India train รถไฟแห่งสัจธรรม

เรื่องราวการเดินทางจากเมืองดาร์จีลิ่งสู่เมืองพาราณสี(Varanasi)โดยรถไฟตู้นอนสุดระทึกขวัญของอินเดีย ที่มีชื่อเสียงเรียงนาม น่าเกรงขามจนรถไฟไทยยังต้องยอมแพ้ การเดินทางที่สะดวกและประหยัดที่สุดในอินเดียรองจากเครื่องบินก็รถไฟนี่แหละที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้บริการ เพราะรถไฟที่นี่เขาวิ่งไปทั่วทุกรัฐของอินเดีย ยกเว้นรัฐเมฆาลัย (Meghalaya) และ รัฐสิกขิม (Sikkim) มีระยะทางรางรถไฟรวมกันทั้งหมด 115,000 กิโลเมตร

เฉลี่ยจำนวนผู้โดยสารต่อ 1 ขบวน มากถึง 12,000 คน การรถไฟอินเดียมีพนักงานมากถึง 1.7 ล้านคน (เยอะไม่ใช่เล่นเลยนะ) รถไฟอินเดียบางขนบวนใช้เวลาออกจากต้นสถานีจนถึงสถานีปลายทางใช้เวลาสามวันสามคืนก็มี เรียกได้ว่านั่งกันจนตูดบานเลยทีเดียว

รถไฟแดนภาราตะ ถ้าอยากสบายหน่อยก็ซื้อตู้แอร์ มีอาหาร(ปลอดภัยไม่ทำท้องใส้ปั่นป่วน) มีคนบริการ มีตำรวจ ก็จ่ายแพงหน่อย แต่ถ้าอยากสำผัสสัจธรรมของชีวิตก็ไปนู้นเลย ชั้นสอง ชั้นสาม หรือถ้าอยากสบายขึ้นมาหน่อยก็สลีปเปอร์(Sleeper class) ถึงชื่อมันจะบอกว่าสลีปแต่พอไปนั่งจริงๆทำเอาสลีปไม่ลงเลยทีเดียว!!!

รถไฟของอินเดียถือว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงประชากรกว่าล้านคนของอินเดียไม่ให้อดอยาก เริ่มตั้งแต่ พนักงานขายตั๋ว แม่บ้านทำความสะอาด คนดูแลสถานี กูลีแบกของ คนซ่อมรองเท้า คนขายน้ำ คนขายถั่ว คนขายชาร้อน คนขายหมาก ขอทาน(อันนี้เป็นอาชีพรึป่าว???) และนอกจากจะช่วยหากินแล้วยังช่วยส่งคนชุดส้มไปหาพระเจ้าที่หิมาลัยอีกด้วย ...เห็นความสำคัญรึยัง?

first time in India train

ก่อนถึงวันเดินทางหนึ่งวันผมมีอาการนอนไม่หลับและตื่นเต้นกับการนั่งรถไฟที่มีชื่อเสียงเรียงนามน่าเกรงขามที่สุดในโลกครั้งแรกของของการนั่งรถไฟอินเดียผมนั่งเพื่อไปเที่ยวสองเมืองที่ใครพูดถึงอินเดียก็ต้องนึกถึงเมืองนี้เเน่ๆ เมืองพาราณสี (Varanasi)เมืองแห่งอารยธรรมริมแม่น้ำคงคาและเมืองคยา (Gaya)เมืองที่มีคนไทยใจบุญเยอะมากๆเพราะที่นี่มีต้นศรีมหาโพธิ์และวัดไทยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

ณ สถานีรถไฟ Siliguri JN เวลาเที่ยงตรงเป๊ง! บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนหนุ่มเอเชียสองคนตื่นเต้นกับสถานีรถไฟแห่งนี้ มองไปตามรางรถไฟตามพงหญ้ามีหนุ่มสาวชายหญิงอินเดียกำลังนั่งทำสงครามทิ้งระเบิดกันอยู่เป็นหย่อมๆ มองใกล้เข้ามาอีกหน่อยก็มีชายอินเดียวกำลังอาบน้ำกลางแจ้งโดยใช้น้ำจากสายยางล้างรถไฟ.....เชี่ย!

