Bipenggou ( อ่านว่า ปี้-เผิง-โกว )
หุบเขาหิมะที่ซ่อนตัวอยู่ในฝั่งตะวันตกของเมืองเฉิงตู ประเทศจีน เป็นอุทยานที่การันตีด้วยความสวยระดับ AAAA สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู เพราะสวยกันคนละแบบ ยอดเขาที่นี่วิวสวยมาก หิมะปกคลุมทั้งปี แถมฟีลดีเหมือนยุโรป! 




หนีห่าวววววววว

ทริปแรกของเรา
หลังจากพี่จีนเค้าเปิดประเทศ
ทริปนี้เราไปเที่ยวกับครอบครัว
ใน 2 เมืองคือ
ฉงชิ่งและเฉิงตู


เดินทางช่วงไหน : ปลายเดือนตุลาคม 2566 
อากาศเป็นยังไง : กำลังเย็นสบ๊าย
ในเมืองอาจจะเจอฝนเล็กน้อย ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
บนเขาหนาวมากและมีหิมะตกด้วยค่ะ
ค่าวีซ่าเท่าไหร่
: 1,000 บาท รอเล่ม 3-4 วัน
ค่าเงินหยวน
: คิดง่ายๆ x 5บาท 
อัพเดทตอนนี้ที่จีนกำลังจะเป็น Cashless Society ใช้เงินสดได้แต่บางร้านจะไม่มีทอน ถ้าใครสมัครแอพ Alipay ไว้ก็สะดวกดีค่ะ สแกนจ่ายได้ทุกอย่างเลย

* รีวิวเที่ยวในเมืองจะขอเขียนแยกกันนะคะ *


Chengdu , China
เราเดินทางกับ Airasia บินตรงมาลงที่ฉงชิ่ง 
แล้วนั่งรถไฟข้ามเมืองมาที่เฉิงตูค่ะ เพราะอยากเที่ยวหลายที่ แต่ถ้าใครอยากบินตรงมาเลยก็ได้ ไฟล์ทแค่ 3 ชม.แปปเดียวก็ถึงเฉิงตูแล้วค่าาา 

ก่อนเดินทางเราหารีวิวเยอะมากเพราะไม่เคยเที่ยวที่นี่มาก่อน แล้วบังเอิญไปเจอรูปวิวภูเขาหิมะ แล้วชอบมากๆๆๆๆ อยากพาคุณแม่ไปด้วย แต่ข้อมูลยังน้อยมากค่ะ คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก เลยให้เพื่อนคนจีนช่วยหาข้อมูลเพิ่มด้วย ทุกคนจะรู้จักจิ่วจ้ายโกว แต่พอเทียบระยะทางค่อนข้างไกล ( ต้องนั่งรถไปนานถึง 9 ชม. OMG! ) เราเลยเลือกปักหมุดไปที่ " ปี้เผิงโกว " กัน 

การเดินทาง : รถยนต์
ระยะเวลา : ขับจากตัวเมืองเฉิงตู 3-4 ชั่วโมง
วิธีเดินทาง
( 1. ) เหมารถยนต์ส่วนตัว + คนขับ 
วิธีนี้สะดวกดีค่ะ 
เค้าจะมารับถึงหน้าโรงแรมเลย
และนัดเวลารับส่งได้เอง
ราคาที่เราเจอประมาณ
1200-1400 หยวน / วัน / คัน 
( รวมค่าเติมน้ำมัน + ค่าทางด่วนแล้ว )
น่าจะเป็นTaxi หารได้มากสุดคือ 4 คนค่ะ
ส่วนตั๋วค่าเข้าชมต่างๆต้องซื้อแยกเอง

