ทริปปี 2022 เราเริ่มต้นด้วยประเทศจอร์แดนค่ะ หลังจากพักการเดินทางอันยาวนานถึง 2 ปีในช่วงโควิด เมื่อมีโอกาส Out of comfort zone อีกครั้ง ความตื่นเต้นกับอาการใจเต้นแรงที่รู้สึกในทุกๆทริปหวนกลับมาเหมือนเคย
100 km/hr เป็นความเร็วเฉลี่ยในการขับรถของเราคนเดียวตลอด 1100 km. จากเมืองหลวงแสนคับคั่ง สู่ธรรมชาติสุดเวิ้งว้างกว้างสุดลูกหูลูกตา เราได้รวบรวมข้อมูลและประสบการณ์เดินทางมาเล่าให้เพื่อนๆได้อ่าน ถ้าสิ่งนี้มีประโยชน์และน่าสนใจ สามารถแชร์ต่อได้เลยค่ะ
(Ref. www.jordanpass.jo)
เราเช่ารถกับ Arena Rent A car ผ่านเวป Discover cars เลือกรถ Mini Nissan micro (or Similar) ซึ่งวันรับรถจริง เจ้าหน้าที่เลือก Hyundai Sonata ให้ ส่วนตัวเราประทับใจมาก รถคันใหม่ สะอาด และขับดีมาก
บริษัทมีบริการรับส่งที่สนามบิน ราคาเช่ารถ 5 วัน รวม Full coverage รวม Insurance ประมาณ 7580 บาท
ขั้นตอนการเช่ารถผ่านเวปก็ง่ายมาก
1.เลือกรถกับ option ที่ต้องการ
2.จ่ายค่า Deposit ผ่าน Visa , Master Card
3.เมื่อได้รับ confirmed booking อ่านรายละเอียดให้เรียบร้อย
4.ค่าใช้จ่ายที่เหลือ จ่ายเมื่อถึงจอร์แดน โดยเงื่อนไขบางบริษัทต้องใช้วงเงิน Visa , Master card สำหรับ Refundable security deposit ค่ะ
ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยใช่มั้ยคะ อย่างของเรานัดรับรถ-ส่งรถที่สนามบิน , Deposite เช่ารถ 44.11 EUR (1606 บาท) , Refundable security deposit 500 USD (17,320 บาท)
ติดต่อ Arena Rent A car
Whatsapp : 00962795646757
เอกสารที่ใช้เตรียมเดินทางไปจอร์แดน (อัพเดทเดือนตุลาคม 2022)
☑️ ลงทะเบียนเข้าประเทศจอร์แดน ล่วงหน้าไม่เกิน 10 วัน ที่นี่ gateway2jordan.gov.jo
☑️ Visa
(Ref. amman.thaiembassy.org)
[ ข้อมูลสำหรับการเดินทาง ]
ภาษา (Languages) : Arabic , English
วีซ่า (Visa) : Visa on arrival หรือถ้าแพลนเดินทางอย่างน้อย 4 วัน 3 คืน เราแนะนำให้ซื้อ Jordan Pass จะคุ้มกว่ามาก เข้าเพตราและสถานที่อื่นๆฟรี รายละเอียดที่นี่ค่ะ www.jordanpass.jo
สกุลเงิน (Currency) : Jordanian dena หรือ JOD
Time Zone : ช้ากว่าไทย 4 ชม.
