนี้เป็นปราสาทที่ถ่ายหนังฮอลลีวูด เป็นปราสาทที่มีต้นไม้และมีรากของต้นไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ รากไม้ใหญ่ บ่งบอกถึงกาลเวลาของการหยั่งรากลึก และความที่มีอยู่มาก่อนหน้านี้ ระหว่างทางผ่านปราสาทตาพรหม พี่ตุ่ยชวนให้ฉันได้แวะชมความสวยงามของปราสาทอื่นๆก่อนที่จะถึงปราสาทตาพรหมด้วย พี่ตุ่ยถามว่าอยากแวะไหม ฉันผู้ซึ่งมาแล้ว มาแล้วก็ต้องได้แวะชื่นชมความสวยงามของมรดกโลกที่เหล่าบรรพบุรุษแต่ก่อนกาลสร้างขึ้น ขอใช้คำว่าบรรพบุรุษ เพราะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเราก็เป็นบรรพบุรุษของเราด้วยกันทั้งนั้น ย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปี หลายร้อยปี ที่บรรพบุรุษท่านได้สร้างเมืองและปราสาทนี้ขึ้นมา ยิ่งนึกภาพย้อนกลับไป ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจ จากเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้ ก็ทำได้ จากเรื่องที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้ การได้มองเห็นความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ จากความเล็กๆน้อยๆสู่ความยิ่งใหญ่ จากความยิ่งใหญ่ สู่ความเสื่อมไปตามกาลเวลา สิ่งเหล่านี้ชวนเรากลับมามองสู่กฏของธรรมชาติ
พี่ตุ่ยพาฉันแวะ Kravan Temple สถานที่แห่งนี้คาดว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 10 สถานที่นี้มีเพียงฉันและพี่ตุ่ยเดินกันอยู่สองคน บรรยากาศเงียบสงบ สักพักก็มีนักท่องเที่ยวอื่นๆแวะเวียนเข้ามาชมความงามของปราสาทแห่งนี้ พวกเราอยู่ที่ Kravan Temple กันสักพัก พี่ตุ่ยก็พาฉันเดินทางต่อ
พี่ตุ่ยพาฉันไปแวะที่ Banteay Kdei ที่นี่เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ครั้งนี้พี่ตุ่ยจอดรถรอฉันอยู่ข้างนอก ฉันจึงได้มีโอกาสเดินเข้าไปเยี่ยมชมความงดงามของปราสาทแห่งนี้ด้วยตัวของฉันเอง ฉันมองเห็นซากปรักหักพังของโบราณสถานแห่งนี้ ร่องรอยของมอสเขียวที่เกาะอยู่บนหิน ต้นไม้สูงใหญ่ ภายในมีการบูรณะซ่อมแซมปราสาทอยู่ด้วย ระหว่างทางเข้ามีวงดนตรีบรรเลง เครื่องดนตรีคล้ายกับไทย มีทั้งซอด้วง ซออู้ ขิม กรับ ฉิ่ง ดนตรีบรรเลงเพลงเสียงดังเข้ามาถึงปราสาทด้านใน ผสานกับเสียงนกขับร้องประสานเสียงไปพร้อมๆกัน ช่วงเวลานี้มันช่างงดงามยิ่งนัก
ตุ๊กตุ๊กล้อหมุน พาพวกเราไปชมความงดงามกันที่ปราสาทตาพรม บริเวณป้ายทางเข้ามีเขียนคำว่า India Cambodia co-operation Project อยู่ ฉันเกิดความสงสัย จึงตั้งคำถามไปกับพี่ตุยว่า เห็นป้ายของแต่ละปราสาทมีประเทศอื่นที่ไม่ใช้กัมพูชาปรากฏอยู่บนป้าย ซึ่งป้ายแต่ละป้าย แต่ละประเทศที่มาร่วมกับกัมพูชาก็ไม่ซ้ำกัน ทำไมถึงมีธงชาติของประเทศอื่นมาร่วมกับกัมพูชาด้วยนะ พี่ตุ่ยชวนฉันคิดตาม “ที่แห่งนี้คือมรดกโลก ที่แห่งนี้เป็นสมบัติของทุกๆคน ไม่ใช่เพียงแต่เป็นสมบัติของประเทศกัมพูชา เพราะฉะนั้นแต่ละที่จึงมีหลากหลายชาติที่เข้ามาร่วมดูแล” ฉันฟังแล้ว รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้ เราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เราทุกคนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
