ถ้าพูดถึงจังหวัดในภาคอีสาน 'นครพนม' อาจจะไม่ใช่ชื่อแรกที่เรานึกถึง
แต่ในการเดินทางของทริปนี้ เราปักหมุดไว้ที่จังหวัดนครพนม ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองความสุขริมฝั่งโขง
ที่มีคนถามเรามาเยอะมากว่า ทำไมถึงเลือกมาที่นี่… นครพนมมีอะไร เราเองก็ตอบไม่ได้
เพราะเรารู้จักนครพนมน้อยมากๆ หรือจะเรียกว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนครพนมเลยก็ว่าได้
ก็นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้เราต้องออกเดินทางมา และอยากทำความรู้จักกับ “นครพนม”
***ไม่อนุญาตให้นำภาพ ทุกภาพ ในกระทู้นี้ไปใช้ หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด***
DAY 1 : Back to Travel ... ได้เวลาเที่ยวแล้ว - สวัสดีนครพนม
เช้าวันที่ต้องเริ่มต้นการเดินทางมุ่งหน้าสู่นครพนม ปลายทางของเราในวันนี้คือเมืองที่มีความงดงามชวนให้หลงใหลไปกับธรรมชาติริมแม่น้ำโขง ที่กั้นกลางระหว่างพรมแดนไทย-ลาว และเมืองที่ขึ้นชื่อว่า มีความสุขที่สุดในประเทศไทย
เราเดินทางมาด้วยเครื่องบิน แต่ต้องบอกว่าไฟล์ทบินน้อยมากๆ เราบินไปกับแอร์เอเชียรอบเช้า และต่อรถตู้เข้าเมืองคนละ 100 บาท รถตู้จะมาส่งเราที่หน้าโรงแรมเลย หรือจะลงตรงไหนในเมืองก็บอกพี่คนขับได้เลย
เมื่อมาถึงนครพนม เราจัดการฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน และเช่าจักรยานปั่นไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้เช็คGoogle map เลยว่า มันใช่ทางที่เราจะไปหรือเปล่า ปั่นไปแบบมั่วมากๆ รู้ตัวอีกที.. เส้นทางที่เราไปมันสวนทางกับริมฝั่งแม่น้ำโขง 55555
เพราะความหิวนิดหน่อยบวกกับความร้อน เลยตัดสินใจแวะนั่งพักสักครู่ และนั่นก็ทำให้เราได้พบกับคุณป้าร้านน้ำ และร้านลูกชิ้นทอด ที่หลังโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เรานั่งคุยกับคุณป้าสักพัก ได้ข้อมูลมาหลายอย่าง แนะนำสถานที่ต่างๆ ในนครพนมให้เรา
หลังจากนั้นเราก็ปั่นย้อนกลับไปตามเส้นทางเลียบริมโขง ท่ามกลางแดดอุ่นๆ (อุ่นกว่าไฟนรกนิดเดียว 555)
สายลมเอื่อยๆ พัดโชยมา บวกกับทิวทัศน์ที่เห็นตรงหน้า สวยงามจนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดมาบรรยายได้จริงๆ เรารู้ตัวเลยว่าพูดคำว่า “สวย” กับวิวตรงหน้าได้เปลืองมากจริงๆ
อุปกรณ์ในการบันทึกความทรงจำที่พร้อมสู้แบบทุลักทุเลไปด้วยกัน
ตรงนี้คือ วัดนักบุญอันนา หนองแสง เป็นโบสถ์คริสต์ที่มีความเก่าแก่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม
ถึงแม้แดดจะร้อนมาก ก็ยังมีลมเย็นๆ ของฤดูหนาวพัดมาให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ความสวยงามที่มีวิวทิวทัศน์ตรงหน้านั้นก็ไม่สามารถเอาชนะแดดร้อนๆ ได้เลยจริงๆ ขอยอมซูฮกให้แดดประเทศไทย
