จาริกหิมาลัย

สวัสดี Everest ผึ้งอยู่นี่แล้วนะ

การเดินทางออกไปยังต่างบ้านต่างเมืองในครั้งนี้ มันคือประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับฉัน เพราะมันคือการเดินทางไปยัง Everest Base Camp ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งในชีวิตที่ฉันอยากทำให้สำเร็จ

การเดินทางเข้าสู่อ้อมกอดของหิมาลัย ทำให้ตัวฉัน ได้ใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ลดอัตราความเป็นตัวเอง ลดความโอหัง ใจก็เปิดกว้างมากขึ้น เปิดประสาทสัมผัสกับธรรมชาติรอบตัว

ภาพของเทือกเขาหิมาลัยสลับซับซ้อน ประกอบกับอากาศที่เบาบาง ความหนาวเย็น ยะเยือก และความแร้นแค้น ล้วนเตือนให้ฉันได้ตระหนักถึงตำแหน่งแห่งตนมากยิ่งขึ้น ฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร ฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติ

การเดินทางครั้งนี้ ฉันมามาด้วยใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อเทือกเขาหิมาลัย ฉันมาเพื่อที่จะเรียนรู้เรียนรู้จากธรรมชาติ การออกเดินเท้าในครั้งนี้เป็นการเดินเท้าที่เป็นการเดินทางไกลมากที่สุดในชีวิตของฉันก็ว่าได้ มาครั้งนี้ฉันไม่ได้มาเพียงเพื่อแค่จะปีนเขา แต่ฉันมาเพื่อปีนภูเขาในใจของฉัน และเรียนรู้ด้านในของตัวเองผ่านธรรมชาติที่สร้างขึ้น

ครั้งหนึ่งในชีวิตของครั้งนี้เป็นครั้งที่น่าจดจำ การเดินทางขึ้นสู่ภูเขาสูงใหญ่ นี่คือการเดินทางที่ฉันรู้สึกเติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์ขึ้น รู้สึกเต็มอิ่มที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ณ เทือกเขาหิมาลัย มันมีอะไรบางอย่างในความเป็นหิมาลัยเข้ามาแทรกซึมในเนื้อในตัวของฉันตลอดระยะเวลาของการเดินทาง

ถึงแม้ว่า การเดินทางครั้งนี้ต้องต้านกับแรงโน้มถ่วงของโลก มันก็ยิ่งทำให้ฉันได้ตระหนักถึงจังหวะของการก้าวขา จังหวะของลมหายใจที่สอดคล้องกับร่างกาย จังหวะของการปรับกายและใจให้สอดคล้องกันเป็นหนึ่ง เชื่อมโยงกับธรรมชาติรอบตัวมากยิ่งขึ้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางด้วยหัวใจที่เปลี่ยนไปจากเดิม และฉันก็มองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเช่นกัน

ในช่วงเริ่มต้นของการออกเดินทางฉันยังรู้สึกกังวลใจ กลัว ไม่กล้า กลัวผิดหวัง กลัวจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ความกลัวนั้นทำให้ฉันค่อยๆ เปิดประตูแล้วออกเดินทางไปเผชิญกับมัน

ดังนั้นฉันจึงถือว่าการเดินทางในครั้งนี้คือการจาริกหิมาลัย ซึ่งการเดินทางที่เป็นอิสระจากความคาดหวัง เรียนรู้จากบทเรียนชีวิตผ่านการเดินทางในครั้งนี้ ยอมรับทุกย่างก้าวของทั้งกายและใจ จึงทำให้ใส่ใจการก้าวเดิน มากกว่าการไปให้ถึง

ณ บัดนี้ การเดินทางได้เริ่มขึ้นแล้ว

"การเดินทางสู่ความไม่รู้"


Day 1

สมุทรปราการ-กาฐมาณฑุ

ครั้งนี้เป็นการออกเดินทางคนเดียว เป็น Solo trip ที่ออกไปค้นหามิตรภาพระหว่างทาง ระหว่างนั่งรอขึ้นเครื่อง มิตรภาพระหว่างทางก็เกิดขึ้นแล้วล่ะ

ฉันมองเห็นชายหนุ่มหน้าเข้ม มีเคราที่คาง ข้างกายมีกระเป๋า duffle bag สีเหลืองตั้งอยู่ หน้าตาของเขาดูคุ้นชินยิ่งนัก ฉันจึงมองและสังเกตอย่างละเอียดมากขึ้น และก็พบว่าเขาคนนั้นคือพี่กาแฟ พี่กาแฟเป็นคน ที่ฉันเคยไปปีนเขาที่จีนด้วย ตอนนั้นก็เป็นการเดินทางคนเดียวของฉันเช่นเดียวกัน

พี่กาแฟกำลังนั่งรอขึ้นเครื่องเพื่อบินไปยังเนปาลเช่นเดียวกับฉัน ณ สายการบินเดียวกัน เป็นเรื่องบังเอิญมากๆเพราะพวกเราไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนหน้านี้ แต่เราก็มาเจอกันที่นี่ ฉันจึงเอ่ยปากทักพี่กาแฟไปด้วยความตื่นเต้น แถมดีใจ และก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับทริปการเดินทางที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ พี่กาแฟรีบถ่ายทอดประสบการณ์การเดินไปยังฐานค่ายเอเวอเรสต์ ที่พี่เค้าเพิ่งผ่านประสบการณ์มาเมื่อปลายเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว แววตาฉันเป็นประกายและเรียนรู้จากประสบการณ์ของพี่เขา ครั้งนี้พี่กาแฟเลือกที่จะไป Mera peak ซึ่งความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มากกว่า 6000 เมตร และมีเป้าหมายว่าอยากพิชิตยอดเอเวอเรสต์ให้ได้ พี่แม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะ

พวกเราเดินขึ้นเจ้านกยักษ์ พร้อมกัน

หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปนั่งยังที่ของตัวเอง การเดินทางครั้งนี้บนสายการบินของเนปาลแอร์ไลน์ ผู้โดยสารในเครื่องประกอบไปด้วยคนไทยมากกว่าครึ่งลำ ซึ่งดูจากภาพที่เห็นแล้วดูเหมือนว่าทุกคนกำลังไปพิชิตและพาตัวเองไปสู่อ้อมกอดของหิมาลัยกันทั้งนั้น เท่าที่ได้ยินการพูดคุยบนเครื่อง ดูเหมือนมากว่า 50% มีเป้าหมายอยู่ที่ ABC ส่วนฉันน่ะเหรอ EBC is calling me จ้า

ครั้งนี้ฉันนั่งข้างหน้าต่าง ข้างข้างของฉันก็เป็นคนไทยทั้งสองคน หลังจากที่เครื่องบินออกตัวได้สักพักแล้ว บทสนทนาและมิตรภาพระหว่างทางก็เกิดขึ้นอีก ฉันได้รู้จักกับฟ้า และข้างๆฟ้าก็คือแฟนของฟ้า ทั้งสองมีเป้าหมายว่าจะไป trekking route ABC พอได้รู้ว่าแต่ละคนก็มีเป้าหมายไปสู่อ้อมกอดของหิมาลัยด้วยกัน บทสนทนาบนเครื่องเป็นบทสนทนาร่วมกันมากกว่า 1 ชั่วโมง จนกระทั่งเข้าสู่สนามบิน ณ กาฐมาณฑุ อย่างเป็นทางการ

เข้าสู่เขตน่านฟ้าของเนปาลอย่างเป็นทางการ

เมื่อถึงเนปาล ฉันรีบเปลี่ยนซิมเป็นซิม Ready to fly ใช้งานได้ 10 วัน แต่ถ้าขึ้นเขาไปก็คงไม่มีสัญญาณ แต่ก็คิดว่าเปลี่ยนซิมเพื่อให้อุ่นใจว่าจะเจอไกด์เนปาล มารับที่สนามบิน

ตอนนี้เวลาประมาณเกือบสองทุ่มได้ เวลาที่เนปาลช้ากว่า เวลาที่ไทยประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที หลังจากที่ลงเครื่องได้ไม่นานรับกระเป๋าเสร็จแล้ว ก็รีบโทรหาไกด์ชาวเนปาลทันที

สภาพของฉันกำลังเดินลงบันไดเลื่อน ชายหนุ่มหน้าเข้ม ที่รออยู่ด้านล่าง ยิ้มให้ฉัน พร้อมกับชูป้ายที่มีชื่อของฉันติดอยู่ ในมือของเขามีพวงมาลัยดาวเรือง เค้าโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ฉันเดินไปหา เขาคนนั้นคือ Ram ไกด์ของฉันเอง ฉันแอบรู้สึกสงสัยว่าทำไม Ram ถึงจำฉันได้ ทั้งๆที่ เค้าเองก็ไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อน แต่อย่างน้อยเขาก็มีชื่อของฉันเขียนไว้ที่บอร์ด คงไม่ใช่มิจฉาชีพหรอกน่า

Ram ช่วยฉันเข็นกระเป๋าใบใหญ่ไปที่รถที่จอดรออยู่ด้านนอก บรรยากาศในเมืองกาฐมาณฑุ ดูวุ่นวายไม่ใช่น้อย ระหว่างทางที่นั่งรถ ฉันจึงเอ่ยปากถาม Ram ว่าคุณจำฉันได้อย่างไร เค้าก็เลยบอกว่าดูจากพาสปอร์ตที่ส่งมาให้ไง ลืมบอกไปว่าฉันต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตให้กับ Ram ก่อนหน้านี้ เพื่อที่ Ram จะได้จองตั๋วเครื่องบินเพื่อบินไปยังเมืองลุกลา ในวันรุ่งขึ้น