ถ้าเป็นหนังนี่ก็เพิ่งเริ่มฉากแรก จากที่ฟังพี่จอยเล่าเกี่ยวกับเมืองสิริกุรี้ (Siliguri) พี่จอยบอกว่าเมืองนี้ยังไม่นับว่าเรียลอินเดียนะถ้าเทียบกับ เมืองพาราณสีและกายา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนขี้แบบout door เป็นเรื่องปกติ โดยไม่แคร์สายตาของนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาทั้งนั้น ถ้าถามผมว่าเคยมีประสบการขี้out door มั่ย ผมคงรู้สึกตอบไม่เต็มปากว่าไม่เคย คือผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าการขี้ครั้งนั้นของผมเรียกout doorรึป่าว อยากรู้มั่ยครับว่าครั้งนั้นมันเป็นยังไง ตอนนั้นผมอยู่ ม.6 ผมเรียน รด. คงนึกออกใช่มั่ยครับว่ามันคือที่ไหน ใช่ครับเขาชนไก่ มันคือประสบการณ์ขี้ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการขี้ของผมเเล้ว ตอนนั้นผมกะว่าจะเก็บของเสียในร่างก่ายเอากลับไปปลดปล่อยที่บ้านจนมาถึงวันสุดท้ายลำใส้ผมทนไม่ไหว ผมเลยต้องจำใจวิ่งไปเข้าห้องน้ำในป่า ผมก็ไม่คอยอยากเรียกมันว่าห้องน้ำหรอกครับ เพราะว่ามันมีแค่โถส้วมที่มีระเบิดของนักเรียน รด. คนที่แล้วๆ กองอยู่เป็นภูเขา ผนังกั้นระหว่างห้องก็มีแค่สแลนบางๆกั้นเป็นฝาผนั่งความสูงสามารถนั่งมองหน้ากันระหว่างขี้ได้ ส่วนหลังคาอย่าไปพูดถึงมันมีทำมเปลืองงบมีโถ่ส้วมให้ก็บุญแล้ว! พอขี้เสร้จจะล้างตูด เอ้าไม่มีน้ำล้างตูด!!! พอทีผมขอหยุดเรื่องห้องน้ำที่เขาชนไก่ไว้แค่นี้กลับมาสู่เรื่องเที่ยวอินเดียต่อดีกว่า พอหลบสายตาจากคนครี่หันไปเจอคนกำลังอาบน้ำอยู่ตรงรางรถไฟโดยใช้น้ำจากท่อน้ำสำหรับล้างรถไฟ โอ้ยย!!! นี่ขนาดยังไม่เรียวนะพี่จอย อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันกำลังจะไปทำงานสดชื่นมั่ยหละมึง พอผมเลิกเดินสำรวจสถานีไปหานั่งพักเหนื่อยรอรถไฟบริเวณเก้าอี้สาธารณะระหว่างที่นั่งอยู่ก็มีขอทานเดินมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย แต่ผมก็ไม่ได้ให้เงินพวกเขาไปหรอกครับ ลำพังไว้เที่ยวยังไม่รู้จะพอรึป่าวเลย

13:00 น. เวลาในตั๋วบอกว่ารถไฟจะมาเวลานี้ นั่นผ่านไปแล้ว 10นาที ใจเริ่มเสียมันเล่นกูแล้ว2ชั่งโมงแน่เลย แต่มันก็ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกครับเพราะอีก5นาที รถไฟไปพาราณาสีก็มาเทียบที่ชานชลา

รถไฟตู้ 3A IT NOT TOO BAD! จริงๆนะไม่ได้เลวร้ายเลยมีแอร์มีคนบริการณ์ก็แหง่สิราคาตู้นี้แพงกว่าตู้สลีปเปอร์ตั้งหนึ่งเท่าตัว จะไม่ให้มันสบายกว่าได้ยังไง รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชลา เตียงนอนบนตู้3Aในหนึ่งช่องจะนอนได้6คนมีสองฝั่งๆละ3ชั้น ผมนอนชั้นบนสุดอยู่ตรงช่องแอร์พอดีเป๊ะ ตอนนอนไม่ต้องพูดถึงหนาวสัสๆ

(ขอตีลังกายันนอนยันว่ารถไฟตู้นี้สะอาดแล้ว!It is not too bad.)


จากสถานี สิริกุรี้ ( Siliguri JN ) สู่สถานีมงคลสาหร่าย ( Mughal sarai ) สถานีปลายทางชื่อโคตรไทยฟังทีแรกนึกว่าชื่อพ่อใครเสียอีก การเดินทางครั้งนี้ใช่ว่าจะใช้เวลาประมาณ15 ชั่วโมง เวลาตามตั๋ว แต่ผมเชื่อว่ามันต้องเลทแน่ๆ นอนสิหล่าหลับตาเด้อๆ


ใช้บริการส้วมบนรถไฟอินเดีย(กลิ่นติดจมูกอะบอกเลย)