การเดินทาง : Road trip ที่จอร์แดน ไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิด ถนนสายหลักลาดยางตลอดเส้นทาง มีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่เป็นระยะ ภายในปั๊มมีซุปเปอร์มาเก็ต มีห้องน้ำเหมือนเมืองไทยเลย
เป็นปกติที่เพื่อนๆจะเจอตำรวจทางหลวงโบกให้จอดนะคะ เจอถี่มาก อย่างของเราโดนเรียกไป 4 รอบ แค่ทักทายเฉยๆค่ะ ขอแค่อย่าขับเกินความเร็วที่ป้ายกำหนดเป็นพอ
บางคนต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับพวงมาลัยซ้ายชิดขวา อย่างเราเองเป็นต้น ท่องอย่างดีแต่พอขับจริงดันเผลอชิดซ้ายหลายรอบเลย โชคดีผ่านมาได้ด้วยความปลอดภัยค่ะ
Petra
ไม่นานมานี้ เรามีโอกาสได้อ่านบทความ New Seven Wonder of the World 2022 ซึ่งเล่ารายละเอียดสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง หนึ่งในลิสต์นั้นเล่าถึง ดินแดนแห่งความลับที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา ห่างจากโลกภายนอกนานนับพันปี
ยิ่งศึกษารายละเอียดข้อมูลของเมืองเพตรา ก็ยิ่งทึ่งในความมหัศจรรย์ของมนุษย์เราไม่น้อย หน้าผาหินสีชมพูสลับสีขาวแดง สรรสร้างสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนเข้ากับธรรมชาติเป็นอย่างดี
สำหรับเราเอง ไม่กล้าหวังภาพถ่ายสวยๆอะไรมากนัก เพราะจำนวนนักเดินทางที่มากมาย มากแบบมากๆ แต่ก็นั่นแหละค่ะ ใครต่อใครที่มาประเทศจอร์แดนก็ต้องอยากมาสัมผัส เรานึกเหตุผลไม่ออกเลยสำหรับใครที่จะไม่เข้าเพตรา
เช้าอันสดใสกลางเดือนพฤษภา เรียกได้ว่าเป็นหน้าร้อนของจอร์แดนค่ะ เราเดินเท้าจากทางเข้า Visitor Center โดยเส้นทางเดินจะเป็นหินลูกรังตามภาพเลย อ่อ…ลืมบอกไปว่าเราขับรถมาถึงเพตราตั้งแต่เมื่อวาน และชม Petra by night เมื่อคืนแล้วหนึ่งรอบ ไว้เดี๋ยวขอเล่าเป็นลำดับถัดไปนะคะ
เดินเข้ามาไม่ถึง 200 เมตร ด้านซ้ายมือจะเจอกลุ่มนักจูงม้า จริงๆสามารถนั่งม้าฟรีจากจุดทางเข้าไปจนถึงช่องแคบทางเข้า The Siq ได้เลย ไม่ไกลมาก ใครจะเดินก็ได้ แต่เราชอบน้องม้าสีขาวน่ารัก เลยตัดสินใจให้น้องไปส่งค่ะ แพลนเดินทางของเราในเพตราค่อนข้างน้อย ประมาณ 4-5 ชม. เพราะต้องขับรถไป Wadi Rum ต่ออีกในช่วงบ่าย เอาเป็นว่าได้เดินเข้า Al-Siq ปีนขึ้นเส้นเทรลสั้นๆง่ายๆ เพื่อชม The Treasury ก็พอใจแล้ว
คนจูงม้าให้เราชื่อคุณ Mamood ค่ะ และคนเดียวกันนี้แหละที่เป็นไกด์ให้เราใน 10 นาทีถัดมา
Mamood ยื่นภาพ The Treasury จากมุมสูงในมือถือให้เราดู ซึ่งแน่นอนเราสนใจมากๆ กว่าจะตกลงราคากันได้ก็นานพอสมควรเลย เราได้ราคา 30 JOD