หลังจากนั้น รู้สึกว่าเริ่มหมดแรงลูกชิ้นทอด ปั่นกลับมาที่ร้านเตี๋ยวเต็มโต๊ะ (อยู่แถวๆ หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์) ที่ตกแต่งแนววินเทจย้อนยุค
สำหรับเมืองริมโขงที่มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคมากมาย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมาไหว้ขอพร ที่ลานพญาศรีสัตนาคราช ตามคำบอกเล่าจากคุณป้าร้านน้ำ แกบอกว่าเคยมีคนมาไหว้แล้วซื้อหวยกลับไป ถูกรางวัลที่ 1 …อ่า แต่เรามันคนไม่ชอบเสี่ยงดวง เลยไม่ได้เลขไหนติดมือกลับมา
ใกล้ๆ กันนั้น มีหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ เป็นหอนาฬิกาที่ชาวเวียดนามได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อครั้งอดีต ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนมาถ่ายรูป และเป็นความคลาสสิกแห่งกาลเวลาที่ยังหลงเหลืออยู่
เรามาบริเวณท้ายเมือง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก มีเส้นทางปั่นจักรยานยาวๆ มีทั้งผู้คนที่มาวิ่งออกกำลังกาย บรรยากาศดีมากๆๆๆๆๆๆ ทัศนียภาพแตกต่างไปจากมุมมองที่เห็นในเมืองนิดหน่อย แต่ยังคงความสวยงามและเงียบสงบเช่นเคย
มาถึงตรงนี้เราจะเห็นแม่น้ำโขงแห้งเป็นสันดอนทราย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับผู้มาเยือนอย่างเราไม่น้อย
เราเดินมาถ่ายรูปด้านล่าง ที่เป็นพื้นดิน ถ่ายไปถ่ายมา เดินหามุมตรงนี้นิด ตรงนี้หน่อย กลายเป็นว่าเราไปยืนอยู่ตรงกลางแม่น้ำโขงแบบไม่รู้ตัว คิดไปคิดมานี่เราออกนอกประเทศหรือยังนะ 555555
วัดฝั่งลาว ที่มองเห็นจากฝั่งไทย
คนน้อยมากกกกก ถ่ายไปยังไงก็ไม่ติดคนอื่น จะตั้งกล้องโพสต์ท่าถ่ายนานแค่ไหนก็ไม่มีคนมาให้หลบกันวุ่นวาย
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพักจวนถึงเวลาที่จะต้องกลับไปที่ท่าเรือ บริเวณลานพญานาคจะมีจุดลงเรือ เพื่อล่องเรือชมวิวแม่น้ำโขง โดยใน 1 วันจะมีแค่ 1 รอบ และจะต้องมารอที่ท่าเรือประมาณ 4 โมงครึ่ง ค่าบริการเพียงคนละ 50 บาทเท่านั้น
การได้นั่งชมวิวธรรมชาติริมฝั่งโขง เป็นอะไรที่พิเศษสำหรับเรามากๆ ได้เห็นนครพนมผ่านมุมมองจากแม่น้ำโขงที่ไหลกั้นพรมแดนไทย ลาว และชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ณ สถานที่ที่แปลกตา
ระหว่างกินลมชมวิว พร้อมกับถ่ายรูปไปพลาง ก็มีประโยคคลาสสิกจากคนแปลกหน้าบนเรือพูดกับเราว่า “รบกวนถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ” แน่นอนว่าเราตกปากรับคำทันที และเขาก็ถ่ายรูปให้เราด้วยเช่นกัน
บรรยากาศเริ่มเย็นขึ้น บวกกับเสียงเพลงขับกล่อมในค่ำวันนี้ช่างเป็นอะไรที่เยียวยาจิตใจนักเดินทางอย่างเราได้มากเลยทีเดียว