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด...ติ๊ด เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตามที่ตั้งไว้ ตี3:30น. แต่จริงๆผมหลับๆตื่นๆมาหลายรอบแล้ว กลัวของหาย และที่สำคัญคือกลัวเลยสถานีเพราะรถไฟอินเดียเวลาถึงสถานีไหนจะไม่มีการประกาศชื่อสถานีผู้โดยสารต้องกะเวลาเอาเอง (ถ้าถามว่ามึงรู้ได้ไงว่าสถานีมึงถึงกี่โมง ไม่ใช่ปัญหาครับเพราะเรามีแอป Indiatrian บอกเรา อยู่ๆตื่นขึ้นมาสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ปวดครี่ครับ มันปวดแบบไม่ไหวแล้วจริงๆขนลุกชูชันไปทั้งตัว ห้องน้ำรถไฟอินเดียOMG!แค่ส้วมตามห้างกลิ่นก็ตลบอบอวนแล้วนี่ส้วมบนรถไฟโอ้ศิวะ แต่ทำไงได้มันจะไม่ไหวแล้วบทจะรอให้ถึงโฮสเทลคงจะไม่ไหว เอาว่ะประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ส้วมout doorในเขาชนไก่ ส้วมร้านอาหารในจีนก็ผ่านมาแล้ว เอาว่ะอีกสักประเทศจะเป็นไร ผมเดินไปเข้าห้องน้ำในรถไฟโชคดีดูจากสภาพแล้วเหมือนพนักงานทำความสะอาดจะเพิ่งมาล้างและกำจัดกองระเบิดออกไป แต่มันก็ยังมีบางกองที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในคอห่านและยังคงเหลือกลิ่นที่แรงระดับพระกาฬอยู่ จังหวะนั้นจะมัวมาวิจารณ์สังเกตนู้นนี่ก็คงไม่ใช่เรื่อง ผมรีบปลดกางเกงออกแล้วนั่งยองๆลงไปหาที่ยึดให้มั่น เพราะรู้สึกว่ารถไฟมันโยกไปโยกมาถ้าไม่หาที่ยึดอาจล้มและเลอะเปอะเปื้อนเป็นแน่ ยึดไว้ให้ดี พรวด!!!! พรวดเดียวเท่านั้น หมดใส้หมดพุงเลยครับ โชคดีมากที่ไม่ต้องใช้ที่วิตอยู่ในนี้นาน ทำความสะอาดเรียบร้อยรีบลุกขึ้นใส่กางเกงแล้วออกไปสูดอากาศดีๆข้างนอก หู้ยสดชื่น..

ปล. มาเที่ยวอินเดียสิ่งที่ห้ามลืมเลยคือ ทิชชู่ทั้งแบบปกติและแบบเปียก***

เห็นพี่แขกเสื้อเทามั่ยครับ นั้นคือพนักงานดูเเลตู้โดยสารของผม เพื่อความมั่นใจว่าแอปแผนที่ของผมไม่มั่ว ผมเลยลองถามพี่แขกว่า

ยูๆ อีกกี่สถานีถึง สถานีมงคลสาหร่าย? พี่แขกทำหน้าเอ๋อๆใส่แล้วบอกผมว่า "สถานีหน้า" แล้วตัดบทจบด้วยการล้มตัวลงนอนต่อ ดีงาม!!!! งั้นผมกลับมาเชื่อแอป map me ของผมต่อดีกว่า ในแอปบอกว่าอีก1ชั่วโมง จะถึง สถานีมงคลสาหร่าย

การถามครั้งนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าเชื่อใครมากกว่าเชื่อตัวเอง"



ที่นี่สถานีมงคลสาหร่าย

ถึงแล้วสถานีมงคลสาหร่ายแล้วทีนี้กูจะไปทางไหนต่อหละสติๆ อย่างแรกคือเดินหาทางออกไปหน้าสถานี ระหว่างที่เดินไปก็มีคนขับรถจะเขามาพาผมไปส่งที่โรงแรมให้ราคาฟันผมหัวเเบะผมยังไม่สนใจเดินต่อไป เพราะเท่าที่ทำการบ้านมาเขาบอกว่าให้เดินออกไปให้ใกล้จากสถานีแล้วค่อยหารถ ราคาจะอยู่ประมาน 300-400รูปี อย่าให้เกินจากนี้ คนที่เดินมาเสนอราคาให้ผมเริ่มต้นที่2,000รูปี พ่องงงมึง เห็นมั่ยครับพี่แขกฟันราคาหัวเเบะกระจายเลย ผมเดินไปเรื่อยๆพยายามไม่สนใจราคาก็เริ่มลดลงจาก2,000 กลาายเป็น1,500 1,200 1,000รูปปี ลืมบอกที่พี่แขกเขาเสนอราคากันมาเขายังไม่รู้เลยว่าผมจะไปไหน พี่แก คิดเองเออเองว่าต้องไป พาราณสี แน่ๆ ถูกครับกูไปพาราณสี แต่กูไม่ไปกับมึงหรอกพี่แขกโกงราคาซะขนาดนั้นขืนไปด้วยพาก็ไปปล่อยตรงไหนดีก็ไม่รู้ ตอนนี้เดินคุมสติออกไปหน้าสถานี แล้วเริ่มหารถ ตอนนี้จากพี่แขกเป็นฝูงเหลือพี่แขกคนเเดียวที่ยังคงเดินตามตื้อให้ผมใช้บริการรถพี่แก ผมหันไปบอกว่า ไอ วิว โก บาย วอค โอเค ด๊อน ฟอโร่ มี แล้วผมก็หันหน้าเดินหนี พี่แขกก็เดินกลับไปทางสถานีรถไฟ ใจนึงก็เห็นใจนะแต่ราคา แพงเกินไป ผมเดินไปได้ไม่ไกลนักก็มีรถออโต้ขับมาประชิดตัวผมหันไปมอง เชี่ย!!!ที่พี่แขกคนนั้นเดินกลับไปเขาไม่ได้กลับไปหาลูกค้าใหม่นะ แม่งกลับไปเอารถมาขับตื้อผมต่อ โอ้ศิวะ ความเห็นใจเริ่มเกิดขึ้นผมเลยลองเอาชื่อโรงแรมพร้อมแผนที่ในMaps Me ให้พี่แขกดูพี่แขกหันมาหาผมแล้วถามผมว่า