เส้นทางที่ Mamood พาเดิน ไม่ใช่เส้นหลักทั่วไป แต่เป็นเส้นที่เบี่ยงขึ้นเขามาทางฝั่งซ้าย เรียกเส้น Al-Madras Trail ถือเป็น Mini Trek เล็กๆที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน สำหรับเราผู้ซึ่งนั่งเครื่องมาไกล ต่อด้วยขับรถเองคนเดียว แล้วยังนอนดึกอีก ปีนหินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้ว
น่าแปลกตรงที่พลังงานมันเริ่มมากขึ้นตอนเจอวิวสวยอลังการเนี่ยแหละ ยิ่งปีนยิ่งเดินยิ่งตื่นเต้น ตอนนี้คือตื่นเต็มที่ละ ไม่เหนื่อยแล้ว ทุกอย่างสดชื่นมากๆ
ลัดเลาะมาเรื่อยๆระหว่างทางจะเจอบ้านของชาวพื้นเมือง ร้านค้าแผงขายของที่ระลึกเรียงราย ส่วนใหญ่ทำจากหิน มีชาร้อน เครื่องดื่มขายบ้างตามรายทางค่ะ
เดินเพลินๆก็ถึงจุดชม The Treasury (al-Khazneh) จากมุมสูงแล้วค่ะ จริงๆมีทางขึ้นจากสองทางซ้ายขวา จะเดินขึ้นจากด้านซ้ายของ The Treasury ก็ได้ ตรงนั้นมีป้ายบอกอยู่ ส่วนตัวเราชอบมุมนี้ที่ไกด์พามามากกว่าค่ะ วิวยิ่งใหญ่คู่ควรกับรางวัล ระดับ UNESCO World Heritage site จะว่าไปเหมือนได้ดู Indiana Jones เลย แต่นี้แบบฉบับ 2022 นะคะ
มีมุมสูงจากจุดนี้อีก ใครมีเวลาขึ้นไปสูงกว่านี้ได้ ส่วนเราขอนั่งจิบชาร้อน ชมวิว เล่นกับน้องแมวไปพลางๆ
เราว่าเราทำเวลาได้ดีทีเดียว ใช้เวลา Mini trek มาตรงนี้แค่ชั่วโมงกว่าเอง…. Mamood เลยยื่นข้อเสนอใหม่ที่น่าสนใจอีกครั้ง เรากับ Mamood ตกลงราคากันอีกรอบ คือถ้าเพิ่มอีก 40 JOD จะพาขี่ลาไปจนถึง The Monastery เลย มาขนาดนี้แล้ว ลุยต่อข้างหน้าอย่างเดียวเลยค่ะ
ปีนขึ้นเขากันต่อ โขดหินแล้วโขดหินเล่า ทางลัดที่ขึ้นเขาค่อนข้างชันนะคะ เมื่อยขามาก แต่ทำให้ได้นึกย้อนกลับไปตอน Trekking ในหลายๆประเทศก่อนหน้านี้ หลังจากดั้นด้นหนีไปเรียน Scuba จนจบ Advance มาซะนาน ตอนนี้ปิ๊งไอเดียหาที่ Trekking ใหม่ๆอีกแล้ว ไว้จะมาแวะเล่าสู่กันฟังอีกทีนะคะ
ไกด์ Mamood พาเรามาเส้นทางที่เรียกว่า Wadi al-Farasa ใครมาทางนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ หลังจากขึ้นเขามาจนสุด จะเจอ landscape อันกว้างใหญ่ ผนังกำแพงหินซ้อนเป็นชั้น ด้านบนเป็นทางเดินเรียบสลับเนินเขาเตี้ย สบายๆแต่ร้อนไปหน่อย
ถ้าเปิดแผนที่ เทรลเส้นนี้จะอยู่จุด High Place of Sacrifice Trail เราชอบมาก ผู้คนไม่พลุกพล่าน สงบเงียบต่างจากเส้นหลักด้านล่างอย่างสิ้นเชิง โดยตลอดเส้นเทรลนี้จะมีสถานที่ให้ได้ชมหลายที่เลยค่ะ เช่น Lion Monument , The Garden Tomb , The Roman Soldier Tomb
(The Garden Tomb)
(The Roman Soldier Tomb)
ใกล้ช่วงเที่ยงแล้ว ยังทำเวลาได้ดีอยู่ อากาศร้อนมาก แนะนำพกน้ำติดตัวมาด้วย และระวัง Dehydrate ให้มาก เท่าที่เดินมาเส้นทางนี้เจอชาวบ้านแบกน้ำขายแค่ครั้งเดียวเอง ราคาแพงด้วย ขวดเล็ก 1 JOD