นี่เป็นเพียงความประทับใจในวันแรกของการมาเยือน ที่ได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้ ก็รู้สึกได้เลยว่าตกหลุมรักนครพนมไปแล้ว
วันนี้ขอตัวไปนอนก่อน.. แล้วจะมาต่อ DAY 2 นะคะ
อ้อออ มื้อเย็นวันนี้จบที่หมูจุ่มหน้าปากซอยโรงแรม แต่หิวมาก กินด้วยความเร็วแสงไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย แต่อร่อยมากๆๆๆๆๆ
DAY 2 : ขอบคุณร่างกายที่เที่ยวไหวไปด้วยกัน
เช้าวันที่ 2 ของการมาเยือนนครพนมของเรา
เริ่มต้นด้วยการเติมพลังงานด้วยร้านอาหารเช้าพรเทพ ที่ชาวนครพนมแนะนำว่า ถ้ามานครพนมก็ต้องแวะร้านนี้ มันอร่อยจริงๆ อร่อยไปยันน้ำชาฟรีเลย ประทับใจจจจ เราสั่งโจ๊กกับหมูยอมากินอร่อยมากสมคำร่ำลือจริงๆ และจะบอกว่าคนเยอะมากนะ เพราะตอนเราไปเหลือโต๊ะสุดท้าย คนที่มาหลังจากเราก็คือรอคิวแล้วนะะ
หลังจากนั้น เราก็ไปที่บขส. เพื่อจะขึ้นรถตู้ไปยังวัดพระธาตุพนม อ.ธาตุพนม ระยะทางราวๆ 60 กิโลเมตร ค่าโดยสารคนละ 50 บาท ก็ถือว่าไม่แพงเลยนะ
พอมาถึงธาตุพนม สิ่งแรกที่เรารู้สึกเลย ก็คือ แดดร้อนมากกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว และคนเยอะด้วย อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ก็เลยมีคนมาเยอะหน่อย ถ้าใครอยากมาถ่ายสวยๆ แบบชิคๆ ชิลๆ แนะนำว่ามาวันธรรมดาจะดีกว่า ได้รูปสวยๆหน้าประตูงี้ (เราไม่ได้เพราะขี้เกียยจรอ5555)
แต่ความคนเยอะก็ทำให้รู้สึกดีอย่างนึงว่า ชาวบ้าน แม่ค้าพ่อขาย ผู้ประกอบการหลายๆ คนคงพอมีรายได้จากนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง
องค์พระธาตุพนม เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ ประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันอาทิตย์ และเป็นพระธาตุประจำปีนักษัตรของคนที่เกิด ปีวอก ซึ่ง.. ตรงกับเราทั้ง 2 อย่าง เลยคิดว่า ดีจังที่ได้มาสักครั้งในชีวิ
นอกจากนี้ที่นครพนม ยังมีพระธาตุประจำวันเกิดครบทุกวันด้วย โดยแต่ละที่จะอยู่ห่างกันออกไปสักหน่อย ถ้าไม่มีรถยนต์มาก็อาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไปไหว้ให้ครบ แต่สำหรับเท่านี้ก็ถือว่าโอเคมากๆ แล้ว
หลังจากไหว้พระ ขอพร และทำสังฆทาน เดินเล่นรอบๆ บริเวณพระธาตุแล้ว เราออกมาเดินเล่นบริเวณเมือง เดินไปตามริมแม่น้ำโขง ซึ่งที่นี่เงียบมากๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวมาทางนี้เลย อาจจะเพราะว่ามันไม่ได้มีแลนด์มาร์กเด่นๆ ที่สำคัญมากนัก แต่สำหรับการได้เห็นวิวสวยๆ แบบนี้ก็คือ ภาพที่สุดยอดมากๆ สำหรับเราแล้ว
แม่น้ำมันเป็น 2 สี ด้วยล่ะทุกคนน
หลังจากนั่งพักจนพอมีแรง เราก็เดินกลับมาขึ้นรถตู้กลับเข้าเมือง เรามารอรถที่บริเวณหน้าวัด ถามจากพี่ๆแม่ค้าว่าต้องรอตรงไหนได้บ้าง พี่ๆน่ารักกันทุกคนเลย ตอบอย่างยิ้มแย้มและเป็นมิตรมากๆ