  • แขก ยูจะไปตรงนี้หรอจ๊ะ
  • Me ใช่ไอนะไปตรงนี้เท่าไหร่หละ
  • แขก 400
  • Me 400อะไร ดอลล่า หรือ รูปี(ก่อนจะตกลงต้องเช็คค่าเงินให้เรียบร้อยทุกครั้งนะครับผมเคยอ่านรีวิวของฝรั่งคนนึงเช่าเรื่อไปชมแม่น้ำคงคา คนพายเรือเสนอราคา100ฝรั่งตอบตกลง พอจบทริปตอนจายตังฝรั่งยื่นแบงค์100รูปีให้ คนพาย บอก100ดอลล่า ไม่ใช่100รูปี ไอบอกตอนไหนว่า100ที่ว่าคือ100รูปี)
  • แขก 400 เอ่อ รูปี จ๊ะนาย
  • Me ไม่เอา ไอ ไม่ชอบราคานี้ มันแพงไป 100รูปี สิ(ตอนนั้นลองดูยังไงก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ได้)
  • แขก เดียวๆยูจะไปที่ไหนหละ
  • Me กูว่ากูก็บอกมึงไปแล้วนะ(อันนี้คิดในใจ555) STOP HOSTEL ยูรู้จักป่าว
  • แขก โอเคๆไปๆ ขึ้นๆๆ
  • Me ไปที่ไหน(เช็คอีกครั้งว่าพี่แขกแกรู้จริงรึป่าว)
  • แขก อ้าวแล้วยูจะไปที่ไหนหละ

เอ้าไอเชี่ยนี่กูก็เพิ่งบอกไปหยกๆ นี่ดีนะผมเช็คก่อนไม่งั้นมีหวังพาผมไปปล่อยกลางทางแน่ๆ ไม่คุยไม่ถามละเดินต่อดีว่า




คุณพ่อช่วยชีวิต

เดินไปไม่นานก็มีรถมาจอดแถบข้างๆผมแต่บนรถมีคุณพี่แขกไวกลางคนนั่งนั่งมาบนรถด้วย ครั้งแรกที่สังเกตุพี่แขกคนนี้ผมรู้สึกแปลกมาเพราะเขาแต่งตัวดูดีสะอาดสะอ้านแตกต่างจากแขกทั่วไปที่อาบน้ำกันนานๆครั้ง ใส่เสื้อผ้ารุงรัง คนนี้ดูท่าทางไว้ใจได้ ว่าแล้วเขาก็โผล่หน้าออกมาถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่า Where are you going? เชดพูดภาษาอังกฤษได้ โอ้ขอบคุณศิวะที่ส่งแขกพูดอังกฤษมาช่วยผม จากนั้นผมก็เอาชื่อโฮสเทลให้ดูเขาบอกไปๆขึ้นๆ นั่งรถคันนี้ไปได้ผมถามว่า กี่รูปีเขาบอก 50รูปี โอ้ really(เสียงสูงปรี๊ด)50รูปีบ้าไปแล้ว เอาไงเอากันลองเชื่อใจแขกคนนี้ดูละกัน ตอนขึ้นรถนี่สบายใจเป็นที่สุด ระหวางอยู่บนรถออโต้คันเล็กๆผมก็ได้พูดคุณกับพี่แขกที่ช่วย ผม จึงได้รู้ว่าพี่แขกคนนี้เป็นบาทหลวงหรือที่เรียกกันว่าfather(คุณพ่อ) ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองพาราณสี คุณพ่อได้บอกให้ผมรู้ว่าราคาแพงสุดของที่นี้แค่ 50รูปีต่อคน อย่าจ่ายแพงกว่านี้นะ ถ้าจ่ายแพงกว่านี้คือโดนโกงแล้ว เชี่ยนี้แสดงว่า400รูปีที่คนไทยจ่ายๆกันมาคือโดนโกงหรอเนี่ย เชดเด้ ขอบพระคุณ คุณพ่อด้วยนะครับที่ช่วยให้ผมเจอราคาสว่าง โอ้จีซัด!


