อยากเดินทางแต่ไปไหนดี? อยากพักใจแบบสงบท่ามกลางธรรมชาติ คิดได้ดังนั้นก็ลองค้นหาทริปของประเทศต่างๆ จนได้มาเจอกับเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เมืองเล็กๆบนเกาะคิวชู ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เพียงแค่เห็นวิวทิวทัศน์ในอินเตอร์เน็ตก็ตกลงปักธงในใจเลย เอาล่ะเตรียมตัวเก็บกระเป๋าออกท่องเที่ยว แล้วก็พลางคิดว่าญี่ปุ่นฤดูฝนก็น่าสนุกไปอีกแบบนะ
DAY 1
เราจองเที่ยวบินขาไปกับ Air asia ซึ่งออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง เวลา 23.25 น. จะใช้เวลาเดินทางถึงฟุกุโอกะประมาณ 5.30 ชั่วโมง ระหว่างรอเช็คอิน เราก็มานั่งดูเครื่องบินรอเวลาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทาง fight กลางคืนแล้วถึงที่หมายช่วงเช้า แสงแดดเริ่มกระทบสายตา ก็อดตื่นเต้นกับวิวก้อนเมฆนอกหน้าต่างไม่ได้ พระอาทิตย์กำลังขึ้นสวยมากๆ (ตอนนี้เวลาประมาณตี 5 ของประเทศญี่ปุ่น แต่ตี 3 ของประเทศไทย แล้วก็ไม่ง่วงนะ55555)
ถึงสนามบินฟุกุโอกะเรียบร้อย เตรียมกรอกใบ ตม. (Disembarkation Card) แล้วก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ตม.กันเลยค่ะ ส่วนคำถามจากตม.ก็จะประมาณว่ามากี่วัน พักที่ไหน เที่ยวที่ไหนบ้าง (แต่น่ารักมากเลยพอคำถามสุดท้าย เจ้าหน้าที่เปิดสมุดที่มีคำถามภาษาไทยมาให้)
จากนั้นเดินลงมาด้านล่างเพื่อรับกระเป๋าและผ่านด่านศุลกากรค่ะ ซึ่งก็ต้องกรอกใบศุลกากรก่อนนะคะ (Customs Declaration) เมื่อผ่านศุลกากรออกมาก็เตรียมขึ้น Shuttle bus ทางออกที่ 1 เพื่อไปขึ้น subway เข้าตัวเมืองที่อาคาร Domestic terminal
ระหว่างยืนรอรถบัสข้างหน้าอาคาร International terminal วันที่เรามาอุณหภูมิประมาณ 23-24 องศาเซลเซียส อากาศเย็นสบายมากเลย^^
การกดบัตรโดยสาร subway เข้าเมือง Fukuoka
เมื่อถึงอาคาร Domestic terminal ก็เขาแถวกดซื้อตั๋วโดยสารเลยค่ะ โดยหน้าจอก็จะแสดงแบบนี้เลยค่ะ ให้เลือกภาษาก่อน กดเลยที่ English มุมบนขวานะคะ แล้วก็เลือกตั๋วแบบ 1 Day Pass ราคา 640 ¥/คน (เพราะว่าหากไปหลายสถานที่ ถือว่าคุ้มกว่ามากค่ะ แต่ตั๋วชนิดนี้จะใช้เดินทางกับ Subway ภายในตัวเมืองเท่านั้น) ถ้ามากันหลายคนก็เลือกจำนวนผู้โดยสารตรงปุ่มรูปคนด้านซ้ายได้เลยค่ะ
ใส่ธนบัตรหรือหยอดเหรียญเสร็จก็รอรับตั๋วกันเลยยย
หน้าตาของ 1 Day Pass ค่ะ ซึ่งตั๋วสามารถใช้ได้เพียง 1 วันตามวันที่เราซื้อและวันดังกล่าวจะระบุอยู่บนตั๋วนะคะ อย่างเช่นที่เราซื้อคือวันที่ 5 เดือน 6 ปี 2023 จากนั้นก็เดินมาที่เครื่อง อย่าลืมรับตั๋วกลับออกไปใช้ต่อด้วยนะคะ ขึ้น subway เข้าเมืองกันนน
อย่างแรกที่ไปคือไปเช็คอิน+เก็บกระเป๋าที่โรงแรมก่อนค่ะ พักสักหน่อยก็เตรียมหาข้าวเช้าทานก่อนออกเดินทางตามแผนที่เตรียมไว้ :)
เซ็ตข้าวหน้าหมูสไลด์พร้อมซุปร้อนๆ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย ดีต่อใจเหลือเกิน
Tochoji Temple
ทานข้าวเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปที่แรก ไหว้พระขอพรกันที่ Tochoji Temple ซึ่งเป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่ใจกลางเมืองอย่างในย่านฮากาตะ (Hakata)