ณ ปราสาทตาพรหม ความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะตัวปราสาทที่มีรากไม้ใหญ่ปกคลุม ยิ่งทำให้ดูตื่นตาตื่นใจ และจะมีหนึ่งมุมที่ผู้คนมักจะต้องได้ไปถ่ายรูป ณ สถานที่นั้น พี่ตุ่ยพูดกับฉันต่อว่า หลายๆคนที่มาที่นี่ก็อยากที่จะเก็บภาพประทับใจ และอยากจะได้ภาพจากมุมที่ถ่ายหนังฮอลลีวูด จึงทำให้มุมนั้นมีคนต่อคิวกันค่อนข้างเยอะ พี่ตุ่ยยังชวนคิดต่ออีกว่า หลายๆคนอยากได้ภาพตรงนั้น ผมเองก็อยากให้คุณบี (นามแฝงเวลาไปต่างประเทศ ฮ่าๆ เพราะชาวต่างชาติมักจะเรียกชื่อฉันไม่ค่อยถูกสำเนียงเท่าไร บางทีก็เผิง บางที่ก็ผุง บางทีก็ผืน ไม่ค่อยจะได้ยินชาวต่างชาติเรียก “ผึ้ง” แบบชัดๆ) ได้ถ่ายรูปที่มุมนั้นนะ เอาเป็นว่าเราจะรีบถ่าย เพื่อให้โอกาสคนอื่นได้ถ่ายรูปแบบเราบ้าง คุณบีคิดท่าไว้เลยนะ เมื่อไปถึงจุดถ่ายรูปไฮไลท์ของปราสาทตาพรม โชคดีมากที่ไม่ค่อยมีคน พี่ตุ่ยจึงแชะภาพให้ฉันได้สักพักไม่เกิน 1 นาที แล้วก็มีคณะทัวร์มาลง ฉันจึงออกมาจากจุดนั้น แล้วยืนมองผู้คนที่มีโอกาสแบบฉัน โอกาสไม่ได้อยู่กับเราเสมอไปหรอกนะ เมื่อมีโอกาสก็ทำให้ทำเต็มที่เสียเถิด และเมื่อมีโอกาสเป็นผู้ให้บ้าง โอกาสของความสุขก็จะมาหาเราเอง
หลังจากนั้นพี่ตุ่ยพาเข้าไปชมเจดีย์หนึ่งในปราสาทตาพรหม พร้อมกับชวนฉันทำท่าทุบอก พี่ตุ่ยทำให้ดูบอกว่า ลองฟังดีดี เวลาที่เราทุบอกจะมีเสียงสะท้อนในเจดีย์แห่งนี้ อันนี้ฮามาก ทุบอกไปประมาณ 3-4 รอบ พี่ตุ่ยบอกยังดังไม่พอ ทุบอีกๆ โอ้ย!!!! อกอีแป้นจะระเบิด ฮ่าๆ ทุบไปประมาณ 5-6 รอบได้ เอาเป็นว่าจบข่าว พี่ตุ่ยถ่ายคลิปไว้ให้ดูเป็นที่ระทึก เรื่องราวแห่งความอัศจรรย์ใจ ณ ดินแดนแห่งนี้ยังมีอีกมากมาย รอวันให้เราได้ค้นหา
ถึงเวลาออกเดินทาง พี่ตุ่ยพาฉันแวะต่อที่ Ta Keo Temple ครั้งนี้พี่ตุ่ยส่งแค่ทางเข้า แล้วให้ฉันเดินเข้าไปเอง ทางเข้าไปปราสาทท่าแก้ว เป็นทางเดินป่าประมาณ 500 เมตรได้ ระหว่างเดินมีความเปลี่ยว(ใจ) อยู่เล็กน้อย แต่ก็เดินไปจนถึงจุดหมาย วัดนี้ทางขึ้นค่อนข้างสูง แอบนึกไปถึงการปีนเขา เมื่อมาแล้วยังไงก็ต้องได้ขึ้นปราสาทไปชื่นชมความสวยงามสักหน่อย อากาศเริ่มร้อนขึ้น แนะนำว่าถ้ามีผู้สูงอายุมาอาจต้องระวัง เพราะอาจเป็น Heat stroke ได้ ควรพกน้ำดื่มจิบเป็นระยะๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำ ในละแวกนี้มีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะให้เราได้ใช้บริการ ฉันเดินทางกลับมายังจุดจอดรถที่พี่ตุ่ยจอดรออยู่ ฉันกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่มีหน้ามืดประการใด