STOPS HOSTLE 8.6 คะเเนน

ในที่สุดก็มาถึงแล้วโฮสเทลที่จองเอาไว้ผ่านเว็บ www.Booking.com ราคาคืนละ250บาทรวมอาหารเช้า ห้องที่จองมาเป็นแบบนอน 8คน พอเช็คอินเสร็จสับเราจะเข้าห้องพักได้ก็ตอนบ่ายโมงตรง ระหว่างนี้ก็มีเจ้าหน้าที่โฮสเทลเข้ามาทำความรู้จักตามประสา ชื่อ มาซู ตัวใหญ่ล่ำๆกล้ามเป็นมัดๆ มาซูเป็นคนปากีสถาน มาซู สื่อสารภาษาอังกฤษเก่งมาก มาซู เป็นคนเฮฮาคอยสร้างสีสรรค์ให้นั่งท่องเที่ยวอยู่ตลอด ยิงมุขตลอด มาซูพาผมไปเก็บกระเป๋าแล้วพาเดินทัวร์โฮสเทล โฮสเทลที่นี่ดีกว่าที่คิดไว้เยอะมากๆ ห้องนอนสะอาดมีแอร์เย็นฉ่ำ ห้องน้ำก็สะอาไม่แพ้กันมีแม่บ้านมาขัดทุกวัน เดินขึ้นไปชั้นบนมีห้องนั่งเล่น ติดกับห้องนั่งเล่นมีห้องครัวที่ทุกคนสามารถใช้ทำอาหารได้ มีตู้เย็น ถัดจากห้องครัวมีระเบียงไว้สำหรับนั่งเล่น ชั้นดาดฟ้ามีห้องน้ำรวม(มาซูบอกถ้าปวดอึแล้วดันมีคนเข้าห้องน้ำอยู่ในห้องก็วิ่งขึ้นมาใช้ตรงนี้แทนก็ได้) หน้าห้องน้ำมี เครื่องซักผ้าทุกคนสามารถใช้ได้ฟรี!ดีงาม250บาท500รูปี พอเดินทัวร์จนครบ ระหว่างรอเข้าห้องพักคุณสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางและอาบน้ำได้ เมื่อได้ยินว่าสามารถอาบน้ำได้ผมรีบขอตัวไปเปิดกระเป๋าหยิบสบู่ผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งไปอาบน้ำโดยไว เพราะตอนนี้เหนียวตัวจะเเย่อยู่แล้ว ปกติไม่ว่าจะหนาวแค่ไหนผมก็ต้องอาบน้ำเช้าเย็นไม่งั้นจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ไม่สุข แล้วคิดดูผมมาจากดาร์จีลิ่งเมืองที่เเม้แต่หน้าร้อนอุณหภูมิก็ยังคงอยู่ที่15องศา สู่เมืองพาราณสีเมืองที่อุณหภูมิร้อนเกือบแตะ45องศา โคตรพ่อโคตรแม่ร้อน



นมัสเตพาราณสี Hello Varanasi

เมืองพาราณสี ตั้งอยู่ที่รัฐอุตรประเทศ (Uttar Pradesh) มีผู้อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสีประมาณ1.2ล้านคน เมืองพาราณสีเป็นเมืองที่เก่าแก่ม๊ากมากเป็นเมืองที่ไม่เคยร้างผู้คนมา 4,000 ปีแล้ว เมืองพาราณสีมีแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำสายหลัก สิ่งที่ต้องกินที่พาราณสีก็คือ ลาสซี่สด (ลาสซี่มันจะคล้ายๆกับโยเกิร์ต กินแล้วท้องไม่เสียแต่ถ่ายดี)

ไปที่นู้นอย่าเรียงเมืองนี่ว่าพาราณสี นะ ให้เปลี่ยนคำว่า"พา"เป็น"วา" "วา-รา-นา-สี"ตามภาษาอังกฤษ"Varanasi" แม่น้ำ คงคา ที่เป็นแม่น้ำสายหลังของเมืองนี้ ก็เหมือนกัน ให้ออกเสียงเป็น "กังกา" แทน "คงคา" ไปเรียก "คงคา" ผมโดนทั้งแขกและฝรั่งทำให้เอ๋อใส่ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนนะเปลี่ยน





เพื่อนกันระหว่างทาง

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จนั่งเล่นโทรศัพท์สักพักเอาให้หายเพลียตอนนี้ยัง9โมงเช้าอยู่เลย อีกตั้งสี่ชั่วโมงกว่าจะเข้าห้องได้ผมเลยตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นรอบๆเมืองเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมเดินลงไปดูแผนที่เที่ยวเมืองของโรงแรมที่ล๊อบบี้ ขณะที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะไปที่ไหนดี ก็มีหนุ่มฝรั่งมายืนอยู่ข้างๆแล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้น

  • ฝรั่ง:hello Where you from?
  • Me:I'm from Thailand. And you?(เสียงสูง)
  • ฝรั่ง:Wow i'm from Germany.
  • Me: Where you gonna go?(เริ่มหาเพื่อนเที่ยวละ )
  • ฝรั่ง: Maybe I gonna go to some Ghat away from here. And you?