อย่างที่บอกนั่นแหละ บรรยากาศในเมืองกาฐมาณฑุ ยังคงดูคึกคักถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว เสียงเสียงแตรรถดังอยู่ตลอดเวลา ผู้คนเดินกันเหมือนมองไม่เห็นรถ แต่ยังดีที่คนขับต้องมองเห็น เพราะไม่อย่างนั้นคงจะเกิดอุบัติเหตุเต็มไปหมด แต่ก็แปลกดีถึงแม้ว่าคนจะเดินไปเดินมา รถก็ต้องขับไปขับมา แต่ก็แทบไม่เห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเลย

ฉันมองเห็นอาคารบ้านเรือนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตึกสูงๆซะส่วนใหญ่ อาคารบ้านเรือนของที่นี่ดูติดติดกัน เมื่อรถขับมาถึงในตัวเมืองทาเมล ซึ่งเป็นย่านที่ เหล่าบรรดานักปีนเขา จะมาซื้อของสำหรับการเตรียมตัวเพื่อปีนเขา ฉันก็อยากจะหาซื้อรองเท้าเดินป่าสักคู่ เหมือนกัน เพราะรองเท้าที่เตรียมมาเป็นเพียงรองเท้าวิ่งเทรลธรรมดาๆ แต่พอถึงเวลาจริง เมื่อถึงโรงแรม ฉันก็รู้สึกขี้เกียจที่จะเดินออกมา ช้อปปิ้งในเวลายามค่ำคืนแล้ว ขอพักก่อนดีกว่า

การเดินทางครั้งนี้ฉันมาร่วม join trip กับทีมคนไทยอีก 8 คน ที่ออกเดินทางมาก่อนหน้านี้ พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน คือ การมุ่งไปสู่ ณ ที่ตั้งของฐานของเอเวอเรสต์เบสแคมป์ EBC

Ram พาฉันไปพบกับเพื่อนร่วมทีม สองคนแรกที่ฉันเจอ ก็คือ พี่ตึ๋ง และพี่สม ความประทับใจแรกก็เกิดขึ้น เนื่องจากฉันบอกกับ Ram มาก่อนว่าฉันอยากจะออกไปซื้อรองเท้าเดินป่าในย่านทาเมลก่อนเริ่มทริป พี่ตึ๋งจึงรีบบอกทันใด “เอารองเท้าพี่ไปใช้ก่อน ไม่ต้องซื้อ พี่เอามาสองคู่” ในใจฉันกับคิดว่าคนอะไรว่ะเอารองเท้ามาตั้งสองคู่ แต่ก็ขอบคุณพี่ตึ๋งมากๆนะคะ สรุปสุดท้ายแล้วหลังจากที่ฉันได้ลองใส่รองเท้าของพี่ตึ๋ง มันดูค่อนข้างหลวมไป ฉันจึงรู้สึกว่าฉันมั่นใจที่จะใส่รองเท้าของฉัน คือ น้องพิงกี้คู่นี้ไปพิชิต Everest Base Camp ให้ได้ แต่ฉันคงต้องอาศัยการประคองตัวเองให้ดีที่สุด เนื่องจากรองเท้าคู่นี้ อาจไม่เหมาะกับการเดินทางเช่นนี้ เนื่องจากหนทางเป็นหินและมีความ ขรุขระ อาจทำให้เกิดข้อเท้าพลิกได้ ฉันจึงคิดว่า ฉันอยากพยายามด้วยความเป็นตัวฉันเสียก่อน หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนคู่ใหม่จริงๆ ฉันวางแผนว่าจะไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ที่ Namche

สรุปว่าคืนนั้นฉันเลยไม่ต้องออกไปซื้อรองเท้า ฉันจึงเตรียมตัวนอน เนื่องจากฉันต้องตื่นตีสอง เพื่อออกเดินทางนั่งรถไปยังสนามบิน Ramechhap เพื่อบินไปยังสนามบิน Lukla คืนนี้ฉันก็ได้พบกับรูมเมทของฉัน เธอชื่อพี่ปิ๊ง ครั้นเมื่อเปิดประตูเข้าห้องไป พี่ปิ๊งยังไม่นอน พี่ปิ๊ง บอกฉันว่าตามสบายเลยนะ รีบจัดของแล้วรีบนอนล่ะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันเช้าตรู่ ฉันจัดของได้สักพัก ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็เข้านอน

Day2

จากตัวเมืองกาฐมาณฑุ 1,400 m

สู่ Lukla 2,860 m

เนื่องจากนโยบายการจัดการเที่ยวบินของเนปาลเปลี่ยนไป ทำให้พวกเราต้องขึ้นเครื่องจาก Ramechhap ไปยังสนามบิน Lukla พวกเราเดินทางไปสู่ Ramechhap โดยรถตู้ โดย Ram บอกว่าใช้เวลานั่งรถประมาณ 4-5 ชั่วโมง ทางดีอยู่ ไม่ต้องกังวลใจ และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้นในเวลาตีสองครึ่ง ฉันได้พบกับเพื่อนร่วมทริปอีก 5 คน ประกอบไปด้วย พี่ต้อง พี่กุ้ง ฟัก บัว และน้อย ดูเหมือนว่า Energy ของพวกเราทั้ง 9 คน มัน connect กันยังไงไม่รู้

วันนี้ฉันรู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสู้ดีนัก รู้สึกไม่สบายตั้งแต่เริ่มทริปเลยเหรอเนี่ย ฉันไอค็อกแค็ก แต่ก็ไม่ได้มีไข้นะ ฉันจึงขอไปนั่งที่บริเวณด้านหน้ารถตู้ใกล้กับคนขับ เพราะ กังวลใจกลัวว่าเพื่อนเพื่อนร่วมทริปจะติดอาการไข้หวัดจากฉันไปเสียก่อน

บรรยากาศสองข้างทางยังคงมืดครึ้ม ฉันก็หลับตาลง เพื่อเก็บพลังเอาไว้ สำหรับเดินในช่วงเช้าของวันนี้ 1 ชั่วโมงแรกผ่านไป ฉันหลับๆตื่นๆ พอเข้า ชั่วโมงที่สองเท่านั้นแหละ ภาพฝันของคำพูดของ Ram ที่บอกว่า Good way, don’t worry. ก็มาเข้าฝัน

หนทางสู่ Ramechhap airport เป็นการขับรถเลียบหน้าผาสูงชันไปเรื่อยๆ โค้งแล้ว โค้งอีก

รถเลี้ยวซ้าย รถเลี้ยวขวา

ชักกระตุกกระตุกกระตุกกระตุก

ลองร้องเป็นเพลงรถตุ๊กตุ๊กดู สภาพ บรรยากาศ ณ เวลานั้นเป็นแบบนั้นเลยแหละ หนทางข้างหน้ามีโค้งแล้วโค้งอีก โค้งไปทางซ้าย โค้งไปทางขวา บ้างก็มีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่วางเรียงรายอยู่ด้านบนของถนนเต็มไปหมด พวกเราทั้งคันรถ ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปกันอีกเกือบ 3 ชั่วโมงก็ว่าได้ ตามข้างทางไม่มีห้องน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น มีเพียงแต่ห้องน้ำตามธรรมชาติที่คนขับและให้พวกเราได้ทดลองประสบการณ์ ระหว่างที่เพื่อนๆไปทดลองใช้ห้องน้ำธรรมชาตินั้น ฉันผู้ไม่ได้ปวดฉี่ ก็นอนอยู่บนรถพยายามข่มตาให้หลับ เพราะกลัวว่าหากพักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคแพ้ความสูง หรือ AMS ข่มตาแล้วข่มตาอีก ฉันก็นอนไม่หลับโว้ย

เวลาประมาณ 6 โมงเช้า พวกเราก็เดินทางมาถึงสนามบิน Ramechhap นักปีนเขามากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อบินไปยังลุกลา บรรยากาศที่นี่ดูคึกคัก Ram คุณไกด์ผู้ใจดีจัดเตรียมอาหารมาให้ด้วยมีกล้วย มีไข่ มีน้ำผลไม้ ให้พวกเราได้ทานรองท้องก่อนเริ่มต้นเช้าวันใหม่

เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องไปยังลุกลาแล้วล่ะ ตื่นเต้นจัง ท่าอากาศยานลุกลา เป็นท่าอากาศยานที่อันตรายที่สุดในโลก เพราะมีรันเวย์ที่สั้นมาก มันตั้งอยู่ระหว่างหุบเขา เสี่ยงต่อการบินชนหุบเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นสภาพอากาศจะต้องปลอดโปร่งเท่านั้นจึงจะบินได้ จึงไม่แปลกที่เที่ยวบินที่นี่ประกาศยกเลิกบ่อยมาก หากฟ้าไม่เปิด อากาศไม่ดี