ในที่สุดไกด์ น้องลาและคนเลี้ยงลา ก็พาเรามาจนสุดทางของเทรลสายนี้ที่ Temenos Gate ค่ะ จะเห็นคนใส่ชุดทหารโรมันตีกลองเดินขบวนโชว์อยู่ด้านหลัง คอยหมุนเวียนสับเปลี่ยนเวรกันเฝ้าประตู โดยบริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของ Winged lion temple , Qasr al-Bint
Winged lion temple
Qasr al-Bint
ไปกันต่อด้วยเส้น Monastery Trail บันไดหินเรียงลำดับขั้นสูงชันขึ้นๆ ระยะทางประมาณ 2.5 กม. และเพิ่มความท้าทายยิ่งขึ้นโดยขี่ลาค่ะ เจ้าลาตัวนี้ชอบอยู่สองอย่าง กระโดดขึ้นบันได กับเดินริมหน้าผา จริงๆเค้าหลบคนค่ะ เข้าใจอยู่ แต่แอบหวาดเสียวเล็กน้อย
ถึงแล้วค่ะ The Monastery (Ad-Deir) ใหญ่มากกว้างมาก ทึ่งที่มนุษย์มีความสามารถสร้างหินให้อลังการสวยงามขนาดนี้ได้ยังไงกัน
แต่สำหรับใครที่ยังเดินไม่เหนื่อยพอ มีเส้น Hiking รอบๆ The Monastery ให้ลองกัน ส่วนเราเหนื่อยแล้วนั่งเล่นคาเฟ่ด้านหน้าก่อนนะคะ อ้อ…ไกด์บอกว่าเนินเขาหลังคาเฟ่ฝั่งตะวันตกสามารถมองเห็นประเทศเพื่อนบ้านอิสราเอลได้เลยค่ะ
ขากลับเราใช้เส้นทาง Main หลัก เรียกว่า The Colonnaded Street คนละฟีลกับเส้นขามาอย่างสิ้นเชิง มีร้านค้าขายของ เครื่องดื่ม ผลไม้ จุดนั่งพักผ่อนตลอดริมทาง ยาวต่อไปจนถึง Street of Facades แถวๆ The Treasury ค่ะ
Trails Guide ข้อมูลจาก Map ด้านหน้า Visitor Center เผื่อใครสนใจค่ะ
1.Main Trail : Level Easy
ระยะทางไป-กลับ 8 กม. ใช้เวลา 3.5-4 ชม.
2.Al-Khubtha Trail : Level Hard
ระยะทางไป-กลับ 3.5 กม. ใช้เวลา 2.5-3 ชม.
3.High Place of Sacrifice Trail : Level Hard
ระยะทางไป-กลับ 3 กม. ใช้เวลา 3.5-4 ชม.
4. Ad-Deir (Monastery) Trail : Level Hard
ระยะทางไป-กลับ 2.5 กม. ใช้เวลา 2.5-3 ชม.
5.Umm Al-Biyara Trail : Level Hard
ระยะทางไป-กลับ 4 กม. ใช้เวลา 3.5-4 ชม.
6.Jabal Haroun Trail : Level Hard
ระยะทางไป-กลับ 7.5 กม. ใช้เวลา 5-6 ชม.
7.Sabra Trail : Level Moderate
ระยะทางไป-กลับ 10 กม. ใช้เวลา 6-7 ชม.
8.AL-Madras Trail : Level Moderate
ระยะทางไป-กลับ 1.5 กม. ใช้เวลา 1.5 ชม.
Petra Night
ขอย้อนกลับไปนิดนึงค่ะ อันที่จริงเราถึงเพตราตั้งแต่บ่าย แพลนแรกจะเข้าชมด้านในเลยแล้วอยู่รอจนถึงตอนกลางคืน อันนี้พนักงานตรวจตั๋วคนแรกเป็นคนบอกเราค่ะ และเท่าที่อ่านเจอบางรีวิวก็สามารถทำได้ แต่เราขอออกมาหาซื้อสายชาร์ตแบตโทรศัพท์ก่อน เพราะดัน ลืมเอามาจากไทย กลับมาอีกทีก็เจอพนักงานคนใหม่และไม่ยอมให้เราเข้าแล้ว
ซึ่งตามกฎแล้ว ทุกคนต้องเดินออกมาก่อนค่ำ และใครต้องการชม Petra night ต้องเดินกลับเข้าไปอีกรอบ ฟังดูไม่ค่อย Make sense เท่าไหร่ แต่กฎก็คือกฎ เราไม่ซีเรียส เข้าตามรอบได้ค่ะ