ไปค่าพี่ตุ่ย (ออกเสียงในใจเหมือนกับโฆษณา ไปค่าพี่สุชาติ) ถนนหนทางเริ่มมีการบูรณะซ่อมแซม ดินลูกรังสีส้มฟุ้งกระจายเต็มท้องถนน ทางขึ้นเป็นโค้ง พี่ตุ่ยชวนให้ฉันได้เปลี่ยนฝั่งมานั่งทางคนขับ เพราะกลัวว่ารถตุ๊กตุ๊กจะขึ้นไม่ไหว ถ้านึกภาพไม่ออกให้ลองนึกถึงขับรถขึ้นโค้งเขาคิชฌกูฏสักหนึ่งโค้ง ฉันจึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าคว่ำเลยหนา และแล้วพวกเราก็ปลอดภัย ได้ไฮไลท์สีส้มติดผมเล็กน้อย ถึงจุดแวะอีกครั้ง สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า Chau Say Tevoda ฉันขอพี่ตุ่ยแวะอีกตามเคย ฉันใช้เวลาในการเยี่ยมชมความงามอยู่ประมาณ 20 นาที ก็เดินออกมาพบพี่ตุ่ย ณ จุดจอดรถ แล้วออกเดินทางต่อ
เกือบบ่ายโมงแล้ว อากาศร้อนเต็มที่ แถมกระเพาะอาหารของพี่ตุ่ยก็ยังส่งเสียงเรียก ส่วนฉันนั้นไม่หิวเท่าไรนัก เพราะได้กินกล้วยตากอาหารพลังงานสูงประทังชีวิตมาก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่ตุ่ยจึงถือโอกาสชวนฉันแวะพักทานข้าวก่อน พี่ตุ่ยพาแวะร้านอาหารแบบ Local Food ที่แท้ทรู อาหารมื้อนี้ประกอบไปด้วย หมูย่าง ปลาย่าง น้ำพริกมะขาม น้ำจิ้มมะขามแบบสุกแล้ว สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องยอมใจอ่อน ลองชิม พี่ตุ่ยสั่งข้าวมา 2 จาน สภาพจานข้าวคือเป็นข้าวจานที่พูนแบบพูนมาก หลังจากนั้นพี่ตุ่ยรีวิวอาหารมื้อนี้ด้วยภาษาไทยสลับกับภาษาเขมร พร้อมด้วยเจ้าของร้านก็มาช่วยร่วมขบวนการด้วย บรรยากาศวงทานอาหารกลางวันมื้อนั้น มันแฮปปี้มากๆเลยนะ จากข้าวพูนๆจาน ฉันกลับกินหมดจาน พี่ตุ่ยคงคิดในใจ ไหนว่าจะไม่กิน ฮ่าๆๆ มื้อนี้เลยได้โอกาสเลี้ยงอาหารพี่ตุ่ยไปด้วยเลย
กินข้าวอิ่ม พลังกายพร้อมเดินทางต่อ พวกเราไปต่อกันที่ Preah Palilay Temple ที่แห่งนี้มีต้นไม้สามต้นเรียงกันเป็นเอกลักษณ์อยู่บริเวณข้างๆปราสาท ธรรมชาติสร้างสรรค์ความงดงามมาให้เราเห็นอีกแล้ว ฉันเปิดประสาทสัมผัสกับความงดงาม ณ สถานที่แห่งนี้อย่างเต็มที่ และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี
ล้อหมุน... พี่ตุ่ยขับรถออกไป พาฉันแวะข้างทาง พลางกับบอกว่าพวกเรามีเวลาเหลือเฟือ ลองหยุดเพื่อฟังเรื่องราว ประวัติศาตร์ของที่แห่งนี้ดูก่อนไหม ด้วยความที่บรรยากาศเริ่มร้อน การได้หยุด นั่ง พัก มอง อยู่บนรถตุ๊กตุ๊กของพี่ตุ่ย ก็พาให้กายและใจได้พักยก พี่ตุ่ยเดินมานั่งที่รถตุ๊กตุ๊กด้านหลัง รถตุ๊กตุ๊กที่นี่ที่นั่งด้านหลังเป็นแบบหันหน้าชนกัน พี่ตุ่ยหันหน้าเข้าหาฉัน ฉันหันหน้าเข้าหาพี่ตุ่ย บรรยากาศโรแมนติกมาก ฮ่าๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มีรถแล่นผ่านไปมาอย่างเพียงไม่กี่คัน บรรยากาศไม่ได้ดูน่ากลัว ลมเริ่มพัดโชยให้ได้หายร้อน พี่ตุ่ยเริ่มต้นการเล่าเรื่องราวของดินแดนนครวัด นครธม เมืองมรดกโลกแห่งนี้ด้วยสายตาอันเป็นประกาย ฉันถึงกับต้องหยิบสมุดขึ้นมาจด แถมด้วยเรื่องราวของรามเกียรติ์ ประทับใจมากตอนที่พี่ตุ่ยบอกว่า เรื่องราวในรามเกียรติ์ บางทีก็แสดงให้เราเห็นว่า เรื่องบางอย่างที่เราเคยมองว่าถูกต้อง ก็อาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เรื่องราวมีหลากหลายมุมให้เราได้คิด คุณไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผมก็ได้ คนเราแตกต่างกัน เราคิดต่างกันได้อยู่แล้ว นั่นสินะ เรื่องราวในประวัติศาสตร์บางอย่างก็เช่นกัน บางทีเรื่องบางเรื่องที่ถูกจารึกไว้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่เรื่องจริงบางเรื่องกลับไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นพี่ตุ่ยพูดถึงกองทัพละโว้ที่เชื่อมโยงกับทหารของไทยเร เป็นภาพที่จารึกไว้ที่กำแพงของนครวัด พี่ตุ่ยบอกว่า จากการแต่งกายที่ไม่เหมือนกัน การไม่ได้ยืนตัวตรง หันหน้าทางเดียวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับทหารเขมร ก็มีการคาดเดาว่านี่คือทหารของไทย เป็นทหารที่มาจากกองทัพละโว้ การที่คนเรายืนหันซ้าย หันขวา และภาพประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แบบนั้น บางที่เหตุการณ์ในตอนนั้นอาจเป็นช่วงที่เขากำลังส่งข่าวกันอยู่ก็ได้ พี่ตุ่ยชวนฉันให้ได้คิดตาม พวกเรานั่งคุยกันบนรถตุ๊กตุ๊กประมาณ 30 นาที แล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปปราสาทบาปวน และปราสาทบายนต่อ
สถานีต่อไป ปราสาทบาปวน และปราสาทบายน
พี่ตุ่ยส่งฉันลงข้างทาง เพื่อให้ฉันได้เดินไปปราสาทบาปวนด้วยตนเอง และนัดพบกันที่ปราสาทบายน
ณ เวลา 13.47 น. แดดเปรี้ยงๆแผดเผา ฉันถึงกับต้องหยิบร่มมากางเพื่อเฝ้าระวังการเกิดศัตรูฝ้าบนใบหน้า ฉันเดินตรงไป ตรงไปเรื่อยๆ มองเห็นกำแพงด้านข้างที่กำลังบูรณะเป็นระยะทางยาว สักพักก็ถึงปราสาทบาปวนเสียที ทางเดินเข้าปราสาทบาปวนยิ่งใหญ่อลังการมาก ทางขึ้นปราสาทก็เช่นกัน เมื่อมาแล้วต้องได้ขึ้นไปชม โชคดีที่วิชาปีนเขาช่วยชีวิตจริงๆ การปีนขึ้นในครั้งนี้ค่อนข้างสูงกว่าปราสาทที่ผ่านมา ปีนขึ้นมาแล้ว ได้มีโอกาสมองลงไป ได้มองเห็นในมุมมองภาพกว้างๆ ก็จรรโลงใจไปอีกแบบ รู้สึกโล่ง รู้สึกอิสระ
เมื่อลงมาจากปราสาทบาปวน แล้วเลี้ยวไปทางขวาก็จะเป็นทางไปปราสาทบายนแล้ว ในขณะที่ฉันกำลังเดินไปที่นั่น เจอเจ้าลิงน้อยผู้น่ารักกำลังดูแลลูกน้อยอย่างทะนุทะนอม เห็นแล้วอบอุ่นดีจัง เดินไปอีกสักพักก็พบรอยยิ้มของชายหนุ่มปรากฎอยู่ด้านหน้า นั่นก็คือรอยยิ้มของพี่ตุ่ยนั่นเอง พี่ตุ่ยโบกมือทักราวกับว่าพี่มารอน้องอยู่นี่นะ พร้อมกับยิ้มให้
ปราสาทบายน ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปราสาทแห่งนี้มีเอกลักษณ์คือ บนยอดปราสาทจะมีหินที่แกะสลักมีใบหน้ารูปยิ้มเต็มไปหมด เมืองแห่งนี้เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม ฉันมองไปแล้วก็ยังยิ้มตามเลย พี่ตุ่ยพาเดินและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ณ ที่แห่งนี้ ชี้ชวนดูภาพเหตุการณ์ที่จารึกไว้บนกำแพง ฉันได้มองเรื่องราวลอยกระทงบนกำแพงหินที่แกะสลักด้วยนะ ประเพณีนี้มีมานานมากแล้ว รวมทั้งพี่ตุ่ยยังชี้ให้ดูภาพประทับใจอีกหลายๆภาพ เช่น ภาพการเล่นไก่ชน ภาพการปิ้งย่างบาร์บีคิว เรื่องราวต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นมาเนิ่นนานมากแว้ว เราผู้มาที่หลังก็มองด้วยความชื่นชม และมหัศจรรย์ใจในสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น
