:: (วันที่ 5) ปาย – ลำปาง (ระยะทาง 156 กม.) 28 ธันวา 65
:: เช้านี้ยังคงตื่นสายเหมือนเช่นเคยคือราวเจ็ดโมงกว่า กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ปาไปเกือบแปดโมง ไม่รู้หมอกที่หยุนไหลยังรอคนตื่นสายอย่างผมอยู่หรือเปล่า ผมขับรถออกมาจาก BAANKONPAI แปดกิโลเมตรก็ถึงจุดชมวิวหยุนไหล หมอกที่ผมอยากตอนนี้ยังคงรอผมอยู่ถือว่ายังโชคดีมาก เพราะนี่คงเป็นสถานที่เดียวของวันนี้ที่ผมจะแวะได้
:: ผู้คนยังคงหนาตาบวกกับค่าเข้าคนละยี่สิบบาทสำหรับใบเบิกทางไปดูหมอกที่ทอดตัวยาวไปตามตีนเขาและหมูบ้านด้านล่าง จับกลุ่มอ้อยอิ่งราวจะไม่แยกจากกัน ผมเดินถ่ายรูปสลับกับชื่นชมบรรยากาศสุดท้ายเพราะหลังจากนี้ก็จะเป็นการนอนพักตามทางผ่านที่จะต้องกลับบ้านโดยยังไม่มีที่พักของวันนี้กอปรกับเต้นท์ที่ผมปลดประจำการ (แต่ยังใช้ได้ปกติ) จึงฝากไว้กับที่พักที่บ้านสวนวินเทจสำหรับใครที่ลืมนำเต้นท์มาก็สามารถใช้ได้เลยส่วนเรื่องค่าสถานกางที่ก็สามารถติดต่อกับทางที่พักได้เลย
:: ผู้คนยังคงทยอยมาที่จุดชมวิวหยุนไหลดั่งสายหมอกที่ทยอยเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ผมมองสายหมอกพลางปลดความทุกข์ สุข เศร้า หิว อิ่ม อด รัก ร้าว ฝัน เพ้อ.. นานา ภาพเหล่านั้นคล้ายเป็น ขยะซึ่งผมฝากไปกับหมอกของวัน เหลือเพียงความคิดว่างเปล่าที่อาจจะต้องไปนับหนึ่งใหม่หลังจากเข้าเมือง ความทุกข์ สุข เศร้า หิว อิ่ม อด รัก ร้าว ฝัน เพ้อ.. นานา
:: เช้านี้หนาวกว่าทุกวันที่ผ่านมาน่าจะอยู่ที่13-14องศาได้ ถุงมือที่ซื้อมาข้างทางถูกหยิบมาใช้ทุกครั้งที่ต้องขับรถ ทั้งช่วยกันแดดและความหนาวได้เป็นอย่างดี
:: ผมกลับไปเช็ดเอ้าท์ก่อนออกมาหาอะไรทานระหว่างทางไปแกรนแคนยอนซึ่งอยู่เยื้องๆกับปั้ม PT ซึ่งเป็นร้านไม่มีชื่อ แต่เป็นอาหารที่คุ้นตา ทั้งต้มไก่และซี่โครงหมูผัดเผ็ดในราคาเจ็ดสิบบาทที่อร่อยถูกปากผมอย่างมาก อากาศดีอาหารอร่อย กินอิ่มนอนหลับนับว่าประเสริฐ
:: ขับออกมาอีกนิดทางไปเส้นเชียงใหม่ราว ๆ 1-2 กิโลเมตร (จากปั้มPT) จะเจอร้านกาแฟชื่อ SET SAIL PAI CAFÉ ที่ผมแวะอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่ตั้งใจมาซื้อกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟตอนเช้าคือความสุขของวันนี้พอ ๆ กับการได้เห็นหมอกที่หยุนไหล พูดคุยอย่างออกรสและเป็นกันเองกับเจ้าของร้านอยู่นานกว่าตำพริกเครื่องแกงหม้อใหญ่
:: พี่เจ้าของร้านเพิ่งกลับมาเปิดได้ซักพักหลังจากที่โดนพิษของโควิดที่หลายคนก็คงเจอกัน ด้วยบรรยากาศที่ดีของร้านและมองเห็นบ้านพักที่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายจึงเกิดคำถามเพื่อทำลายความเงียบถึงการเปิดเป็นที่พักในอนาคต ซึ่งพี่เจ้าของร้านก็บอกว่าอาจจะเปิดให้เพื่อนให้ญาติมาพักก่อนส่วนอนาคตจะเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือเปล่านั้นต้องดูก่อน การพูดคุยสับเพเหระยังคงมีอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงการขับรถรา(รถยนต์ )ของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นทะเบียนกรุงเทพฯและผมไม่ได้เหมารวมว่าเป็นกันทุกคันแต่เท่าที่ผมเจอมาระหว่างทางนั้นถือว่าขับกันค่อนข้างเร็วและแซงกันอุตลุดยิ่งกว่าทะเบียนรถคนพื้นที่สะอีก สอดคล้องกับความเห็นของพี่เจ้าของร้าน “เพราะเราเดินทางอยู่บนดวงดาวที่ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบ”