บรรยากาศภายในวัดที่ทำให้จิตใจสงบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ แต่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
เจดีย์ 5 ชั้น (The Pagoda) ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างวิหารหลัก ต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นมากๆ
หอไม้โบราณทรงหกเหลี่ยม วิวทิวทัศน์ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมที่มีความเก่าแก่และความร่วมสมัย
Shofukuji Temple
เดินถัดไปอีกหน่อยก็ถึง Shofukuji Temple ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป บรรยากาศแบบนี้จึงทำให้เหมาะแก่การออกมาพักผ่อนหย่อนใจ
เมื่อเดินเข้าไปภายในวัด ค่อยๆละเลียดความงามของการออกแบบและการก่อสร้างในแบบศาสนาพุทธนิกายเซนของญี่ปุ่นด้วยวัสดุอย่างไม้เป็นองค์ประกอบ ภาพนี้แสดงประตูทางเข้าตัววัด ซึ่งอยู่ติดกับบ่อน้ำเล็กๆด้านหน้า เรียกว่า “Sanmon Gate”
ด้วยความที่วัดแห่งนี้มีต้นไม้ล้อมรอบเยอะ ความร่มรื่นก็มีมากตาม ดังนั้นในช่วงพักเที่ยงของการทำงาน ก็จะเห็นผู้คนวัยทำงานบางส่วนออกมานั่งพักและทานข้าวใต้ต้นไม้กันค่ะ สูดอากาศแล้วพร้อมลุยงานต่อกันช่วงบ่าย :)
ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะทักทายน้องแมวที่นอนเล่นอยู่แถวๆบริเวณหน้าวัด ^^
Kushida Shrine
เพื่อความเป็นศิริมงคล เราก็มาขอพรกันต่อที่ศาลเจ้า Kushida ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่ถึงประมาณ 1,200 ปีเลยล่ะค่ะ และที่สำคัญตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองอย่าง Hakata อีกด้วย
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น หากได้ลูบบริเวณหัวและเขาของวัว จะประสบความสำเร็จในด้านการเรียนและจะมีแต่สิ่งที่ดีๆนะคะ
ผู้คนต่างหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนพากันมาเคารพและขอพรเทพเจ้าที่นี่ค่ะ ถ้าใครได้มาฟุกุโอกะแล้วก็สามารถแวะมาขอพรกันที่นี่ได้นะ
นอกจากนี้ศาลเจ้า Kushida ยังเป็นศูนย์รวมการจัดงานเทศกาลสำคัญๆของเมืองฟุกุโอกะอีกด้วย
Yamakasa ขนาดใหญ่ ซึ่งจะนำมาใช้ในเทศกาล Hakata Gion Yamakasa ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี เพื่อให้ผู้คนมาขอพรเทพเจ้าให้มีความสงบสุขค่ะ
ถ้าอยากเขียนขอพรก็สามารถไปซื้อแผ่นไม้ได้ที่ซุ้มร้านค้าข้างๆวิหารหลักนะคะ
เมื่อเดินออกมาจากศาลเจ้าแล้ว ถนนฝั่งตรงข้ามมีร้านขายของฝากเล็กๆตั้งอยู่ ขนมและของเครื่องใช้ต่างๆจัดเรียงมากมาย ยืนแวะเลือกซื้อสักพัก ได้ของฝากหลายชิ้นเลยล่ะค่ะ
ไม่พลาด! ที่จะเก็บภาพกับมุม signature ของประเทศญี่ปุ่น นั่นคือมุมตู้กดเครื่องดื่มนี่เองงงง เวลาเหนื่อยๆ ถ้าเห็นตู้นี้แล้วชื่นใจทันที เพราะมีเครื่องดื่มดับความกระหายได้แล้ว สะดวกมากๆทุกคน หากระหว่างทางไม่มีร้านสะดวกซื้อ ตู้กดเครื่องดื่มนี่แหละตอบโจทย์สุดๆ :)
ไหนๆก็อยากทานน้ำกับขนม เราก็ไปร้านกาแฟกันเถอะ นั่ง metro แล้วเดินต่ออีกนิด ถึงแล้วกับร้าน Carbon Coffee ซึ่งเป็นร้านที่เราติดตามในไอจีแล้วอยากมาทานให้ได้!
