เรา : "ตั๋วเครื่องบินแพงมากเลยว่ะ"
      แฟน : "เท่าไรอะ"
      เรา : "ไป-กลับเชียงใหม่คนละ 5K อ่า จะร้อง"
      แฟน : "ฟ้าคคค !! "
      เรา : "แต่ไม่กลับช่วงนั้นก็ไม่ได้อะ ลาพักร้อนไปแล้ว"
      แฟน : "ไปรถไฟแทนมั้ยล่ะ . . ."

     นั่นล่ะครับคุณผู้ชม จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้มันง่ายมากๆ แค่อยากกลับบ้านไปหาคุณย่า แค่นั้นเลย แต่ราคาตั๋วเครื่องบินไม่ใจดีกับเงินในกระเป๋าสักเท่าไร เลยต้องหันไปพึ่งรถไฟแทน 

กลับบ้านรอบนี้จะเป็นยังไงนะ


     เราเลือกช่วงเวลาเดินทางไป-กลับก่อนวันคริสมาสต์ เพื่อที่จะเลี่ยงคนเยอะให้ได้มากที่สุด ก็นะช่วงนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว เชียงใหม่นี่แทบจะเป็นเมืองที่ยกคนกรุงเทพฯ ขึ้นไปเกือบหมดเลยมั้ง 555 แต่ไม่เป็นไร เรากะว่าจะไปนอนโง่ๆ ไม่ได้กะเที่ยวอยู่แล้วล่ะ ได้เวลาใช้วันลาพักรัวแล้ว ฮ่าๆๆ 

     ประสบการณ์การไปรถไฟของเราเรียกได้ว่าไม่มาก ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 4 ในชีวิต (และเป็นครั้งที่ 2 สำหรับรถไฟนอน) แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่จะได้ไปรถไฟใหม่เหมือนกัน (รถไฟนอนครั้งแรกของเราเป็นสายใต้ ค่อนข้างสยองเลยล่ะ เพราะรถไฟเก่าเว่อร์55) 

     รถไฟที่เราเลือกไปคือรถไฟรีโนเวทใหม่ในตำนาน รถไฟด่วนพิเศษ CNR เส้นทางอุตราวิถีขบวนที่ 9, 10 วิ่งกรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพ ราคาอาจจะไม่น่ารักเท่าขบวนอื่น แต่ว่าโดยรวมแล้วเราว่าคุ้มค่ากับการลอง อีกอย่างคือเมื่อเทียบกับราคาตั๋วเครื่องบินในช่วงเทศกาลแล้ว รถไฟขบวนนี้ดูคุ้มกว่าเยอะเลย ในเเง่ของประสบการณ์และบรรยากาศอะนะ  

     เราจองตั๋วรถไฟผ่านเว็บไซด์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งการจองตั๋วรถไฟค่อนข้างจะขลุกขลัก เพราะว่าเว็บไซด์ของรฟท. มี UX ที่ค่อนข้างไม่อำนวยความสะดวกขนาดนั้น ต้องพิมพ์หลายครั้งหน่อย แต่ก็ดีกว่าไปต่อแถวซื้อตั๋วหน้าสถานีแหละนะ ที่สำคัญเลย. . .การจองตั๋ว จะสามารถจองได้ล่วงหน้าเพียง 30 วัน เท่านั้น จะจองล่วงหน้ากว่านั้นไม่ได้นะ เพราะฉะนั้น นี่คือสงคราม !!

การจ่ายมี 2 รูปแบบ

  1. เงินสด : ชำระได้ตามสถานีรถไฟแล้วรับตั๋วโดยสารเลย
  2. ออนไลน์ : ตัดผ่านบัตรเครดิตจะได้ตั๋วออนไลน์ทันทีหลังจอง ผ่านทางอีเมล์ที่เราลงทะเบียน 

     ส่วนตัวเราแนะนำวิธีที่ 2 เพราะว่าสะดวกสุด555 แล้วไม่จำเป็นต้องปริ้นตั๋วด้วย สามารถโชว์ตั๋วออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วบนรถไฟได้เลย

     ตั๋วรถไฟที่เราจองได้เป็นแบบชั้น 2 เบาะแดง เตียงบนและเตียงล่าง เพราะอยากนั่งตรงข้ามกัน (จริงๆอยากจองชั้น 1 แต่เต็มเร็วมากแม่) เตียงล่างราคา 1,041 บาท เตียงบนราคา 941 บาท ราคาคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ลองตัดสินใจดูนะคะ เราว่าในช่วงเทศกาลที่ราคาตั๋วเครื่องบินแพงๆ ถ้าไม่ติดเรื่องต้องทำเวลาในการเดินทาง รถไฟก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีอันนึงเลยค่ะ

     ถึงวันเดินทางแล้ว ไปกันเถอะ !!

