หากถามว่า “นนทบุรี” มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนบ้าง หลายคนอาจจะยังนึกไม่ออก เหตุเพราะคิดว่าจังหวัดปริมณฑลคงไม่มีอะไรน่าสนใจ จริงอยู่ที่ที่นี่ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แต่บอกเลยว่านนทบุรียังมีสถานที่เด็ดๆ ซ่อนอยู่อีกมาก อยากรู้ว่านนทบุรีมีดีอะไร ตามผมไปเที่ยวกันครับ
ขอเริ่มที่วัดบางไผ่ ในเขตอำเภอบางบัวทอง (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/w8s2GZ7PJ1ZRDrnx6 ) วัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แต่ปัจจุบันได้มีการสร้างพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ เสียดายที่วันที่ผมไป พระอุโบสถปิดครับ เห็นว่าด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลศรีสุโขทัย หรือหลวงพ่อทอง ซึ่งเป็นพระประธานปางมารวิชัย องค์พระเป็นเนื้อทองคำ
นอกจากกำแพงที่คล้ายป้อมปราการของทหารแล้ว ยังมีการสร้างหอพระไตรปิฎกกลางน้ำทรงจัตุรมุข สำหรับเก็บหนังสือพระไตรปิฎกและเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลองด้วย
ภายในวัดมีถาวรวัตถุอีกหนึ่งสิ่งที่ดูคุ้นตามากๆ นั่นคือโรงเรียนพระปริยัติธรรมรูปแบบทรงไทย ที่ดูยังงั้ยยังไงก็เหมือนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตัวอาคารจะเป็นตึก 3 ชั้น จะเรียกว่าแฝดคนละฝาก็คงไม่ผิดนัก
อีกหนึ่งจุดเด่นของวัดบางไผ่ เห็นจะเป็นบริเวณกำแพง ที่มีการสร้างเลียนแบบป้อมปราการของทหารครับ
ไปต่อที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AyrqxLx8sWd5fQkc6 ) หรือที่ชาวนนท์รู้จักกันดีในนามวัดเล่งเน่ยยี่ 2 วัดสวยแห่งอำเภอบางบัวทอง ที่มีการก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมจีน ผสมผสานกับพุทธศิลป์ไทย ที่ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 12 ปี เดิมวัดแห่งนี้เป็นเพียงโรงเจขนาดเล็ก ต่อมาคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ได้คิดจัดสร้างวัดขึ้นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้พุทธบริษัทชาวไทยและชาวจีนได้ร่วมบุญกันจัดสร้างวัดแห่งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เนื่องในวโรกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีครับ
สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ภายในวัด จะตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมจีนโดยใช้พุทธศิลป์ในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง และมีการวางผังตามแบบวัดพระพุทธศาสนานิกายฌานครับ สำหรับจุดที่น่าสนใจในวัดมีหลายจุดเลย เริ่มต้นที่ด้านหน้าวัด จะพบวิหารท้าวจตุโลกบาล โดยมีบันไดหินที่มีภาพสลักมังกรที่สลักอยู่บนหิน ดูอ่อนช้อยสวยงามมากๆ ครับ
ด้านในวิหารท้าวจตุโลกบาลประดิษฐานรูปเคารพของพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ รวมทั้งองค์ทวยเทพที่สำคัญของนิกายมหายานหลายองค์ อาทิ พระศรีอริยเมตไตรย ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ทิศครับ
หนึ่งในทวยเทพที่สำคัญ คือเทพเจ้าไท่ส่วยเอี๊ยะ หรือเทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตาชีวิต ที่คนไทยเชื้อสายจีน รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาในองค์ทวยเทพนิยมมากราบไหว้ขอพร เสริมดวงและแก้ปีชง เพื่อความเป็นสิริมงคล และให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ปีครับ
เดินถัดขึ้นมา จะพบอาคารทรงจีนหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระพุทธเจ้าสามพระองค์ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (องค์กลาง) พระอมิตาภะพุทธเจ้า พยากรณ์ว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต (องค์ซ้าย) และพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าในอดีตกาล (องค์ขวา) เป็นพระประธาน พร้อมทั้งรูปปั้นอรหันต์ทั้ง 18 พระองค์อยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาครับ
นอกจากความงดงามที่ดูอร่ามตาของพระพุทธเจ้าสามพระองค์แล้ว ด้านในวิหารยังมีภาพเขียนสีพุทธศิลป์แบบจีน โดยใช้สีน้ำเงิน แดง และทองเป็นหลัก ดูงดงามส่งเสริมกันเป็นอย่างมากครับ
ถัดจากพระอุโบสถจะเป็นวิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ครับ
ด้านในวิหารประดิษฐานเทวรูปเจ้าแม่กวนอิมปางเนตรพันกร ที่ถูกแกะสลักจากไม้หอมต้นเดียว ส่งตรงจากประเทศจีนเลย องค์เจ้าแม่กวนอิมมีความอ่อนช้อยงดงามมากๆ ครับ
เดินขึ้นมาชั้น 2 จะเห็นมุมนี้ สวยงามเลยครับ เดินเพลินๆ ก็ทำให้นึกว่าได้มาเที่ยวเมืองจีนเลยครับ
บนชั้นสองเป็นที่ตั้งของวิหารสุขาวดีหมื่นพุทธ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอมิตาภะพุทธเจ้า องค์ประธานพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และบริเวณฝาผนังยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าหมื่นองค์ ที่สื่อถึงความหมายว่า พระพุทธเจ้านั้นได้เกิดขึ้นจำนวนมากมาย เหมือนดั่งเม็ดทรายที่อยู่ในมหาสมุทรครับ
ต้องยอมรับถึงความยิ่งใหญ่และงดงามของวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์เป็นอย่างมาก มาไหว้พระขอพรที่นี่ ได้ฟิลเหมือนมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่งเลยครับ วัดแห่งนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 06.00 น.-16.30 น. ของทุกวัน บริเวณลานจอดรถ จะมีเต็นท์อำนวยการ โดยทางวัดได้จัดเตรียมถุงผ้าใส่รองเท้า ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้นำรองเท้าใส่ไว้ในถุงและหิ้วติดตัวไปด้วย เพื่อป้องกันรองเท้าสูญหาย รวมถึงมีกระโปรง สำหรับผู้ที่แต่งกายไม่เรียบร้อยไว้ให้พร้อมครับ
ไม่ต้องไปไกลถึงทะเลก็เที่ยวเกาะได้ นั่งเรือยนต์ข้ามฟากเพียงแค่อึดใจก็ถึงเกาะเกร็ด เกาะเล็กๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตอำเภอปากเกร็ด ชุมชนบนเกาะเกร็ดมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชาวพุทธ มุสลิม และชาวมอญ มาเที่ยวบนเกาะเกร็ดเราจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ได้เห็นกระบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาลายวิจิตร ซึ่งถือเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่สืบถอดมาจากบรรพบุรุษเชื้อสายมอญที่อาศัยอยู่บนเกาะเกร็ด เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดไม่เคลือบ เมื่อเผาสุกแล้วจะได้สีส้มอ่อนจนถึงสีอมแดง และจะมีการสร้างลวดลายที่มีเอกลักษณ์ด้วยการขีด การฉลุลายโปร่ง และการกดเพื่อให้เกิดความนูนของเนื้อดิน ปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากเครื่องปั้นดินเผาลดน้อยลง การสร้างสรรค์งานเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ดจึงหันมาทำเพื่อเป็นของประดับตกแต่งหรือของสะสม แทนการใช้งานจริงครับ
นอกจากนี้ในช่วงวันหยุด จะมีร้านขายขนมไทย ข้าวแช่ ทอดมันหน่อกะลา ดอกไม้ทอด ให้เลือกช้อปเลือกชิมมากมาย
ปิดท้ายด้วยการไหว้พระขอพรที่วัดปรมัยยิกาวาส วัดโบราณศูนย์รวมจิตใจของชาวเกาะเกร็ด ที่มีพระเจดีย์มุเตาเอียงตั้งอยู่บริเวณหัวแหลมของเกาะ จนกลายเป็น Gimmick ของเกาะเกร็ดไปแล้ว
หากใครมีเวลา ลองนั่งเรือเที่ยวชมบรรยากาศโดยรอบของเกาะเกร็ดดูนะครับ บรรยากาศชิลมาก เราจะได้เห็นพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ปางมารวิชัย อยู่บริเวณท่าน้ำวัดบางจาก นอกจากนั้นเรือจะพาลัดเลาะไปตามลำคลอง พาชมบ้านขนมไทยด้วย การท่องเที่ยวทางเรือแบบนี้ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเที่ยวเกาะเกร็ดครับ