วันนี้พวกเรามากับความโชคดี อากาศดี ท้องฟ้าเปิด พวกเราจึงได้บินไปยังลุกลาตามแผน เครื่องบินที่พวกเรานั่งคือสายการบิน Tara air เป็นเครื่องบินเล็ก เสียงเครื่องดังตลอดทาง ก่อนเครื่องจะออก มีแอร์โฮสเตสมาแนะนำ และแจกลูกอม พร้อมกับสำลีอุดหูให้ ลูกอมอร่อยอ่ะ ขากลับจะหยิบไว้หลายๆเม็ดเลย ฮ่าๆ

เครื่องบินเล็กที่บรรจุผู้โดยสถานได้เพียง 15 คนเท่านั้น

ก่อนจะขึ้นเครื่อง ฉันเอ่ยปากถาม Ram ว่า ต้องนั่งฝั่งไหนถึงจะเห็น Mt.Everest ได้คำตอบมาว่า ขาไปให้นั่งฝั่งซ้าย ขากลับให้นั่งฝั่งขวา และแน่นอนขาไปครั้งนี้ ฉันได้นั่งฝั่งซ้าย ระหว่างนั่ง ฉันภาวนาอย่างใจจดใจจ่อที่เฝ้ารอจะได้มองเห็น Everest และในที่สุด ฉันก็ได้พบกับเขาจริงๆ เขาสง่างามมาก

ครั้งแรกของการได้นั่งเครื่องบินเล็ก และครั้งแรกของการได้นั่งเครื่องบินอยู่ในอ้อมกอดของหิมาลัย

ก่อนที่เครื่องบินจะลงจอด เนื่องจากรันเวย์ที่นี่อันตรายที่สุดในโลก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันก็มีคำถามอยู่ในหัวว่า “ฉันพร้อมตายแล้วหรือยัง” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฉันเตรียมตัวเตรียมใจไว้ รวมถึงเตรียมตัวตายไว้ด้วย เพราะเราเองก็ไม่รู้จะตายเมื่อไร แต่คงไม่เสียดาย เพราะได้ทำในสิ่งที่อยากทำแล้ว และในที่สุดเครื่องก็ลงจอดด้วยความปลอดภัย


ยังคงเป็น Day2

Lukla 2,860 m

สู่ Pakding 2,610 m

เมื่อเครื่องลงจอดแล้ว พวกเราออกเดินทางไปสู่เมืองพักดิ้ง ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,610 m ทางเดินส่วนมากเป็นทางเดินลงเขา แต่พอรู้ว่าเป็นการเดินลงมากเท่าไร ขากลับก็ยิ่งต้องขึ้นมากเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวมีภูเขาสีเขา หินสีน้ำตาล มีธงมนตราผูกประดับประดาไว้เต็มไปหมด

ยิ่งเดินลงมากเท่าไร ก็ต้องเดินขึ้นมากเท่านั้น กฏของความสมดุล

หลังจากลงเครื่องและเดินไปได้ไม่นาน พี่ปิ๊งก็เกิดอาการอาเจียน เวียนศีรษะ พวกเราหยุดพัก เพื่อรอประเมินอาการของพี่ปิ๊งสักพัก พี่ปิ๊งบอกว่าคงไปต่อไม่ไหวแน่ๆเลย แต่ด้วยความที่พี่ปิ๊งเป็นนักสู้ พี่ปิ๊งยังคงค่อยๆไปต่อกับพวกเรา ดูเหมือนว่าพี่ปิ๊งจะโดนเจ้ายา Diamox เล่นงาน เพราะพี่ปิ๊งทานยา Diamox ไป 2 เม็ด ซึ่งเป็นขนาด Dose ที่ค่อนข้างสูง แต่หลังจากพี่ปิ๊งหยุดยา อาการพี่ปิ๊งก็ดีขึ้นหลังจากที่พักที่เมืองพักดิ้งได้ 1 วัน

ยา Diamox เป็นยาที่เหล่านักปีนเขานิยมใช้กัน เพื่ออาศัยผลข้างเคียงของยาในการลดการเกิดภาวะแพ้ความสูง หรือ AMS ได้ การทานยาควรทานในระดับที่ไม่มากจนเกินไป ซึ่งขนาดของยา Diamox ขนาด 250 mg ควรแบ่งทานครึ่งเม็ด ทั้งเช้า-เย็น หรือทานตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ถ้าใครไม่เคยทาน ไม่แนะนำให้เริ่มทานที่ขนาด Dose สูงๆนะ ฉันเริ่มทานยา Diamox ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และทานอย่างต่อเนื่อง ผลข้างเคียงของยาคือ ปลายมือ ปลายเท้าชา (หลังจากหยุดทานในช่วงหลังจากปีนเขา กลับมาถึงไทย อาการชาปลายมือ ปลายเท้าก็ยังคงอยู่ราวๆ 1 สัปดาห์) นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง เพราะจะได้เป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่สำคัญคือ Diamox เป็นยาอันตราย ควรใช้อย่างระมัดระวังมากๆเลยนะ

การเริ่มเดินเท้าของฉันสู่เมืองพักดิ้ง ฉันเตรียมตัวเตรียมใจออกเดินทางเพื่อจาริกหิมาลัย จากการสอบถามจากคุณไกด์เกี่ยวกับสภาพอากาศแล้ว พวกเราจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อน และเย็น สลับกันไป ดังนั้นการแต่งตัวของฉันวันนี้จึงเป็นเสื้อแขนกุด สวมทับด้วยเสื้อกันยูวี เตรียมเสื้อฟลีซกันหนาวไว้ในกระเป๋า Day pack อีก 1 ตัว การเดินวันนี้เป็นการเดินลงเป็นส่วนใหญ่ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 5-6 ชั่วโมง บรรยากาศข้างทางมองเห็นอารยธรรมชาวเชอร์ปา ผสมผสานกับกลิ่นไอของความเป็นทิเบต มีตัวอักษรทิเบตถูกเขียนไว้บนหินก้อนใหญ่ เรียกว่าหินมนตรา ทุกครั้งที่พวกเราเห็นหินมนตรา พวกเราจะต้องเดินวนตามเข็มนาฬิกา เพื่อความเป็นสิริมงคบ ฉันแอบได้ยินลูกหาบ ชาวเปอร์ปาที่เดินผ่าน พูดระหว่างเดินวนตามเข็มนาฬิกาว่า OM MANI PADME HUM

ชั่วขณะที่มองธงมนตราพัดปลิวตามสายลม มันมีช่วงขณะเวลาของฉันที่ฉันรู้สึกกลมกลืนไปกับสายลมนั้น

ฉันเดินทางมาถึงเมืองพักดิ้ง เวลาประมาณ 14.30 น. อากาศที่นี่ก็เริ่มหนาวแล้ว โรงแรมที่นี่คล้ายโรงเตี๊ยม ในห้องนอนมี 2 เตียง รูมเมทของฉันก็ยังคงเป็นพี่ปิ๊งเช่นเคย

จากภาพ พี่ปิ๊งนอนเตียงทางขวา ผึ้งนอนเตียงทางซ้าย

เย็นวันนี้ฉันได้เรียนรู้วิธีการเล่นไพ่จากกลุ่มเพื่อนต่างชาติ ฉันเอ่ยปากขออนุญาตร่วมวงเล่นไพ่ ตามจริงคือฉันเล่นไพ่ไม่เป็นเลย ไม่เคยเล่น เล่นเป็นแต่ไพ่อูโน่ ฮ่าๆ แต่ก็แปลกดีที่ฉันกล้าเอ่ยปากขอเข้าไปร่วมในวง เพราะนี่อาจเป็นการเจอกันครั้งแรก และครั้งสุดท้ายของพวกเราก็ได้ อยากทำอะไร ฉันก็เลยลงมือทำซะเลย

ลิเดีย หญิงสาวชาวสหรัฐอเมริการีบตอบรับทันใด วันนี้ฉันได้เล่นไพ่ที่มีชื่อว่า เกม Thirteen กับ เกม Spoon ร่วมกับเพื่อนใหม่ชาวแคนาดา ชาวสหรัฐอเมริกา ชาวออสเตรเลีย และชาวเนปาล เพื่อนทั้งหมดก็ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ก็มา Join trip ด้วยกัน และนี่ก็คือขาลงของพวกเขา สวนทางกับฉันที่เป็นขาขึ้น มุ่งหน้าสู่ Everest Base Camp

ลิเดียสอนวิธีการเล่นให้ฉัน จำได้ว่าบรรยากาศวันนั้นความสนุกเข้ามาทดแทนความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี ฉันได้มีโอกาสนั่งคุยกับ Anita เธอเป็นเพื่อนชาวแคนาดาที่ร่วมวงเล่นไพ่ด้วยกัน ฉันชวนเธอ Reflection เรื่องราวการปีนเขาสู่ Everest Base Camp ของเธอ ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ และการสะท้อนคิดของเพื่อน เพื่อนถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าสนใจมากๆ เธอบอกว่า เธอเดินทางไปไม่ถึง Everest Base Camp เพราะเธอป่วยระหว่างทาง และมีอาการ AMS จึงทำให้เธอไปถึงแค่ Lobuche ที่ระดับความสูง 4,930 m แต่เธอก็ได้เห็นความงดงามของการเดินทางในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร เธอชวนให้ฉันได้เตรียมตัว และบอกสิ่งที่ควรระมัดระวัง เช่น ระหว่างทางไป Namche ละอองฝุ่นจากดินจะเยอะมาก ควรปิดจมูกด้วย Mask หรือ ผ้าบัฟตลอด การเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์นั้นก็สำคัญ เราเดินทางคนเดียวไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนร่วมทางเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของเราเสมอ ขอบคุณ Anita ด้วยนะ