เวลา 20.30 น.เป็นเวลาที่ทุกคนเริ่มเดินเข้าเพตราได้อีกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนนักกีฬาออกจากจุดปล่อยตัวยังไงยังงั้นเลย ดูเหมือนทุกคนจะรีบเดินเพื่อให้ได้จองที่ที่ใกล้บริเวณหน้า The Treasury มากที่สุด คนหลายร้อยกับฝุ่นตลบอบอวล
แต่เราไม่รีบร้อนอะไร สบายๆ ขาสั้นๆยังไงก็ไม่ทันคนอื่นอยู่ดี เดินชมแสงสีเสียงระหว่างทางดีกว่าค่ะ เราประทับใจดวงไฟเล็กๆตามสองข้างทางมาก เหมือนกำลังเดินเข้าถ้ำในยุคโบราณ บางจุดได้ยินเสียงน้ำตกไหลลงจากโขดหิน บางจุดเปิดเสียงนกร้องจิบๆคลอตามรายทาง ผ่อนคลายมากๆเลยค่ะ
มนต์ขลังของ The Siq ในช่วงค่ำคืนสวยสง่าเหมือนเวทมนต์ จากจุดนี้จะพบปลายทางที่หน้า The Treasury ดวงไฟเป็นร้อยๆดวงส่องให้ความสว่างไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อสัญญาณดังขึ้น ทุกคนเงียบเสียงลง หลังจากนี้จะเป็นการแสดงดนตรีเป่าขลุ่ยตามสไตร์ชาวเบดูอิน ต่อด้วยฟังการถ่ายทอดเรียงร้อยตำนานสมัยชาวนาบาเทียนผู้สลักสร้างศิลปะหินผา ที่ไม่ว่าจะผ่านกี่ร้อนกี่หนาว สิ่งนี้ยังคงยืนหยัดให้ผู้คนได้มาสัมผัสชื่นชมมาจนถึงทุกวันนี้
(วิวเมือง Wadi Musa)
ข้อมูล Petra by Night ที่นี่ www.petrabynight.jo ไม่รวมอยู่ใน Jordan Pass นะคะ ราคาตั๋ว 17 JOD ต่อคน (เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เข้าชมฟรี) รับเงินสดเท่านั้น ไม่รับบัตรเครดิต
**Petra Night มี 3 วันต่อสัปดาห์เท่านั้นนะคะ คือวันจันทร์ พุธ และพฤหัส เวลา 20.30 - 22.30**
ที่พัก (Accommodations) : Petra Cabin Hostel 8.4 JOD ต่อคืน ที่นี่เดินไปจุด Visitor center 5-10 นาที ลานจอดรถของที่พักกว้างมาก ใครไปถึงไม่ต้องตกใจนะคะ เราตกใจแทนแล้วค่ะ ฮ่า…. สภาพอาจจะเหมือนตึกร้างเพราะโฮสเทลอยู่ชั้น 7 แต่ภาพรวมดีนะคะ ที่พักสะอาด มีความเป็นส่วนตัวสูงคือแยกเตียงเป็นบล็อกๆ มีแอร์พัดลมให้ด้วย
Wadi Rum
จากเส้นทางหลัก ที่นี่ใกล้กับเมืองตากอากาศชายทะเลอย่าง Aqaba ใช้เวลาขับรถ 1 ชม.ก็ถึง Wadi rum แล้ว ซึ่งสะดวกสำหรับเพื่อนๆที่ลงเครื่องที่ Aqaba King Hussein International Airport เป็นอย่างมาก
เราใช้บัตร Jordan Pass เข้าฟรีค่ะ ก่อนอื่นให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตรง Visitor Center จากนั้นให้ไปกรอกข้อมูลไกด์ทัวร์และที่พักกับตำรวจท่องเที่ยว
ตอนแรกเราแพลน Walk in หาที่พักทีหลัง ด้วยความที่ไม่รีวิวใดๆมาก่อน เจ้าหน้าที่ตรงจุด Visitor Center ยังไม่อนุญาติให้เข้า เพราะต้องแจ้ง Contact ที่เจ้าหน้าที่จะติดต่อได้ก่อน เลยอยากแนะนำให้เพื่อนๆจองที่พักล่วงหน้าดีกว่าค่ะ ส่วนไกด์ทัวร์สามารถหาจากบริเวณด้านหน้า Visitor Center ได้นะคะ