เราเดินเล่น ไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกเพลียๆ เพราะแดดร้อนมากๆ แวะเติมน้ำให้ร่างกายสดชื่นที่คาเฟ่เล็กๆ เมนูอาจจะไม่ได้มีมากนัก แต่ก็มีเครื่องดื่มอร่อยๆ พอให้เราได้ชื่นใจอยู่บ้าง แต่ถึงแดดร้อนก็จริง แต่ลมเย็นมากกกก อาจจะเพราะนี่ยังเป็นช่วงฤดูหนาว ไม่อยากจะคิดถึงหน้าร้อนเล๊ยยย
หลังจากกลับมาที่ตัวเมืองเราแวะหาข้าวกินเติมพลังกันสักหน่อย มาที่ร้านอาหารครัวเวียดนาม (ที่นี่ร้านอาหารเวียดนามเยอะมากๆ)
พอท้องอิ่มก็ไปต่อกันที่ บ้านลุงโฮจิมินห์ จุดนี้จะห่างจากในเมืองประมาณ 6-7 โล และต้องวิ่งบนถนนใหญ่ที่รถวิ่งเยอะๆ แนะนำว่าควรเป็นมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ หรือจ้างรถรับจ้างสกายแล็ปมาก็ได้ นอกจากจะอยู่ห่างจากเมืองนิดหน่อย ทางเข้าก็ต้องผ่านสุสานด้วยบวกกับทางที่เป็นเนินชันนิดหน่อย ถ้าใครไหวก็ปั่นมาได้เลยยย ><
ที่บ้านลุงโฮจิมินห์ อดีตประธานาธิบดีของเวียดนาม เรียกกันติดปากว่า บ้านลุงโฮ
ลุงโฮเคยมาสร้างบ้านอาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อหาแนวร่วมกลับไปกู้เอกราชให้กับประเทศเวียดนามในช่วง 90 ปีที่แล้ว ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เพิ่มเติม ก็มีพี่ๆ คอยดูแลให้ข้อมูลและความรู้ด้วยนะ
และที่นี่ก็คือบ้านของดั้งเดิมแท้ๆ สัมผัสได้ถึงความเก่า แต่ได้รับการดูแลอย่างดี บริเวณทางเข้าดูร่มรื่นเย็นสบายมาก ด้านในยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน บ้องสูบยา และรูปภาพในอดีตเพื่อคงบรรยากาศเดิมๆ
เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เวลา 8:30 - 16:30 น.
ถัดมาไม่ไกลนัก หลังจากเที่ยวชมบ้านลุงโฮแล้ว ก็แวะมาที่ อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สร้างเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ประธานโฮจิมินห์ ที่มาอาศัยอยู่บ้านนาจอก ในช่วงสงครามอินโดจีนเพื่อกอบกู้เอกราชจนสำเร็จ
ภายในมีอาคารพิพิธภัณฑ์ มีอาคารจำลองบ้านเก่าของท่านโฮจิมินห์ (ที่คล้ายกับบ้านลุงโฮที่เราไปเยี่ยมเยียนมาเมื่อกี้) นอกจากนี้ที่นี่ยังมีให้บริการให้เช่าชุดเวียดนามใส่ถ่ายรูปด้วยนะ แต่เราเหนื่อยและหมดแรงไปกับริมแม่น้ำโขงเมื่อบ่ายแล้ว ไม่มีแรงแม้แต่จะถ่ายรูปมาฝากทุกคนแล้วด้วย (T_T)
แสงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า เรากลับมาบริเวณหอนาฬิกาฯ ที่นี่มีถนนคนเดินให้เดินเล่น เดินช้อปกันชิลๆ โดยจะมีแค่วัน ศ.ส.อา. เท่านั้น ของที่ขายส่วนมากก็เป็น เสื้อผ้า ของกินต่างๆ ผสมปนเปกันไป เราได้โปสการ์ดมาหนึ่งชิ้น น่ารักดี
วันนี้ได้ฟังดนตรีอีสานเพราะๆ และชมเซิ้งสวยๆ จากน้องๆกลุ่มนี้ด้วย
เรามองอะไรแบบนี้ได้ไม่เบื่อเลย..