:: ก่อนที่บทสนทนาอีกมากมายจะจบลง ความน่ารักของร้านโมเดิร์นหลังเล็กทำให้ผมนั่งต่ออีกครู่ใหญ่ ลิ้มรสกาแฟรสชาติดีที่หอมอวลไปด้วยกลิ่นบางอย่างซึ่งน่าจะเป็นสูตรลับของทางร้าน และแสงแดดที่คลอเคลียให้ความอบอุ่นดั่งบุพการี ต้นไม้ที่โงนเงนไปตามแรงลมอย่างเชื่อช้า จึงอยากยกท่อนหนึ่งของหนังสือ “ บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ” ที่เติมเต็มหัวใจของนักอ่านอย่างผม
...ชีวิตต้องเติบโตขึ้นด้วยข้าว โลกจึงจำเป็นต้องมีชาวนา ชีวิตต้องได้รับการอบรมชี้แนะเพื่อการดำรงอยู่ในวิถีดีงามสอดคล้อง โลกจึงจำเป็นต้องมีครู ชีวิตต้องได้รับความปลอดภัย โลกจึงจำเป็นต้องมีตำรวจ(ดี) แต่ชีวิตไม่จำเป็นต้องอ่านวรรณกรรม ไม่จำเป็นต้องฟังเพลง ไม่จำเป็นต้องดูหนังไม่จำเป็นต้องเสพภาพวาด ขาดสิ่งเหล่านี้ไปชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ได้ ทว่าศิลปินมองชีวิตในระดับเหนือกว่าปกติ องค์ประกอบของชีวิตมิได้มีเพียงเซลล์เลือดเนื้อ ความรู้สึก และสัญชาติญาณ แต่ความเป็นชีวิตมีจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบใหญ่อยู่ด้วย ชีวิตโดยปกติไม่ได้เรียกร้องอาหารทางจิตวิญญาณแต่ศิลปินเห็นว่านี่คือหนึ่งความจำเป็น ชีวิตจำเป็นต้องดื่มกินอาหารทางจิตวิญญาณควบคู่กันไปด้วย...
:: ก่อนเดินทาวต่อพี่เจ้าของร้านได้ถามอย่างห่วงใยว่ารถมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นเช็คเรียบร้อยดีแล้วหรือเปล่าเพราะต้องขับไกล ผมยิ้มก่อนตอบว่า “ เรียบร้อยดีครับ อีกสองปีเดี๋ยวผมเดี๋ยวผมมาเที่ยวใหม่หวังว่าที่พักจะเสร็จแล้วนะครับ ” ยิ้มทั้งสองของมิตรภาพระหว่างทางจบลงที่ผมเดินทางต่อ
:: จนมาถึงสันทรายอากาศร้อนขึ้นฝุ่นเยอะเพราะเป็นช่วงทำถนนสี่เลน และไฟแดงที่เยอะขึ้น ผมยืนทุกครั้งที่ติดไฟแดงเพราะอาการปวดก้นยังคงไม่จากไปไหนแถมแสดงอาการหนักขึ้น แต่วันนี้จะปวดก้นหรือปวดเมื่อยก็ต้องขับไปต่อเรื่อย ๆ ให้ได้มากที่สุดเพื่อวันที่ 29 ผมจะได้ไม่ต้องขับเยอะมาก โดยที่ยังไม่ได้ดูที่พักเพราะเปลี่ยนแผนจากการนอนอุทยานฯออบขาน เป็นที่อื่นแทนซึ่งยังไม่ได้หา และแผนคือการขับหาเอาข้างหน้า ระยะการขับยังคงไม่เร่งรีบเหมือนเช่นเคยอยู่ที่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง พักทุกครั้งที่อยากพักและรู้สึกว่าหิวหรือเมาแดดมาก ๆ
:: จนถึงจุดพักที่ตลาดแห่งหนึ่งครั้งนี้ต้องพักนานถึงสามสิบนาทีเพื่อให้รถมอไซด์ได้พักให้เครื่องเย็น สิบหกนาฬิกาสิบห้านาทีผมอยู่กับน้ำอัดลมโดยที่ยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะพักที่ไหน แต่เชื่อว่าคงเป็นสักที่ระหว่างทาง จนถึงเวลาเดินทางต่อ..และคิดว่าที่พักหลังจากนี้อาจจะไม่มีตัวเลือกให้มากนักหรืออย่างแย่สุดก็ไม่มี เพราะผมตัดสินใจไม่เข้าตัวเมืองลำปางแต่ออกขวามาแทนเพื่อให้พรุ่งนี้ผมไป บ้านฮิมน้ำ รีสอร์ท ที่ จ.ตาก ง่าย ๆ (เพราะเป็นที่พักที่สุดท้ายที่ผมจองไว้และสิ้นสุดการเดินทางเจ็ดวัน)
:: หลังจากออกขวามาสักพักผมก็เจอชื่อรีสอร์ทหนึ่งที่ผมตั้งใจจะไปพักแต่พอขับตามป้ายมาก็พบว่ามีรีสอร์ทอีกหลายแห่งบริเวณนี้ แต่เพื่อความสบายใจด้วยความที่อยากได้ที่พักที่ไม่มีเรื่องราวจึงและสอบถามกับวัยรุ่นแถวนั้นรวมถึงร้านค้าที่ผมแวะซื้อน้ำจนได้ที่พักชื่อปาริฉัตร รีสอร์ท ในราคา 490 บาท จบวันนี้ด้วยการนั่งกินข้าวคนเดียวที่บ่อน้ำของที่พัก ก่อนไขลานตัวเองกลับมาที่ห้องเพื่อนั่งเขียนงาน
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ข้าว 135
น้ำ20
กาแฟ 60
น้ำมัน 140
เข้าห้องน้ำ 6
ไส้กรอก 45
ที่พัก 490
ขนม 10
รวม 906 บาท
ROAD MOVIE
วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.24 น.