หลังจากเสร็จธุระที่หาดใหญ่ ผมเลยวางแผนหาเรื่องเที่ยวต่ออีกสัก 1 วันก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน ทันใดนั้นภาพของ “ยอยักษ์” ผุดขึ้นมาในหัวทันที จำได้ว่า ผมเคยมาที่ปากประครั้งหนึ่งเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ภาพจำของยอยักษ์ที่ต้องกับแสงสีทองของดวงอาทิตย์ วางตัวดื่นดาษบริเวณปากคลองปากประ ริมทะเลสาบสงขลา เป็นภาพที่ประทับใจยิ่งนัก เลยอยากจะกลับไปซึมซับกับบรรยากาศแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่รอช้า ผมมุ่งหน้าสู่จังหวัดพัทลุงทันทีครับ
ปากประจะมีเสน่ห์ที่สุดในช่วงเช้า ระหว่างพระอาทิตย์กำลังขึ้น ดังนั้นผมจึงวางแผนจะไปที่ปากประในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้คงต้องหาที่พักซะก่อน โดยผมเลือกเข้าพักที่ ปากคลองฟาร์มสเตย์ ใน อ.ควนขนุน ครับ
ปากคลองฟาร์มสเตย์เป็นที่พักสไตล์ฟาร์มสเตย์ ดูแลกันเองภายในครอบครัว อยู่ห่างจากตัว อ.ควนขนุน ประมาณ 7 กิโลเมตร โดยเป็นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่ทะเลน้อยครับ ห้องพักที่นี่มีเพียง 7 ห้อง และจะมี Villa แบบ 2 ห้องนอนอีก 1 หลังเท่านั้นครับ
ใต้ถุนของอาคารทางด้านซ้าย เป็นจุด Check in ครับ
ส่วนชั้นบน จะมีห้องพัก 3 ห้อง โดยจะมี 1 ห้องโถงใหญ่ และจะมี 2 ห้องนอน อยู่ภายในห้องโถงใหญ่นั้น ส่วนอีก 1 ห้อง จะเป็นห้องส่วนตัวที่อยู่แยกออกมาจากห้องโถงครับ
ภายในห้องโถงใหญ่จะมีมุมนั่งเล่นดูทีวี ที่ตกแต่งได้น่ารักมากๆ
นอกจากนี้ยังมีมุมสำหรับให้นั่งทานอาหารกันครับ
มีระเบียงให้ออกมานั่งเล่น ชมบรรยากาศรอบนอกห้องพักครับ
มองเห็นสระว่ายน้ำด้วยครับ
มาดูภายในห้องนอนบ้างครับ ภายในห้องนอนจะมีทั้งทีวี ตู้เย็น ให้พร้อม
ห้องน้ำกว้างขวางเลยทีเดียว
บรรยากาศช่วงค่ำครับ
ค่ำนี้รีบพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ผมวางแผนออกไปเก็บแสงแรกที่ปากประครับ
เช้าวันใหม่ ผมออกเดินทางตั้งแต่ 05.00 น. เพื่อไปรอชมแสงแรกบริเวณสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ตรงปากคลองปากประครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/BoSPwnWaUD2KUeiFA ) จากที่พักใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที (11.5 กม.) นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมไปนั่งเรือ และชมแสงแรกตรงปากคลองปากประ บริเวณที่ตั้งของยอยักษ์ แต่เนื่องจากผมต้องการถ่ายภาพแสงแรกและเห็นมุมกว้างของยอยักษ์โดยใช้ขาตั้งกล้อง เลยจำเป็นต้องอยู่บนฝั่งครับ
วันนั้นท้องฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจสักเท่าไร เมฆค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังดีที่พอจะได้เห็นแสงสวยๆ อยู่บ้าง แต่ละช่วงเวลา ท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำ เริ่มทอแสงสีทองสาดส่องลงบนผิวน้ำของทะเลสาบสงขลาตอนบนจนเป็นสีทอง นี่ถ้าวันไหนฟ้าเปิด จนได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโต ความสวยตรงหน้า คงจะสวยขึ้นเพิ่มอีกหลายเท่าตัว
หลังจากชื่นชมความงามจนสมใจแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ สายคลองสองเล รีสอร์ท ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสะพานคอนกรีต เพื่อจะไปล่องเรือชมความงามของทะเลน้อยครับ ใครที่ต้องการจะไปชมความงามของทะเลสาบสงขลา และจุดท่องเที่ยวสำคัญ ไปจนถึงทะเลน้อย สามารถติดต่อเหมาเรือกับทางรีสอร์ทได้ (084 076 6251) ในราคา 1,000 บาท เรือลำหนึ่งนั่งได้ 6 คน ใช้เวลาล่องเรือทั้งสิ้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง ครับ
โดยเรือจะพาแวะที่ยอยักษ์เป็นจุดแรก จุดนี้เราจะได้สัมผัสกับยอยักษ์อย่างใกล้ชิด จากนั้นเรือจะพาไปชมต้นลำพูกลางน้ำเป็นจุดหมายต่อไป
และอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ เห็นจะเป็น “นาในเล” ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาของชุมชนบ้านปากประ นาในเลคือการปลูกข้าวในทะเลสาบสงขลา เป็นการแก้ปัญหาฝนไม่ตกตามฤดูกาล ซึ่งทำให้นาข้าวเสียหาย ชาวบ้านที่นี่จึงได้ทดลองหว่านข้าวในทะเลสาบซึ่งมีลักษณะเป็นดินโคลน ในแต่ละรอบปี น้ำทะเลจะลดระดับลงติดต่อกันประมาณ 4-5 เดือน (ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม) ซึ่งพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นข้าวพอดี จึงได้สืบทอดการทำนาในทะเลสาบสงขลามาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นก็ล่องเรือฝ่าสายฝนพรำๆ ไปเรื่อยๆ ชมวิถีชีวิตไปตลอดเส้นทาง
เรือพามาแวะที่เกาะกลางน้ำ สามารถขึ้นไปถ่ายรูปเล่นบนเกาะได้ครับ
จากนั้นล่องเรือต่อไปยังสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา หรือชาวบ้านที่นี่รู้จักกันดีในนาม สะพานเอกชัย สะพานแห่งนี้มีความยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร นับเป็นสะพานข้ามทะเลสาบที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยจุดเริ่มต้นจากทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ไปยัง อ.ระโนด จ.สงขลา ครับ
ติดกับสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ มองเห็นบ้านแฝดในตำนาน บ้านสองหลังนี้เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ที่นักถ่ายภาพนิยมมาเก็บภาพช่วงกลางคืน โดยมีฉากหลังเป็นทางช้างเผือกครับ
ระหว่างนั่งเรือ หากวันไหนโชคดี เราจะได้เห็นควายน้ำฝูงใหญ่ ซึ่งควายน้ำที่นี่ไม่ธรรมดานะครับ เพราะการเลี้ยงควายปลักแบบนี้เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ว่ากันว่ามีมานานกว่า 250 ปีแล้ว โดยควายน้ำที่นี่สามารถกินหญ้าได้ทั้งบนดินและใต้น้ำในช่วงน้ำท่วมสูง น้องๆ สามารถดำน้ำลงไปกินหญ้าได้นานถึงเกือบ 20 วินาทีเลย และที่สำคัญ ควายน้ำที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของไทยด้วยครับ
ระหว่างล่องเรือก็จะได้เห็นชาวบ้านออกหาปลาไปตลอดเส้นทาง แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลาครับ
เมื่อเข้าเขตทะเลน้อย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ต่อเนื่องกับทะเลสาบสงขลาตอนบน เราจะได้เห็นฝูงนกนานาชนิดเลยครับ เห็นว่ามีกว่า 287 ชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพมาจากที่อื่นตามฤดูกาล จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงได้ถูกยกให้เป็นสวรรค์ของนักดูนก โดยวันนั้นผมเองก็ได้เห็นนกหลายชนิดอยู่เหมือนกัน แต่ถ่ายภาพมาได้เพียง 4 ชนิดเท่านั้นครับ
ฝูงนกกาน้ำออกหาปลาเป็นอาหาร