ฟ้าเริ่มมืดท้องเริ่มหิว(อีกแล้ว) เราแวะมากินหมูจุ่ม (ซึ่งเราเรียกจิ้มจุ่ม แต่คนนครพนมเรียกหมูจุ่ม หรือบางคนก็เรียกแจ่วฮ้อน) แถวๆ ริมแม่น้ำโขง เป็นหม้อดินเผา บรรยากาศสุดจะฟินมีคราฟโซจู (ไม่มีแอลกอฮอล์) ขายใกล้ๆกัน เป็นผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านในชุมชนนี่แหละ แต่จำไม่ได้แล้วว่าจากชุมชนไหน แต่อร่อยมากกกก ขวดละ 180 บาทเท่านั้นเองงง อยากให้ทุกคนได้ชิมมม ใครมาก็แวะมาชิมได้นะ
อิ่มแล้วกลับโรงแรมไปพักกันเถอะ วันนี้ร่างจะพัง.. เดินเยอะไม่ไหว TT
ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่มีใจจะเดิน มีใจอยากเห็นบ้านเมือง อยากเห็นวิวสวยๆ ถึงมันจะไม่ได้พิเศษหวือหวาอะไร แต่เราว่าความธรรมดามันก็ดูเรียบง่ายและเข้าถึงง่ายดีเหมือนกันนะ
DAY : 3 ยิ่งเห็นโลกกว้างแค่ไหน เราจะยิ่งรู้ว่า… ตัวเราเล็กนิดเดียว
สวัสดี เช้าวันที่ 3 ของการเยือน นครพนม เรางัดร่างกายเพลียๆ ลุกมาจากเตียง จัดการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปหาเมนูมื้อเช้ากิน
วันนี้ค่อนข้างตื่นสาย เพราะรู้สึกเพลียจากการเดินตากแดดร้อนๆ เป็นกิโล บวกกับเมื่อคืนนี้เรานอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเหมือนจะมีช่วงนึงที่แอร์ตัดไป และเราก็เหมือนจะฝันไม่ค่อยดีนักด้วย สะดุ้งตื่นมา 2-3 รอบเลย ทั้งๆ ที่เพลียขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่กลับหลับได้ไม่เต็มอิ่ม TT เช้านี้เลยไม่ค่อยสดใสเอาซะเลย =_=
เราไม่รู้จะไปหาอะไรกินเช้านี้ดี.. เลยเดินมาใกล้ๆ ริมโขง (อะไรๆ ก็ริมโขง5555) เผื่อจะมีร้านไหนเปิดบ้าง แล้วก็มาเจอร้านกาแฟ ที่อยู่ใกล้กับหอนาฬิกา ตรงข้ามกับร้านเตี๋ยวเต็มโต๊ะที่เรามากินวันแรกเลย
แต่ปกติเราก็ไม่ใช่คนกินกาแฟสักเท่าไหร่นัก เลยไม่รู้ว่าควรสั่งอะไรดี พี่บาริสต้าก็เลยถามว่าเราชอบรสชาติประมาณไหน ขมมั้ย หรือเปรี้ยวมั้ย เราคิดว่าคงกินแบบขมๆ ไม่น่ารอด เลยบอกว่าขอเปรี้ยวดีกว่าและขอเป็นแบบกาแฟเย็นด้วย จะได้เติมความสดชื่นหน่อย
ในร้านก็มีปาเตขายด้วย เป็นอาหารเช้าสไตล์เวียดนาม ความไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมมาก่อน ก็เลยสั่งมาชิม 1 ชิ้นถ้วนน ร้านเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก มีโต๊ะให้นั่ง 2-3 โต๊ะ ซึ่งตอนนั้นเราไปมันมีที่นั่งแบบที่แชร์กับคนอื่น
พี่ๆ เขาก็ชักชวนเรานั่งด้วยกัน (คนนครพนมที่เจอใจดีกับเราทุกคนเลย) ถามไถ่นั่นนี่ มาคนเดียวหรอ ดีจังนู่นนั่น คุยไปเรื่อย แนะนำสถานที่ต่างๆ ก็คือคุยเพลินมากๆ จนพี่เขาต้องขอตัวไปทำงาน ส่วนเราก็นั่งจิบกาแฟและกินปาเต
พูดถึงปาเต มันคือขนมปังแข็งๆ ที่ข้างในมีไส้เป็นหมูยอ หมู ซอส ผักต่างๆ หมูยออร่อยมากกก (หมูยอLoverแน่ๆ 555) คือมันอร่อยนะ แต่มันก็แข็งไปสำหรับเราจริงๆ ทุกคนนน เป็นการกินปาเตที่เหนื่อยมาก 5555555
น้องแมวมานั่งเป็นเพื่อนนน