ร้านน่ารักมากๆ กาแฟรสชาติดี ขนมก็อร่อย แถมยังมีงาน handmade เล็กๆน่ารักๆให้เราได้ซื้อเป็นของที่ระลึกด้วยนะ :) ทุกคนสามารถอ่านรีวิวร้านกาแฟในฟุกุโอกะได้ที่นี่เลยๆ https://th.readme.me/p/45557
ย่านนี้เรียกว่าย่าน “Daimyo” ซึ่งเป็นแหล่งร้านขายเสื้อผ้าชิคๆน่ารักๆมากมาย รวมไปถึงร้านกาแฟและคาเฟ่หลายๆร้านก็ตั้งอยู่ในย่านนี้เช่นกัน
เดินไปเรื่อยๆสำรวจร้านนั้นร้านนี้ แล้วก็มาเจอกับร้านไก่ทอด “Nene chicken” ชิมๆไก่ทอดสักหน่อย เราชอบความตู้กดของญี่ปุ่นมากเลย เจอตั้งแต่ตู้กดเครื่องดื่มไปจนถึงตู้กดบัตรสั่งอาหาร เป็น signature ที่น่ารักดีนะ
แท๊นนน! ไก่ทอดร้อนๆหอมๆน่าทานมากกก อร่อยด้วยค่ะทุกคน คุณพนักงานก็น่ารัก ยิ้มแย้มให้กัน :)
Momochi Seaside park
ทานไก่เสร็จแล้วเราก็จะออกเดินทางไปที่ Momochi Seaside Park กัน! เพราะอยากพักผ่อน นั่งรับลมทะเลที่ญี่ปุ่นให้ใจได้สงบ^^ ซึ่งเราก็ต้องนั่ง metro ไปลง Nishijin station ตอนที่เราเดินทางคือประมาณสี่โมงเย็น ภายในสถานี metro ผู้คนจึงไม่เยอะเกิน นี่เป็นอีกเหตุผลนึงเลยที่เราชอบ Fukuoka เพราะว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบ ไม่ค่อยวุ่นวายมาก เหมาะกับการมาพักผ่อนและปล่อยความเหนื่อยล้าให้หายไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อขึ้นจากสถานีมาแล้ว นี่เลย!ถนนสี่แยก ทางม้าลายชัดเจนมาก แต่เราจะไม่ข้าม เราต้องเลี้ยวขวานะทุกคน5555
เดินเรื่อยๆประมาณ 1 .6 km ก็จะถึงชายหาดค่ะ วิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มของต้นไม้สลับกับตึกรามบ้านช่อง ร่มรื่นมากๆเลย
ถึงแล้ววว Momochi beach อากาศดีมาก ลมเย็นๆพัดผ่านพร้อมกับเสียงดนตรีจากร้านอาหารทางด้านล่าง mood ดีสุดๆค่ะ <3 ผู้คนต่างพากันออกมาพักผ่อน บ้างก็พาน้องหมามาวิ่งเล่น บ้างก็วิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยานชิลๆ เดินตามชายหาด ทานอาหาร ถ่ายรูปเล่นกันบ้าง บรรยากาศที่ควรค่าแก่การมาหย่อนใจ
แวะชิมไอศกรีมสักนิดนึง ชิมไปเดินเล่นไปก็ดีเหมือนกันนะ :D ยกให้เป็นอีกวันนึงที่มีความสุขกับปัจจุบัน ให้ร่างกายได้ชาร์จแบต ให้ความเครียดต่างๆพัดไปกับสายลมและคลื่นของทะเล :)
ขอเอาภาพบรรยากาศที่ชายหาดมาฝากค่ะ นั่งเล่นอีกหน่อย ก่อนจะเตรียมกลับที่พักแล้วก็หามื้อเย็นทานกัน