ครั้งแรกของการที่เล่นไพ่เป็น ฮ่าๆ ขอบคุณวงแห่งการเรียนรู้

เล่นไพ่เสร็จ ก็ถึงเวลาเข้านอนแล้วล่ะ


ยามราตรีที่หลับใหล ความหนาวก็เข้ามาเยือน ว่าแล้วก็นำตัวเองไปอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆก่อนดีกว่า

- ราตรีสวัสดิ์ -


Day3

จาก Pakding 2,650 m

สู่ Namche  3,440 m

เช้าเวลาเจ็ดโมง การเดินทางก็เริ่มขึ้น ระหว่างทางได้พบเจอกับ Dudh Kosi หรือที่เรียกว่าแม่น้ำน้ำนม สีของแม่น้ำเป็นสีขาวขุ่น อมสีฟ้านิดๆ มองแล้วเย็นตา สบายใจ แม่น้ำจากอ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัยที่ยิ่งใหญ่ ไหลลงมารวมกันให้มนุษย์อย่างฉันและผู้คนได้มองเห็น การเดินทางครั้งนี้ ฉันออกเดินทางไปเพื่อค้นพบสิ่งที่ไม่รู้

ระหว่างทางสู่ Namche ถ่ายรูปกับแม่น้ำสีน้ำนมและธงมนตราสักหน่อย ภาพนี้พี่กุ้งถ่ายรูปให้

วันนี้ได้เดินทางผ่านสะพานฮิลลารี เป็นสะพานแขวนระหว่างทางขึ้นไปยัง Namche Bazar บนเส้นทาง Everest Base Camp การเดินทางข้ามสะพานนับได้ว่าเป็นสะพานแห่งจุดเปลี่ยนของการข้ามเขตภูเขายิ่งใหญ่ พวกเราทั้ง 9 คน ออกเดินทางในจังหวะชีวิตในแบบของพวกเราเอง หยุดพัก ถ่ายรูป ส่งยิ้ม เดินต่อ และพวกเราต่างคน ต่างก็ได้ใช้เวลาในการเดินป่า เพื่อที่จะได้ใช้เวลากับตัวเองเช่นเดียวกัน


ฟักเดินนำหน้าไปบนสะพานฮิลลารีแล้ว

สำหรับการเดินป่าครั้งนี้ของฉัน มันเป็นการเดินทางด้วยหัวใจที่พร้อมรับ เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เดินทางด้วยความเคารพโลกใบนี้ เพราะฉันเชื่อมั่นว่าการเดินทางในครั้งนี้ของฉันมีความหมาย ฉันศรัทธาในเส้นทางที่เลือกเดิน และแน่นอนว่าฉันมีความอดทน และเพียรพยายามมากพอ เฮ้!!! นี่คือ Quotes ประจำตัวของการเดินป่าครั้งนี้เลยนะ

การได้มอง และสัมผัสธรรมชาติรอบตัว มันทำให้ธรรมชาติไหลกลับมาสู่ในตัวฉันมากยิ่งขึ้นไปอีก


ณ เวลาประมาณ 17.00 น. พวกเราก็เดินทางมาถึง Namche Bazar แล้ว

ฉันใช้เวลาเก็บของ ล้างหน้าสักพัก (ไม่ได้อาบน้ำ เพราะกลัวว่าจะเสี่ยงต่อการเป็น AMS หรือไม่สบาย) คืนนี้ฉันก็ยังได้พักกายกับพักใจกับพี่ปิ๊ง รูมเมทที่น่ารักของฉันเช่นเคย

เขียนบันทึกก่อนนอนด้วยลายมือลงในบันทึกของผึ้งสักหน่อย

ณ Hostel 8848 (โรงแรมนี้ตั้งชื่อตามความสูงของ Mt.Everest)

“วันนี้ถึง Namche แล้วนะ ความสูงอยู่ที่ 3,440 เมตร อากาศที่นี่หนาวมาก มือแข็ง เขียนหนังสือไม่ค่อยสวย แต่ก็ยังอยากบันทึกความรู้สึกนี้ไว้ การเดินทางมา Namche ฉันใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง กว่าจะเดินมาถึง หนทางที่ผ่านมา เป็นหนทางที่ต้องใช้ความมานะและเพียรพยายาม ทางชัน มีฝุ่นจากดิน ฉันก็ต้องประคับประคองตัวเองให้มากขึ้น เจอฝูงลาเต็มไปหมด ต้องขอบคุณที่พวกเขาหลีกทาง และอนุญาตให้ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของป่า จะว่าไปพอมามองดูตัวเอง ฉันนั้นก็ตัวเล็กกว่าธรรมชาติจริงๆนั่นล่ะ

จังหวะของการเดินทาง การก้าวเดินครั้งนี้ ต่างจากครั้งก่อน ฉันรู้ว่าฉันมีเป้าหมาย แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะเก็บเกี่ยวความรู้สึกระหว่างทางด้วย ฉันยิ้มและทักทายผู้คนตามทาง ทำเหมือนราวกับว่านี่คือการพบกันครั้งแรกและอาจพบกันเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้ม คำทักทาย การแบ่งปัน เป็นมิตรภาพระหว่างทางที่งดงามมากๆจริงๆที่ฉันสัมผัสได้ ตอนนี้มือแข็งมากๆแล้ว เขียนไม่ไหว วันนี้ขอบันทึกไว้เท่านี้ก่อนนะ”

ราตรีสวัสดิ์ 

จากผึ้ง


Day4

วันปรับสภาพร่างกาย

Rest day and acclimatization at Namche

วันนี้ตื่นเช้า เปิดม่านมองดูเห็นภูเขาหิมะใหญ่ตระการตาอยู่ตรงหน้า ตื่นตาตื่นใจมากๆ แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องกระทบกับภูเขาหิมะ สวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 

ภาพวิวภูเขาหิมะหน้าโรงแรม

วันนี้ได้ออกเดินทางเพื่อปรับสภาพร่างกาย Ram นำทางให้พวกเราได้ไปทำความรู้จักกับเส้นทางใหม่ ทำให้ฉันและเพื่อนๆได้ทำความรู้จักกับชาวเชอร์ปามากขึ้นด้วย

แต่ก่อนชาวเชอร์ปาอยู่ด้วยกันท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ พวกเขามีกฎว่าห้ามตัดต้นไม้ และต้องอนุรักษ์ป่าเขาลำธาร แต่พอชาวอังกฤษเข้ามาสำรวจพบว่ามียอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ที่แห่งนี้ ที่นี่ก็เปลี่ยนไป เริ่มมีการบุกรุกทำลายป่ามากขึ้น และเกิดเป็นธุรกิจมากขึ้น

หลังจากกลับจากการเดินทางกลับสู่ Namche อีกครั้ง

ฉันเจอ Monica โดยบังเอิญ Monica เป็นเพื่อนชาวไอร์แลนด์ที่เรียนในคลาสเดียวกับฉัน เป็นเรื่องบังเอิญมากๆที่พวกเราออกเดินทางสู่ Everest Base Camp ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และได้มาเจอกัน ณ ที่แห่งนี้ พวกเรากระโดดกอดกันไปหนึ่งที พร้อมกับถ่ายรูปด้วยกันสัก 2-3 รูป แลกเปลี่ยนเรื่องราวการเดินทางสักพัก ก็เดินทางตามจังหวะชีวิตของแต่ละคนต่อไป

ดีใจได้เจอ Monica ด้วย

วันนี้แวะไปส่งโปสการ์ดถึงตัวเองด้วย เลยได้ทำความรู้จักกับ Karmachan Khawas แห่งเมือง Namche

Karmachan เปิดร้านขายของในเมือง Namche และเขาก็มอบมิตรภาพที่งดงาม

น่าจะเป็นโชคดี จังหวะดีที่จู่ๆฝนก็ตกลงมา ทำให้ฉันและพี่ปิ๊งต้องขอหลบฝนในร้านของ Karmachan สักพัก เขาจึงเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องน่ารู้ในเนปาล วัฒนธรรมต่างๆ เขียนตัวอักษร OM MANI PADME HUM ตามแบบฉบับของเนปาลลงในสมุดบันทึกของฉันให้เป็นที่ระลึกด้วย แถม Karmachan ยังใจดีมากๆ เขาเดินไปส่งโปสการ์ดให้ฉันด้วยนะ

หวังว่าเราจะได้เจอกันที่ไทยนะ โปสการ์ดของฉัน

ในวันที่ฝนตก มีความงดงามซ่อนอยู่

Karmachan เขียนใส่สมุดบันทึกของฉันไว้ให้

Day5

Trek from Namche (3,440m ) to Deboche

ตื่นเช้ามาวาดรูป บันทึกธรรมชาติสักหน่อย ในบันทึกลายมือ จำวันที่ผิด ตามจริงแล้ววันนี้เป็นวันที่ 5 ของการเดินทางแล้วนะ

Everest Journaling

Good morning, dear Earth

Good morning, dear Sun

Good morning, dear Rock, and the flowers, everyone

Good morning, dear beasts, and the birds in the trees

Good morning to you, and good morning to me

บางวันการบันทึกเรื่องราวผ่านรูปภาพก็งดงามไปอีกแบบนะ ^^'