บรรยากาศภายในสถานี

ขบวนรถไฟของเราจะขึ้นที่ชานชาลาที่ 4 ค่ะ มาก่อนเวลาสัก 30 นาที จะได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ

เนื่องจากเราได้ตู้เลขที่ต้นๆ เลยเดินออกมาไกลมากกกกก แต่บรรยากาศยามเย็นก็ดีอยู่น้า

สังเกตเลขที่ตู้ได้ตามป้าย LED นะคะ อย่าไปสับสนกับตัวเลขที่ติดอยู่ตามตู้มันไม่ตรงกันเลยอะ ถ้าหาไม่เจอจะถามนายสถานีก็ได้ค่ะ มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตลอดขบวนเลย

เข้ามาแล้วววววว...เบาะแดงที่เราเคยเห็นแต่ในรีวิว แต่ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเองเลยสักครั้ง วันนี้ได้นั่งแล้วค่า 

ในแต่ละที่นั่งจะมีปลั๊กไฟเสียบชาร์จและไฟอ่านหนังสือ 1 คู่ สำหรับเตียงบน-ล่าง มีโต๊ะพับเล็กๆ อยู่ตรงกลาง ค่อนข้างสะดวกสำหรับคนที่แบกงาน แบกหนังสือมาอ่านบนรถไฟอยู่ค่ะ

ที่สำคัญคือสะอาดดดด มีเจ้าหน้าที่คอยกวาด และเก็บขยะเป็นรอบๆ แถมก่อนนอนมีถูให้อีกครั้งด้วย 

ส่วนห้องน้ำตอนเริ่มใช้ใหม่ๆ ก็แห้งและสะอาดใช้ได้ มีที่ล้างมือ สบู่ ทิชชู่ และสายฉีด แต่อันนี้แล้วแต่ดวงนะคะว่าได้ผู้ร่วมทางแบบไหน ขาไปเราได้ผู้ร่วมทางดี ทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาดดีมาก ห้องน้ำที่เราเข้าไม่มีกลิ่น ไม่เฉอะแฉะเลย แต่ขากลับไม่ไหวจริงๆค่ะ ผู้ร่วมทางเราไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเรื่องความสะอาดเท่าไร อยากจะทิ้งขยะให้มันล้น อยากจะล้างห้องน้ำ ก็สาดมันแบบดุดันไม่เกรงใจครายกันเลยทีเดียว555 เรายอมกินน้ำน้อยๆ แล้วไม่เข้าห้องน้ำอีกเลยจนกว่าจะถึงกรุงเทพฯ (ลองจินตนาการดูนะคะว่าแย่ขนาดไหน)

รถไฟจัดว่าออกได้ตรงเวลามากๆ ตารางเดินรถของเราวันนี้คือ ออก 18.10 น. และถึงเวลา 07.15 น. 

หลังจากรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วโดยสารตามที่นั่ง ความปลอดภัยค่อนข้างดีนะ เพราะตั๋วมันถูกกำหนดที่ของใครของมัน ใครจะมาตีเนียนขึ้นมามั่วๆ ไม่ได้นะเออ ที่ชอบคือมี CCTV ติดอยู่ทุกตู้ และสามารถดูเส้นทางผ่านจอ LED ได้ด้วย 

อ่อ อีกอย่างนึงคือ แอร์เย็นมว้ากกกกก ใครขี้หนาวก็พกเสื้อแขนยาวมาหน่อยก็ดีจ้า

เสบียงเราพร้อมมากกก ทางการรถไฟไม่ได้ห้ามเราเอาของกินขึ้นไปเองนะ จะเอาอะไรขึ้นไปกินก็แล้วแต่เลย ที่เขาเตรียมให้จะมีแค่น้ำเปล่าขวดเล็กคนละขวดเท่านั้น ที่เหลือต้องไปหาซื้อเอาเองบนรถไฟ

ความแตกต่างของรถไฟของขบวนนี้จะไม่เหมือนรถไฟทั่วไป คือจะมีตู้เสบียงให้สั่งอาหารเเละเครื่องดื่ม จะไม่อนุญาตให้พ่อค้าแม่ขายตามสถานีขึ้นมาขายของตอนจอดแวะ เพราะเขาต้องการให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย ดังนั้น ถ้าไม่ได้เตรียมอะไรไปกินบนรถไฟเอง ก็ต้องไปซื้อเอาดาบหน้าที่ตู้เสบียงค่ะ

ตู้เสบียงมีโต๊ะให้นั่งแค่ 10 โต๊ะ ถ้าจะไปหาอะไรกินก็ต้องกะเวลาดีๆ หน่อย ไม่งั้นเต็มไวอยู่นะ แต่จริงๆเราสามารถสั่งอาหารที่ตู้เสบียงแล้วให้เขาไปเสิร์ฟที่นั่งเราก็ได้ ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องกลิ่น หรือความสะอาด แต่เราซีเรียสเพราะเราต้องนอนนี่นา เลยเดินมากินข้าวที่นี่ดีกว่า