( 2. ) ซื้อทัวร์ One day trip
เพื่อนคนจีนเราแนะนำวิธีนี้
และช่วยจองทัวร์ให้ค่ะ
เราจะต้องไป join group กับคนอื่นๆ
เป็นรถบัสคันใหญ่ เค้าจะแจ้งจุดนัดพบ
แล้วเราต้องนั่งแท็กซี่ไปเองจากโรงแรม
ราคาประมาณ 300-400 หยวน/คน 
ข้อดีคือ ราคานี้รวมทุกอย่างมาให้แล้ว
ทั้งค่าตั๋วเข้าชมและรถบัสในอุทธยาน
มีประกันเดินทางให้ด้วย มีไกด์ 1 คน/คัน
เราเลยเลือกวิธีนี้กันนนนนน
เมื่อจองและหาข้อมูลทุกอย่างแล้ว
ก็พร้อมลุยค่าาาา


28 ตุลาคม 2566

  • 06.00 น.
    คือเวลาที่ไกด์นัดพวกเราไว้ค่ะ 
    เช้ามากกกกก ฟ้ายังมืดอยู่เลย
    เราแวะซื้อขนมกินเล่นที่ร้าน
    LAWSON ก่อนจะเรียกแท็กซี่
    แนะนำให้ตุนขนมเยอะๆเลย
    เพราะระหว่างทางไม่มีร้านสะดวกซื้อแล้ว

รถทัวร์คันใหญ่ ที่นั่งค่อนข้างสบายค่ะ 
กรุ๊ปเรามีประมาณ 27 คน ใครถึงก่อนก็ขึ้นมานั่งรอบนรถได้เลย


** สำหรับผู้หญิง ** 
ให้รีบไปเข้าห้องน้ำก่อนเดินทางนะคะ ขอย้ำเรื่องนี้ 
เพราะระหว่างทางรถจะแวะพัก 1 ครั้ง แล้วเราจะเจอกับห้องน้ำจีนในตำนานค่า 55555 เตือนแล้วนะคะ หรือใครอยากเปิดประสบการณ์ก็ได้เล่ย อิอิ
บนรถไกด์ก็จะเล่าแพลนคร่าวๆให้ฟัง แล้วก็ปล่อยให้หลับค่ะ หลับยาวววววว
เราตื่นมาอีกทีก็จุดพักรถเลย วิวข้างทางก็จะประมาณนี้

  • 11.00 น. 
    เวลาคร่าวๆที่เรามาถึงหน้าอุทธยาน
    มาถึงแล้วรถติดตั้งแต่ทางเข้าเลยค่ะ
    คนจีนเองก็มาเที่ยวที่นี่เยอะเลย
    ไกด์จะส่งเราด้านหน้า
    สามารถเที่ยวได้เองทั้งวัน
    แล้วกลับมาเจอกันที่รถตอนสี่โมงเย็น
    แต่ #ทริปนี้มีเรื่องเล่า
    อีกแล้วค่าาาาา 5555
    ต้องได้ตื่นเต้น ต้องใช้แต้มบุญอีกแล้ว 
    สำหรับคนจีน สามารถใช้
    บัตรประชาชนสแกนซื้อตั๋วง่ายมาก
    แต่สำหรับต่างชาติต้องใช้พาสปอร์ต
    และยืนยันตัวตนก่อนนนนนน
    ซึ่งค่อนข้างละเอียดหลายขั้นตอน
    แล้วไกด์พึ่งเจอปัญหาหน้างาน
    ว่าครอบครัวเรามีตั๋วตกหล่น 2 ใบ ! ! ! 
    ทำให้ต้องไปติดต่อหน้าเคาเตอร์
    ( เพื่อนคนอื่นในกรุ้ปเริ่มเที่ยวไปแล้ว )
    แต่เราต้องเสียเวลาทำเรื่องซื้อตั๋วใหม่
    ตอนนั้นเซ็งมาก เพราะรอไปเกือบชั่วโมง
    เจ้าหน้าที่หาสาเหตุไม่ได้
    และไม่ค่อยสนใจเคสเรา
    แต่สุดท้ายก็ใช้แต้มบุญหมดเกลี้ยง
    ได้ตั๋วมาครบทุกอย่างผ่านไปด้วยดีค่ะ 