Day6

Trek from Deboche (3,855m ) to Dingboche (4,360m)

วันนี้ขอส่งตัวแทนบันทึกธรรมชาติ ให้ภาพเล่าเรื่องนะ

Everest Journaling

ระหว่างทางสู่ Dingboche

บันทึกลายมือก่อนนอน

“วันนี้หิมะตกด้วย ได้เห็นหิมะครั้งแรกก็วันนี้ล่ะ ระหว่าทางที่เดินมาจาก Deboche ถึง Dingboche ลมแรงมากๆ ต้องใส่เสื้อกันลมด้วย รวมแล้วเสื้อที่ใส่ทั้งหมด ขอนับก่อนนะ 1 2 3 4 5 ด้วยกัน แต่ก็ยังหนาวอยู่ดี ระหว่างทางเริ่มมองเห็นยอด Everest และยอด Ama Dablam และอีกสองยอด จำชื่อไม่ได้ สองข้างทางเปลี่ยนไปตามระดับความสูง พืชพรรณธรรมชาติดูแห้งๆ มีไม้เป็นพุ่มๆ ทำให้นึกถึงตอนที่ไปปีนเขาที่จีน 

สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

ระหว่างทางได้เจอเพื่อนใหม่เป็นชาวจีน พอเขารู้ว่าฉันพูดจีนได้บ้าง พวกเราก็เริ่มคุยกันไปตลอดทาง เพื่อนชาวจีนของฉันคนนี้อายุ 60 ปีแล้ว เขาเล่าให้ฉันฟังว่า เขาเองเพิ่งได้ไปปีนเขาเอ้อเฟิงที่จีนมา ฉันก็เลยรีบโชว์รูปที่ฉันเองก็เพิ่งไปปีนเขาต้าเฟิงที่จีนมาเช่นเดียวกัน (ภูเขาต้าเฟิง และเอ้อเฟิง เป็นสองในภูเขาสี่ดรุณีที่จีน – 四姑娘山) พวกเราคุยกันได้สักพัก ก็เดินต่อในจังหวะของตัวเอง และพวกเรายังคงพบกันระหว่างทางเป็นระยะๆ เพื่อนชาวจีนหยิบยื่นความมีน้ำใจ และมิตรภาพ ส่ง Energy gel และขนมให้ฉัน บอกว่าเอาไว้กินเติมพลังนะ มิตรภาพระหว่างทางงดงามอีกแล้ว

เพื่อนใหม่ชาวจีนผู้น่ารัก

การเดินทางครั้งนี้เราต้องไต่ระดับความสูงมาที่ 4,300 เมตร ดังนั้นฉันจึงต้องประคับประคองตัวเองให้ดี ไม่ให้เป็น AMS หรือป่วยไปเสียก่อน ยิ่งเป็นที่สูง ต้องยิ่งช้าลง ดังนั้นการเคลื่อนไหว การย่างก้าวของฉันจึงช้ามากๆ ฉันกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก กายและใจประสานเป็นหนึ่ง มองธรรมชาติและบรรยากาศรอบตัวเป็นระยะๆ แต่จะบอกว่า ตอนนี้ 90% ของฉันโฟกัสที่ตัวฉัน มองพื้นดิน หิน ดิน กรวด ฝ่าเท้าที่ย่างก้าวในแต่ละครั้งของการเดินป่าครั้งนี้ ฉันไม่มีความคิดว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันควรจะอยู่บ้าน ได้นอนสบายๆ กินของอร่อยๆสิ” ฉันกลับคิดว่าการเดินทางครั้งนี้มันมีความหมายกับฉันมาก ฉันศรัทธาต่อการเดินทาง นี่คือการเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกใบนี้ เรียนรู้ผู้คน สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ สติเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความเหนื่อย ความกลัว แต่ฉันก็กล้าไปเผชิญกับมัน

คุณค่าของเรื่องราวต่างๆซ่อนอยู่ระหว่างการเดินทาง ทุกย่างก้าวของฉันจึงมีความหมาย ถึงจะเป็นเพียงการก้าวสั้นๆ บางครั้งก็ก้าวแซงผู้อื่นไปบ้าง บางครั้งผู้อื่นก็แซงไปบ้าง แต่ฉันก็ยังอยู่ในจังหวะของฉัน มันเพอร์เฟคสุดๆเลยล่ะ

จากโลกภายนอกกลับสู่โลกภายใน จากโลกภายในสะท้อนสู่โลกภายนอก นี่สินะ “การเดินทาง”

“เปิดประสาทสัมผัส”

ตา มองรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

หู ฟังเสียงธรรมชาติ และเพื่อนมนุษยร่วมทาง

จมูก ดมกลิ่นธรรมชาติ สูดความร้อน เย็น ลมหายใจตัวเอง

ปาก ช่วยหายใจยามเหนื่อย พูดคุยทักทายกับผู้คน ฝูงสัตว์ ต้นไม้ ระหว่างทาง

กาย สัมผัสความร้อน เย็น หนาว ของบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

Everest Journaling

จบบันทึกลายมือของวันนี้ -


Day7

วันปรับสภาพร่างกาย Rest & acclimatization at Dingboche

วันนี้อากาศหนาวมาก เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับเลย นอนหลับหลับตื่นตื่น ตลกมากที่ฝันหลายเรื่องฝันเรื่องนู้นแล้วก็ฝันเรื่องนี้ แต่ตื่นมาก็ยัง Fresh อยู่นะ วันนี้เป็นวัน acclimatization หรือที่เรียกว่าวันปรับสภาพร่างกาย

พวกเราต้องปรับระดับความสูงที่ระดับความสูงที่มากขึ้นอยู่ที่ประมาณ 4900 เมตร ในขณะที่ตอนนี้พวกเราอยู่ในระดับความสูงอยู่ที่ 4300 เมตร เมื่อเช้าฉันมีเลือดกำเดาไหลด้วยล่ะ แต่ก็ยังไม่มีอาการ AMS ใด ฉันยังคงมีไอคอกแค๊กอยู่บ้าง น้ำมูกก็เริ่มไหล

วันนี้พวกเรานัดกันตอน 7 โมงเพื่อออกเดินทางไปที่ยอดเขาที่สูงขึ้นมาอีกประมาณ 500 เมตร

บรรยากาศตอนเช้าผู้คนก็มานั่งผิงไฟด้วยกัน บางทีก็ดูวุ่นวายไปนิดแต่ก็พอมองดูแล้วก็ดูอบอุ่นไปด้วยได้บ้าง ผู้คนที่มาพักที่นี่มีหลากหลายเชื้อชาติศาสนาหลากหลายภาษาที่เกิดขึ้น

บันทึกลายมือ ณ เวลา 15.40 น. ณ สถานที่จริง

“วันนี้ยังคงอยู่ที่ Dingboche ได้ปรับสภาพร่างกายก่อนเตรียมพร้อมไป Lobuche วันพรุ่งนี้ ทางวันพรุ่งนี้ค่อนข้างโหด เพราะลมแรง แถมด้วยความชันมากขึ้น ฉันจึงเลือกพักให้เต็มที่หลังจากไปปรับสภาพร่างกายจากการฝึกไต่ระดับความสูงของ Dingboche ที่ระดับความสูง 4,700 เมตร อาการทั่วไปยังคงปกติดี ไม่มีอาการ AMS ใดๆ วันนี้มีเลือดกำเดาไหลตอนเช้าเล็กน้อย

วิวระหว่างทางของวันนี้

ช่วงที่ไปฝึกปีนเขาที่ระดับความสูง 4,700 เมตร ได้ทำความรู้จักลูกหาบท่านหนึ่งของทริปนี้ ชื่อ Singa

Singa อาศัยอยู่ในละแวกใกล้ๆลุกลา ทำงานเป็นลูกหาบมานานหลายปีแล้ว Singa อายุ 47 ปีแล้ว พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง และดูแข็งแรงมากๆ แถมยังคอยช่วยเหลือระหว่าง trekking เป็นอย่างดี ประทับใจมากตอนที่ Singa นำหินมาวางให้ เพื่อให้ฉันและพี่ปิ๊งได้ไต่ขึ้นก้อนหินก้อนใหญ่ แถมยังคอยบอกทางที่ปลอดภัย และเดินง่าย เพื่อที่จะให้พวกเราพวกปลอดภัยมากที่สุด ระหว่างทางที่เดินลง ดูอันตราย หิน และดินดูลื่น ฉันต้องประคองตัวเองอย่างมาก เพื่อไม่ให้ล้มลงไป สุดท้ายฉันก็กลับมาที่ Hostel ที่มีชื่อว่า “Good luck” ด้วยความปลอดภัย