ตอนแรกเราจัดการกินข้าว กินอะไรมาจากบ้านแล้วเพราะเห็นว่ารถไฟออกตอนเย็น กะเอาขนมจุกจิกขึ้นไปกินขำๆ แต่สุดท้าย...ก็หิวจ้าาาา เลยต้องยอมสั่งข้าวกล่อง อาหารจะไม่ใช่ตามสั่งเด้อ เขาจะกำหนดมาแล้วเป็นอาหารเซต แต่แค่มีเมนูให้เลือกได้ว่าอยากกินกับข้าวเป็นอะไร

ในหนึ่งเซตที่เขาให้เลือกจะมีน้ำ 1 ขวด น้ำแกง 1 ถ้วย กล่องข้าวแบบในรูปด้านบนที่มีกับข้าว ของทอด และผลไม้อย่างละ 1 อย่าง (ของทอดกับผลไม้นี่แล้วแต่ฤดู ว่าเขาจะเสิร์ฟเป็นอะไรนะ) ราคาค่อนข้างแรง อย่างกล่องนี้ราคา 190 บาท แต่ข้าวก็ไม่น้อยเกินไปนะ เราหิวอะก็ยอมจ่ายไป555

สัก 1-2 ทุ่ม พนักงานรถไฟจะทยอยมาปูที่นอนให้ มั่นใจเรื่องความสะอาดได้เพราะเขาแกะใหม่จากถุง ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มเลย ใครที่คิดว่าจะนอนไปดูวิวไป ดูดาวดูดวงจันทร์ไปก็เสียใจด้วยนะ เพราะมันมองไม่เห็นโว้ยยย เขาเปิดไฟตลอดทั้งคืน เพราะเหตุผลเรื่องความปลอดภัยนั่นแหละ พอไฟมันสะท้อนมันก็มองข้างนอกไม่เห็นสิวะ555 ความหลับยากของเราคือแสงมันสว่างเข้าตา ถึงจะมีม่านกั้นให้ก็ตาม แต่มันก็สว่างอยู่ดี เราเลยใช้เวลาพอสมควรกว่าจะหลับ

อีกอย่างคือนอนบนรถไฟค่อนข้างโคลงเคลงน้า เราว่าคนที่หลับยากหรือชอบเมารถ เอาพวกผ้าปิดตา ยาแก้เมารถ เอียร์ปลั๊กเตรียมพร้อมไปก็ดี

ได้เวลานอนแล้วววว บับบุย

เช้านี้ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ถึงโดยสวัสดิภาพค่า อากาศหนาวมากเลยบรึ๋ย

     เราว่าโดยรวมการมารถไฟใหม่ก็ได้ฟีลไปอีกแบบ แต่ก็ไม่ได้หวือหวาหรือว้าวมาก อาจจะเพราะเราคาดหวังไว้สูงกว่านี้กับราคาที่จ่ายไป ซึ่งมันก็เท่าๆตั๋วเครื่องบินช่วงราคาถูกเลยนะ แต่การบริการระหว่างเดินทางยังดูวุ่นวายอยู่เล็กน้อย (จริงๆก็พอมองข้ามได้ เพราะพนักงานที่ให้บริการใจดีทุกคน อาจจะแค่บริการช้าเพราะพนักงานไม่พอกับผู้โดยสาร แต่เราขอแค่ไม่เหวี่ยงไม่วีนก็พอ)

     อนาคตของรถไฟไทยเราอยากให้มีรถไฟความเร็วสูงมากๆ เพราะมันก็ยังมีคนที่อยากเดินทางไปต่างจังหวัด และต้องการทำเวลา พร้อมกับราคาที่เอื้อมถึง ตอนนี้เหมือนเรามีทางเลือกเดียวคือ เครื่องบิน ซึ่งลองมาคิดคำนวณดูแล้วการเดินทางโดยเครื่องบินใช้เวลานานนะ ถ้ารวมระยะเวลารอเครื่อง เวลาบอร์ดดิ้ง รวมไปถึงเวลาเดินทางก็ประมาณ 3 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย 

     แต่ถ้าเป็นรถไฟเราสังเกตเห็นว่ามันไม่ต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่เอามือกำตั๋วแล้วเดินขึ้นรถไฟได้เลย รถไฟความเร็วสูงจะตอบโจทย์เรื่องการเดินทางได้อีกช่องทางนึงเลยก็ว่าได้ ขอให้วันนั้น วันที่รถไฟไทยถูกพัฒนามาถึงเร็วๆ แล้วมาอำนวยความสะดวกให้พวกเราทุกคนได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ !!

     วันนี้ขอจบการรีวิวการขึ้นรถไฟเบาะแดงครั้งแรก ถ้าชอบก็ฝากติดตาม กดไลค์ กดแชร์กันด้วยน้า มันเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับ blogger มากๆ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ค่า เจอกันใหม่ทริปหน้า


ติดตามเรื่องราวการเดินทางแบบนี้ได้อีกใน Facebook fanpage : A Y E S I G H T
หรือ กดเข้าไปที่ โปรไฟล์ของอาย เพื่อเลือกอ่านเรื่องราวดีๆได้เลยนะค้าบบบ

AYESIGHT

 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 17.32 น.

ความคิดเห็น