หลังจากอิ่มท้อง..(อิ่มหลอกๆ กินไปติ๊ดเดียวจะอิ่มได้ไง -.,-) เราก็เดินมาถ่ายรูป ที่มุมอาร์ตน่ารักผ่านภาพวาด Street art อยู่ใกล้ๆ กับร้านกาแฟเลย เราจะบอกว่าแทบ จะ ไม่ มี คน เลย เพราะที่นี่มีคนนครพนม ผ่าม ผ๊าม !! (ขอเล่นหน่อยเถอะ เหงา) แฮ่ๆ ที่นี่คนน้อยมากกก เราตั้งกล้องถ่ายรูปแบบชิลสุดอะไรสุด ถ่ายจนได้รูป ได้มุมที่พอใจก็เดินเล่น นั่งมองวิวแม่น้ำโขง ทำให้ค่อยรู้สึกดีกับวันนี้ขึ้นมาหน่อ
เบื้องหลังรูปสวยๆ ของทริปนี้ ยกให้เจ้าน้อนพวกนี้เลยค้าบบบ
เมื่อเราต้องตั้งกล้องเอง ถ่ายเอง อย่าไปเขินน ถ้าเขินเราจะไม่มีรูปปป สู้เขาาา
เราเดินเล่นถ่ายรูปจนเวลาผ่านไปจนหิวขึ้นมาอีกแล้ว เลยแวะหาอะไรกินที่ร้าน ครัวสะบายดี เป็นร้านอาหารเวียดนาม(อีกแล้ว) สั่งก๋วยจั๊บญวนหมูมา กับน้ำเก๊กฮวยเย็นๆ ชื่นนนใจ
อันที่จริงแพลนในวันนี้ขอเราแทบไม่มีอะไรเลย เพราะเราเองก็ไม่ได้คาดหวังความหวือหวา หรือแพลนเที่ยวแบบอัดแน่นขนาดนั้น อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นกระทู้ ว่าเราอยากมาพักผ่อน ซึ่งที่นี่มันตอบโจทย์เรามากๆ เราใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับสิ่งรอบตัวไม่คุ้นเคย มันสงบ มันเป็นการฮีลจิตใจตัวเองที่ดีมาก
สถานที่ต่อไปที่เราจะไปทำความรู้จัก เป็นที่ที่สวยและน่ารักมากสำหรับเรา.. มันคือ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 ซึ่งมีทางปั่นจักรยานยาวววววว มากๆ แต่มันก็ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองสักประมาณ 10 กม.เห็นจะได้ ใจไหวก็ปั่นเลยยย แต่ระวังอย่านั่งชิลนานๆ ขากลับจะมืดซะก่อน
เราอยากบอกว่า ณ สถานที่แห่งนี้ บรรยายากาศมันเรียกว่า โคตรดี ! ดีเกินกว่าที่คิดไว้ทุกอย่าง ดีจนไม่รู้จะอธิบายยังไง เราก็ขอให้ภาพที่เราถ่ายมาฝากเป็นคำตอบแทนแล้วกัน
โลกเรามันกว้างมากจริงๆเลยเนอะ ทุกครั้งที่เดินทางมักมีประสบการณ์ และเรื่องเล่ากลับมาด้วยเสมอ
และยิ่งเห็นโลกกว้างแค่ไหน เราจะยิ่งรู้ว่า… ตัวเราเล็กนิดเดียว
รูปนี้จะสวยมากๆ เลย ถ้าไม่มีขยะเกลื่อนกลาดขนาดนี้.. อยากให้ทุกคนช่วยกันไม่ทิ้งขยะ อยากให้มีที่ที่สวยๆ เยอะๆจังนะ
เราดีใจที่ตัดสินใจมายัง นครพนม ถ้าใครถามเราว่านครพนมมีอะไรดี เราคงอยากแนะนำให้เขาเดินทางมาเห็น มาสัมผัสบรรยากาศเหล่านี้ มากกว่าคำบอกเล่าจากเรา
คิดไปคิดมา.. นี่ก็เป็นเย็นวันสุดท้ายของทริปนี้ พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะไม่อยากจากที่นี่ไปเลย แต่เราคิดว่าเราคงได้กลับมาอีกครั้ง และอยากบอกต่อภาพความทรงจำดีๆ ที่เราเก็บไว้เมื่อครั้งมาเยือน นครพนม
พระอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนสี จะลาลับขอบฟ้าอีกแล้ว ได้เวลาต้องกลับเข้าเมืองก่อนจะค่ำเสียก่อน ถึงแม้ความจริงอยากนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ ดูวิวตรงหน้านี้ไปเรื่อยๆ…
ค่ำคืนนี้.. เราจบที่การกินบาร์บีคิวกับปลาหมึกย่างที่ถนนคนเดิน นั่งกินลมชมแม่น้ำโขงมืดๆ จนทนลมหนาวไม่ไหว...