Canal City Hakata
หลังจากแวะเก็บของ เราก็ลงไปหาอะไรทานกัน! ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดมากขึ้น แสงไฟส่องสว่างยามค่ำคืนช่างงดงามจริงๆ
ระหว่างทางที่เราจะไปห้าง Canal City Hakata เจอร้านอาหารริมทางที่เรียกว่า “Yatai (ยะไต)” ซึ่งได้รับความนิยมมากๆใน Fukuoka (จริงๆแอบเสียดายที่ไม่ได้นั่งชิม เพราะว่าคนต่อแถวค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว)
ถึงแล้ววว Canal City Hakata อยากลองมาเพราะร้าน Muji น่าสนใจอ่ะ ส่องๆราคาหน่อยจะถูกกว่าที่ไทยรึเปล่า ปรากฎว่าถูกกว่าจริง เลยได้เสื้อยืดมาในราคา 179 บาทค่ะ จะบอกว่าช่วงที่ไป ทางร้านจัดโปรโมชั่นลดราคาด้วย :)
ทางห้างมีจัดแสดงโชว์แสงไฟกับน้ำพุด้วยค่ะ สวยมากเลย ถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักนิด
ส่วนอันนี้เป็นวิดีโอที่ฉายไปบนผนังอีกด้านหนึ่งของห้าง สวยไม่แพ้กันเลย :)
Hakata Issou Gion (博多一双 祗園店)
สรุปมื้อเย็นกว่าจะทานกันคือประมาณสามทุ่ม ซึ่งเป็นร้านราเมงใกล้ที่พักอย่าง Hakata Issuo Gion ขอบอกเลยว่าประทับใจมากๆค่ะ พนักงานน่ารักทุกคนจริงๆ ด้วยความตู้กดบัตรสั่งอาหารมีเฉพาะภาษาญี่ปุ่นไม่มีภาพประกอบ ทางร้านก็ใส่ใจหยิบแฟ้มเมนูที่เป็นภาพมาให้ดูด้วยค่ะ
ข้าวหน้าหมูพร้อมไข่ต้ม อร่อยมากๆเลย ลงตัวกับรสชาติของพริกที่คลุกกับมายองเนส
อีกชามคือราเมงที่เป็นเมนูแนะนำของทางร้าน ชามนี้ราคา 1,000 เยน (~240 บาท) ชามใหญ่มากๆ อิ่ม คุ้มกับราคาและคุณภาพ เส้นนิ่มและหอมน้ำซุปแบบจริงใจ เพราะทางร้านลวกเส้นกันให้เห็นเลย เนื่องจากเป็นบาร์กั้นครัวกับโต๊ะอาหาร
ขอสั่งอีกหนึ่งเมนู นั่นก็คือเกี๊ยวซ่าาา คุณพนักงานน่ารักอีกแล้ว คอยสังเกตกับพยายามสื่อสารกับเราว่าจะเอากี่ชิ้น น่ารักมากเลย เกี๊ยวซ่าที่นี่หอมและมีความชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูที่เป็นไส้อยู่ข้างในมาก ถือได้ว่าเป็นร้านราเมง local ที่ดีอีกร้านนึงเลย เพราะผู้คนเข้ามาทานกันเรื่อยๆหลังเลิกงาน
ก่อนกลับที่พักก็ขอซื้อน้ำและขนมเล็กๆน้อยๆที่ Lawson สักหน่อย เพราะช็อคโกแลตอร่อยจริงๆค่ะ มีให้เลือกมากมายเลย จบแล้วกับ Day 1 ประทับใจทุกสถานที่ที่ได้ไป :))))
Journey with Me
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 23.33 น.