(ภาษาไทยละกันเนอะ)

  • Me: ไอยังไม่รู้เลยแต่ก็อยากไปเดินถ่ายรูปริมแม่น้ำ
  • ฝรั่ง:โอ้จริงหรองั้น ไอว่าอาจไปด้วยกันได้นะ
  • Me: ว้าวงั้นไอกันกับยูด้วยละกัน จะไปเลยป่าวไอของขึ้นไปตามเพื่อนไอแปปนึง

ชิบหายเดินคุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อกันเลย...เลยหันไปถามชื่อพร้อมกับบอกว่าคุยมาตั้งนานแต่ไม่รู้จักชื่อตลกดีเนอะ ไอชื่อ โทบัส ไอชื่อเซนนะ เช็กแฮนหนึ่งที โทบัสอายุ22เป็นพี่ผม2ปี โทบัส กำลังเรียนวิศวะอยู่ที่เยอรมัน เมืองอะไรจำไม่ได้ ผมถามโทมัส ว่าทำไมถึงมาอินเดีย โทมัสบอกว่าอินเดียมันเเต่ต่างจากที่เยอะมันมากที่นี้มีวัวเดินกันเต็มถนน ผู้คนจะถุยน้ำลานทิ้งอะไรตรงไหนก็ได้คนที่นี้ใช้ชิวิตกันเรียวมากๆและอีกอย่างโทมัสอยากมาเห็นความสกปรกที่แท้จริง โทมัสถามกลับแล้วทำไมยูถึงมาที่นี่หละ ไออยากมาดูวัฒธรรมของคนที่นี่ อยากมาดูห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก(ใหญจริงทุกที่สามารถเป็นห้องน้ำได้หมด)




HAVE A MANY SHITS ON THE FLOOR!

ขี้มองไปทางไหนก็มีแต่ขี้ ยิ่งรางรถไฟนะมึงเอ้ยขี้เกือบจะเยอะพอๆกับหินรางรถไฟ ขณะที่ผมกำลังเดินถ่ายรูปอย่างเมามันส์ตอนนั้นผมไม่ได้โฟกัสกับการมองทางสักเท่าไหร่พอผมกำลังจะลั่นชัตเตอร์ เสียงของ เจ เพื่อนคนไทยของผมก็แทรกเข้ามา "ไอเซน!!!!ระวั...." ยังไม่ทันสิ้นสุดประโยคครับ แพรตตตตต...ต ผมโดนแล้วครับกองเบอเบริ่มเลย ลื่นด้วยเกือบหงายหลังหัวฟาดพื้นแหนะ ขี้กองนั้นจากการสันนิฐานแล้วเจ้าของหน้าจะท้องเสียปวดจนทนไม่ไหวเลยปล่อยตรงนี้แม่งเลย เป็นไงหละผมก้มมองรองเท้า ภาพที่เห็นคือ เหลืองอร่ามเต็มทุกร่องของรองเท้าผมเลย กลิ่นนี่อยากได้พูดถึง หึ่งไป50เมตร เพราะฉะนั้นทุกย่างก้าวที่พาราณสีต้องมีสติอยู่เสมอ


คงคา แม่น้ำสายน้ำศักดิ์สิทธิ์

หลังจากเดินหลบขี้นับสิบกอง เราก็เดินมาถึงแม่น้ำคงคา แม่น้ำสายสำคัญของอินเดีย เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู แม่น้ำคงคาไหลลงมาจากทางภาคเหนือของอินเดีย บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียไปทางตะวันออก และรวมกับแม่น้ำพรหมบุตรที่ประเทศบังกลาเทศ ก่อนจะไหลออกที่อ่าวเบงกอล แม่น้ำคงคายาวประมาณ 2,510 กิโลเมตร

คนที่นับถือศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่จะเชื่อเรื่องการอาบน้ำล้างบาป โดยเฉพาะที่เมืองพาราณสีนั้นจะศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถล้างบาปได้ ชาวพราหมณ์ จึงพากันลงอาบน้ำล้างบาปอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น ถือว่าบาปที่ทำตอนกลางวันล้างด้วยการลงอาบน้ำในตอนเย็น ส่วนบาปที่ทำตอนกลางคืนก็ล้างได้ด้วยการลงอาบน้ำในตอนเช้า ที่เชื่อกันว่ากระแสน้ำในแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะเชื่อว่าได้ไหลผ่านเศียรของพระศิวะลงมาท่าน้ำแห่งแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี จึงเป็นบุณยสถานของคนอินเดีย และใครก็ตามที่ตายและได้เผาที่ท่าน้ำเมืองพาราณสีแล้วกวาดกระดูกลงแม่น้ำคงคาก็เขาเชื่อกันว่าต้องได้ไปสวรรค์แน่นอน พวกเศรษฐีที่นับถือศาสนาพรมณ์ส่วยใหญ่จะมีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ พอตายก็จะได้สะดวกในการเผาที่ริมแม่น้ำและกวาดกระดูกลงแม่น้ำไปเลย สวนบางคนที่กำลังจะตายที่พาราณสีเขาก็มีโรงแรมรอเวลาตายด้วยนะพอตายปุ๊บก็จะมีคนพาลงไปเผาศพที่ริมแม่น้ำปั๊บ

