ยังไม่จบกับการกินสุกี้ หม่าล่าสายพาน รอบนี้หาร้านแถวละแวกบ้านเพราะไม่อยากขับรถไปไกล แถมต้องนั่งรอคิวอีก ว่างๆ ก็ไปลองชิมกัน ร้านตั้งอยู่เส้นถนนป๊อปปูล่า ตรงข้ามวัดผาสุกมณีจันทร์ ไม่มีที่จอดรถ หาจอดได้ตามริมถนนค่ะ
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 เราไปช่วงบ่ายโมงคิวยังไม่เยอะมาก
ภายในร้านเปิดให้บริการแค่ชั้นเดียว บรรยากาศภายในร้านก็ประมาณนี้ โดยรวมดูสะอาดอยู่นะ
น้ำซุปมีให้เลือกถึง 8 อย่าง หม้อใส่น้ำซุปช่องเดียว ราคา 49 บาท และหม้อใส่น้ำซุป 2 ช่อง ราคา 59 บาท / น้ำจิ้ม 29 บาท
ราคาอาหารแต่ละอย่างเท่ากับสุกี้หม่าล่าสายพานร้านอื่นๆ แหละ อาจมีแค่น้ำที่ราคาต่างกับ 5-10 บาท
เราเลือกน้ำซุป 2 ช่อง เป็นน้ำซุปกระดูกหมูและซุปหม่าล่าเผ็ดน้อย
ทานไปสักพักนึกได้ว่าลืมถ่ายรูป ขออภัยหม้อน้ำซุปก็จะเขรอะๆ หน่อย ซุปหม่าล่าสีเหมือนจะเลี่ยนแต่ไม่เลี่ยน หอมสมุนไพร ซุปมีรสชาติเปรี้ยวนิดๆ เหมือนกินต้มยำ กินไปสักพักปากจะชานิดๆ ไม่ถึงกับเผ็ด อร่อยอยู่นะ แต่...โดยส่วนตัวเราชอบซุปกระดูกหมูมากกว่า
น้ำจิ้มที่ทางร้านปรุงไว้ให้แล้ว รสชาติไม่ต่างจากร้านสุกี้จินดาเท่าไร อยากได้รสชาติแบบไหนก็ปรุงเพิ่มเอา แต่สำหรับเราโอเคแล้วเลยไม่ปรุงเพิ่ม วันที่ไปทานน่าจะหิว เลยหยิบถาดพวกเนื้อกับเต้าหู้เยอะเลย
แม้จะต้องนั่งทานใกล้กับคนอื่นแต่ก็นะ หม้อใครหม้อมันก็โอเคอยู่ เพราะต่างคนต่างกิน ไม่ค่อยมีใครพูดกันเยอะ
มุมที่วางเครื่องปรุงสำหรับปรุงน้ำจิ้ม ใครชอบรสชาติแบบไหนปรุงรสได้ตามใจชอบ
ถ้วยนี้คือน้ำจิ้มที่ทางร้านปรุงแล้ววางไว้ให้ลูกค้าหยิบ รสชาติกลางๆ ไม่เปรี้ยว ไม่เค็ม ไม่หวานจนเกินไป หอมน้ำมันงามาก
ส่วนตัวเราจะปรุงน้ำจิ้มที่รสชาติเปรี้ยวนำแบบซอสพอนสึของญี่ปุ่น ไว้จิ้มกับพวกเนื้อสัตว์แก้เลี่ยน ใส่แค่ซอสเปรี้ยว งาขาว และต้นหอมเท่านี้พอ
มาดูอาหารแต่ละอย่างบนสายพานกันบ้าง เราพยายามถ่ายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะถ่ายได้ค่ะ เส้นมันหนึบนี้คือที่สุด ชอบมาก กินได้เต็มที่แค่ 2 มัด มี 6 เส้น ก็จุกละ
เส้นชาโคล
เส้นบุก และยังมีเส้นอื่นๆ อีก จะถ่ายทุกจานก็เกรงใจคนอื่น
พวกเต้าหู้กับฟองเต้าหู้เยอะดี ชอบๆ
เต้าหู้โบว์ของโปรดเลย
ฟองเต้าหู้แผ่น
ที่ร้านเรียกฟองเต้าหู้สายบัว อันนี้เราก็ชอบ
