ย่ า ติ ง . . . ดิ น แ ด น แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น”
. . . ปีนี้ตอนแรกตั้งจะไปเดินป่าที่แคชเมียร์ แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นก่อนจึงจำเป็นต้องยกเลิกทริปไป ย่าติงคือทริปเพื่อเยียวยาความผิดหวังจากแคชเมียร์ เราตัดสินใจอยู่นานมากว่าจะมาที่นี่ดีไหม เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะเดินทางไปจีน เพราะหากจะพูดถึงประเทศจีน หลายคนคงกังวลในหลายๆอย่าง แต่ย่าติงมันมีเสน่ห์จริงๆนะ ไม่ไปจริงๆหรอ เราถามตัวเองตลอดเวลา และสุดท้ายก็ตัดสินใจจองตั๋วไปลองกันสักตั้ง
. . . 11-20 ตุลาคม 2562 เป็นช่วงเวลาที่เราเลือกในการเดินทาง ช่วงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่ย่าติงมีความสวยงามมากที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะเป็นช่วงที่ใบไม้ในอุทยานแห่งชาติย่าติงเปลี่ยนเป็นสีส้มอมเหลือง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาที่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน อากาศช่วงนี้จะเย็นสบายจนถึงหนาวมากๆ และบางวันอาจจะเจอหิมะตก สมาชิกในการเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 11 ชีวิต ซึ่งไม่มีใครพูดจีนได้เลยสักคน 5555
. . . อุทยานแห่งชาติย่าติง ตั้งอยู่ที่เมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตร ถือเป็นพื้นที่ที่อากาศเบาบางมากๆ เราจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ สำหรับการเดินทางมาที่นี่เราจะเริ่มต้นกันที่ คุนหมิง-ลี่เจียง-แชงกรีลา-ย่าติง ใช้เวลาเดินทางทั้งทริปทั้งหมด 10 วัน
. . . แผนการเดินทาง
วันที่ 11 ตุลาคม : Donmuang (9.40 PM) – Kunming (1.00 AM) >> เดินทางโดยเครื่องบิน
วันที่ 12 ตุลาคม : Kunming – LijiangOld Town >> เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง
วันที่ 13 ตุลาคม : Lijiang (MT. Jade Dragon Snow and Blue Moon Valley)
วันที่ 14 ตุลาคม : Lijiang – Shangri La (Songzanlin)
วันที่ 15 ตุลาคม : Shangri La (MT. Shika Snow and Napahai Lake)
วันที่ 16 ตุลาคม : Shangri La - Riwa
วันที่ 17 ตุลาคม :Yading (Pearl Lake and Chonggu Temple)
วันที่ 18 ตุลาคม : Yading (Milk Lake and Five Color Lake)
วันที่ 19 ตุลาคม : Yading – Shangri la - Kunming
วันที่ 20 ตุลาคม : Kunming (02.00 AM) – Donmuang (03.15 AM)
. . . ที่พักทั้งหมดที่เราเลือก
- เมืองเก่า ลี่เจียง Xilu Xiaoxie Inn (丽江夕露小榭客栈) ที่พักค่อนข้างโอเค เจ้าของพูดภาษาอังกฤษได้
- เมืองเก่า แชงกรี-ลา Yi's Hostel (Shangri-La) 艺栈藏式精品客栈 ***ที่พักที่นี่ดีมากเจ้าของยิ่งน่ารักช่วยเหลือทุกอย่าง พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ดีที่สุดคือที่นี่มีไวน์องุ่นไว้คอยบริการในราคาแก้วละ 10 หยวน แบบถังใหญ่มาก ต้องให้ที่นี่เลย ถ้าใครมาแชงกรี-ลา แนะนำที่นี่เลย 10/10***
- เมือง Riwa เมืองเล็กๆที่อยู่ติดอุทยานย่าติง Daocheng 318 Auto Camp Motel (Riwa) 稻城318连锁汽车旅馆
- อุทยานย่าติง Fanyinhai Boutique Inn (Yading) ตัวโรงแรมอยู่ในอุทยานย่าติง ห่างจากจุดจำหน่ายตั๋วประมาณ 35 กิโลเมตร อยู่ตรง Bus Stop No.3 ตอนนั่งบัสผ่านกรุณามองฝั่งซ้ายมือดีๆ เพราะป้ายจะอยู่ด้านซ้ายและอยู่ค่อนข้างบังสายตา ไม่งั้นเดี๋ยวจะเลยป้ายแบบเรา 555
- คุนหมิง The Hump Hoste ตัวโรงแรมอยู่ติดกับประตูม้าไก่ทอง ที่นี่เราเช่าไว้สำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ่าน ก่อนเดินทางกลับ
. . . ค่าใช้จ่าย 27500 บาท
- ค่าเครื่องบินไปกลับ 7258 บาท (รวมกระเป๋า 20 กก.)
- ค่าทำวีซ่าจีน 1650 บาท
- ค่าที่พักทั้งทริป 4298 บาท
- ค่าประกันการเดินทาง 557 บาท
- ค่ารถไฟความเร็วสูง คุนหมิง-ลี่เจียง 1035 บาท
- ค่าทัวร์ Spruce Meadows, Yak Meadows และ Blue Moon Valley 455 หยวน
- ค่าเหมารถ ลี่เจียง-แชงกรีลา 1000 หยวน (11 คน)
- ค่าเหมารถเที่ยวแชงกรีลารวมกระเช้าขึ้น Shika Snow Mountain 216 หยวน
- ค่าบัตรเข้าวัดซงจ้านหลินซื่อ 75 หยวน
- ค่าเหมารถ แชงกรีลา-ย่าติง ไปกลับ 4 วัน 5200 หยวน (11 คน)
- ค่าเข้าย่าติง + ค่ารถบัสอุทยาน + ค่ารถไฟฟ้าในอุทยาน = 146+120+80 = 346 หยวน
- ค่ารถทัวร์จาก แชงกรีลา-คุนหมิง 223 หยวน (รถนอน)
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 4600 บาท
(อัตราแลกเงิน 1 หยวน = 4.28 บาท)
. . . บันทึกการเดินทาง วันที่ 11-20 ตุลาคม 2562
#แสงจันทร์ #ลี่เจียง #แชงกรีลา #ย่าติง #คุนหมิง
บทที่ 1 สนามบิน (机场)
(ดอนเมือง – คุนหมิง)
วันที่ 01 กรุงเทพ - คุนหมิง - เมืองเก่าลี่เจียง
เราเริ่มต้นเดินทางกันที่สนามบินดอนเมือง ในวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม เวลาตามกำหนดการคือ 21.40 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง กำหนดการถึงคุนหมิงเวลา 01.00 น.