DAY : 4 แล้วพบกันใหม่ Good Bye นครพนม
เช้านี้เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว เก็บของพร้อมสำหรับเช็คเอ้าท์และเดินทางกลับ ก่อนจะลงไปกินอาหารเช้าที่ร้านหน้าโรงแรม
อ้อ.. ตั้งแต่มาเราคงยังไม่ได้เอ่ยถึงโรงแรมที่เราพัก ชื่อ “โรงแรมพอเพียง” เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ห่างจากบริเวณหอนาฬิกาไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ที่นี่พนักงานบริการดี น่ารักและเป็นกันเองเราไม่ได้เก็บภาพภายในโรงแรมมาเลย แต่ถ้าจะมานครพนม โรงแรมนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดี ราคาไม่ได้แพงมาก แถมมีจักรยานให้เช่าด้วย ชั่วโมงละ 30 บาท ถ้าเกิน 3 ชั่วโมงคิดเป็นวันละ 80 บาท
นี่คือโจ๊กมื้อเช้าของเรา เสิร์ฟมาพร้อมกับปาท่องโก๋ อร่อยมากๆๆ ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่นั่งอาจจะไม่ได้เยอะมาก เราสังเกตุเลยว่า ที่ร้านมีลูกค้ามาซื้อแบบรับกลับเยอะมากก มาไม่ขาดสายเลย ช่วงประมาณ 10 -11 โมงก็ขายหมดแล้ววว ร้านอยู่หน้าโรงแรมพอเพียงที่เราพัก แต่เราก็จำชื่อร้านไม่ได้
หลังจากอิ่มโจ๊กมื้อเช้า เราเดินไปร้านกาแฟเมื่อวานอีก อันนี้ติดใจกาแฟด้วยและอยากไปเสพบรรยากาศริมโขงก่อนจะเดินทางกลับอีกสักครั้ง..
วันนี้เลยซื้อกาแฟแล้วมานั่งดื่มที่ริมโขง และถ่ายรูปเซ็ตสุดท้ายก่อนจะลา..
ใกล้เวลาที่นัดกับรถตู้เพื่อมารับไปส่งที่สนามบินแล้ว เราเดินกลับมาที่โรงแรม เช็คของให้เรียบร้อยดีอีกรอบ และลงไปเช็คเอาท์นั่งรอรถตู้ข้างหน้าโรงแรม
การโทรนัดให้รถตู้มารับ เราโทรนัดพี่เค้าล่วงหน้า 1 วัน ก็โทรตามเบอร์ที่เขาให้ตั๋วเราตอนมาส่งจากสนามบินวันแรกนั่นแหละค่ะ ค่าบริการก็ 100 บาทเท่าเดิม
นครพนมที่เราได้รู้จัก น่ารักมากจริงๆ เป็นอีสาน ที่มีความเวียดนามข้นมากๆ และผสมความเป็นลาวได้อย่างกลมกล่อม และความจริงนครพนมอาจจะน่ารักมากกว่านี้ แต่เรายังไม่ได้ค้นพบทั้งหมด เพราะที่เราไปเยือนนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนครพนม และเศษเสี้ยวของโลกใบนี้เท่านั้น..
ถ้าใครอยากมาพักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ เรื่อยๆ ชิลๆ ไม่หวือหวา ไม่วุ่นวาย อย่าลืมชื่อจังหวัดนครพนม ให้เป็นอีกหนึ่งในลิสต์รายการตัวเลือก บอกได้เลยว่านครพนม แม้จะเป็นเมืองรอง แต่ไม่เป็นรองใครแน่นอน.. และเรามั่นใจว่า นครพนมจะทำให้ทุกคนตกหลุมรัก <
ด้วยรักและอยากเดินทาง
Arii - Sherry4869
SHERRY
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 16.22 น.