ขับต่อเข้ามาตามเส้นถนนลาดยางเรื่อยๆประมาณ 17 กม.จนถึง Rum Village ซึ่งเราจะจอดรถเล็กไว้ที่นี่ และนั่ง 4x4 เข้าที่พักอีกที
Jeep tour ใน Wadi rum มีหลายแบบ ตั้งแต่ Half day , Full day ไปจนถึง Jeep & Hiking 3 วัน 2 คืน ส่วนที่พักมีหลากหลายให้เลือกแบบ Luxury 5 ดาว ราคาหลักหมื่น หรือนอนแคมป์สไตล์ชาวเบดูอินแบบที่เราเลือก ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ แต่ละที่พักจะมีเสน่ห์แตกต่างกันค่ะ
Package ทัวร์ที่เราเลือกจะรวม Private Jeep tour เข้าไปด้วยค่ะ แต่ได้ไปแค่ 2 ที่นะคะ คือ Sand Dunes กับ Khazali Canyon มากกว่านี้ต้องจ่ายเพิ่ม เดินทางคนเดียวค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงค่ะ
สถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆใน Wadi rum มีหลายที่ เช่น Al Ramal Red Sand Dune , Mushroom Rock , Burdah Rock Bridge , Abu Khashaba Canyon , Umm Fruth Rock Bridge , White Desert
Sand Dunes
Khazali Canyon
บางคนรู้จัก Wadi rum ในนาม The Valley of the Moon พื้นดินที่ขรุขระ หลุมบ่อ โขดผาหิน สะท้อนตัดกับสีเส้นขอบฟ้า แปลกตาจนให้ความรู้สึกว่ากำลังเดินทางไปดาวดวงหนึ่งที่ไม่ใช่บนโลกใบนี้ จำได้ว่าตอนเดินทางไปประเทศนามิเบีย ยังไม่มีโอกาสได้นอนกลางทะเลทรายเลย แต่วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้นอนท่ามกลางทะเลทรายค่ะ
แคมป์สไตล์ชาวเบดูอิน ถูกบุด้วยผ้าหนาเป็นโดมทรงสี่เหลี่ยม กันลมหนาวในตอนกลางคืนได้เป็นอย่างดี ถึงแม้กลางวันจะร้อนแสนร้อนก็ตาม แต่ตกกลางคืนอุณหภูมิกลับลดลงอย่างรวดเร็ว เรายังมีกำแพงหินด้านหลังกับผ้าห่มหนาอีกด่าน ที่ช่วยเพิ่มความอุ่นขึ้นอีกค่ะ
ที่พัก (Accommodations) : Bedouin Tous Camp ราคา 50 JOD ซึ่งรวมทัวร์ในทะเลทราย(Private Jeep Tour) รวมที่พัก อาหารค่ำ อาหารเช้า มีน้ำอุ่น และรถรับส่งด้วย ถือว่าคุ้มค่ามาก
ติดต่อ Whatapps : +962 7 7278 4639
เราชอบฤดูร้อน เพราะมีโอกาสใช้เวลาดื่มด่ำช่วงเวลาพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้นานกว่าที่เคย วันนี้แสงสว่างสีทองค่อยๆลดแสงลงตอนเกือบสองทุ่ม ธรรมชาติไม่รีบร้อนอะไร เวลาดูช้าลง
เมื่อพ้นแสงดวงอาทิตย์ ถึงเวลาของดวงดวงได้ออกเฉิดฉายกันเต็มท้องฟ้า ด้วยอากาศที่ร้อน แห้งแล้ง เมฆบางตา ลานท้องฟ้าคืนนี้จึงเต็มไปด้วยดวงดาว เวลาดีๆกำลังจะเริ่มขึ้นค่ะ
ชาแก้วแรกถูกรินจากเจ้าของบ้านอย่างอบอุ่น คนจอร์แดนชอบกินชาใส่น้ำตาลค่ะ มีรสซ่าหน่อยๆ ไปบ้านหลังไหนก็ถูกเชื้อเชิญด้วยชาอร่อยๆ บางคนไม่ชอบน้ำตาลก็ขอได้เลย จิบชาอุ่นไปก็ดูชาวเบดูอินสาธิตทำอาหารไป มื้อเย็นวันนี้พิเศษมาก นอกจากข้าวเหลือง แกงต่างๆ ยังมีไก่ย่างหอมๆ มันฝรั่งหอมๆ ที่เผาจากเตาใต้ดินอีกด้วย