สำหรับใครที่มาเอง ไม่ได้ซื้อทัวร์
ราคาตั๋ว และ รถบัสบริการตามจุดต่างๆเช็คตามภาพด้านบนได้เลยค่ะ
แต่เรามากับทัวร์เค้าก็จะรวมทุกอย่างมาให้แล้ว :)



พอเราได้ตั๋วแล้ว
ก็นำมาสแกนเข้าอุทธยานได้เลย
แต่อย่างที่บอกค่ะ ยิ่งสาย
คนจะยิ่งเยอะมากๆๆๆๆ
แล้วทุกคนต้องมาต่อแถวขึ้นรถบัสกัน
สภาพก็จะเบียดๆกันประมาณนี้


อุทธยาน Bipenggou
อันกว้างงงงงใหญ่ไพศาล

ด้านในมีโรงแรมไว้บริการด้วยนะคะ เผื่อใครอยากหาข้อมูลเพิ่ม ลองเสิชชื่อ โรงแรม Namu Lake Hot Spring Resort

สำหรับ ONE DAY TRIP
เราขอแนะนำให้เที่ยวตามนี้ค่ะ

สถานีที่รถบัสจอดแบ่งคร่าวๆ
ออกเป็น 3 จุดตามรูปด้านบน
เราแปลให้คร่าวๆ
เซฟรูปเก็บไว้ใช้ได้
เลยค่ะ 


จุดที่ ( 1. ) ทะเลสาบหลงหวัง 

รถบัสจะจอดให้ทุกคนลงที่นี่เป็นจุดแรก
วิวสวยเห็นภูเขาสีเขียว
และมียอดภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ
เราต้องต้องเดินอ้อมทะเลสาบนี้
เพื่อไปขึ้นรถบัสไปจุดที่ 2 ค่ะ 


- รอบๆจะมีต้นสนที่เปลี่ยน
เป็นสีส้มๆเหลืองๆ 
ได้ฟีล Autumn ถ่ายรูปสวยดีค่ะ

- ตอนแรกทุกคนจะตื่นเต้นกันมาก
และใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนาน
แต่เราขอแนะนำว่าข้างบน
สวยกว่านี้เยอะมากๆๆๆ
ถ่ายรูปจุดนี้แปปเดียวก็พอค่ะ
แล้วไปต่อกันนนน Let's go


    จากจุดที่ 1 เราจะนั่งรถบัส
    ที่ขับซิ่งและหวาดเสียวมาก
    ไปต่อจุดที่ 2  ใช้เวลาประมาณ
    20 นาทีค่ะ ระหว่างทางก็ดูวิวเพลินๆ
    ดมยาดมไปเรื่อยๆ
    ค่อยๆลุ้นว่าข้างบนจะสวยแค่ไหน 555
    บนรถมีถุงอ้วกไว้บริการด้วย
    ใครที่เมารถง่ายแนะนำให้กินยาแก้เมา
    กันไว้โลดดด อย่าประมาทนะคะ
    เพราะร่างกายเราต้องปรับตัว
    กับความสูงค่อนข้างเยอะ


    จุดที่ ( 2. ) จุดบริการ "ช่างห่ายจือ"

    จุดนี้ถือเป็นจุดพักรถที่ใหญ่ที่สุด
    เราขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว
    ที่นี่จะมีร้านขายของชำ
    และศูนย์อาหารไว้บริการค่ะ 
    เรามาถึงบ่ายๆเริ่มหิวกันแล้ว
    แต่พอลงรถจะพบว่าคนเยอะมากๆ
    ทุกอย่างคิวยาวมากกกก
    ที่นั่งแทบจะไม่พอ เราเลยตัดสินใจ
    เลือกซื้อมาม่าและชานมจากร้านชำ
    เพื่อกระชับเวลาจะได้เที่ยวกันต่อ 

    - ช่วงนี้ให้ลองสังเกตตัวเองนะคะ
    ว่ามีอาการแพ้ความสูงมั้ย
    เพราะแม่เราเริ่มมีอาการที่จุดนี้
    ออกซิเจนจะเริ่มเบาบาง
    ให้พยายามนั่งพักนิ่งๆ
    และซื้อออกซิเจนกระป๋องค่ะ 
    Item ที่สำคัญและจำเป็น
    ม๊ากกกกกมากกกกกกกกก
    ราคาในร้านชำที่นี่
    ประมาณ 35 หยวน

    พกติดตัวไว้เลย!