หลังจากกลับมา ฉันก็ยังมีแรงที่จะนั่งเล่นไพ่ ตั้งวงกับพี่ตึ๋ง พี่ต้อง Ram และ Ayus พวกเราเล่นเกมไพ่ Thirteen กัน ส่วนคนอื่นๆ พี่ปิ๊ง พี่กุ้ง พี่สม ฟัก บัว น้อย ออกเดินทางไปคาเฟ่ใกล้ๆ Hostel เห็นเขาบอกกันว่ามีที่ชาร์จไฟฟรี ฉันก็เลยฝากพี่ปิ๊งนำ Power bank ของฉันไปชาร์จให้ด้วยสักหน่อย เพราะแบตเริ่มอ่อนมากๆแล้ว แต่สุดท้ายที่ร้านก็ไม่อนุญาตให้ชาร์จ (ฉันพก Power bank 30,000 mAh มา 2 อัน ใช้ตลอดทริปก็เพียงพออยู่นะ) ดูเหมือนว่าทุกอย่าง ณ ที่แห่งนี้ที่ต้องใช้ไฟ ส่วนมากต้องชำระเงินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าอาบน้ำอุ่น ค่าชาร์จโทรศัพท์ ค่า wifi ฉันจึงเลือกที่จะอยู่แบบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มา 2-3 วันแล้ว แต่ก็ใช้วิธีส่งสัญญาณทางจิตสัมผัสบอกที่บ้านไปว่า ฉันยังปลอดภัยดี ฉันจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และครองสติให้ดีที่สุด”


Day8

Trek from Dingboche (4,360m ) to

Lobuche (4,930m)

เรื่องราวจากบันทึกฉบับลายมือ

“วันนี้เป็นวันที่ออกเดินทางมา Lobuche แล้ว อากาศที่นี่หนาวมาก ระหว่างทางมา Lobuche หนทางเต็มไปด้วยก้อนหินเต็มไปหมด สองข้างทางมองเห็นภูเขาหิมะใหญ่ตระการตาตามเคย การเดินทางวันนี้ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงได้ ระหว่างทางฉันยังคงมีปัญหาปวดหลัง น่าจะปวดมาจากที่ไอค็อกๆแค็กๆเยอะด้วย มันเลยกระเทือนไปที่หลังเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับเพราะแบกน้ำดื่มมาเยอะ เพราะกลัวว่าจะเป็น AMS ฉันรู้สึกปวดตรง Lower back pain ร่างกายส่งสัญญานบอกฉันแล้วล่ะ โชคดีและจังหวะที่ดีมักมาในเวลาที่เหมาะสม Singa ลูกหาบผู้หาบกระเป๋าใหญ่ของพวกเราเดินทางไปถึงโรงแรมที่ Lobuche เรียบร้อยแล้วก็เดินลงมาช่วยอีก Singa ผู้ใจดีจึงช่วยฉันแบกกระเป๋า Day pack ด้วย แถมช่วยถ่ายรูปให้ด้วยนะ

หิมะที่กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง

พอมาถึง Lobuche ฉันนำของมาเก็บได้สักพัก แล้วก็ลงไปนั่งผิงไฟที่ห้องอาหาร ฉันเห็นพี่ตึ๋งกำลังเล่นไพ่ Thirteen อยู่กับ Gang เลยขอไป Join ด้วย เลยได้เพื่อนใหม่ชาวแคนาดาที่มีชื่อว่า Max และ Alex ทั้งสองเป็นพี่น้องกันและชวนกันมา Everest Base Camp ด้วยกัน

ก่อนเข้านอนวันนี้ Ram คุณไกด์ชาวเนปาลผู้น่ารัก Brief รายละเอียดการเดินทางว่า พรุ่งนี้เป็นวันที่ Hard day ที่สุด ใช้เวลาเดินทาง 9-10 ชั่วโมงได้ ดังนั้นฉันจึงต้องนอนเก็บแรงสักหน่อย พรุ่งนี้เราจะได้เจอกันแล้วนะ EBC”


Day9

Trek from Lobuche (4,930m)to EBC

(5,364m) and back to Gorak Shep (5,185m)

สวัสดีปีใหม่

13 เมษา วันนี้เป็นวันปีใหม่ของเนปาล

ปีใหม่ของเนปาลปีนี้ คือ ปี 2081

ต่างที่ ต่างถิ่น ต่างปฏิทิน วันและเวลา

แต่แปลกดีที่วันนี้คือวันปีใหม่ของพวกเราเช่นเดียวกัน

ออกเดินทางสู่ความเวิ้งว้าง ณ ดินแดนที่มีแต่หินเต็มไปหมด

น้ำที่ไหลบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

จากน้ำก็กลายเป็นน้ำแข็ง

แสงแดดออกออกมาทักทาย ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นยะเยือก

นกน้อย ฝูงลา ม้า จามรี รวมทั้งผู้คนอย่างเราก็ยังคงใช้ชีวิต

"มุ่งหน้าสู่ Gorak Shep"

ยามบ่ายถึง Gorak Shep ได้สักพัก แล้วพวกเราก็ไปกันต่อ

ครั้งนี้ออกเดินทางด้วยใจที่มุ่งมั่นสู่ Everest Base Camp

เป้าหมายที่รอคอยใกล้เข้ามาทุกที

เดิน เดิน เดิน ไป หิมะตก

จากตกนิดๆ กลายเป็นตกหนัก

สองเท้าก้าวเดินต่อไป

ท่ามกลางบรรยากาศหนาววเย็นยะเยือก

ความหนาวเย็นจากภายนอกไหลเข้าสู่ภายใน
ใจที่อุ่นๆเริ่มต้านทานไม่ไหว 

เพราะหนาวเหลือเกิน

ได้แต่แปลกใจ นกน้อยตัวหนึ่งที่บินมาทักทาย

นกน้อยผู้ไม่ได้ใส่เสื้อ Down jacket ที่อุณหภูมิติดลบ 20 องศา

นกน้อยตัวน้อย เขาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ

และเขาก็บินจากไป

นกน้อยบินมาทายทัก

และในที่สุด ฉันก็ถึงแล้ว ถึงแล้วโว้ยยยยยย
ณ Everest Base Camp ที่บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นสีขาวไปหมด

หินก้อนใหญ่ สัญลักษณ์ของการมาถึง ณ ที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะ

ภาพฝันที่อยากไปยืนบนหินก้อนนี้ แล้วมองวิว Everest ดับสลาย

แต่ยังมี Ayus ผู้ช่วยบิ้วความรู้สึกนั้นให้กลับมา

Ayus ช่วยดันฉันขึ้นไปบนก้อนหินก้อนนั้น แต่มันลื่นมากๆ ฉันเลยประคองตัวเองนั่งบนหินก้อนนี้ได้ไม่นาน แล้ว Ayus ก็ช่วยพาฉันลงมา

ยืนไม่ได้จริงๆ เพราะมันลื่นมากๆ ขอนั่งและโพสต์ท่านี้แล้วกันนะ

เห็นแล้วมีแรงฮึกเหิม อยากไป summit Everest 8,848 m

พวกเราอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้สักพัก แล้วก็เดินทางกลับสู่ Gorak Shep ท่ามกลางหิมะโปรยปรายอย่างหนักหน่วง
และแน่นอนว่าฉันก็ยังใช้สองเท้าของฉันในการเดินต่อไป

ระหว่างทาง

ระหว่างทาง

แสงของพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าแล้ว แสงกระทบยอดเขา มอบความสวยงามให้นักเดินทางอย่า่งเราได้เห็น

ระหว่างทางเดินกลับ ได้มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่งดงามมากๆจริงๆ

วันนี้เป็นวันที่ดีของฉันอีกหนึ่งวันเลยนะ


Day10

Hike to Kala Patthar (5,555m) viewpoint, trek to Gorak Shep then to Pheriche

ณ Kala Patthar summit

ณ Kala Phatthar summit

ณ ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 5,550 เมตร

เมื่อได้มายืนอยู่ในจุดที่สูงสุดของชีวิต

เมื่อนั้นทำให้ใจได้ครุ่นคิด ถึงตำแหน่งแห่งที่ของการมีชีวิตอยู่

ความต้องการของเราคืออะไร

ชีวิตคืออะไร

แล้วเรามาทำอะไรที่นี่ Why am here?

แปลกดีหลังจากกลับจากทริป Everest Base Camp แล้วมีคนถามว่าจะไปปีนเขาที่ไหนอีก

คำถามนี้กลับเป็นคำถามที่ชวนสะท้อนเข้าไปในตัวของฉัน แล้วใช้เวลากับตะกอนความคิดของตัวเองสักพัก กลั่นกรองสะท้อนคิด ผ่านตัวหนังสือที่จะเรียบเรียงต่อไปนี้

ตามจริงแล้วการปีนเขาเพื่อไปยัง Everest Base Camp เป็นเป้าหมายการปีนเขาที่สูงสุดในชีวิตของใครหลายๆคน รวมทั้งตัวฉันด้วย

แต่ยังมีอีกเนินเขาหนึ่งที่ชื่อว่า คาลาปาทาร์ (Kala Patthar) อยู่ในเส้นทางเดียวกับการมาเยือน EBC มีความสูง 5,550 เมตร ซึ่งสูงมากว่า EBC ที่มีความสูง 5,380 เมตร

การเดินทางปีนเขาเพื่อพิชิตยอดคาลาปาทาร์ ทางค่อนข้างเป็นทางที่โหดพอสมควร เนื่องจากเป็นทางที่ชันมาก หินทั้งเล็กและใหญ่เต็มไปหมด ปกคลุมด้วยหิมะเต็มพื้นที่ ประกอบกับอากาศที่เบาบาง และหนาวเย็นยะเยือก จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขาสักเท่าไรนัก

เช้าวันที่ 14 เมษายน 2567 ณ เวลา 4.00 น. ฉันตัดสินใจเลือกที่จะไป คาลาปาทาร์ (Kala Patthar) เพียงเพราะรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น การเดินทางครั้งนี้ ออกไปเพื่อไปดูให้รู้ ให้เห็น เพื่อเห็นสัจจะในแบบของตัวเอง และปีนเขาในใจของตัวเอง