ถึงทะเลทรายอันกว้างใหญ่ แต่หลังมื้ออาหารพวกเราไปรวมตัวรอบกองไฟกันอย่างอบอุ่น พื้นปูหมอนพรมนุ่มอุ่น นั่งเป็นวงหันหน้าเข้าหากัน เสียงกลองเริ่มดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือเป็นจังหวะ บรรยากาศครึกครื้นขึ้นๆ มีตัวแทนเต้นให้ดูหนึ่งรอบ ก่อนจะให้ทุกคนยืนล้อมกันรอบกองไฟ
มีกิจกรรมนึงที่ถ้าใครโดนแตะมือ จะต้องเต้นหนึ่งรอบ แล้วแตะคนต่อไปเรื่อยๆ เราโดนคนแรกเลย ฮ่า… ตัวแทนสาวจากประเทศไทยเซิ้งหนึ่งรอบด้วยความเขินอาย คืนนี้ประทับใจความใจกว้าง มีน้ำใจของเจ้าของบ้าน ที่ให้เกียรติผู้มาเยือนตัวเล็กจากที่ไกลแสนไกลค่ะ
Dead Sea
หลังจากผ่านค่ำคืนแสนประทับใจในทะเลทราย Wadi rum เช้าวันต่อมาเราขับรถต่อมายาวๆที่ Dead Sea ใช้เวลา 6 ชม. คนทั่วไปจะขับอยู่ที่ 4 ชม.กว่า แต่เราไม่รีบ เน้นชมวิวและความปลอดภัยค่ะ
เราพักที่ Ramada Resort Dead Sea ข้อดีคือ มีชายหาดส่วนตัว ถ้าเพื่อนๆชอบความ Private คนไม่พลุกพล่าน แนะนำให้พักโรงแรมที่มีชายหาดส่วนตัว สงบเงียบ ชมวิวเพลินแน่นอนค่ะ
เงาจางๆของ Mount Jerusalem ประเทศอิสราเอลตั้งอยู่ไกลลิบ ไว้ถ้ามีโอกาส อยากไปเยือนนครศักดิ์สิทธิ์นี้ดูสักครั้งในชีวิตค่ะ
แปลงร่างแล้วค่ะ ฮ่า…..พอกทั้งตัวเลย ผิวลื่นจริงๆนะคะ เนียนเงาวับเลย โคลนพอกตัวมีสองแบบ เจ้าหน้าที่บอกมาอีกที เราเองก็ลืมแล้วว่าต่างกันยังไง เอาเป็นว่าอันนึงพอกได้ 5 นาที อีกอันนึงพอกได้ 10 นาที
ส่วนการลอยแช่ในทะเลสาบ Dead Sea ก็ไม่ควรแช่นานนะคะ ผิวจะแห้งมากและอาจมีอาการแสบคันจากความเค็มของเกลือ เจ้าหน้าที่แนะนำลอยเล่นรอบละ 10-15 นาที แล้วค่อยขึ้นมาล้างตัวค่ะ
ที่พัก (Accommodations) : Ramada Resort Dead Sea ราคา 3144 บาทต่อคืน รวมอาหารเช้า (อาหารเช้าหลากหลาย และรสชาติอร่อยค่ะ)
Mount Nebo
ย้อนกลับไปวันแรกที่มาถึงประเทศจอร์แดนค่ะ เราตั้งใจจะนอนในเมืองหลวง Amman ในคืนแรก แต่ด้วยสภาพการจราจรและความวุ่นวาย เราเลยตัดสินใจขับรถออกมานอนนอกเมือง ขับมาเรื่อยๆจนมาถึงเมือง Madaba
เมื่อ Walk in ติดต่อที่พักเสร็จ ก็หาที่เที่ยวต่อไม่มีพัก ห่างจากเมือง Madaba ประมาณ 15 นาที มีภูเขาชื่อ Nebo ที่ไม่อยากให้พลาดค่ะ
ที่นี่มีโบสถ์บนยอดเขา ภายในดูแลรักษาแผ่นกระเบื้องโมเสกโบราณที่ยังสมบูรณ์อยู่เป็นอย่างดี ส่วนภายนอกโบสถ์ มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อต้อนรับการมาเยือนของพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 เมื่อปี 2000 แต่โดยส่วนตัวเราชอบวิวบนยอดเขามากค่ะ
ราคาค่าเข้าสำหรับนักท่องเที่ยว 3 JD ต่อคน