ใช้เวลาในการผ่านตม. 2 ชั่วโมง ใช้เวลาค่อนข้างนานเนื่องจากเจ้าหน้าที่เปิด 3 เค้าท์เตอร์ ซึ่งวันนี้นักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางมาลงคุนหมิงเยอะมาก เวลาตีสามนิดๆหลังจากผ่านประทับตรา ตม.เรียบร้อยแล้วเราตั้งใจไว้ว่าจะนอนที่สนามบิน และตอนเช้าต่อรถแท็คซี่ไปยังสถานีรถไฟคุนหมิง เพื่อเดินทางต่อด้วยรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองLijiang เราได้รถไฟรอบแรกคือ 07.14 น.
เวลา 04.30 น. เราออกจากสนามบินไปสถานีรถไฟคุนหมิงโดยใช้บริการแท็กซี่ เนื่องจาก รถไฟฟ้าและรถบัสเข้าเมืองยังไม่เปิดให้บริการ ค่าแท็กซี่รวมค่าทางด่วน 93 หยวน
ด้านในอาคารบริเวณชั้น 2 สถานีไฟฟ้าคุนหมิง
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ สำหรับคนที่จองตั๋วออนไลน์ ให้ ปริ้นตั๋วแล้วนำเอกสารรหัสรับตั๋วจริงขึ้นต้นด้วยตัว EK มายื่นที่ช่องหมายเลข Tickets 1 พร้อม Passport
หลังจากได้ตั๋วแล้วให้ขึ้นบันไดเลื่อนไปรอที่ด้านบน สามารถเช็ค Waiting area ได้ที่จอแสดงสถานะรถไฟ ด้านในจะมีที่นั่งรอ มีอาหารและเครื่องดื่มคอยบริการ
ด้านในรถไฟ ชั้น 2 เป็นรถไฟความเร็วสูง แบบเบาะนั่งเอนนอนได้เล็กน้อย ด้านในสะอาดและเป็นระเบียบมาก ห้องน้ำก็สะอาด ถือว่าโอเคเลยสำหรับการเดินทางอีก 4 ชั่วโมงต่อจากนี้
วิวเมืองต้าหลี่ ระหว่างทางขณะนั่งรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองเก่าลี่เจียง
สถานีรถไฟลี่เจียง
รถไฟถึงสถานี Lijiang ประมาณ 11.50 น. เราสามารถนั่งรถเมล์สาย 4 ด้านหน้าสถานีรถไฟเพื่อไปเมืองเก่าได้เลย ราคา 2 หยวน สามารถกดกริ่งลงได้ตามสถานีที่จะลง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที
บทที่ 2 เมืองเก่าลี่เจียง
(Lijiang 丽江 ลี่เจียง วันที่ 1)
เมืองเก่าลี่เจียง (Lijiang Old town) และ ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow)
. . . เมืองเก่าลี่เจียง (Lijiang Old town)
‘เมืองเก่าลี่เจียง’ ของชนพื้นเมืองน่าซี (Naxi) ที่มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง และถูกรักษามาอย่างดีจนถึงปัจจุบัน และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เป็นที่เรียบร้อย
สระมังกรดำ (Heilongtan Park 黑龙潭公园) ห่างจากตัวเมืองเก่าไปทางทิศเหนือ ประมาณ 1 กม. ค่าเข้าชม 80 หยวน "สระน้ำมังกรดำหรือเฮยหลงถัน อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า สวนยู้วฉวน มีพื้นที่ประมาณ 11,390 ตารางเมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1737 สมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) มีจุดเด่นที่ความใสของน้ำที่ใสราวกับมรกต นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีการสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวฮั่น ทิเบต และน่าซี ไว้ด้วยกัน
. . . ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow) และ หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน (Blue Moon Valley
ภูเขาหิมะมังกรหยกมีเคเบิลคาร์หลักๆจะมีสามแบบ ซึ่ง Glacier Park มีความสูงมากที่สุด คือ
– Glacier Park ความสูง 4506 เมตร
– Yak Meadows ความสุง 3650 เมตร
– Spruce Meadows ความสูง 3200 เมตร
เราซื้อทัวร์ผ่านโรงแรมแต่เนื่องจากวันที่เราไปกัน Glacier Park ปิดปรับปรุง เราจึงเลือกไป Spruce Meadows และ Yak Meadows แทน
สำหรับหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินจะอยู่บริเวณเดียวกันกับภูเขาหิมะมังกรหยก มีลักษณะเป็นธารน้ำสีฟ้าใส่ไหลลงไปตามเส้นทางน้ำ ตลอดระยะทางจะมีน้ำตกเป็นชั้นทั้งสูงและต่ำตลอดเส้นทาง สวยงามแปลกตามากๆ
. . . การเดินทาง
การเดินทางจากคุณหมิงไปลี่เจียงครั้งนี้เราได้จองตั๋วล่วงหน้ากับทางเพจ China Eazy Thicket ซึ่งพอจองตั๋วแล้วทางเพจจะส่งเอกสารการจองมาให้ทางอีเมล์ เราต้องปริ้นเอกสารเพื่อไปออกตั๋วจริงที่สถานีรถไฟ โดยช่องออกตั๋วจะอยู่ที่สถานีรถไฟขั้น 1 ด้านขวามือ ช่องที่ 1 โดยใช้พาสปอร์ตในการยื่นเพื่อออกตั๋วจริง
ในตัวเมืองเก่าจะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่บางเส้นก็สามารถทะลุถึง บางเส้ก็ทางตัน เดินมาสองวันกว่าก็ยังออกไม่ซ้ำซอย ความสวยงามและเสน่ห์ของเมืองเก่าคือ ตามอาคารต่างๆจะประดับด้วยโคมสีแดง บางหลังมีประดับธงชาติจีนไว้ด้วย หากใครเป็นคอกาแฟคงหาร้านกาแฟยากหน่อย แต่ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง เพราะร้านส่วนใหญ่จะขายชา มีชาแทบทุกชนิดแต่ราคาก็ไม่เบาเลยทีเดียว ช่วงที่เรามาเพิ่งผ่านวันชาติจีนไป จะสั่งเกตุได้เลยว่าตามร้านค้าต่างๆยังคงประดับธงชาติจีนไว้อยู่
ในตัวเมืองเก่า มีร้านสำหรับเช่าชุดจีนเพื่อถ่ายรูปอยู่หลายร้าน นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชุดให้เข้ากับตัวเมืองเก่าเพื่อถ่ายรูปได้ เราได้ราคาเช่าชุดในราคา 93 หยวน ใส่ถ่ายรูปได้ 1 ชั่วโมง