ฉันเตรียมกายเตรียมใจ สองมือถือ Trekking pole แล้วเริ่มออกเดินทาง บรรยากาศข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเต็มไปหมด ออกเดินทางไปได้สักพัก ฉันก็สัมผัสถึงความหนาวเย็นทางกาย แต่ในใจยังคงอุ่นด้วยพลังงานของความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึง ความชันค่อยๆเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความหนาวเย็น ลมแรงปะทะกับหน้า หน้าชา มือที่เริ่มจับ Trekking pole ก็เริ่มชา นิ้วเท้าก็ชาไปหมด เพราะความหนาวเย็น ความกลัว ความกังวลก็เข้ามาสะกิดต่อมคิดให้ทำงาน “นี่มือฉันจะตายหรือเปล่านะ นิ้วเท้าของฉันตอนนี้จะมีเลือดไปเลี้ยงพอไหม ปลายนิ้วเท้าจะดำแล้วหรือยัง กลับไปต้องตัดขาทิ้งไหม”

ฉันจึงเอ่ยปากบอกกับ Singa ลูกหาบที่ทำหน้าที่ไกด์ของวันนี้ และ Singa ก็เดินไปพร้อมกับฉัน

“I think I have a problem with my hands from the cold weather. It’s so hard to catch the trekking poles now.” หลังจากสิ้นสุดคำพูดของฉัน Singa ก็รีบถอดถุงมือของฉันออกดู แล้วเขาก็รีบใช้มือของเขา และลมหายใจของเขาช่วยเป่ามือให้เพิ่มความอบอุ่น “It’s okay Bree. Don’t worry. I can help you. Please walk slowly as much as you can.” แถม Singa ยังบอกว่าขี่หลังเขาขึ้นไปได้นะ Singa ผู้ใจดีบอกว่าเขาสามารถแบกรับน้ำหนักได้มากที่สุด 70 kg ดูเผินๆแล้ว Singa ตัวเล็กกว่าฉันอีก

ฉันปฏิเสธความช่วยเหลือจาก Singa และเลือกที่จะค่อยๆเดินต่อไปด้วยขาของฉันอย่างช้าๆ และตัดสินใจที่จะก้าวหรือไม่ก้าวต่อไปด้วยตัวของฉันเอง 

ขอบคุณ Singa ผู้น่ารัก

เวลาผ่านไปมากกว่า 2 ชั่วโมง พระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นแล้ว ฉันยังไม่ถึงครึ่งทางเลย ระหว่างทางเจอ Max กำลังเดินลงมา Max คือ เพื่อนชายชาวแคนาดา รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีบลอนด์ ผู้ร่วมก๊วนจากวงไพ่เมื่อวาน บอกฉันว่า อีกนิดเดียว แต่นิดเดียวของ Max คือ Max ไปไม่ถึงยอด แล้ว Max ก็เดินลงมาก่อน Max บอกว่า ไปแค่ครึ่งทางก็พอแล้ว ตรงนั้นก็เห็นยอดเขาเอเวอเรสต์แล้ว ฉันยิ้มและพูดคุยกับ Max สักพัก แล้วก็เดินทางต่อ

Singa ชี้ไปที่ยอดสูงริบหรี่ “ตรงนั้นไงที่เราจะไปกัน” ฉันหันกลับมามองตัวเองตอนนี้ ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย ฉันจะไหวไหมนะ กลับมาดูที่กายและใจ รวมทั้งลมหายใจของตัวเองต่อ ว่าแล้วก็เดินต่อไปในจังหวะของตัวเอง

ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง อีกนิดเดียวฉันจะถึง Summit ของ Kala Patthar แล้ว มองเห็นหลังของพี่ตึ๋งกับน้อยอยู่ไกลๆที่บนยอด ทางที่จะขึ้นยอดเป็นหินก้อนใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ Singa จับมือฉันพาปีนป่ายก้อนหินเหล่านั้น ในใจคิดว่าถ้าไม่ได้มากับ Singa จะไปถึงไหมนะ ต้องขอบคุณ Singa เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ในที่สุดฉันก็มาถึง บนยอดนั้นได้เจอกับพี่ตึ๋ง และน้อยที่นั่งรอเพื่อถ่ายรูปด้วยกัน สักพักพวกเราก็เดินลง และฉันก็ยังเป็นคนท้ายๆของการเดินลงเช่นเคย ฉันใช้เวลาสักพักไปกับการมองภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ด้านหลังยอดเขาเอเวอเรสต์ ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยทิ่ยิ่งใหญ่และสวยงาม ฉันตะโกนทักทาย Mt. Everest ด้วยความดีใจ และชื่นชมในความพยายามของตัวเอง ไออุ่นจากแดดค่อยๆไล่ความหนาวเย็นออกจากกายและใจ 

ขอบคุณพี่ตึ๋ง และน้อย ที่รออยู่ถ่ายรูปด้วยกัน

พอครั้นได้ลงมาถึงที่พักที่ Gorakshep เพื่อนในทีมตบมือให้ต้อนรับฉันด้วยความดีใจ

ฉันยังสบายดี แค่เหนื่อย และไอค็อกแค็กนิดหน่อย

“ที่สำคัญคือฉันยังปลอดภัยดี”

พอได้ไปยืน ณ จุดที่สูงสุด แล้วมองลงมา เมื่อได้ทำตามเป้าหมายที่หวังไว้แล้ว ความรู้สึกต่อไปมันกลับเป็นความว่างเปล่า

ความว่างเปล่านั้นมากับคำตอบที่มีคนถามว่า จบทริปนี้แล้ว จะไปปีนเขาที่ไหนอีก ฉันเชื่อมโยงความรู้สึกนี้ไปกับความรู้สึกของการที่ชีวิตคนเราประสบความสำเร็จกับเป้าหมายอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญ

ชวนให้ได้คิดต่อกับความคิดที่ว่า…

เราจะทำอะไรต่อไป

แล้วจะทำเพื่อใคร

ทำไปทำไม

มีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่ออะไรกันแน่นะ

ลงจากเขาครั้งนี้ ฉันได้คำตอบของฉันแล้วล่ะ

รวมระยะเวลาการเดินของนี้ เริ่มต้นจาก Gorak Shep ณ เวลาประมาณ 4.00 น. ถึง Pheriche เวลาประมาณ 17.00 น. รวมๆแล้วเกือบ 13 ชั่วโมง


Day11

Trek from Pheriche (4,250m) to Namche Bazaar

ระหว่างทางเดินทางกลับ ประสบการณ์ใหม่ๆ ก็เข้ามาชัก ชวนให้ได้ Climb the mountain ครั้งแรก

เพราะมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างพวกเราไม่ใช่ผู้พิชิตธรรมชาติ

แต่พวกเราคือนักสำรวจต่างหากล่ะ I’m the explorer

Singa ลูกหาบผู้น่ารัก ชวนให้ฉันได้ปีนขึ้นไปบนภูเขาลูกใหญ่

ฉันผู้ปฏิเสธตั้งแต่แรกว่า ขอรออยู่ด้านล่างนะ

สักพัก Singa ก็ตะโกนมาว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายของคุณที่ได้มาอยู่ในจุด ๆนี้นะ

สิ้นเสียงของ Singa สองเท้าของฉันก็รีบก้าวออกไป แล้วปีนป่ายทันใด

นี่เป็นครั้งแรก และคงมีอีกหลายๆครั้งแน่นอนที่ฉันจะได้ทำอะไรแบบนี้ๆ

Singa ช่วยเหลือเป็นอย่างดี ทั้งจับมือ บ้างทีมีทั้งดึงๆ ดันๆ ฉันขึ้นไป

จนสุดท้ายฉันก็ปีนขึ้นไป และปีนลงมาด้วยความปลอดภัย

กว่าจะปีนขึ้นและปีนลงมานั้น ไม่ง่ายเลย

ว่าแล้ว ประสบการณ์นี้มันก็สนุกดีนะ

เมื่อเดินไปได้สักพัก "มิตรภาพระหว่างทางเกิดขึ้นอีกแล้ว"

การเดินทางครั้งนี้ได้เพื่อนใหม่ชาวจีนอีก 1 คน มีนามว่า Crystals พวกเราเดินๆ หยุดๆ ในช่วงจังหวะเวลาที่ใกล้ๆกัน จนพอได้มาหยุด ณ ที่เดียวกัน บทสนทนาก็เกิดขึ้น วันนี้พวกเรามีเป้าหมายเดียวกันคือ การมุ่งหน้าสู่ Namche Bazaar ไปด้วยกัน 

ยินดีที่ได้รู้จักนะ Crystals

Day12

Trek from Namche Bazaar to Lukla

จาก Namche Bazaar สู่ Lukla เป็นทางที่มีแต่ขาขึ้นเป็นส่วนมาก ทางเป็นดิน และหินสลับกันไป

ใกล้จะเข้าสู่ Namche แล้ว ฉันพบกันร้านหนังสือเล็กๆในหุบเขา

Nice to meet you “Mahesh Kumar Karki”

นักเขียนในภูเขาผู้สร้างแรงบันดาลใจ

ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัด แต่ Mahesh Kumar Karki ชวนให้ฉันได้เรียนรู้จากความจำกัดนี้