หลังจากชื่นชมความสวยงามของปราสาทบายนแล้ว พี่ตุ่ยบอกว่าพวกเรายังมีเวลาเหลือ ก่อนที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ปราสาทพนมบาแค็ง พี่ตุ่ยจึงเสนอไอเดียว่า เราจะกลับไปยังนครวัดอีกครั้ง เพื่อพาฉันไปตามหากองทัพละโว้ ฉันจึงไม่ขอปฏิเสธความหวังดีของพี่ตุ่ย จึงขอไปตามหากองทัพละโว้ โดยครั้งนี้พี่ตุ่ยไปส่งที่นครวัดอีกรอบ เนื่องจากรู้สึกเกรงใจพี่ตุ่ยเป็นอย่างสูง ฉันจึงเป็นผู้ที่จะไปตามหากองทัพละโว้ในปราสาทนครวัดด้วยตัวเอง พี่ตุ่ยอธิบายทางเดินเพื่อไปชื่นชมความกองทัพละโว้ลงในสมุดจดบันทึกของฉัน ฉันจึงเดินตามลายแทงนั้นไป ระหว่างทางยังมีเวลาได้ชื่นชมเรื่องราวบนกำแพงของนครวัดอีกรอบ คราวนี้ชื่นชมด้วยความรู้จริง ความเข้าใจ ทำให้รู้สึกมีอินเนอร์ไปด้วย และในที่สุดฉันก็พบแล้ว “กองทัพละโว้” ฉันหาเจอแล้ว ฉันใช้เวลาเดินทางบนเส้นทางประวัติศาสตร์อีกสักพัก จนถึงเวลาประมาณ 16.15 น. ฉันก็เดินทางกลับไปยังด้านหน้าของนครวัด เพื่อพบพี่ตุ่ย แล้วเดินทางต่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ปราสาทพนมบาแค็ง
ชมพระอาทิตย์ตกที่ปราสาทพนมบาแค็ง
ระยะเวลาการเดินทางจากนครวัดสู่ปราสาทพนมบาแค็ง ใช้เวลาประมาณ 15 นาที พี่ตุ่ยบอกว่าถ้าช่วงเทศกาลอย่าได้มาเลย รถติดหนักมาก อาจใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมงได้ การเดินทางไปปราสาทพนมบาแค็งจะต้องจอดรถไว้ที่ข้างทาง แล้วเดินเท้าต่อขึ้นไปยังปราสาท การเดินทางมีลักษณะคล้ายๆกับการปีนเขาแบบย่อมๆ ต้องใช้เวลาเดินประมาณเกือบๆ 20-30 นาทีได้ สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินก็มีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้ได้ใช้บริการ ราคาประมาณ 300 บาท
ถึงแล้วปราสาทพนมบาแค็ง ที่นี่ไม่อนุญาตให้สตรีมีครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีขึ้น ก่อนหน้านี้มีการจำกัดคนขึ้นไปบนปราสาทไม่เกิน 300 คน แต่ตอนนี้พี่ตุ่ยบอกว่าไม่จำกัดคนขึ้นแล้ว ผู้คนหนาแน่นเริ่มเดินทางมาจับจองพื้นที่ด้านบน ผู้คนมากมายมารอชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน บรรยากาศยามเย็นที่นี่ช่างงดงาม มองเห็นวิวของนครวัดด้วย มองเห็นเมืองเสียมเรียบแบบมุมมองเบิร์ดวิว พระอาทิตย์ดวงโตกลมใหญ่กำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว ทุกคนใจจดใจจ่อ แสงสีของท้องฟ้าค่อยๆแปรเปลี่ยน จากเริ่มต้นวันใหม่ สู่การจบลง พระอาทิตย์โบกมือลาลับ ฉันได้ยินเสียงปรบมือ น่าจะเป็นสัญญาณของการบอกว่าหมดเวลาการท่องเที่ยวปราสาทในวันนี้แล้ว ฉันใช้เวลาอยู่บนยอดปราสาทพนมบาแค็งอีกสักพัก และเดินทางกลับ