อนุสาวรีย์ท่านเหมาเจ๋อตุง อยู่ใกล้กับสระน้ำมังกรดำ
สระมังกรดำ (Heilongtan Park 黑龙潭公园)
"สระน้ำมังกรดำหรือเฮยหลงถัน อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า สวนยู้วฉวน ตั้งอยู่ในตัวเมืองลี่เจียง ห่างจากตัวเมืองเก่าลี่เจียงไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 11,390 ตารางเมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1737 สมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) มีจุดเด่นที่ความใสของน้ำที่ใสราวกับมรกต นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีการสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวฮั่น ทิเบต และน่าซี ไว้ด้วยกัน
ค่าเข้าชม 80 หยวน
ด้านหน้าสระน้ำมังกรดำ เรามารอรถบัสเพื่อเข้าเมืองเก่า ในรูปคือบรรยากาศเมืองลี่เจียงช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
เมืองเก่าลี่เจียงยามค่ำคื
กลางคืนถือว่าเป็นไฮไลของเมืองเก่า จากสภาพร้านรวงที่เงียบสงบในช่วงกลางวัน แปลงร่างเป็นร้านอาหาร ผับเล็กๆ หรือแม้กระทั่งร้านขายของฝากแปลกๆมากมาย ร้านค้าต่างๆประดับประดาด้วยไฟหลากสี ดอกไม้ที่บานสวยงามในตอนกลาวัน ยิ่งเพิ่มความงามมากขึ้นไปอีกในตอนกลางคืน เนื่องจากแสงไฟที่จัดวางอย่างสวยงามตามพุ่มไม้ หรือตามต้นไม้ต่างๆริมคลองน้ำ
อาหารจีนรสชาตค่อนข้างติดมัน และเค็ม ควรพกน้ำพริกนรก น้ำพริกลงเรือตั่งๆ เพื่อมาตัดเลี่ยนจะดีมาก
บทที่ 3 ภูเขาหิมะมังกรหยก – หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน
(Lijiang 丽江 ลี่เจียง วันที่ 2)
ภูเขาหิมะมังกรหยก (MT. Jade Dragon Snow) และ หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน (Blue Moon Valley
เราได้ตกลงซื้อทัวร์ผ่านทางโรงแรมที่พัก ตั้งใจว่าจะขึ้นยอดกัน แต่วันนี้กระเช้าขึ้นยอด Glacier Park ปิดปรับปรุง เราจึงได้มีการปรับเปลี่ยนแผนเที่ยวใหม่ โดยวันนี้เราจะไปทั้งหมด 3 ที่ คือ Spruce Meadows (ยอดต่ำสุด), หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน และ Yak Meadows ทั้งหมดนี้ ราคา 455 หยวน รวมทุกอย่าง (ชุดกันหนาว, ออกซิเจนกระป๋อง. น้ำเปล่า, อาหารกลางวัน, ตั๋วขึ้นกระเช้า, ตั๋วรถบัส และ บัตรเข้าอุทยาน)
เช้าวันนี้เรานัดรถมารับ 08.30 น. ที่แรกที่เราจะไปคือ Spruce Meadows นั่งรถจากเมืองเก่าประมาณ 30 นาที วิวภูเขาหิมะมังกรหยก จากเมืองลี่เจียง น่าอิจฉาคนที่นี่เนอะที่มีวิวแบบนี้ให้เห็นทุกวัน
ที่นี่เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่คนจีนนิยมมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกัน ฮิตแค่ไหนไม่รู้แต่ที่นี่มีสตูดิโอแต่งหน้าบ่าวสาว พร้อมชุดให้เช่า และพร็อพถ่ายรูปต่างๆ ให้เช่าถ่ายรูปกันเลยทีเดียว
ทางเข้าอุทยานด้านหน้าจะมีจุดจำหน่ายตั๋ว เราต้องซื้อตั๋วเข้าอุทยานก่อน เมื่อเข้ามาถึงก็จอดรถตรงลานจอดแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วที่อาคารจำหน่ายตั๋วสำหรับรถบัส และกระเช้าขึ้น Spruce Meadows จุดนี้ทัวร์จะแจกอุปกรณ์กันหนาว ออกซิเจนกระป๋อง และน้ำดื่ม
จุดขึ้นกระเช้าของยอดต่ำจะอยู่เลยจาก หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินมาไม่ไกลมาก พอมาถึงก็ต่อแถวรอขึ้นกระเช้า ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีกระเช้าจะมาจอดให้เราเดินขึ้นเขาต่อเล็กน้อยเพื่อไปยังจุดชมวิ
ทางเดินต่อจะเป็นทางเดินไม้ตลอดเส้นทางเดินง่าย ทางไม่ชันเท่าไหร่ ลักษณะป่าที่เราเดินผ่านเป็นป่าสนที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ เฟิร์นและมอส เขียวชะอุ่มไปทั้งต้น ป่าอุดมสมบูรณ์มาก เราใช้เวลาเดินกันไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงจุดชมวิว
จุดชมวิว Spruce Meadows จะเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ด้านหลัวคือภูเขาหิมะมังกรหยก มีทางเดินโดยรอบเป็นทางเดินไม้สำหรับเดินชมวิว ภูเขาหิมะมังกรหยก แต่เนื่องจากวันนี้เมฆเยอะเราจึงไม่สามารถมองเห็นยอดเขาได้
ตรงจุดนี้จะมีชุดจีนสไตล์ยูนนานให้เช่าสำหรับถ่ายรูปในราคา 20 หยวน ไม่กำหนดเวลา ถ่ายจนเราพอใจแล้วค่อยนำชุดมาคืน สำหรับในรูปเรายืมหมวกจากพี่ตุ่นมาถ่ายรูป อิอิ
ทางเดินไม้รอบๆทุ่งหญ้า เส้นทางเดินจะเป็นทางเดินแบบวงกลม สามารถเดินกลับมายังจุดเริ่มต้นได้เลย
เราใช้เวลาถ่ายรูปและเดินชมบรรยากาศกันประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ได้เวลาเดินลงเพิ่อนั่งกระเช้าลงไปด้านล่าง และเราจะไปต่อกันที่ Blue Moon Valley
Blue Moon Valley หรือหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน
เป็นธารน้ำขนาดใหญ่สีฟ้าน้ำทะเลแสนสวย จากจุดขึ้นกระเช้าเมื่อกี้ เราสามารถเดินย้อนกลับมาได้ ตรงจุดนี้เราจะมีน้องจามรีคอยบริการให้นักท่องเที่ยวขี่ถ่ายรูปกับน้องๆ