แต่วันนี้สิ่งแรกที่ผมคิดคือทำไมมันไม่เห็นมีท่าน้ำใหญ่คนเยอะๆเหมือนในรูปเลยว่ะ ถามๆคนแถวนั้นเขาบอกว่าตอนนี้เป็นหน้าน้ำ น้ำเลยเยอะ อ่าวเวร แล้วอย่างงี้เราจะล่องเรือได้มั่ย แขกตอบตอนนี้ห้ามเรือท่องเที่ยวออกจากฝั่งเพราะน้ำแรงมากอันตราย เชี่ยมากมาพาราณสีแต่ไม่ได้ล่องเรือ ไม่เป็นไรก็ดีเหมือนกันได้มาตอนน้ำขึ้นไม่เหมือนใครดี555พยายามคิดให้กำลังใจตัวเอง

แต่ยังดีที่ยังมีผู้คนบางส่วนมาซักผ้าที่ริมแม่น้ำ อาบน้ำ อึ! แปรงฟัน(ใบริเวณที่ติดๆกัน) และยังคงมีพิธีบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ในทุกๆวัน วัฒนธรรมที่นี่เขาสตรอง!จริงๆ



เอาจริงๆแม่น้ำคงคาก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่คิดคล้ายๆกับท่าน้ำนนท์บ้านเรานี่แหละ เพลอๆบ้านเราขยะเยอะกว่าด้วยซ้ำ

มองอินเดียอย่างที่มันเป็น อินเดียก็คืออินเดีย เมืองที่เจริญเขาก็มีบางเมืองเจริญกว่าบางเมืองในไทยก็มี ปล่อยวางแล้วชีวิตจะมีความสุข



ซอกซอนในพาราณสี

เมืองนี้มันก็ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่คิดในตอนแรก เมืองพาราณสีเจริญพอตัวจากที่สังเกตุมามัทั้งร้านขายของมากมาย สิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้าร้านอาหารในตรอกซอกซอยก็เยอะพอตัวร้านอาหารดีๆก็มีเยอะมาก(ราคาถูกแถมกิแล้วท้องไม่เสียอีกด้วย) ตรอกซอกซอนในพาราณสีมากมายหลายบรรญกาศ บางซอนบนผื้นก็เต็มไปด้วยกับระเบิด บางซอยก็มีวัวนอนปิดถนนเต็มไปหมด บางซอนเดินไปจ๊ะเอ๋ เจอแขกกำลังนั่งเบ่งอึอยู่เราก็เกรงใจเปลี่ยนเป็นเลี้ยวซอยหน้าแทน แต่ละซอยในช่วงหน้าน้ำแบบนี้กำทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตตามตรอกซอกซอยโดยปกติแล้วเราจะเห็นภาพวิถีชีวิตริมน้ำเป็นส่วนใหญ




พาราณสีพาไปกินลาสซี่(Lassi)

ลาสซี่ก็คือโยเกิร์ตของคนอินเดีย(ขึ้นชื่อมากที่พาราณสี อร่อยสัส) ลาสซี่มีหลายรสชาติให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นในหมวดของผลไม้ กล้วย มะม่วง มะละกอ แอปเปิ้ล สตอเบอรี่จะเป็นของหวานอย่าง วลิลา ช๊อคโกแลต ก็ยังมี แต่ทีเด็ดมันอยู่ตรงที่เนื้ออันแสนเนียนนุ่มของลาสซี่ ปรับประทานเข้าไปนุ่มละมุนลิ้นไหลลงปรี๊ดๆอย่างบอกไม่ถูก ..... อร่อยจนรุ่งเช้าการขับถ่ายดีมาก ปู๊ดปรี๊ดๆ (ไม่ได้ท้องเสียนะแค่ขับถ่ายดี)

ปล.1.ไม่ต้องกลัวท้องเสียร้านนี้ขนาดฝรั่งที่ท้องอ่อนๆยังกล้ากินลาสซี่ก็ไม่สามารถทำอะไรท้องคนไทยอย่างผมได้แล้วหละ

ปล.2.ใครมาพาณสีแล้วไม่มากินลาสซี่ก็เหมือนมาไม่ถึงนะจ๊ะ


คนในเครื่องแบบ(สีส้ม)

ถ้าใครเคยไปอิยเดียคงคุ้นหูคุ้นตากับคนที่สวมใส่เสื้อผ้าสีส้มทั้งชุดเดินไปไหนมาไหนเป็นขนวบ ส่งกลิ่นหมึนไปทั่วล่า

ผมเจอบุคคลกลุ่มนี้ครั้งแรกตอนนั่งรอรถไฟอยู่ที่สิริกูรี้ ใส่เสื้อผ้าสีส้มมีไม้กระทาคนละอัน ไม้กระทานลักษณะมีกระดิ่ง รูปงูเห่าและรูปพระศิวะติดอยู่ที่ปลายไม้ ประจำตัวคนละหนึ่งอัน ไปไหนมาไหนเป็นหมู่คณะหรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นฝูกก็ได้ เขาจะเดินผ่านไปพร้อมๆกับเสียงโหวกเหวกโวยวายและกลิ่นตัวที่แสนกระอักกระอ่วนยิ่งเจอบนรถไฟขากลับตอนนั่งสลีปเปอร์(ตู้นอนไม่มีแอร์)กลิ่นเหม็นจนหายใจไม่ออก