เกาะเกร็ดจะมีชีวิตชีวามากๆ ในช่วงวันหยุด หากใครอยากจะชิมอาหารพื้นบ้าน ขนมไทยที่หาทานได้ยาก แนะนำให้มาเที่ยวในวันหยุดเสาร์อาทิตย์นะครับ
อิตาลีเขามีหอเอนเมืองปิซา ไทยเราเองก็มี “พระปรางค์เอนเมืองนนท์” แห่งวัดปรางค์หลวง (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/S8V7fM6eJwAEptgw6 ) ในอำเภอบางใหญ่ วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของนนทบุรี ที่มีอายุกว่า 650 ปี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทอง ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
มาที่วัดปรางค์หลวงแล้ว ต้องมากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 9 คืบ องค์พระผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาหลายยุคสมัย จนพุทธลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยในยุคสมัยสุดท้าย บริเวณสังฆาฏิจะอยู่ตรงกลางลำตัว แบ่งส่วนซ้ายขวาเท่ากันในลักษณะสมมาตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงมีเค้าร่องรอยของพระพุทธรูปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีพุทธลักษณะงดงาม ตัวพระอุโบสถได้ถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่ ผมคาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในตำแหน่งเดิม เพราะบริเวณโดยรอบของพระอุโบสถใหม่ยังมีใบเสมาอยู่ภายในเขตกำแพงแก้ว ปักอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ รอบพระอุโบสถ ใบเสมามีขนาดใหญ่ทำจากหินชนวน ไม่มีลวดลาย ปักลงบนดินรายรอบพระอุโบสถ เป็นใบเสมาสมัยอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันเหลือใบเสมาที่มีสภาพสมบูรณ์เหลือเพียง 1 ใบ ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถครับ
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของวัดปรางค์หลวงเห็นจะเป็นองค์พระปรางค์เก่า ศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น อายุกว่า 600 ปี ตัวฐานเป็นอิฐ ก่ออิฐสอดิน ยอดเจ็ดชั้นย่อมุมไม้ยี่สิบ ประดับลายปูนปั้น เรือนธาตุมีซุ้มจรนำทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้นลงรักปิดทอง องค์พระปรางค์เกิดการเอนอันเนื่องมาจากดินทรุด แต่ก็ยังยื้อยุดอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ พระวิหารน้อย 2 หลังที่ตั้งอยู่ด้านหลังขององค์พระปรางค์ โดยพระวิหารน้อยเป็นอาคารขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาคารหลังเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า และหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีมุขยื่นคล้ายระเบียง วิหารทั้ง 2 จะมีประตูเข้าเพียงทางเดียว ใช้ระบบผนังรองรับเครื่องบน ไม่มีคาน ไม่มีเสา หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา เป็นพระวิหารที่หาดูได้ยากแล้วครับ
จากนั้นไปต่อที่วัดตะเคียน ในอำเภอบางกรวย (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/vbWpMzNiq2wFjSnm9 ) อีกหนึ่งวัดเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2335 ที่นี่ได้รับความนิยมจากประชาชนในเรื่องของการลอดโบสถ์เพื่อสะเดาะเคราะห์ ถือเป็นวัดแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการลอดโบสถ์ โดยสร้างหัวเสือและหัวมังกรให้เป็นประตูเข้าออกครับ
นอกจากนี้ยังมีการนอนโลงศพเพื่อต่อชะตาด้วยครับ
ยังมีหลวงพ่อทันใจ ที่ญาติโยมมากราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมากครับ
เมื่อกราบไหว้ขอพร ทำบุญสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงต่อชะตากันเรียบร้อยแล้ว ด้านข้างของวัดยังมีตลาดน้ำด้วยครับ ตามข้อมูลบอกว่า ตลาดน้ำแห่งนี้เปิดทุกวัน ทั้งวัน แต่เอาจริงๆ วันธรรมดาจะมีร้านค้าเปิดน้อยมาก มีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้น แม่ค้าที่มาเปิดร้านขายของในวันที่ผมไปเล่าว่า ตลาดน้ำจะคึกคักมากในวันหยุด พ่อค้าแม่ขายส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่จะคัดสรรสินค้า ทั้งอาหารคาวหวาน ผัก ผลไม้สด รวมถึงสินค้าแปรรูปทางการเกษตรในพื้นที่มาวางจำหน่าย ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อหากันบนฝั่งหรือจะเลือกซื้อจากเรือที่พายมาขายก็ได้ เพื่อนๆ คนไหนที่จะแวะมาเที่ยว แนะนำให้มาวันหยุดนะครับ
มาวัดตะเคียนวัดเดียว นอกจากจะได้อิ่มอร่อยทางกายแล้ว ยังอิ่มเอมใจกลับบ้านด้วยครับ
ไม่ไกลจากวัดตะเคียน เป็นที่ตั้งของวัดโบสถ์บน (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/G9bXfNpZJkYKKdq87 ) วัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เชื่อกันว่าสมัยนั้นเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาทรงโปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นมา แล้วเรียกกันว่า “วัดโบสถ์บน” มาจนถึงทุกวันนี้
วิหาร “โบสถ์บรรลุธรรม” เดิมเป็นโบสถ์หลังเก่าของวัดโบสถ์บนมีรูปทรงตรงกลางคล้ายเรือ ซึ่งภายในประดิษฐานพระประธาน พระพุทธรูปบริวาร 28 องค์ และพระอัครสาวกอีก 2 องค์ นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อทองคำของหลวงปู่สด แห่งวัดปากน้ำภาษีเจริญ สาธุชนสามารถเข้ามาปฏิบัติธรรมหน้ารูปหล่อของหลวงปู่สดได้ทุกวัน เหตุที่วัดนี้มีความผูกพันกับหลวงปู่สด เพราะเมื่อสมัยหลวงปู่สดยังเป็นพระภิกษุหนุ่มๆ ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ แล้วถือปฏิบัติธรรมกรรมฐานประจำวันจนกระทั่งท่านได้พบวิชาธรรมกาย หรือวิชาปราบมาร ด้วยเหตุนี้ทางวัดโบสถ์บนจึงได้ประกอบพิธีทางศาสนาพุทธหล่อรูปหลวงปู่สดขึ้นมาครับ รอบๆ พระอุโบสถมีใบเสมาโบราณที่ทำจากหินทรายแดง และด้านหน้าโบสถ์ยังมีเจดีย์โบราณ 4 องค์ด้วย วิหารหลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในความดูแลของกรมศิลปากรครับ
โบสถ์หลังใหม่ของวัดโบสถ์บน ที่สร้างขึ้นแทนโบสถ์หลังเดิมครับ (ปัจจุบันโบสถ์หลังเดิมกลายเป็นวิหาร”โบสถ์บรรลุธรรม”) วันที่ผมไป โบสถ์หลังใหม่ปิด ผมเลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมความงดงามด้านในครับ
หน้าวัดโบสถ์บนติดกับคลองบางกอกน้อย มีหอนาฬิกาที่สร้างเมื่อปี พ.ศ.2532 และในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ จะมีตลาดน้ำเปิดให้บริการด้วยครับ และทางวัดมีการจัดทำบุญถวายสังฆทานบนแพริมน้ำด้วย
จากวัดโบสถ์บน ไปต่อที่วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/TjJpPamAa4EeGmWt6 ) ในอำเภอเมืองนนทบุรี วัดงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อถวายแด่พระอัยกา พระอัยกี และสมเด็จพระราชชนนี แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 ปัจจุบันมีอายุยาวนานกว่า 170 ปี
สิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้คงต้องยกให้พระอุโบสถ ที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 กับศิลปะจากจีน การันตีความมีคุณค่าจากการได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี 2536 จากสมาคมสถาปนิกสยามครับ
ด้านหลังพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของเจดีย์ทรงลังกาสีขาว องค์เจดีย์เป็นรูปทรงกลมมีฐานแปดเหลี่ยมสองชั้น มีความสูงจากฐานถึงยอดประมาณ 45 เมตร ภายในบรรจุพระบรมธาตุครับ
สิ่งที่เตะตาผมเป็นอย่างมาก คือลายปูนปั้นหน้าบัน ที่ประดับประดาด้วยกระเบื้องเคลือบสีสดจากประเทศจีน ประดับตกแต่งสีให้เป็นใบและดอกพุดตาน ดูสดใสสวยงามมากๆ สำหรับหลังคาพระอุโบสถมุงด้วยกระเบื้องรางดินเผาทำเป็นลอนลูกฟูกแบบจีน
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่หล่อด้วยทองแดง องค์พระดูเปล่งปลั่งเหลืองทองอร่าม ดูงดงามมากๆ บริเวณบานประตู หน้าต่างของพระอุโบสถ มีการเขียนลายรดน้ำปิดทอง ตามพระราชลัญจกรของ ร.3 และรูปกระต่ายที่อยู่ในดวงจันทร์เต็มดวงด้วยครับ