หลังจากที่เดินชมหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินเสร็จแล้ว เราก็จะเดินต่อไปอีกนิดหนึ่งเพื่อไปทานข้าวเที่ยงกัน
Yak Maedows หรือทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงจามรี
หลังจากทานข้าวเสร็จเราต้องนั่งรถบัสกลับไปยังจุดแรก เพื่อซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าและนั่งรถบัสไปยัง Yak Meadows ซึ่งนั่งบัสค่อยข้างนาน เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดขึ้นกระเช้า และเราต้องนั่งกระเช้าต่อไปยังทุ่งหญ้าอีกประมาณ 30 นาที กระเช้าที่นี่จะเป็นกระเช้าแบบคู่รัก คือนั่งได้แค่ 2 คน นั่นเอง 5555
ทุ่งหญ้าจามรี (Yak Meadows Park)
เมื่อมาถถึงสิ่งแรกที่ถามตัวเองเลยคือ ไหนหรอ จามรี? มีแต่ทุ่งหญ้าและน้องแพะ
จุดเด่นของที่นี่ก็คือ ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่เป็นเนินเขาที่เขียวขจีไปด้วยต้นหญ้าเตี้ยๆ ด้านหลังเป็นทิวเขาหิมะมังกรหยก และที่จุดสูงสุดของเนินเขาจะมีธงชาติจีนไว้ถ่ายรูป
เราใช้เวลากันที่นี่ค่อนข้างนาน เพราะทุกคนชอบบรรยากาศที่มาก คนมาน้อยเลยทำให้เรามีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะเลย ถึงแม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ขึ้นยอดภูเขาหิมะมังกรหยก แต่ที่นี่เราก็ถือว่าสวยไม่แพ้เหมือนกัน
สำหรับคืนนี้ถือเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักกันที่เมืองเก่าลี่เจียง พรุ่งนี้จะต้องเดินทางกันต่อเพื่อไปยังเมือง แชงกรีลา
ลี่เจียงถือเป็นเมืองที่เราชอบมาก ชอบบรรยากาศเมืองเก่าตอนเช้าอันเงียบสงบอากาศช่วงเดือนตุลาคม ยังคงอยู่ในช่วงเย็นสะบาย (ประมาณ 11 oC) สำหรับเดินเล่น และบรรยากาศตอนกลางคืนที่สวยงามจากการประดับประดาด้วยแสงสีจากหลอดไฟ
ผู้คนมากหน้าหลายตาทะยอยเดินเข้ามาชมบรรยากาศเมืองเก่ามากกว่าช่วงกลางวัน ร้านรวงต่างๆแปลสภาพจากความเงียบเป็นครึกครื้น บ้างก็เป็นร้านอาหารมีเครื่องดื่มขายพร้อมดนตรีสด บ้างก็เป็นร้านหม้อไฟส่งควันฉุย แต่ที่เราชอบมากคือร้านเหล้าเล็กๆแถวที่พัก ตัวร้านอยู่ใต้สะพานข้ามคลอง ด้านหน้าร้านเป็นที่นั่งติดคลอง มีเสียงคลอเบาๆจากนักร้องหญิงเสียงนุ่มที่ดีดกีต้าร์บรรเลงเพลงจีน พร้อมนั่งจิบเบียร์ชื่อดังจากจีนนั่งจิบไปเพลินอารมณ์มากทีเดียว
สำหรับเมืองเก่าลี่เจียงก็มีเพียงเท่านี้ เจอกันที่เมืองแชงกรีลา
บทที่ 4 ทิเบตน้อย แชงกรีลา (เมืองจงเตี้ยน)
แชงกรี-ลา หรือเมืองจงเตี้ยน คนจีนออกเสียงคล้ายๆ แชง-เกอ-รี-หล่า ระยะทางห่างจากลี่เจียงประมาณ 190 กิโลเมตร แต่กลับใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงในการเดินทาง เนื่องจากสภาพถนนไม่เอื้ออำนวยต่อการทำความเร็ว เพราะบางช่วงถนนตัดผ่านเลียบภูเขาไป ตัวเมืองแชงกรีลาเป็นเมืองเล็กๆที่ยังคงเงียบสงบ อาคารบ้านเรือนเป็นศิลปะธิเบตผสมกับจีนได้อย่างกลมกลืน
เราออกเดินทางจากประตู่ South Gate เมืองเก่าลี่เจียงในเช้าวันจันทร์ ที่ 14 ตุลาคม ด้วยรถตู้เช่าเหมาลำผู้โดยสารทั้งหมด 11 ชีวิต และคนขับที่พูดได้เพียงภาษาจีนอีกหนึ่งคน 08.30 น. คือเวลานัดหมาย แต่เวลาล้อหมุนจริงๆคือเกือบเก้าโมงเช้าเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆนาๆ
หลับๆตื่นๆบนรถตู้มาเกือบ 4 ชั่วโมงเราก็มาถึง Yi's Hostel โฮสเทลเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆกับวัดต้าฝอ เจ้าของโฮสเทลเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาอารมณ์ดีชื่อ "ทิฟฟานี่" คนรักแมวคงต้องปลื้มเพราะที่นี่มีแมวหลายตัว อากาศที่แชงกี-ลาค่อนข้างหนาวกว่าที่ลี่เจียงเป็นเท่าตัว
วันนี้เรามีเวลาแค่ครึ่งวัน จุดหมายปลายทางของเราก็คือร้านข้าว เพราะทุกคนหิวมาก อิ่มแล้วค่อยว่ากัน หลังจากทานอาหารกันเสร็จก็เดินออกไปถนนหลักเพื่อนั่งรถบัสสาย 3 ตามที่ทิฟฟานี่บอกเพื่อไปยัง วัดซงจ้านหลิง สำหรับราคาค่าโดยสารนั้นอยู่ที่ 1 หยวน นั่งรถมาสักพักประมาณ 5 กิโลเมตร คนขับก็จอดให้เราลงเพื่อไปซื้อตั๋วเข้าวัด ราคา 75 หยวน (ตอนแรกเรากะว่าจะไปเดินรอบวัดโดยไม่เข้าข้างในเพื่อประหยัดค่าตั๋ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอม ยังไงก็ต้องซื้อตั๋วจ๊ะ ถึงแม้จะเข้าหรือไม่เข้าก็ตาม) ซื้อตั๋วเสร็จจะมีรถบัสฟรีเพื่อเข้าไปยังวัดอีกที
ที่เที่ยวเมืองแชงกรี-ลา
. . . เมืองเก่า แชงกรี-ลา (Shangri-La Old Town)