ความสงใสเกิดขึ้นว่าเขาคือใครแต่งตัวแบบนี้ไปทำไม???ผมก็ได้คำตอบจากคนอินเดียว่าคนในเครื่องแบบสีส้มเหล้านี้เขาศรัทธาพระศิวะมากๆพวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีบ้านไม่มีงานไม่มีอะไรเลย เขาจะใช้ชีวิตเพื่อตามหาพระศิวะ เขาจะนั่งรถไปอาบน้ำที่ตีนเขาหิมาลัย สงใสหละสิไม่มีเงินมันไปกันยังไงคืองี้ รถไฟอินเดียตั้งแต่ตู้สลีปเปอร์ลงไปต้องซื้อตั๋วนะแต่ใครจะขึ้นก็ได้ทำให้พวกชุดส้มเหล่านี้แอบขึ้นมาใช้ชีวิตเดินทางไปหาพระศิวะ พอเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วมาเขาจะรีบเดินเนียนๆไปอยู่ตู้อื่น วนเวียนไปเรื่อยๆจนถึงจุดหมาย



เหตุผลการออกเดินทางของคนบางคน

หลังจากกลับมาถึงโฮสเทคอาบน้ำเสร็จสับ โทมัส ของตัวนอนก่อนสงใสหมดแรง ผมเลยลองเดินขึ้นไปที่ชั้นบนของโฮสเทลคืนนี้ที่โฮสเทลมีตั้งวงเล่นดนตรีและคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ผมก็เข้าไปนั่งแจมๆข้างผู้ชายคนนึงที่หน้าตาดูเป็นมิตร พี่คนนี้มาจาก สวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ ลูกัส ลูกัสเที่ยวมา 80 ประเทศทั่วโลกแล้ว ด้วยอายุตอนนี้ 29 ยางเข้า 30 เที่ยวมาสามสี่ปียังไม่ได้กลับบ้านก็เลยขออณุญาติถามดูว่าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะขนาดนั้นรึว่าค้ายาบ้าหรือปลูกกัญชาขาย นี่คือคำตอบ"ตอนนั้นไอจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนึงละในสวิสเซอร์แลนด์การแต่งงานต้องใช้เงินเยอะมากๆอีกเดือนนึงงานแต่งกำลังจะมาถึง แฟนเสือกบอกเลิก ชิบหายหละสิอกหักไอทำใจไม่ได้เลยสะพายเป้ออกเดินทางโดยเอาเงินที่จะแต่งงานไปเที่ยวแทน"(สัสแต่งงานคงแพงมากสินะใช้สี่ปียังไม่หมด555)เลยถามว่าจะกลับสวิตเมื่อไหร่"ไอจะกลับละประมาณอีกสองเดือนขอไอได้ไปสีลังกาก่อนเพราะตอนนี้เงินของไอก็ใกล้หมดแล้วต้องกลับไปทำเมคมันนี่แล้วhahahahอย่างแรกที่ไอจะทำคือกลับไปอยู่กับแม่แล้วปลูกผักกิน(แล้วเราก็หัวเราะ)แล้วเที่ยวเนี่ยยูได้อะไรบ้าง???"ไอได้ค้นหาตัวเองรู้จักตนเองและไอยังได้รู้จักคนอีกมากมายตลอดการเดินทางและยังมีอีกหลายเหตผล

จบการสนทนากับลูกัส ผมก็มานั่งคิดไต่ตรองสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตลอดการเดินทาง ผมเจออะไรเยอะมาลองเปิดอ่านสมุดบันทึกก็พบว่าทั้งความคิดการมองโลกก็เปลี่ยนไปเยอะมากตลอด 2 ปี ที่เริ่มออกเดินทาง

แล้วคุณหละเมื่อไหร่จะออกเดินทาง???มัวรออะไรอยู่???

" ไม่ต้องกลัวการเดินทางเพราะการเดินทางคือการเรียนรู้"


พาราณสี คนสายเขียว

เป็นที่รู้กันดีว่าสายเขียวคือ คนที่ชอบสูบกัญชา ผมว่าถ้าชาวสายเขียวได้มาเที่ยวที่เมืองพาราณสีแห่งนี้คงจะฟินกันหน้าดูเพราะที่นี่เขาห้ามขายและดื่มสุรา คนเลยหันมาปลูกกัญชาแล้วสูบแทน เก๋ๆ






ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านจนจบนะครับ

โปรดติดตามการเดินทางชุดต่อไปนะครับ "เดินหลบอึที่อินเดีย เมืองคยา "GAYA" เมืองที่สำคัญของศาสนาพุทธ

เซน

 วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.15 น.

ความคิดเห็น