นอกจากพระอุโบสถแล้ว ยังมีการสร้างวิหารและการเปรียญหลวง ขนาบข้างพระอุโบสถ ลักษณะการก่อสร้างมีความคล้ายคลึงกับพระอุโบสถ ทั้งหน้าบันที่มีศิลปะแบบไทยผสมจีน เพียงแต่ขนาดจะเล็กกว่าพระอุโบสถ เสียดายที่วันที่ผมไป ทั้งวิหาร และการเปรียญหลวงปิด ผมเลยอดชมความงดงามด้านในเลยครับ เห็นว่าด้านในวิหารประดิษฐานพระศิลาขาว พระพุทธรูปที่ ร.4 โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระวิหาร ส่วนด้านในของการเปรียญหลวง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ และยังมีจิตกรรมฝาผนังที่เขียนสีเป็นลายดอกไม้ร่วงสีอ่อนหวานด้วยครับ
สิ่งที่ทำให้วัดนี้มีความพิเศษกว่าวัดอื่นๆ คือกำแพงแก้วที่ล้อมรอบพระอุโบสถ ที่ทำเป็นกำแพงป้อมค่ายแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งในอดีตนั้นบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเก่าครับ
ไม่ไกลจากวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร เป็นที่ตั้งของอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/x6v9aAKJvWcbBxz56 ) จะเรียกว่ารั้วติดกับวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหารก็ยังได้ครับ
อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก สร้างขึ้นในวโรกาสที่ ร.9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 50 ปี โดยด้านในของอุทยานมีการตกแต่งอย่างสวยงาม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น วิมานสราญนวมินทร์ อาคารพลับพลาโถงกลางสระน้ำ นอกจากนี้ยังมีศาลาจัตุรมุขสามหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยครับ
ต้องบอกเลยว่า ที่อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก บรรยากาศดีมากๆ แถมยังอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถชมความสวยงามของสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ได้ด้วย ช่วงแดดร่มลมตก และช่วงเช้า จะมีชาวนนทบุรีมาพักผ่อนหย่อนใจ มาออกกำลังกายที่นี่เป็นจำนวนมากครับ
อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวในอำเภอเมืองนนทบุรี คือ วัดสังฆทาน (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/fSQEv21LDYu6YzYP9 ) วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย หลังจากนั้นก็ทิ้งร้างมานับร้อยปี จนกระทั่งมีการบูรณะวัดขึ้นใหม่ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เงียบสงบภายใต้บรรยากาศร่มครึ้มด้วยแมกไม้ใหญ่ กลายเป็นวัดป่ากลางเมืองที่เป็นทั้งศาสนสถานและสถานปฏิบัติธรรม สิ่งที่แปลกไม่เหมือนใครคือพระอุโบสถแก้วทรงแปดเหลี่ยม 2 ชั้น ซึ่งเปรียบได้กับมรรคองค์ 8 หรือหนทางแห่งการดับทุกข์ ที่ตกแต่งด้วยกระจกทั้งหลัง แตกต่างจากอาคารทรงไทยเฉกเช่นวัดอื่นๆ ที่เห็นกันจนชินตาครับ
ภายในประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะอู่ทอง องค์ใหญ่ที่อยู่คู่กับวัดมาช้านาน ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก นอกจากนี้ยังมีพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาด้วย โดยอัญเชิญมาให้ผู้มีจิตศรัทธาได้กราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต ผนังโดยรอบอุโบสถประดับตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมที่วาดลงบนกระจกบอกเล่าถึงพุทธประวัติที่มีลวดลายสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีศาลาเรือนไทยที่ตั้งอยู่ริมสระน้ำ สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง งดงามทั้งภายนอกและภายใน ด้วยลวดลายไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างละเอียดอ่อนวิจิตรงดงาม ด้านหน้าของศาลาจะมีรูปแกะสลักของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ด้วย ส่วนชั้นบนเป็นที่ตั้งสรีระสังขารของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสังฆทาน
ตรงข้ามกับศาลาเรือนไทย เป็นที่ตั้งของปราสาทจัตุรมุขพระพุทธภูมิ ปราสาททรงไทยแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีลวดลายการแกะสลักงดงามไม่แพ้กับศาลาเรือนไทยเลย ภายในศาลาเป็นที่ตั้งของสรีระสังขารของหลวงพ่อสามารถ สมาธิโก ประธารสงฆ์วัดสังฆทาน
ใกล้กันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาว พระพุทธรูปองค์สีขาวบริสุทธิ์ให้กราบไหว้ขอพรครับ
ต้องบอกเลยว่า วัดแห่งนี้ร่มรื่นและสงบมากๆ สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็งดงามแปลกตา ไม่อยากให้พลาดมาเที่ยวชมและกราบไหว้ขอพรกันครับ
ใครที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตริมคลอง ผมอยากให้ลองมาพักที่ W1@Bangkoknoi โรงแรมหรูที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวแบบท้องถิ่น ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีชุมชนบ้านเรือนริมคลองบางกอกน้อย นอกจากความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายที่จะได้รับในระหว่างเข้าพักแล้ว ยังจะได้รับประสบการณ์พิเศษอีกหลายอย่างเลยครับ
ทำเลที่ตั้งของโรงแรมอาจจะอยู่ในซอยลึก ห่างจากถนนใหญ่พอสมควร เส้นทางค่อนข้างแคบ แต่รับรองเลยว่า เมื่อมาถึงโรงแรมแล้ว เพื่อนๆ จะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก ห่างไกลจากความวุ่นวายโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญ โรงแรมตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยเลยครับ
ซุ้มประตูทางเข้าโรงแรม สื่อถึงการประนมมือไหว้ต้อนรับ เมื่อเลี้ยวเข้ามาในซุ้มประตูของโรงแรมจะพบพื้นที่สำหรับจอดรถ มีที่จอดรถกว้างขวางเลยทีเดียว
ถัดจากพื้นที่จอดรถ จะเป็นโซนห้องพัก สิ่งที่เตะตาที่สุดคือประติมากรรมที่มีลักษณะคล้ายพานพุ่ม ซึ่งจะเห็นประติมากรรมแบบนี้ได้โดยรอบของโรงแรม รวมถึงโลโก้ของโรงแรม ที่มีที่มาจากการบายศรีสู่ขวัญ อันหมายถึงการประนมมือไหว้ครับ
บริเวณลอบบี้ของโรงแรมดูสูงโปร่ง ในโทนสีสบายตา ด้านหลังทำเป็นลวดลายบ้านริมคลองบางกอกน้อย แบ่งเคาเตอร์ Check in / Check out อย่างชัดเจนครับ
ด้านข้างของลอบบี้ เป็นพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างการ Check in / Check out ครับ
Welcome drink เป็นน้ำใบเตยหวานอ่อนๆ หอมดอกมะลิ เสิร์ฟพร้อมกับขนมกลีบลำดวน จิบแล้วชื่นใจมากครับ ระหว่างรอ Check in น้องพนักงานจะนำรายการอาหารเช้ามาให้เราเลือก คือวันไหนที่โรงแรมมีแขกเยอะ อาหารเช้าก็จะเป็นไลน์บุฟเฟต์ครับ แต่ถ้าวันไหนแขกน้อย ทางโรงแรมจะมีรายการอาหารมาให้เราเลือก ซึ่งเราสามารถเลือกทานได้ทุกเมนูเลย จะทานกี่อย่างก็ได้ แขกสามารถเลือกทานที่ห้องอาหาร หรือจะให้น้องพนักงานนำไปเสิร์ฟถึงห้องพักก็ได้นะครับ
ห้องพักแต่ละห้องจะออกแบบด้วยแนวคิดแบบไทยร่วมสมัย ในบรรยากาศสุดคลาสสิกและวัฒนธรรมของชุมชนบางกอกน้อย ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ อันน่าหลงใหลของวิถีชีวิตริมน้ำ การันตีความสวยงามจากการได้ Award Winner สาขา New Hotel Construction &Design จากงานประกวด International Property Awards 2021 ที่อังกฤษครับ คืนนี้ผมเข้าพักห้อง Canal Deluxe ภายในห้องกว้างขวางเลยทีเดียว หลักๆ จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนครับ
ส่วนแรกจะเป็นเตียงนอนขนาด King Size หนา นุ่ม นอนสบาย ที่หัวเตียงมีลวดลายลักษณะคล้ายบ้านริมน้ำ ด้านข้างเตียงนอนมีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน สามารถนอนเอกเขนก ชมวิวด้านนอกห้องพักได้ครับ
มีระเบียง ให้ออกมานั่งสูดอากาศ นั่งจิบ Mini Set แบบเพลินๆ ครับ