ที่พัก (Accommodations) : Madaba Camp Resort ห้องพักเดี่ยว รวมอาหารเช้า ราคา 18 JD
บรรยากาศที่พักโล่งโปร่ง ล้อมรอบด้วยสวน Olive ที่นำมาทำอาหารให้เราทานค่ะ เจ้าของที่พักและแม่บ้านใจดี น่ารักมาก
ติดต่อคุณ Samar ทาง Whatsapp +62 777 916323
สิ่งที่ภูมิใจนำเสนอของ Madaba Camp Resort คืออาหารเช้า ชิ้นกลมๆสีน้ำตาลเรียก Falafel อาหารว่าง หาซื้อตามร้านริมถนนได้ค่ะ ลูกกลมๆปั้นคลุกกับถั่ว chickpeas บดละเอียด ผสมเครื่องเทศนิดๆ แต่ชอบที่สุดจะเป็นผล Olives (zetun) ที่ทานได้กับทุกเมนู ราด Olive oil เพิ่มได้เพื่อเพิ่มรสชาติค่ะ
แผ่น Manakish ในจานด้านหน้าสุด เป็นแผ่นแป้งอบผสมเครื่องเทศกับชีส
ส่วนอันนี้เรียก Hummus ไว้ Dip กินกับขนมปังค่ะ จริงๆ Hummus มีหลายสูตรมากๆ เลือกที่ชอบเลย
Kerak Castle (AlKarak Castle)
จากเส้น King's Highway เราขับรถไป Kerak Castle ต่อ ซึ่งเป็นทางผ่านจาก Madaba ไปนคร Petra ที่ Wadi Musa
ป้อมปราการสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 บนยอดเขา ใช้หินสร้างกำแพง ไปจนถึงหลังคาอุโมงค์โค้งแบบโบราณ
ผ่านสะพานเล็กๆเข้ามาจะเห็นไกด์ยืนรอแล้ว ไกด์จะคอยแนะนำ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา สายชอบชมโบราณสถานน่าจะชอบไม่น้อย เดิมชมเองคงจะไม่ได้อะไร เราเลยให้ Guide Yasin ช่วยพาชม ต่อรองราคาได้ 20 JOD ค่ะ
ไกด์เริ่มพาเดินชมจากวิว Panorama ก่อน แล้วค่อยเดินชมภายในปราสาทซึ่งจุดเด่นคือ ช่องแสง ที่ให้ความสว่าง ระบายอากาศ เป็นช่องมองข้าศึกศัตรูในอดีต ช่องแสงที่เห็นในรูปต้องปีนขึ้นไป โดยมีไกด์คอยช่วยดันจากด้านล่าง สนุกดีค่ะ
เดินเข้ามาปราสาทอีกชั้นด้านใน ไกด์พาชมระบบส่งน้ำ ห้องครัว ห้องโถงอาหาร ไปจนถึงตลาดขายของในอดีต
Ma’in hot spring
เส้นทางที่ชอบที่สุดของ Road trip นี้คือเส้น Dead sea high way สวยมาก แบบมากๆ ถนนวนขึ้นมาตามเขาสูง ชันขึ้นเรื่อยๆ เลาะตามแนวทะเลสาบ Dead sea เราขับรถคนเดียวขึ้นเขาโค้งชัน เลยไม่มีภาพมุมสูงมาฝากนะคะ
ทิ้งท้ายทริปที่ Ma’in hot spring ค่ะ นอนแช่น้ำตกร้อนๆท่ามกลางบรรยากาศแสนร้อน ฮ่า……อันนี้เราไม่อินเท่าไหร่ เพราะคนเยอะมาก และอากาศวันนั้นร้อนจนเกินไป แต่ถ้าใครชอบ หรือไม่รู้จะแวะไปที่ไหน ก็มาได้นะคะ ค่าเข้า 15 JD ต่อคน รับบัตรเครดิตด้วย
ไปไหนต่อ (Where to go next) : Israel
And...More great things to do in Jordan? แนะนำเราได้เลยนะคะ
www.inspiremyjourneys.com
www.facebook.com/Inspiremyjourneys
Instagram : InspireMyJourneys
Twitter : @Inspiremyjourn1
InspireMyJourneys
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 21.23 น.