ฟองเต้าหู้ม้วนทอด ของโปรดเลย กินทีไรต้อง 2 ถาด
ฟองเต้าหู้ม้วนทอด ของโปรดเลย กินทีไรต้อง 2 ถาด
เนื้อวัวจะเป็นถาดสีดำ มีให้เลือกเยอะอยู่นะ ทั้งเนื้อสันคอ
เนื้อเสือร้องไห้
เนื้อชิ้นคลุกงา
ไส้เป็ด ลองแล้วเหนียวอะ จืดๆ สำหรับเราคือเราชอบไส้เป็ดพะโล้มากกว่า
ปลาหมึกยักษ์
ปลาหมึกกรอบ
สไบนาง
กึ๋นไก่
ปลาหมึก
ตีนไก่แบบนี้พอเอาไปต้มแล้วมันแข็งไป สำหรับเราไม่ค่อยอร่อย ตีนไก่แบบนี้ต้องเอาไปทำยำเราว่าอร่อยกว่าค่ะ
น้ำมีให้เลือกเยอะมาก
น้ำมีให้เลือกเยอะมาก
มีบัตรสะสมแต้มด้วย
ทานกัน 2 คน จ่ายไปทั้งหมด 1,317.17 บาท ทานดุดันมาก
ทานครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2566 ไปถึงร้านตอน 18.10 น. นั่งรอคิวก่อนหน้า 16 คิว กว่าจะได้ทานก็ 19.00 น.
รอบนี้สั่งน้ำซุปช่องเดียว คือซุปกระดูกหมู เส้นมันหนึบหรือเส้นมันเทศสีม่วงก็อร่อยดี ครั้งนี้ทานกันอย่างมีสติ ฮ่าๆๆๆ ค่อยๆ เลือกเฉพาะที่ชอบจริงๆ ไม่ได้ทานแบบโอ๊ย...เห็นอันโน้นก็น่าหยิบ อันนี้ก็น่าทาน เราเน้นพวกเต้าหู้ และเนื้อวัว 2 ถาด ลูกชิ้นไส้ชีส 1 ไม้ ก็อิ่มพอดีนะ ไม่จุกเกินไป
รอบนี้เฉพาะของเราทานไป 418 บาท (ของเราคนเดียว) คุณสามีก็ทานน้อยกว่าเดิม
รวม 2 คน จ่ายไป 718 บาท
ความเห็นส่วนตัว เราชอบร้านสุกี้หลิน หลิน มากกว่าสุกี้จินดา เพราะ
1. ตอนจองคิวถ้าไม่นั่งรอคิวที่ร้าน พอใกล้ถึงคิว พนักงานจะโทรตามลูกค้า และให้เวลามาที่ร้านประมาณ 15 นาที
2. ร้านมีให้เลือกน้ำซุป 2 ช่องได้ แต่สุกี้จินดาน้ำซุป 2 ช่อง มีแค่บางสาขาเท่านั้น
3. อาหารที่วางบนสายพานของร้านหลิน หลิน หลากหลายเยอะกว่าร้านจินดา แม้ว่าอาหารบางอย่างจะเหมือนกัน เช่น ที่ร้านจินดาจะมีแค่เนื้อวัว เนื้อหมู ถาดเดียว แต่ที่ร้านหลินหลิน แยกเนื้อวัวเป็นส่วนต่างๆ เช่น เนื้อส่วนสันคอ / ส่วนเสื้อร้องไห้ / เนื้อชิ้นโรยงา เป็นต้น ส่วนเนื้อหมูก็มีพวกสามชั้นเสียบไม้ / สามชั้นเป็นถาด / เนื้อหมูส่วนสันคอ ประมาณนี้ คือเราไม่ได้หยิบเนื้อหมูทานเลยไม่ค่อยสนใจสังเกตค่ะ ยังไงก็แล้วแต่คนชอบนะ เราทานได้ทั้ง 2 ร้านค่ะ
4. ร้านใกล้บ้านดี ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปไกล
Emmy Journey
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 10.19 น.