วิวที่มองออกไปจากห้องที่ผมเข้าพัก มองเห็นสระว่ายน้ำ ห้องอาหาร และชุมชนริมคลองบางกอกน้อยครับ
ส่วนพื้นที่ด้านข้างของเตียงนอนอีกด้าน จะเป็นมุมให้นั่งสังสรรค์ พักผ่อน ดูทีวีครับ
ส่วนพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งของห้อง จะเป็นส่วนของห้องน้ำ และห้องแต่งตัวครับ แต่ละส่วนแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน
พื้นที่ถ่ายหนัก/ถ่ายเบา มีสายชำระให้พร้อม ด้านข้างเป็นอ่างล้างหน้า พร้อมตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่
ห้องอาบน้ำ ที่มีทั้งแบบฝักบัว และอ่างแช่ตัว สามารถนอนแช่เพิ่มความผ่อนคลายพร้อมชมวิวด้านนอกห้องได้ด้วยครับ
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางโรงแรมใส่ใจถึงอนามัยของผู้เข้าพัก โดยเตรียมหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ รวมถึงอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำไว้ให้พร้อม
ชุดชา กาแฟ ดื่มได้ฟรีครับ
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้อง ถือว่าครบครันตามมาตรฐานของโรงแรม เช่น ตู้เย็น กาน้ำร้อน เสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าแตะ รองเท้าสลิปเปอร์ ตู้นิรภัย ไดร์เป่าผม นาฬิกาปลุก ทีวี wifi
ดูบรรยากาศในห้องพักไปแล้ว ไปดูบรรยากาศโดยรอบและกิจกรรมต่างๆ ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพักกันบ้างครับ
เริ่มที่รถไฟฟ้า ขี่สนุกมาก แค่ขี่ด้านหน้าโรงแรมก็สนุกแล้ว หรือจะเล่นเซิร์ฟสเก็ตก็ได้ ขี่และเล่นฟรีไม่มีค่าบริการครับ
มีจักรยานให้ได้ปั่นด้วย สามารถปั่นออกไปชมวิถีชีวิตชาวบ้าน ชมสวนทุเรียน ที่อยู่ในซอยบริเวณทางเข้าโรงแรมได้ครับ
Kid Club น่ารักๆ
สระว่ายน้ำพร้อมบาร์ริมสระว่ายน้ำ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางน้ำไว้บริการ อย่าง ซัพบอร์ด พายเรือใส เรือคายัค และยังมีบริการท่องเที่ยวทางเรือด้วย โดยมีเส้นทางให้เลือกชมหลายเส้นทางเลย แต่บริการท่องเที่ยวทางเรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ
บรรยากาศในโรงแรมตกแต่งได้น่ารักทีเดียว มองไปทางไหนก็มีมีพื้นที่สีเขียวให้เห็น ดูสดชื่นสบายตามากๆ ครับ
ที่สระว่ายน้ำยังมีสไลเดอร์ยักษ์ด้วยครับ
ท่าน้ำด้านหลังโรงแรมครับ
ด้านข้างของสระน้ำ จะเป็นพื้นที่ของห้องอาหาร W1 Restaurant ที่มีบริการทั้งแบบ indoor และ outdoor ในส่วนของ outdoor เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของชุมชนริมคลองบางกอกน้อย ย่านเก่าแก่ใกล้กรุงเทพฯ ที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้อย่างใกล้ชิดเลยครับ
ห้องอาหารในส่วนของ indoor ก็ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ไฟส่องสว่างออกแบบเป็นลายไทย ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ความเป็นไทยเลย
ห้องอาหาร W1 Restaurant เปิดให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่เวลา 07.00 น.-10.30 น. และจะเปิดให้บริการอาหารแบบ All day ในเวลา 11.00 น.- 22.00 น. จุดเด่นของห้องอาหารนี้คือให้บริการอาหารไทยโบราณที่บางเมนูหาทานได้ยากแล้ว หลายเมนูที่ผมยังไม่เคยทาน อย่างเมี่ยงกลีบดอกบัว ลักษณะคล้ายเมี่ยงคำ แต่นำกลีบดอกบัวมาแทนใบชพูครับ
แกงรัญจวนหมู เป็นอีกหนึ่งจานที่เพิ่งจะเคยได้ลิ้มลอง หมูมาแบบชิ้นใหญ่ๆ รสชาติจัดจ้าน หอมเครื่องกะปิและสมุนไพรมากๆ ครับ
ปลากะพงทอดน้ำปลา ปลาทอดกรอบกำลังดี รสชาติกลมกล่อม ตัดรสด้วยน้ำยำ เพิ่มความจี๊ดจ๊าดให้กับปลากะพงครับ
หมี่กรอบส้มซ่า รสเปรี้ยวเค็มหวานกำลังดี มีกลิ่นหอมของผิวส้มซ่าครับ
น้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด รสชาติน้ำพริกอร่อยมาก ผักแนมมีทั้งผักทอดและผักลวกครับ