เมืองเก่าลี่เจียงหรือ เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) ตัวเมืองเก่าลักษณะคล้ายๆกับเมืองเก่าลี่เจียง แต่ที่ลี่เจียงดูเก่ากว่า เพราะเมืองเก่าแชงกรี-ลาเคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ เมืองที่เหลืออยู่คือเมืองที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังคงรูปแบบไว้เหมือนเดิม ในเมืองเก่ามีวัดที่สวยงามตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆชื่อว่า วัดกุยชาน (Guishan Temple) หรือ วัดต้าฝอ เป็นวัดของศาสนาพุทธ นิกาย วัชรยาน หรือนิกายคล้ายๆธิเบต ด้านบนวัดมีกงล้อมนต์ ที่ต้องใช้แรงคนที่ศรัทธาในการหมุนกงล้อไม่ต่ำกว่า 10 คน และตอนกลางคืนที่วัดขึ้นชื่อเรื่องการประดับไฟรอบๆวัด เปลี่ยนให้วัดตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่าม และบริเวณรอบๆวัดก็มีไฟสีต่างๆเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ เขียว แดง เหลือง และสีฟ้า ด้านหน้าของวัดมีบริการเช่าชุดพื้นเมืองและบริการถ่ายรูปไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ก็มีน้องหมาตัวใหญ่สองตัวน่าจะพันธุ์ธิเบตันนั่งคอยนั่งท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย น้องจามรีสีขาวก็ที่ถูกจับแต่งองทรงเครื่องก็มีรอให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปด้วย
ความสำคัญของ เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) ตามประวัติศาสตร์นั้น เมืองนี้มีมานานมากกว่า 1,300 ปีแล้วแหละ ถือเป็นเมืองสำคัญใน เส้นทางขนส่งใบชาโบราณ หรือ Ancient Tea Horse Road ในมณฑลยูนนานที่เริ่มต้นแถวๆ คุณหมิงลากยาวขึ้นบนมาแชงกรีล่าตรงนี้ แล้วยาวต่อไปยังเมืองลาซา (Lhasa) จนถึงอินเดียเลยทีเดียว ด้วยความที่เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) นั้นอยู่ตรงกลางเส้นทางนี้พอดี เมืองนี้เลยกลายเป็นเมืองที่คนเข้ามาแวะพักกันกลางทางนั่นเอง
. . . วัดซงจ้านหลิงซื่อ (Songzanlin Temple)
วัดซงจ้าหลิน เป็นวัดลามะที่ใหญ่ที่สุดของมณฑล ยูนานทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1679 องค์ดาไลลามะที่ห้าของทิเบตเป็นผู้เลือกสรรสถานที่สร้างวัดแห่งนี้หลังกราบทูลจักรพรรดิ คังซีแห่งราชวงศ์ ชิง และจักรพรรดิ คังซีได้พระราชทานนามว่า กุยฮว่าซื่อ
ด้านหน้าไม่ไกลจากวัดมีทะเลสาบชื่อว่า ทะเลสาบ ลาหมู่ยางชั่ว (Lamuyangcuo Lake) รอบๆทะเลสาบเป็นทิวต้นไม้ที่ช่วงนี้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นทิวแถว และสามารถไปเดินเล่นถ่ายรูปวัดได้เต็มๆ โดยเฉพาะรูปวัดซงจ้านหลิงซื่อที่เงาสะท้อนน้ำในะเลสาบ เป็นภาพที่สวยงามมาก
. . . ภูเขาหิมะสือข่า และ ทะเลสาบนาปาไห่ (Shika snow mountain and Napa Lake)
สือข่า ในภาษาทิเบตนั้นแปลว่า สถานที่อันอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยกวางสีแดง ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าอีกหนึ่งสัญลักษณ์ทางศาสนาพุทธนั้นจะเป็นรูปกวางสองตัวหมอบหันหน้าเข้าหาธรรมจักร ซึ่งคนทิเบตเค้าก็นับถือกวางมาก ถ้าเราสังเกตดีๆ คือเราจะเห็นสัญลักษณ์รูปกวางเต็มเมือง ดังนั้น ชื่อภูเขาหิมะสือข่า (Shika) ที่เค้าตั้งชื่อให้กับเขาลูกนี้ แสดงว่าเค้านับถือภูเขาลูกนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นนั่นเอง
. . . การเดินทาง
เหมารถจากเมืองเก่าลี่เจียง สำหรับ 11 คน ได้รถตู้ในราคา 1000 หยวน
ทะเลสาบ ลาหมู่ยางชั่ว (Lamuyangcuo Lake)
รอบๆทะเลสาบเป็นทิวต้นไม้ที่ช่วงนี้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นทิวแถว และสามารถไปเดินเล่นถ่ายรูปวัดได้เต็มๆ โดยเฉพาะรูปวัดซงจ้านหลิงซื่อที่เงาสะท้อนน้ำในะเลสาบ เป็นภาพที่สวยงามมาก
บทที่ 5 ภูเขาหิมะสือข่า และ ทะเลสาบนาปาไห่
ภูเขาหิมะสือข่า และ ทะเลสาบนาปาไห่ (Shika snow mountain and Napa Lake)
สือข่า ในภาษาทิเบตนั้นแปลว่า สถานที่อันอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยกวางสีแดง ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าอีกหนึ่งสัญลักษณ์ทางศาสนาพุทธนั้นจะเป็นรูปกวางสองตัวหมอบหันหน้าเข้าหาธรรมจักร ซึ่งคนทิเบตเค้าก็นับถือกวางมาก ถ้าเราสังเกตดีๆ คือเราจะเห็นสัญลักษณ์รูปกวางเต็มเมือง ดังนั้น ชื่อภูเขาหิมะสือข่า (Shika) ที่เค้าตั้งชื่อให้กับเขาลูกนี้ แสดงว่าเค้านับถือภูเขาลูกนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นนั่นเอง
เช้าวันที่ 2 ที่เมืองแชงกรีลา วันนี้เราจะไปขึ้นกระเช้าเพื่อไปยัง ภูเขาหิมะสือข่า (Shika Snow Mountain) ค่ารถพร้อมกระเช้าอยู่ที่ 216 หยวน รวมไปทะเลสาบนาปาไห่ (Napa Lake) รถมาส่งเราที่จุดขึ้นกระเช้าไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ให้เข้าแถวเรียงหกคน พอกระเช้ามาก็ต้องรีบกระโดดขึ้น นั่งมาสักพักก็มาเปลี่ยนขึ้นกระเช้าอีกเส้น กว่าจะถึงยอดก็กินเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมง หลังจากเดินทะลุผ่านอาคารออกมายังยอดเขา ลมหนาวก็เข้ามาปะทะที่ใบหน้า หนาวยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งที่ช่วงนี้ยังไม่มีหิมะ แต่ลมที่นี่แรงมาก หนาวจนอยากนั่งกระเช้าลงเลยไม่อยากเดินต่อละ