บรรยากาศเริ่มมืดครึ้ม แต่สองข้างทางดูคึกคัก พี่ตุ่ยบิดรถตุ๊กตุ๊กพาฉันกลับไปที่พัก ระหว่างทางได้ชื่นชมแสง สี เสียง แห่งเมืองเสียมเรียบ ตอนนี้ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว ที่นี่ประดับไฟสวยงาม มีเสียงเพลง มีผู้คนมากมาย เสียงรถ เสียงแตรอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเสียมเรียบดังเป็นจังหวะ จนตอนนี้ฉันรู้สึกชินไปแล้ว สักพักรถจอดติดไฟแดง คนขับตุ๊กตุ๊กข้างๆส่งภาษาเขมรถึงพี่ตุ่ย น่าจะถามพี่ตุ่ยว่าฉันมาจากประเทศอะไร พอพี่ตุ่ยบอกว่า “คนไทย” พี่คนขับตุ๊กตุ๊กอีกคันถึงกับใช้ภาษาไทย แล้วถามฉันว่า “ไปตลาดกันไหม” ฉันเลยชวนพี่เขากลับเป็นภาษาใต้ “ไปลาดหม่าย” พาเรียกเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มของผู้โดยสารบนรถ รวมทั้งพี่คนขับได้เป็นอย่างดี รถแล่นไปได้อีกสักพัก ฉันก็ถึงจุดหมาย
ในระยะเวลาเกือบหนึ่งวันของวันนี้ ฉันมีพี่ตุ่ยเป็นเพื่อนร่วมทาง พี่ตุ่ย ผู้พาฉันไปนู่นนี่ ขับรถให้ พาแวะเที่ยว กินข้าว ถ่ายรูป แถมด้วยการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของกัมพูชามากมายให้ฉันได้ฟัง หมดไปแล้วหนึ่งวันกับการทัวร์เสียมเรียบ เมืองแห่งมรดกโลก ฉันกล่าวขอบคุณพี่ตุ่ย ส่วนพี่ตุ่ยก็อวยพรฉันเป็นภาษาไทย พวกเราถ่ายภาพร่วมกันก่อนแยกย้าย เก็บภาพไว้เป็นความทรงจำสักหน่อย พวกเรายิ้มให้กันก่อนแยกย้าย วันนี้งดงามมากจริงๆ ขอบคุณพี่ตุ่ยมากๆนะคะ
ถ้าเพื่อนๆอยากมาเที่ยวแล้วอยากใช้บริการพี่ตุ่ย ติดต่อได้ในเพจ Facebook ของพี่ตุ่ยได้เลยค่า
เพจ Tuk Tuk Angkor Cambodia โทร +855 99 990 969 หรือ [email protected]
กลับไปพักยกที่โรงแรม 5 นาที แล้วไปต่อ...
ฉันกลับมาเก็บของที่โรงแรมประมาณ 5 นาที ก็ถือโอกาสไปแวะเวียนเดินเล่นตลาดคนเดินในเวลายามค่ำคืนสักหน่อย Pub Street ที่แห่งนี้คล้ายกับถนนข้าวสาร บรรยากาศคึกคัก ผู้คนไม่หนาแน่นมากนัก แวะซื้อของที่ระลึกสักเล็กน้อย แวะซื้อโปสการ์ด แล้วส่งโปสการ์ดกลับไทย ส่งกลับไปหาตัวเองนี่ล่ะ หวังว่าเราจะได้เจอกันที่ไทยนะ “โปสการ์ดของฉัน” และสุดท้ายแวะหาซื้อตั๋วรถบัสกลับปอยเปต ได้ตั๋วรถราคา 10 $ ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ รถออกตอน 7.30 น. ร้านขายตั๋วอยู่ตรงข้ามกับ Bank of Cambodia ใกล้ Pub Street
วันนี้คุ้มค่า งดงาม และยาวนานสำหรับฉันมากจริงๆ บันทึกครั้งนี้จึงเป็นบันทึกที่เยอะเป็นพิเศษ เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะฉันมาที่นี่ได้ ฉันก็อาศัยประสบการณ์การถ่ายทอดจากเพื่อนๆเช่นเดียวกัน บันทึกครั้งนี้จึงเป็นบันทึกทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และเรื่องราวที่อยากเล่าสู่กันฟัง ถือเป็น Reflective Journey ของฉัน เมื่อออกเดินทางทีไร มีเรื่องเล่าทุกที เรื่องเล่าที่สะท้อนภายในสู่ภายนอก เรื่องเล่าที่พาให้ฉันได้เป็นตัวเอกของเรื่อง เรื่องราวเหล่านี้พาให้หัวใจของฉันเบิกบาน
- ราตรีสวัสดิ์ -
วันที่ 3 ของการอยู่ที่กัมพูชา ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับ
ฉันเลือกที่จะโดยสารโดยรถบัส เพราะราคาไม่แพงมากเกินไป และที่สำคัญคือน่าจะดูปลอดภัยกว่าด้วย คนขายตั๋วบอกว่ารถบัสจะมารับที่โรงแรม เวลา 7.30 น. ขอให้ลงมารอที่ล็อบบี้ (ถ้าราคาแท็กซี่แบบแชร์กับคนอื่นจะราคา 15$ แพงเกินไป)
ณ เวลาเช้าตรู่ 7.30 น. คนขับรถบัสก็ยังไม่มา รอ ผ่านไป 10 นาที ก็ยังไม่มาสักที วุ่นวายใจ "เขาจะลืมมารับเราไหมนะ" สักพักก็ตัดสินใจให้พนักงานโรงแรมช่วยโทรหาคนขับรถบัสให้ ปรากฏว่าโทรไม่ติด โทรศัพท์ปิดเครื่อง ทำไงดี ในใจเริ่มว้าวุ่นอีกชั่วขณะ งั้นโทรหาคนขายตั๋วนี่ล่ะ โทรเบอร์ที่หนึ่ง ปิดเครื่อง ใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม โทรเบอร์ที่สอง รับสาย เลือดสูบฉีด พาหัวใจกลับมาชุ่มฉ่ำอีกครั้ง เขาบอกว่าประมาณ 8 โมงจะมีรถมารับ ถ้าไม่มีโทรหาเขาอีกที
"แล้วถ้าไม่มีรถมารับล่ะ" ความคิดก็แล่นไกลเถลไถลไปอีก เจ้าจงหยุดความคิดนั้นเสียเถิด แล้วกลับมา นั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปประมาณ 10 นาที มีชายหนุ่มที่ความหล่อถูกเหลาด้วยกบเหลา ไม่มีเคราแต่คมเข้ม เดินมาพูดภาษาเขมรกับพนักงานหน้าเคาเตอร์โรงแรม ในใจฉันคิดแล้วล่ะ ว่าต้องเป็นสุภาพบุรุษขับรถบัสมาแน่ๆ และแล้วก็ใช่จริงๆด้วย เย้ๆ ดีใจ หัวใจเต้นระบำไปพร้อมๆกับนางอัปสรที่กำลังเริงระบำอยู่ในรูปภาพข้างๆผนัง ฉันรีบแสดงตัวว่าฉันนี่ล่ะ ฉันนี่ล่ะที่จะขึ้นรถบัสของเขา พี่สุภาพบุรุษไม่รอช้าคว้ากระเป๋าฉันออกไปทันใด ออกประตูไป ไหนกันนะรถบัส และแล้วพี่ชายผู้นั้นก็ผายมือไปยังรถตุ๊กตุ๊ก พร้อมกับบนรถตุ๊กตุ๊กมีหญิงสาวชาวต่างชาติ 2 คน พร้อมกับสัมภาระมากมายบนรถ ฉันได้นั่งบริเวณที่เบาะข้างๆที่เหลือ พวกเราทั้ง 3 คน หันหน้าชนกัน พรางได้พูดคุยแลกเปลี่ยนการเดินทางในกัมพูชาร่วมกันสักเล็กน้อย เพื่อนทั้งสองมาใช้ชีวิตที่กัมพูชาได้ 2 สัปดาห์แล้ว และยังคงสนุกกับการเดินทางเสมอ ซึ่งจุดหมายต่อไปของเพื่อนคือกรุงเทพมหานคร มีเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มขึ้นอีกแล้วล่ะสิ
คนขับตุ๊กตุ๊กพาพวกเราไปจอดที่ร้านอาหารอีกที่หนึ่ง แล้วพาพวกเรามารอที่นี่ คิดไว้แล้วว่าคงไม่ได้นั่งตุ๊กตุ๊กไปถึงปอยเปตหรอก ไม่งั้นหน้าดำ ผมแดง ขนในรูจมูกคลุกฝุ่นแน่แน่ กระเป๋าเดินทางมากมายถูกกิงรวมกัน รวมทั้งกระเป๋าสีส้มใบโตของฉันด้วย รออีกไม่นาน ก็มีรถบัสคันโตสีแดงมาจอดหน้าร้าน ไม่รู้ว่าโลกกลมหรือพรมลิขิต ฉันได้นั่งรถบัสคันเดิม คนขับคนเดิม บีบแตรเก่งและดังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเพื่อนร่วมทางไปปอยเปตมีมากขึ้น และส่วนมากกำลังมุ่งหน้าไปประเทศไทย สมาชิกร่วมทางบนรถบัสครั้งนี้เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด น่าจะประมาณ 20 คนได้ รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยขึ้นมาในระดับหนึ่ง