ยินดีที่ได้รู้จัก Mahesh Kumar Karki นักเขียนผู้น่ารักในหุบเขาหิมาลัย

การเดินทางครั้งนี้ได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ครบรสชาติจริงๆ

ระหว่างเดินทาง วันนี้ฝนตกจ้า

ตอนแรกคิดว่าตกเล็กๆ ตกหน่อยๆ แต่เม็ดฝนเริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น กลายเป็นตกหนักมาก เมื่อเข้าสู่ดินแดนลุกลา

อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ฉันถึงโรงแรมที่ลุกลาในสภาพที่เปียกปอนเล็กน้อย

เดินลงมาถึงพร้อมพี่กุ้งและฟักด้วยความปลอดภัย

เมื่อเข้าไปถึง Hostel ที่มีชื่อว่า P_r_d_se มีความหมายเปรียบดังสวรรค์ ขอละชื่อโรงแรมไว้ในฐานที่เข้าใจ ฉันยิ้มให้กับเจ้าของโรงแรมด้วยความเหนื่อยที่มาพร้อมกับความสดใส แต่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยให้การต้อนรับสักเท่าไร สัมผัสความรู้สึกของการเหยียดเชื้อชาติก็คราวนี้แหละ

พี่สม ผู้เดินทางมาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้ เล่าให้ฟังว่าเจ้าของโรงแรมมีการปฏิบัติต่อชาวยุโรป และชาวเอเชียแตกต่างกันมาก ตอนที่ชาวยุโรปเดินทางมาถึง มีเชือกแดงผูกแขนต้อนรับ ต่างกับชาวเอเชียอย่างพวกเราที่เดินทางมาถึง กลับได้เป็นการต้อนรับที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก

ฉันก็ได้เพียงแต่รับรู้แล้วปล่อยไป ป้าเขาก็คงเป็นของเขาแบบนี้ๆ

ส่วนฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ๆเหมือนกัน

พี่ปิ๊งเล่าว่าตอนฉันนอนที่โรงแรงนี้ ฉันละเมอด้วย บอกว่า Chicken soup No rameng ฮ่าๆมีความละเมอเป็นภาษาอังกฤษ แถมละเมอเป็นของกินอีกต่างหาก 


Day13

Fly back to Kathmandu from Lukla

วันนี้โชคดี อากาศดี ฟ้าไม่ปิด เพราะเรากลับมากับ Clear sky นี่คือบริษัทของ Ram ที่เป็นทัวร์ที่ฉันเลือกใช้บริการ trekking ที่เนปาล ช่วย Ram โปรโมทเสียหน่อย https://clearskytreks.com/ ใครสนใจลองเข้าไปจองได้ที่เว็ปไซต์นี้ ราคาค่าทริปเป็นราคามิตรภาพมากๆ หากเทียบกับทัวร์ที่จัดของไทยแล้ว ทัวร์ไทยแพงมากกว่าเท่าตัวเลย

วันนี้ไฟลท์บินกลับของพวกเราคือไฟลท์ 7.00 น. โชคดีที่วันนี้ฟ้าปลอดโปร่ง ทำให้พวกเราได้บินตามแผน ทราบมาว่าเมื่อวานฟ้าปิด ทำให้ต้องปิดสนามบินลุกลาเช่นเดียวกัน และก็ทราบมาอีกว่า หลังจากวันที่พวกเราได้บินจากลุกลาไปกาฐมาณฑุ อีก 2 วัน สนามบินที่ลุกลาก็ต้องประกาศปิดอีก ฉันมากับความโชคดีจริงๆ ไม่งั้นคงต้องได้ซื้อตั๋วกลับไทยใหม่แน่ๆ

จาก Lukla ถึง Ramechep ภายใน 30 นาที แล้วพวกเราก็เดินทางจาก Ramechep สู่ Kathmandu ใช้เวลามากถึง 6 ชั่วโมง กว่าจะถึงโรงแรมใน Kathmandu ก็เป็นเวลา 4 โมงกว่าๆแล้ว

แล้วฉันจะกลับมาอีกนะ ลุกลา


และก็ถึงเวลาของการ Exploring เมือง Kathmandu ยามค่ำคืนเสียแล้ว

ได้เวลาดื่มด่ำกับอาหารพื้นเมืองประจำถิ่นของเนปาล

หลังจากได้ลิ้มชิมรส การทำงานของลำไส้ก็ยังปกติดีอยู่นะ

เรื่องราวยามคำคืน ณ กาฐมาณฑุ

Day14

Free day in Kathmandu

นักสำรวจเมืองกาฐมาณฑุเฉพาะกิจ

ให้ภาพเล่าเรื่อง

Traffic jam is normal

Can I go?

Pinky lady

Two way is not one way

Mom's hugging

ออกเดินทางสู่ Boudhanath Stupa

สาดสี (สีที่ใช้เป็นสีจากสมุนไพร)

พวกเรายืนถ่ายรูปแค่ด้านหน้า

เพียงขอแค่เชยชมที่ด้านหน้า เพราะเงินที่เตรียมมานั้นจะหมดแล้ว แง้

ช่วงบ่ายพวกเราก็ไปกันต่อที่ Bhaktapur เมืองมรดกของเนปาล เลยตัดสินใจเสียเงินค่าเข้า คิดเป็นเงินไทยประมาณ 400-500 บาท

ค่าตั๋วประมาณ 400-500 บาทไทย

Kumari

Walk together

A little smile

Musicals

Happiness

Inner Dance

ทีมชาวทิเบต

Four

Someone is in the darkness

ร่องรอยของประวัติศาสตร์

และวันนี้ช่วงเย็น ก็มี Farewell Party โดยมี Ram เป็นเจ้าภาพ

ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมของเนปาลมากขึ้นด้วย

เรื่องราวของเนปาล อารายธรรมที่ชวนหลงใหล

ทีมของพวกเรา

ถึงเวลาของการบันทึกขอบคุณ

ขอบคุณการเดินทางร่วมกันในจังหวะชีวิตเดียวกันครั้งนี้

- ขอบคุณพี่ตึ๋งที่คอยดูแลปกป้อง พิทักษ์พี่ๆน้องๆในทีมให้พวกเราอยู่รอดปลอดภัย และเปิดโอกาสให้ผึ้ง ผู้ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าให้ได้ไป Join trip ด้วย

- ขอบคุณพี่ปิ๊งที่เป็น Motivation ให้ผึ้ง และสะท้อนเรื่องราวการเดินทางร่วมกัน มันมีคุณค่า และทำให้ผึ้งเติบโตมากขึ้นไปอีกค่ะ

- ขอบคุณพี่กุ้ง ผู้เป็นรอยยิ้มให้กับพวกเราทุกคน พี่กุ้งผู้เพียบพร้อมทั้งอาหารการกิน ความเป็นอยู่ พี่กุ้งผู้มีพลังและนำพาการบุกเบิกทางใหม่ๆ

- ขอบคุณฟักที่ชวนพี่กินนู่นกินนี่ ถ่ายรูปตรงนู้น ตรงนี้ หัวเราะด้วยกัน กินอะไรหลายๆอย่างด้วยกัน การออกเดินทางร่วมกันครั้งนี้ทำให้เราได้ชวนกันหยิบลูกอมบนเครื่องบินมาเยอะเลยทีเดียว ฮ่าๆ

- ขอบคุณบัว และน้อย ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีสีสัน ถึงความอุ่นละมุนของทั้งทั้งสอง ทำให้พี่ตาร้อนผ่าวไปนิดก็ตาม ฮ่าๆ ดีใจๆที่ได้ออกเดินทางร่วมกันนะ

- ขอบคุณพี่สม และพี่ต้อง ผู้ออกเดินทางร่วมกัน พี่ทั้งสองเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผึ้งกล้าออกเดินทางต่อไป

- ขอบคุณ Ram คุณไกด์ผู้เชี่ยวชาญและน่ารัก ให้การดูแลดุจญาติมิตร ประทับใจตั้งแต่แรกพบและจบทริป

- ขอบคุณ Bikal ที่สะท้อนเรื่องราวดีดีระหว่างการปีนเขาครั้งนี้

ขอบคุณที่ออกเดินทางร่วมกันนะ

- ขอบคุณจริงๆนะ -


Day15

กลับบ้าน

แสงแรกของวัน ณ เมืองกาฐมาณฑุ

บ้าน และ เมือง

ออกเดินทางสู่สนามบินเช้าตรู่

แต่เพราะเครื่องบิน Delay จึงได้เจอเพื่อน

โชคดีที่เครื่องบิน Delay ไม่นานมาก ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ เลยทำให้มีโอกาสได้เจอกับพี่ปิ๊ง พี่ต้อง ที่ตามมาทันๆกันพอดี สุดท้ายแล้วเครื่องบินของพี่ๆเขาก็ Delay เช่นเดียวกัน แถมยังได้เจอพี่จิ๊บ พี่สาวผู้ที่เคยไปปีนเขาที่จีนด้วยกัน แต่รอบนี้พี่เขามาปีนเขา Route Mardi Himal ในเนปาล เลยได้กอดพี่จิ๊บไปหนึ่งที

ถึงไทยโดยสวัสดิภาพ ณ เวลา 18.00 น.

รอวันได้ออกเดินทางอีก

- บันทึกของผึ้ง -



Bee Reflective Journal

 วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.07 น.

ความคิดเห็น