บนยอดเขาจะมีทางเดินที่สร้างจากไม้สำหรับเดินชมวิวบนยอดเขา มีซุ้มธงมนตรา มีร้านขายของฝากเล็กๆร้านหนึ่ง แต่วันนี้อากาศหนาวมากถ่ายรูปแปบเดียวก็มารอเพื่อนที่ร้านขายอาหาร ข้าวโพดต้มร้อนๆช่วยได้เยอะมากถึงแม้ราคาจะอยู่ที่ฝักละ 10 หยวนก็ตาม พอทุกคนมาครบเราก็นั่งกระเช้าลงมาถึงด้านล่างเกือบบ่ายสอง เราก็ไปต่อที่ทะเลสาบนาปาไห่ ตรงทะเลสาบจะมีร้านขายเนื้อเสียบไม้ ลูกชิ้นมีแม้กระทั่งเห็ดและผัดสำหรับปิ้งย่าง และที่ขาดไม่ได้เลยคือทุกไม้จะทาด้วยพริกหม่าล่า จุดเด่นของทะเลสาบนาปาไห่คือการขี่ม้าชมบรรยากาศแต่กลุ่มเราขอเดินชมบรรยากาศพอ เพราะประหยัดงบ
กลับเข้าเมืองมาตอนบ่ายทุกคนก็แยกย้ายพักผ่อน เนื้อจามรีอันเลื่องชื่อทุกคนต้องมาลอง แต่เราขอพักก่อนเพราะเราไม่กินเนื้อเลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง แต่สิ่งที่เราไม่พลาดคือ Traditional Dance ที่จตุรัสกลางเมืองเก่าจะมีการเต้นพื้นเมือง เริ่มเวลา 18.00 - 19.00 แต่เอาเข้าจริงสี่ทุ่มยังไม่เลิกเต้นเลยจ้า การเต้นจะเต้นเป็นวงกลมโดยมีนักเต้นคนท้องที่อยู่วงด้านใน มีตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ก็มา วัยรุ่นผู้หญิงและผู้ชายก็มากัน นักท่องเที่ยวอย่างเราก็รอเนียนแทรกเข้าแถวไปเต้นรอบนอกในจังหวะช้าๆพอ เต้นไปได้ไม่ถึงครึ่งรอบก็ขอยอมแพ้ เพราะเหนื่อยง่ายมาก เนื่องจากแฃงกรี-ล่าเป็นพื้นที่สูง อากาศเบาบาง ทำให้คนพื้นราบอย่างเราเหนื่อยง่าย
อาคารด้านขวาคือจุดจอดกระเช้า หลังจากเดินผ่านอาคารออกมาก็จะเจอทางเดินที่ทำด้วยไม้สำหรับเดินชมวิวยอดภูเขาหิมะสือข่า ที่ยังไม่มีหิมะ ข้างบนลมแรงมากทำให้อากาศที่เย็นอยู่แล้วหนาวเย็นเข้าไปอีก ถุงร้อนที่เตรียมาจากไทย ได้นำมาใช้งานเพื่อความอบอุ่นของมือก็วันนี้แหละ
ภูเขาหิมะสือข่า ถือว่าเป็นยอดเขาที่มีความสูงมากๆยอดหนึ่ง มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,500 เมตร ถือเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเบาบางอีกที่หนึ่ง นักท่องเที่ยวควรพกออกซิเจนกระป๋องมาด้วยเผื่อคนแพ้ความสูง
ทะเลสาบนาปาไห่ (Shika snow mountain and Napa Lake)
เมืองเก่า แชงกรี-ลา (Shangri-La Old Town)
เมืองเก่าลี่เจียงหรือ เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) ตัวเมืองเก่าลักษณะคล้ายๆกับเมืองเก่าลี่เจียง แต่ที่ลี่เจียงดูเก่ากว่า เพราะเมืองเก่าแชงกรี-ลาเคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ เมืองที่เหลืออยู่คือเมืองที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังคงรูปแบบไว้เหมือนเดิม ในเมืองเก่ามีวัดที่สวยงามตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆชื่อว่า วัดกุยชาน (Guishan Temple) หรือ วัดต้าฝอ เป็นวัดของศาสนาพุทธ นิกาย วัชรยาน หรือนิกายคล้ายๆธิเบต ด้านบนวัดมีกงล้อมนต์ ที่ต้องใช้แรงคนที่ศรัทธาในการหมุนกงล้อไม่ต่ำกว่า 10 คน และตอนกลางคืนที่วัดขึ้นชื่อเรื่องการประดับไฟรอบๆวัด เปลี่ยนให้วัดตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่าม และบริเวณรอบๆวัดก็มีไฟสีต่างๆเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ เขียว แดง เหลือง และสีฟ้า
ด้านหน้าของวัดมีบริการเช่าชุดพื้นเมืองและบริการถ่ายรูปไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ก็มีน้องหมาตัวใหญ่สองตัวน่าจะพันธุ์ธิเบตั่นนั่งคอยนั่งท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย น้องจามรีสีขาวก็ที่ถูกจับแต่งองทรงเครื่องก็มีรอให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปด้วย
ร้านชานมไข่มุกในเมืองเก่าแชงกรีลา
แชงกรี-สา ถือเป็นเมืองเล็กๆที่ยังมีความเป็นธิเบตผสมจีน เสห่น์อย่างหนึ่งคือเป็นเมืองที่เงียบสงบ ผู้คนน่ารักอัธยาศัยดี แต่อากาศหนาวมากๆ ถึงแม้ว่าอาคารในเมืองเก่าจะสร้างใหม่หลังจากเกิดไฟไหม้ แต่ก็ยังคงความสวยงามไว้อยู่ ไว้มีโอกาศเราจะมาเยือนที่นี่อีกครั้ง
เจอกันที่ ย่าติง...ดินแดนแห่งความฝัน
บทที่ 6 ทะเลสาบไข่มุก
(ย่าติง Short route)
. . . อุทยานย่าติง
ย่าติงป็นอุทยานแห่งชาติที่ซ่อนอยู่ภายในหุบเขาน้อยใหญ่แห่งมณฑลเสฉวนประเทศจีน เส้นทางเดินเพื่อชมธรรมชาติอันสวยงามแบ่งออกเป็นเส้นทางหลักๆ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางระยะสั้น (Short route) และ เส้นทางระยะยาว (Long route)
1. Short route เป็นเส้นทางระยะสั้น ระยะทางไปกลับประมาณ 4 กิโลเมตร โดยทางเดินจะอยู่ด้านขวามือไปทางวัดชงกู่ ความสวยงามของเส้นนี้คือการเดินชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยมีทางเดินเป็นตะแกรงเหล็ก เดินง่ายใช้เวลาไม่นาน ทะเลสาบไข่มุก (Zhoumala Lake) คือเป้าหมายหลักของเส้นทางนี้