    ชานมยี่ห้อนี้นะคะทุกคนนนน ซื้อโลด
    รับประกันความอร่อย
    ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นเยอะเลย
    ในศูนย์อาหารชั้น1 
    จะมีตู้กดน้ำร้อนไว้บริการ
    สะดวกมากค่ะ



    ส่วนน้องคนนี้คือ
    ไอ้ต้าวออกซิเจนกระป๋องที่จำเป็นมากก
    แนะนำให้ซื้อ แล้วพกติดตัวไว้เลยค่า



    และไอ้ต้าวยาดม หงส์ไทย 
    ที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้อย่างหวุดหวิด
    ไม่ได้ tie in ไม่มีสปอนนะคะ 55555
    แต่จะบอกว่าของเค้าดีจริง แนะนำค่า
    สูดซักฟืดดด แล้วไปเที่ยวกันต่อ


    หลังจากจุดที่ 2  " ช่างห่ายจือ "
    ทุกคนสามารถเลือกได้ค่ะ ว่าอยากเดินตาม
    เส้นทางธรรมชาติไปเรื่อยๆ หรือจะใช้บริการ
    " รถไฟฟ้าคันเล็ก "
    Electric Sightseeing Car
    อันนี้เค้าไม่บังคับนะคะ แต่สำหรับพวกเรา
    ขอเลือกใช้รถค่า 555 พาแม่มาเที่ยว
    เราขอเน้นความสะดวกสบาย
    ค่าบริการแบบเหมา 60 หยวน
    อันนี้เราซื้อกับไกด์ แล้วจะได้ QR Code
    มาสแกนก่อนขึ้นรถค่ะ 


    หน้าตารถจะเป็นแบบนี้
    นั่งได้แถวละ 3 คน
    ** ถ้าอยากถ่ายรูปสวย **
    แนะนำให้นั่งหน้าสุดข้างๆคนขับรถนะคะ

    จุดที่ ( 3. ) 
    เยว่เลี่ยงวาน + เยี่ยนจึเหยียน 

    ส่วนตัวเราว่าจุดนี้สวยที่สุดและเป็นจุดไฮไลท์
    ของอุทยานค่ะ ถ่ายรูปสวยมากกกกกกกก
    แบบถ่ายมุมไหนก็สวยไปหมดเลย 

    -  จุดชมวิว : เยว่เลี่ยงวาน
    ตรงนี้จะเป็นทะเลสาบ
    ที่เห็นวิวภูเขาหิมะชัดและใกล้มากๆ
    ตอนเราไปโชคดีที่ใบไม้เปลี่ยนสีและไม่มีลมเลย
    ทำให้น้ำนิ่งมากกกก ถ่ายรูปได้เงาสะท้อน
    สวยสุดๆเลยค่ะ แล้วเดินเล่นต่อไป
    อีกนิดนึงก็จะเจอน้ำตกด้วย

    เราแนะนำให้ใช้เวลาจุดนี้นานๆได้เลย 
    เพราะถือว่าเป็นจุดไฮไลท์ !
    สวยฉ่ำาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
    สวยแพงงงงงงงงงงงงงงงง
    สวยแบบแอนโทเนียยยย โพซิลล 
    เพราะอยู่ในเอเชีย แต่ฟีลเหมือนยุโรป
    มีความลูกครึ่ง จึ้งใจ 5555555 


    จุดชมวิวสุดท้าย 
    ถือเป็นจุดสูงสุดของที่นี่ค่ะ

    - จุดชมวิว : เยี่ยนจึเหยียน 
    จุดนี้จะหนาวมากๆ อากาศเริ่มครึ้มแล้วค่ะ
    จะเห็นหิมะปกคลุมบริเวณรอบๆ
    ขอเดาว่าเมื่อคืนน่าจะมีหิมะตกมาบ้างแล้ว
    จุดนี้ไม่มีวิวทะเลสาบนะคะ แต่มีลำธาร
    ก็จะได้ฟีลหนาวๆถ่ายรูปกับหิมะ สวยไปอีกแบบ