บรรยากาศยามเย็นดีจริงๆ โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกนี่ โรแมนติกมาก ทานข้าวไป ฟังเสียงเรือเครื่องที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา มันให้ความรู้สึกของบรรยากาศริมคลองเป็นอย่างมาก ปกติเข้าพักตามโรงแรม ผมจะได้ยินแต่เสียงรถวิ่งกันขวักไขว่ แต่มาที่นี่ ไม่ได้ยินเสียงรถเลย แต่ได้ยินเสียงของเรือแทน มันให้ความรู้สึกอีกฟิลหนึ่งจริงๆ
ตบท้ายมื้อเย็นด้วยส้มฉุน อีกหนึ่งเมนูที่เพิ่งจะเคยรู้ว่ามีเมนูแบบนี้ด้วย ทานแล้วเรียกความสดชื่นได้ดีทีเดียว
บรรยากาศช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน ชิลสุดๆ เลยครับ
กิจกรรมยามเช้าที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพัก นั่นคือการตักบาตรพระทางน้ำ โดยโรงแรมจะจัดเตรียมชุดใส่บาตรให้ห้องละ 1 ชุด โดยพระจะมาบิณฑบาตในเวลาประมาณ 06.15 น. ครับ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นวิถีชีวิตแบบนี้ในเมืองนนทบุรี ปกติจะเห็นแต่ตามต่างจังหวัดเช่น อุทัยธานี สมุทรสงคราม เป็นกิจกรรมที่น่าประทับใจครับ
สายหน่อย ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหารครับ ทางโรงแรมได้จัดเตรียมอาหารเช้าให้ผมเรียบร้อยแล้ว ตามออร์เดอร์ที่ผมแจ้งไว้ตั้งแต่ตอน Check in ครับ
เครื่องดื่มมีทั้งชาร้อน กาแฟร้อน น้ำผลไม้ ส่วนขนมปัง มีให้เลือกทั้งแบบโฮลวีท และแบบขัดสี นอกจากนั้นยังมีครัวซองต์ / เดนนิช / โยเกิร์ต / คอนเฟลก
เมนูอาหารไทย จะมีข้าวต้ม / โจ๊ก / ข้าวผัด และ ข้าวผัดกะเพรา แต่ละเมนูจะมีให้เลือกอีกว่าจะเป็นหมู / กุ้ง / ไก่
เมนูไข่ มีให้เลือกทั้งไข่ต้ม / ไข่ลวก / ไข่ดาว / Scrambled Eggs / Omelet เสริมด้วยไส้กรอกไก่ / เบคอน / แฮมหมู
สลัดผักรวม
แพนเค้ก
ผลไม้รวม
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่อยากให้พลาดเลย คือการทำสปา ที่ W1 Luxury Spa ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 น.-21.00 น. ครับ
บริเวณพื้นที่ Spa Receptionist
เมื่อเข้ามาด้านใน น้องพนักงานจะนำ Welcome Drink มาบริการ เป็นน้ำช่อดอกมะพร้าว หวานอ่อนๆ จิบแล้วสดชื่นมากครับ มาพร้อมกับผ้าเย็น จากนั้นน้องพนักงานจะนำกลิ่นของน้ำมันนวดมาให้เลือก
ห้องนวดที่นี่มีทั้งหมด 6 ห้อง เป็นห้องส่วนตัว บรรยากาศโดยรอบตกแต่งอย่างร่มรื่นเลยทีเดียวครับ
ภายในห้องนวดกว้างขวาง ดูหรูหราเชียวครับ เปิดประตูเข้าไปจะพบเตียงนวด ติดกันจะเป็นพื้นที่สำหรับล้างเท้าอยู่ด้านในสุด และจะมีห้องน้ำอยู่ด้านข้างด้วย
ห้องเปลี่ยนชุดและห้องน้ำ ก็กว้างขวางใช่ย่อย ดูหรูหราไม่ต่างจากห้องนวดเลย มีอ่างให้แช่ตัวด้วย
มุมสำหรับล้างเท้าครับ
ต้องบอกเลยว่า ผ่อนคลายสุดๆ กับ Package Aromatherapy 1.30 ชม. ผมนี่เผลอกรนเลย 55 น้องพนักงานนวดดี ให้คะแนนเต็มสิบไปเลย หลังนวดเสร็จ มีเสิร์ฟชาร้อนและขนมกลีบลำดวนด้วย
นอกจากห้องนวดทั้ง 6 ห้องแล้ว ทาง W1 Luxury Spa ยังมีพื้นที่นวดแบบ Outdoor ในสวนสวย นวดไปชมบรรยากาศริมคลองบางกอกน้อยไป
สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนแบบเงียบๆ มีความเป็นส่วนตัว และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและกิจกรรมมากมาย ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมคลอง ลิ้มลองอาหารไทยโบราณที่ปัจจุบันหาทานได้ยากแล้ว แนะนำที่นี่เลยครับ W1@Bangkoknoi ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลย
เห็นหรือยังว่า “นนทบุรี” มีอะไรดีๆ ให้ได้เที่ยวชมกันมากมาย ลองใช้วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ มาสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ทริปเมืองนนทบุรีของคุณเป็นทริปที่ประทับใจแบบไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt/ ขอบคุณครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 14.49 น.