2. Long route เป็นเส้นทางระยะยาว ระยะทางไปกลับจากทุ่งหญ้าหลัวหลง 10 กิโลเมตร (ระยะทางจากวัดชงกู่มาที่ทุ่งหญ้าหลัวหลง 7 กิโลเมตร) การเดินเส้นนี้ควรใช้เวลาทั้งวัน เพราะถึงแม้ระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่ทางค่อนข้างชันในบางช่วง และชันมากในช่วงใกล้จะถึงทะเลสาบ ประกอบกับอากาศเบาบางทำให้คนพื้นราบอย่างประเทศไทยเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป้าหมายเส้นทางนี้มีสองที่คือ ทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี (เดินไปช่วงใกล้จะถึงจะเจอทางแยก ให้เลือกเดินไปทะเลสาบน้ำนมก่อนเพราะทางจะเดินง่ายกว่า)
. . . การเดินทาง
โดยปกติถ้าเราจะเดินทางไปอุทยานย่าติงจากเมืองแชงกกรีลาโดยไม่เหมารถ สามารถซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปยังเมืองเต้าเฉิง และเหมารถจากเต้าเฉิงไปที่อุทยานได้ (ระยะทางเต้าเฉิง-อุทยานย่าติง 70 กิโลเมตร) กลุ่มเราเหมารถตู้จากแชงกรีลา-เมืองรือวา (Riwa) ไปกลับราคาวันละ 1300 หยวน (สมาชิกทั้งหมด 11 คน)
เราออกเดินทางจากเมืองเก่าแชงกรีลาประมาณ 08.00 น. รถตู้คันเดินที่รับเราจากลี่เจียง สมาชิกทั้งหมด 11 คน ถนนค่อนข้างอันตรายบางช่วงตัดผ่านริมเขาซ้ายมือคือหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวกราดสีนำตาลคอยอยู่เบื้องล่าง ฝั่งขวามือคือผาหินที่บางตอนวางอย่างหมิ่นเหม่พร้อมถล่มลงมาทุกเวลา
ขับมาได้สักประมาณ 5 ชั่วโมง รถข้างหน้าชะลอความเร็วลง และหยุดลงในที่สุดทำให้รถเราต้องหยุดตาม สอบถามจากคนขับก็คุยกันไม่รูเรื่องเลยต้องลงไปสำรวจ ปรากฎว่าด้านหน้าทางถล่มต้องเคลียร์ทางก่อน เราหยุดรอกันที่นี่ 2 ชั่วโมงเศษ พอเคีลยร์ทางถนนเสร็จก็เดินทางต่อ
ขับมาสักพักเลยเวลาอาหารเที่ยงมาแล้ว คนขับจอดให้ลงไปเข้าห้องน้ำ แต่จากสภาพห้องน้ำแล้วไม่มีใครกล้าเข้า เพราะกลิ่นและภาพเกินจะรับไหว กลัวจะกินข้าวกันไม่ลง เลยลงไปถ่ายรูปกันวิวภูเขาสลับซับซ้อน บวกกับสีน้ำเป็นสีเขียวมรกต สรุปว่าเรามาพักถ่ายรูปกันแทนที่เข้าห้องน้ำ
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ อากาศด้านนอกรถก็เช่นกัน ภูมิประเทศด้านนนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นภูเขาหัวโล้น บางที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ บางแห่งต้นหญ้าเปลี่ยนเป็นสีทอง และเราเริ่มสังเกตุฝูงจามรีกำลังเล็มหญ้าอยู่ตามเนินเขา คนขับจอดรถให้พวกเราถ่ายรูปกับตัวจามรี แต่นางก็ขี้อายต้องรีบถ่ยาเพราะนางวิ่งหนีเมื่อคนเข้าไปใกล้
เรามาถึงหมู่บ้าน Riwa กันเกือบสองทุ่มแล้ว ใช้เวลาจากแชงเมืองเก่าแชงกรีลาเกือบ 12 ชั่วโมง ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการนั่งรถมาทั้งวัน อาหารมื่อเย็นเราจึงเป็นแบบง่ายๆ หาได้จากมินิมาร์ทด้านหน้าโรงแรม
วันที่สองที่ย่าติง เช้าน้เรานัดรถมารับเพื่อไปส่งที่หน้าอุทยานเพื่อว์้อตั๋วเข้าย่าติง ส่งเสร็จก็นัดกับคนขับเพื่อมารับในวันกลับอีกที พอได้ตั๋วมาแล้วเราก็เดินมาที่อาคารสำหรับรอรถบัสเพื่อเข้าไปในอุทยานอีกที โรงแรมที่เราพักอยู่ที่ Bus Stop No.3 ห่างจากหน้าอุทยานประมาณ 32 กิโลเมตร ใครที่เมารถควรเตรียมความพร้อมตรงช่วงนี้ให้ดี เพราะทางค่อนข้างคดเคี้ยวและระยะทางไกลพอสมควร
แผนที่ภายในอุทยานย่าติง
เก้าโมงนิดๆเราก็มาถึงโรงแรมที่ Bus Stop No.3 ในรูปคือวิวหน้าโรงแรมเราสามารถมองเห็นยอดเขาที่มีหิมะอยู่ สำหรับวันนี้เราจะไปเดินกันเส้นทางทะเลสาบไข่มุกกัน
จาก Bus Stop No.3 เราก็มายืนรอที่ป้ายเพื่อนั่งบัสไปยังจุดเริ่มเดินวัดชงกู่ เส้นทางทะเบสาบไข่มุกจะเดินตามสะพานเหล็กเรียบลำธารไปทางฝั่งวัดชงกู่
ทะเลสาบไข่มุก
เดินมาประมาณชั่วโมงกว่าเราก็มาถึงทะเลสาบไข่มุก เส้นนี้เดินง่ายเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อย
หลังจาภถ่ายรูปที่ทะเลสาบไข่มุกเสร็จ เราก็เดินต่อไปยังจุดชมวิวอีกที่หนึ่ง เพื่อจะได้ชมวิวภูเขาด้านหลังแบบใกล้ๆ
ช่วงที่เรามาโชคดีมากเลย มีหิมะตกด้วย แต่ยังตกไม่เยอะมาก อากาศก็ยังไม่หนาวมากเท่าไหร่
ขากลับ เราเดินลงทางซ้ายมือเพื่อแวะชมวัดชงกู่ก่อนกลับโรงแรม
วิวจากห้องพัก
สำหรับวันแรกในย่าติงก็จบเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เราจะไปลุยเดินเขาของจริงละ เพราะเราจะใช้เวลาทั้งวันในการเดิน จุดหมายต่อไปคือเส้นทางระยะยาว ทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี พบกันย่าติง Long route
บทที่ 7 ทะเลสาบห้าสี และ ทะเลสาบน้ำนม
(ย่าติง Long Route)
เช้าวันที่ 2 ที่อุทยานย่าติง เช้านี้อากาศหนาวมากๆ ตอนเช้ามีหิมะตกลงมาปรอยๆ ได้ชาเขียวร้อนๆสักแก้วแบบนี้ก็อุ่นขึ้นเยอะ ลงมารอรถบัสที่หน้าโรงแรมกันแต่เช้าเพื่อเข้าไปข้างใน วันนี้เราจะเดินรูทยาวกัน
รถบัสมาจอดที่จุดลงรถต้องเดินเท้าต่อไปยังวัดชงกู่ เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าคันเล็กสีเขียวไปยังทุกหญ้าหลัวหลง (ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร) หลังจากรถจอดสนิทก็เดินต่อลงไปยังทุ่งหญ้าหลัวหลงตัดผ่านไปยังเส้นทางเดินระยะยาวไปยังทะเลสาบน้ำนม หรือทะเลสาบไข่มุก