ระหว่างที่เดินทางกลับสู่ปอยเปต ก็บันทึกการเดินทางไปด้วย บันทึก ณ ตอนนี้ เวลานี้ สะท้อนความรู้สึก สะท้อนความนึกคิดของตัวเองผ่านตัวหนังสือ การเดินทางคนเดียวจึงไม่ใช่เรื่องเหงา การได้มองเห็นผู้คน บ้านเรือน วิถีความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชา สำคัญที่สุดคือการได้มองเห็นตัวเอง ได้ฝึกจับความคิดตัวเองเป็นระยะๆ ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกับคนอื่นๆ เสน่ห์ของการเดินทางมันอยู่ตรงนี้ล่ะ
ข้ามผ่านด่าน ตม. ปอยเปต อีกครั้งใจมันตุ้มๆต่อมๆ ระหว่างต่อคิว มองเห็นคนข้างหน้า หยิบแบงค์ 100 จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ ตม. โอ้ยๆ ฉันต้องจ่ายเงินไหมเนี่ย
พอถึงคิว ฉันยื่นพาสปอร์ต 2 เล่มเหมือนเดิม ทั้งเล่มเก่าและเล่มใหม่ เจ้าหน้าที่มองหน้าฉันสักพัก ด้วยสีหน้าเข้ม เงียบเป็นพักใหญ่ แล้วถึงจะบอกให้ฉันสแกนนิ้ว ตอนนั้นคิดว่าต้องรอดแล้ว แล้วก็รอดจริงๆ ไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆ ฉันเดินข้ามด่านแบบสวยๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น ย้ำ! ว่าที่ด่านไม่เสียเงินนะ
เดินเข้าสู่อ้อมกอดของประเทศไทย ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาแทนที่
ถึงไทยแล้ว ก็แวะอะไรทานสักพัก ก็เดินทางกลับ ครั้งนี้ฉันเดินทางกลับด้วย บขส. เดินทางไปที่ บขส.อรัญประเทศ ขึ้นรถมินิบัสของ บขส. ระหว่างรอรถได้มีโอกาสทำความรู้จักกับพี่พนักงานดูแลของ บขส. พี่เขาชื่อ “ที” พี่ทีเป็นคนกัมพูชาแท้ๆ ข้ามมาทำงานที่ไทย ทำมาประมาณ 30 กว่าปีแล้ว พอพี่ทีรู้ว่าฉันไปเที่ยวกัมพูชามา พี่ทีถึงกับมานั่งคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในดินแดนเขมรให้ฉันฟังอยู่ยกใหญ่ แถมด้วยให้คุยกับน้องสาวแท้ๆของเขาที่อยู่พนมเปญ เลยได้โอกาสถามเกี่ยวกับอาหารสุดนิยมของชาวเขมร ได้เมนูมาดังนี้
- Sun dried claim
- Steam baby duck egg
- Somlo koko soup
- Fish paste fried
- Cambodia Amok
แน่นอนว่าอาหารทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ ฉันยังไม่เคยได้สัมผัส ไว้มีโอกาสอีก จะไปลองชิมแน่นอน
ถึงเวลาคุณมินิบัส บขส. ล้อหมุน ฉันกล่าวสวัสดีและกล่าวคำลากับพี่ที แถมพี่ทียังบอกอีกว่า ถ้าจะมาเขมรอีกให้บอกพี่ทีได้ พี่ทีจะช่วยดูเรื่องรถ และการเดินทางในเขมรให้ พี่ทีมาส่งที่รถ และอวยพรให้ฉันด้วยนะ มิตรภาพจากคนที่เพิ่งได้รู้จักกันงดงามอีกแล้ว
ระหว่างนั่งรถมินิบัทสุดคูลของ บขส. ฉันผู้ใช้บริการคุณ GPS ซึ่งได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า จากสระแก้วถึงสมุทรปราการ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. แต่คุณบขส.กลัวเรานั่งไม่คุ้ม พาฉันนั่งไปด้วยนานถึง 6 ชั่วโมง ตูดชากันไปเลยจ้า
ถึงบ้าน 20.45 น.
เข้าบ้าน สวัสดีพ่อกับแม่ ตะโกนด้วยความสุข “หนูกลับมาแล้วจ้า กลับมาด้วยความปลอดภัย”
กลับบ้านมาแล้วก็กินข้าวฝีมือแม่ดีกว่า แกงส้มมะละกออร่อยมาก ต้มยำก็อร่อยสุดๆไปเลยจ้า
Bee Reflective Journal
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 21.18 น.