นกพริก มาเป็นครอบครัวเลย นกชนิดนี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองนะครับ
นกอีโก้ง ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นกันครับ
นกยาง
และอีกหนึ่งไฮไลต์ ต้องขอยกให้ทะเลบัวแดง สีสันแห่งทะเลน้อย โดยดอกบัวจะเริ่มบานช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะจะได้เห็นดอกบัวสีแดงสด บานสะพรั่งเต็มท้องน้ำในบริเวณที่มีบัวชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่ถ้ามาหลังเที่ยงแล้ว ดอกบัวจะหุบ และแดดจะร้อนมากด้วยครับ
ถ้าใครไม่อยากนั่งเรือนานแบบผม อยากจะชมแค่ทะเลบัวแดง ก็สามารถเหมาเรือตรงท่าเรือทะเลน้อยได้เช่นกันครับ
หลังจากล่องเรือชมบัวแดงจนอิ่มเอมใจแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับสู่ท่าเรือ ระหว่างทางผ่านดงเสม็ด และได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านปากประไปตลอดสองฝั่งคลองครับ
กลับมาถึงที่พักฟาร์มสเตย์ ก็ขอเติมพลังด้วยอาหารเช้ากันก่อน หลังจากนั้นเราจะไปชมกิจกรรมต่างๆ ในฟาร์มกันครับ
ตรงจุดนี้มีทั้งกระต่าย ไก่ นก รวมถึงนกยูงสวยๆ ด้วยครับ
มีไก่หลากหลายสายพันธุ์เลย สวยและน่ารักมากๆ สามารถจับเล่นได้ครับ
มีคอกม้า ให้แขกได้นำหญ้ามาให้อาหารด้วย บางช่วงเวลาทางฟาร์มจะพาม้าออกมาวิ่งด้านหน้าฟาร์มสเตย์ด้วย
ฝูงห่านส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เวลาที่แขกเดินผ่าน
วัว เนื้อตัวสะอาดสะอ้านเลยครับ
กิจกรรมเก็บไข่ไก่นี่ บอกเลยว่าตื่นตาตื่นใจแขกมากๆ ไม่ได้มาแบบเอาไข่มาวางเก๋ๆ ให้แขกได้เก็บ แต่นี่เป็นไข่ที่ไก่เบ่งออกมาแบบมากมาย เห็นแล้วขนลุกเลยครับ นอกจากเก็บไข่แล้ว แขกยังสามารถให้อาหารไก่ได้ด้วยครับ
สุดท้ายที่ฟาร์มแกะ พอเดินเข้ามาในฟาร์ม เสียงแกะนี่ดังลั่นสนั่นฟาร์ม บางตัวที่ถูกปล่อยออกมาจากคอกก็เดินเข้ามาหาเพื่อขอกินหญ้า มีกรงเล็กๆ สำหรับลูกแกะ ให้แขกได้ป้อนนมลูกแกะด้วย แขกสนุกสนานกันใหญ่
ผมว่าปากคลองฟาร์มสเตย์ เป็นฟาร์มสเตย์แบบจริงจัง ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อหวังจะดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยนำสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดมาโชว์เพื่อสร้างกิจกรรม ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่อย่างผม รวมถึงแขกผู้ใหญ่ ต่างสนุกสนานกับกิจกรรมที่ทางฟาร์มสเตย์จัดไว้ให้ครับ สำหรับเรื่องที่พัก ก็โอเคเลย ตกแต่งน่ารัก บรรยากาศดี ราคาไม่แพง (ห้องที่ผมพักราคา 1,100 บาท พักได้ 2 คน ราคารวมอาหารเช้า) ให้ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวบ้านญาติเลยครับ ใครอยากจะมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ FB Fanpage : ปากคลองฟาร์มสเตย์ หรือที่เบอร์ 081 798 9786 ครับ
ทุกครั้งที่ผมเดินทางลงใต้ทางรถยนต์ ผมมองพัทลุงเป็นแค่ทางผ่านมาโดยตลอด แต่การที่ได้มาพัทลุงในครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่บอกเลยว่า เต็มเปี่ยมด้วยความประทับใจ ไว้มีโอกาสเหมาะๆ ผมจะมาทำความรู้จักให้มากกว่านี้ แล้วเจอกัน “พัทลุง”
สุดท้ายนี้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ขอบคุณครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.54 น.