ทุ่งหญ้าหลัวหลงเป็นจุดเริ่มต้นการ Trekking ของเรา เส้นทางผ่านทุ่งหญ้าจะเป็นทางเดินสะพานไม้ จากนั้นก็จะเป็นทางขึ้นเขาอีก 4.5 กิโลเมตร
ทุ่งหญ้าหลัวหลงเปลี่ยนจากสีทองเป็นขาวโพลนเนื่องจากหิมะตกตั้งแต่เมื่อคืน รอสายหน่อยหิมะคงละลายก็จะกลายเป็นสีทองเหมือนเดิม
ทางเดินที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าหลัวหลง บนทางเดินบางส่วนยังคงมีน้ำแข็งเกาะอยู่
สายๆหน่อย พระอาทิตย์เริ่มเพิ่มความร้อนแรงทำให้หิมะบางส่วนเริ่มละลาย อากาศเริ่มอุ่นขึ้นตามลำดับ
พอผ่านทุ่งหญ้ามา ทางเดินจะเป็นทางขึ้นเขา ความชั้นช่วงนี้ยังไม่มากนัก ยังเดินได้สะบายและไม่เหนื่อยเท่าไหร่ น้ำตกระหว่างทาง ช่วงเดือนตุลาคมบางส่วนเริ่มกลายเป็นหิมะ พอช่วงเดือนที่หิมะตกหนักคงจะกลายเป็นน้ำแข็งหมด
เดินมาอีกนิดหนึ่งก็จะเจอทะสาบ
หลังจากเดินผ่านทะเลสาบมา ทางเดินเริ่มจะชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงเดินได้สะบายยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ก่อนถึงป้ายทางแยกไปทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี ทางค่อนข้างชัน ช่วงนี้ต้องค่อยๆเดินเพราะเราจะเหนื่อยง่าย ออกซิเจนกระป๋องที่เตรียมมาไม่รู้ช่วยรึป่าว แต่ถึงเวลาที่ต้องเอาออกมาใช้กันละ
พอถึงทางแยก แนะนำให้เดินไปทะเลสาบน้ำนมก่อน เพราะทางเดินเป็นทางราบเดินง่ายกว่า ทางที่ไปทะเลสาบห้าสีชันมาก จริงๆแล้วเราตัดสินใจไม่ยากเลยว่าจะเดินไปทางไหน
ทะเลสาบน้ำนม
เราเดินมาถึงทะเลสาบน้ำนมประมาณเที่ยงพอดี พักกินข้าวเที่ยงกันตรงมุมสูงที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ทั้งหมด ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างเเยอะเพราะใบไม้เปลี่ยนสี และน้ำตรงทะเลสาบยังไม่เปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ยังคงมองเห็นเป็นสีฟ้าเทอควาอยส์สวยงามมาก
ทะเลสาบห้าสี
เป็นทะเลสาบเล็กๆ น้ำใสมากมีพื้นที่ให้ถ่ายรูปเยอะกว่าทะเลสาบน้ำนม แต่สีนำเข้มกว่า
เดินถ่ายรูปไม่นานเราก็ทะยอยเดินลงกัน แต่ขาลงเราจะเดินลงทางทะเลสาบห้าสีเลย ไม่ย้อนกลับไปทางเดิม เพราะระยะทางใกล้กว่า
ทางเดินลงจากทะเลสาบห้าสีค่อนข้างชัน ลองนึกภาพว่าต้องเดินขึ้นทางคงจะเหนื่อนน่าดู
เดินลงมาถึงทุ่งหญ้าหลัวหลงประมาณห้าโมงเย็น หิมะเมื่อเช้าที่คลุมไว้อยู่ละลายหมดแล้ว ทำให้ทุ่งหญ้ากลับาเป็นสีทองเหมือนเดิม เราต้องเดินตัดทุ่งหญ้าขึ้นรถไฟฟ้ากลับ เพื่อจะต่อรถบัสกลับโรงแรมอีกทีหนึ่ง
เรามาลงที่ Bus Stop No.2. ก็เกือบค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ที่นี่มีอาหารขายอยู่เยอะเลย โดยเฉพาะปิ้งย่างหม่าล่า ซื้อของเสร็จค่อยเดินกลับไปที่ Bus Stop No. 3 สำหรับวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็แยกย้ายพักผ่อน เพื่อเดินทางกลับแชงกรีลาตอนตีห้า ซึ่งเราเหมารถจากทางโรงแรมเพื่อไปส่งเรายังหน้าอุทยาน จุดที่เรานัดรถไว้ เพราะเราต้องไปให้ทันรถบัสรอบ 19.30 น. ที่เมืองแชงกรีลา
บทที่ 8 กลับสู่ แชงกรีลา ต่อด้วยคุนหมิง (บทส่งท้าย)
หลังจากรถขับออกมาจากเมือง Riwa ได้สักพัก ก็มาเจอถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ แสดงว่าช่วงที่เราอยู่ในอุทยานย่าติง หิมะเริ่มตกแล้ว คนขับเลยจอดให้เราถ่ายรูปกับหิมะแรกของปีสำหรับที่นี่
วิวถนนจากเมืองรือหว่า ไปยังแชงกรีลา ขากลับเราใช้เวลาจากเมืองรือหว่าถึงเมืองเก่าแชงกรีลาประมาณ 8 ชั่วโมง เรายังมีเวลาเหลือประมาณสี่ชั่วโมง จึงใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นในเมืองเก่าแชงกรีลาก่อน
พอใกล้เวลาก็ให้รถเหมามารับที่โรงแรมที่เราฝากกระเป๋าไว้ ซึ่งก็คือโรงแรมเดิมที่เรามาพักก่อนไปย่าติง
นั่งรถบัสนอนจากเมืองแชงกรีลาไปยังคุนหมิงใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง ถึงคุนหมิง 07.30 น. เดินออกจากสถานีรถบัส Kunming West us Station เราก็เดินทางต่อไปที่โรงแรม The Hump Hostel ที่อยู่แถวประตูม้าไก่ทองด้วย Metro Line 3 ลงสถานี Wuyi Road (ราคา 3 หยวน) แล้วเดินต่ออีกนิดก็ถึงโรงแรม ตัวโรงแรมอยู่ติดกับประตูม้าไก่ทองเลยเราจะพักที่นี่ก่อนที่จะเดินทางกลับ ตอนเวลาตี 2
สำหรับการเดินทาง 9 วัน 8 คือที่เมืองจีนครั้งแรกกับทริป "ย่าติงดินแดนแห่งความฝัน" โดยผ่านเมืองหลักๆสามเมือง เริ่มตั้งแต่ คุนหมิง ลี่เจียง และแชงกรีลา ตอนนี้เราก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการเดินทางแล้ว หวังว่าข้อมูลทั้งหลายที่ได้เล่ามานั้นจะเป็นประโยชน์กับท่านที่กำลังจะเดินทางมาสัมผัสดินแดนแห่งความฝันเหมือนเช่นเรานี้ ไม่มากก็น้อย
เจอกันใหม่ทริปหน้า . . . แสงจั
แสงจันทร์
วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 10.18 น.