    ถ้าโชคดีอาจจะเจอแพะภูเขา หรือกระรอก 
    มาวิ่งเล่นให้ถ่ายรูปค่ะ แต่น้องน่าจะกลัวคน
    ตอนเราไปไม่เจอนะคะ

    ระหว่างที่เราเดินเล่นถ่ายรูปกัน 
    จากฟ้าที่เคยมีแสงแดด ก็ค่อยๆครึ้ม
    อากาศหนาวมาก จนต้องหยิบถุงมือมาใส่
    แล้วหิมะก็ค่อยๆตกลงมาค่ะ สวยมากเลย


    • 15.30 น.  โดยประมาณ
      ไกด์เริ่มทักข้อความหาทุกคนในกรุ๊ป
      ย้ำเวลาอีกรอบค่ะ 
      ว่าให้กลับมา
      ที่จุดนัดพบตรงทางเข้าให้ทัน
      ขากลับเราก็ไม่ได้แวะที่ไหน
      นั่งรถไฟฟ้าลงมายาวๆเลย

      แล้วก็เปลี่ยนมานั่งรถบัสคันใหญ่
      ย้อนกลับมาที่ทางเข้าหลัก
    • 16.30 น.  ทุกคนกลับมาที่รถ
      เตรียมตัวเดินทางกลับกันค่า 
      แต่ไกด์น่ารัก บอกว่ายังพอมีเวลา
      ระหว่างทางมีของแถมให้
      โดยจะพาแวะหมู่บ้านชาวธิเบต
      ประมาณ 20 นาทีค่ะ เอร้ยยย
      จุดนี้ใครรอบนรถก็ได้นะคะ
      ไม่ได้บังคับ แต่เราลงค่าาาาาา
      มาทั้งทีก็ไปเดินเล่นเก็บให้ครบเลย 

    ที่นี่เป็นจุดบริการนักท่องเที่ยว
    มีตลาด มีชาวบ้านเอาของมาขายข้างทาง 
    ใครอยากลองชิมแอปเปิ้ล ก็ซื้อสดๆที่นี่ได้
    แล้วก็มีบริการเช่าชุดของชนพื้นเมืองด้วยค่ะ 
    น่ารักมากกกก คนจีนมาถ่ายกันเยอะเลย
    มีมุมที่เป็นสถูป กับกงล้อมนตราด้วย สวยๆๆ

    เป็นการปิดท้ายของทัวร์วันนี้ได้ดีเลย :)



    คำแนะนำเล็กๆน้อยๆ ส่งท้ายทริปนี้ค่า


    • เตรียมตัวให้ดีก่อนเดินทาง
    • เตรียมความฟิต 
    • เตรียมร่างกายให้แข็งแรง
    • ออกซิเจนกระป๋อง สำคัญมากๆๆๆ ** 
    • ระวังอาการแพ้ความสูง
      ( AMS : Acute mountain sickness )
      ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัว
      ให้เข้ากับสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำได้
      ทำให้เกิดอาการจากการขาดออกซิเจน
      อาการเบื้องต้น ได้แก่
      ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้
      อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร 




    STORY FROM SOMEWHERE
    เราตั้งใจเก็บพื้นที่นี้ไว้เป็นเหมือนไดอารี่
    เพื่อบอกเล่าและแชร์การเดินทางให้กับทุกๆคน 

    ขอบคุณที่อ่านรีวิวมาจนถึงข้อความนี้
    และหวังว่าทุกคนจะชอบเรื่องเล่า
    จากภูเขาหิมะครั้งนี้ค่า
    ทริปหน้าลองไปเที่ยวจีนกัน !

    story from somewhere.

     วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 19.34 น.

    ความคิดเห็น