นี่เรายังอยู่ในฤดูหนาวใช่ไหม? ทำไมถึงไม่รับรู้ถึงความหนาวเลย? อีกเดือนกว่าๆ ก็จะหมดหนาวแล้ว ขอไปตามหาความหนาวที่เชียงใหม่ดีกว่า ว่าแล้วก็หาพิกัดเหมาะๆ ที่ (อาจ) สามารถชมทะเลหมอกได้ด้วย และท้ายสุดผมเลือกปักหมุดที่อำเภอเวียงแหง และอำเภอเชียงดาว เพราะอยากไปนอนชมวิวสวยๆ ของดอยหลวงเชียงดาว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมไม่กล้าขับรถขึ้นเขา นี่เป็นประเด็นหลัก ทริปนี้ผมจึงเลือกเดินทางโดยรถไฟไทย และใช้บริการรถขนส่งสาธารณะในเชียงใหม่แทนการขับรถไปครับ

ผมออกเดินทางจากสถานีรถไฟลพบุรี ในเวลา 20.42 น. โดยเดินทางกับรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี (ขบวนหมายเลข 9 และ 10) ซึ่งเป็นรถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 รถไฟมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย (รถไฟจะออกจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ในเวลา 18.40 น.)

ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย กำลังปรับปรุงทางรถไฟช่วงสถานีรถไฟลพบุรี ถึงสถานีรถไฟปากน้ำโพให้เป็นทางรถไฟรางคู่ จึงทำให้การเดินทางช่วงดังกล่าวเกิดการเสียเวลาทุกขบวน (ราวๆ 1 ชั่วโมง++) จากข้อมูลที่ผมเคยเข้าไปดูความล่าช้าของขบวนรถไฟ ทั้งขาขึ้นและขาล่อง ผมขอชื่นชมขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี (น่าจะเป็นขบวนเดียว) ที่สามารถทำเวลาในสถานีถัดไปได้ ทำให้ขบวนรถไฟถึงสถานีปลายทางตรงตามเวลา มีบ้างที่อาจล่าช้ากว่าเวลาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงครับ และวันที่ผมเดินทาง ก็มาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ตรงตามเวลา

เมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ จะมีคนขับรถสองแถว (รถแดง) มาคอยเรียกหาลูกค้า จากสถานีรถไฟเราจะต้องเดินทางต่อไปยังสถานีขนส่งช้างเผือก ระยะทางประมาณ 5 กม. สามารถโดยสารรถแดงหน้าสถานีรถไฟได้เลย เสียค่าบริการคนละ 30 บาทครับ ด้านหน้าสถานีรถไฟมีร้านข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบนะครับ ใครหิวสามารถเติมพลังก่อนได้เลย

ที่หน้าสถานีขนส่งช้างเผือก มีร้าน 7-11 ด้วย แนะนำให้ซื้อขนม นม เนย ติดมือไว้เป็นเสบียง ตอนอยู่ที่ฮาดู่บิก็ดีครับ

ก่อนที่ผมจะเดินทางมาเชียงใหม่ ผมได้จองตั๋วรถตู้โดยสารสายเชียงใหม่-เวียงแหง-เปียงหลวง ไว้กับบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ล่วงหน้า 2 วัน เพื่อที่จะเดินทางไปยังฮาดู่บิ โดยจะมีรถออกจากเชียงใหม่ไปเวียงแหง และจากเวียงแหงกลับเชียงใหม่ วันละ 4 รอบ ในเวลา 07.30 น., 10.00 น., 13.30 น. และ 15.30 น. (รถออกจากต้นทางเวลาเดียวกันทั้งขาขึ้นและขาลง)

แนะนำว่าต้องจองตั๋วล่วงหน้านะครับ โดยสามารถจองที่นั่งได้ล่วงหน้าไม่เกิน 14 วัน ผ่าน Line ID : @417odxjq ( https://lin.ee/ayAiyQX ) ตั้งแต่เวลา 06.00 น.-20.00 น. เมื่อแอดไลน์แล้ว เราจะต้องให้ข้อมูลการเดินทาง ว่าจะเดินทางวันไหน รอบรถกี่โมง ชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ของผู้เดินทาง (ทุกคน) จุดที่จะขึ้นรถ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งแผนผังที่นั่งให้เราเลือก ว่าเราต้องการนั่งเบาะไหน เมื่อเราเลือกที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว เราจะต้องโอนค่าโดยสาร จำนวน 162 บาท (ราคาเดียวตลอดสาย) สำหรับการเดินทางไปฮาดู่บิ เราต้องลงรถที่ “บ้านเลาวู” นะครับ

เมื่อโอนค่าโดยสารเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะส่งตั๋วมาให้ทางไลน์ครับ

กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ มี 10 ข้อ สำหรับเรื่องสัมภาระ ทางคนขับไม่ได้ซีเรียสขนาดต้องมาชั่งน้ำหนักกระเป๋าเดินทางครับ ขนาดกระเป๋าเดินทางล้อลากแบบที่ลากขึ้นเครื่องบินได้ ก็สามารถนำขึ้นรถตู้ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าระวางของเพิ่มครับ

วันที่ผมเดินทางผมจองรถรอบ 10.00 น. ไว้ รอบนั้นน่ามีผู้โดยสารเยอะ เลยมีรถออก 2 คันครับ ก่อนขึ้นรถ เราต้องแสดงตั๋วโดยสาร (ที่ได้รับทางไลน์) รวมทั้งแสดงบัตรประชาชน และให้แจ้งกับคนขับว่าเราจะลงรถที่ “บ้านเลาวู” ครับ

นั่งรถมาประมาณ 1.30 ชม. รถตู้จะจอดแวะให้กินข้าว / เข้าห้องน้ำ ที่ร้านเล็กๆ ข้างทาง ประมาณ 10 นาทีครับ

ออกจากเชียงใหม่เวลา 10.00 น. แวะพักระหว่างทางประมาณ 10 นาที ผมก็มาถึงจุดลงรถที่บ้านเลาวูในเวลาราวๆ 12.50 น. รวมระยะเวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมง เมื่อลงรถตู้แล้วก็โทรแจ้งที่พักเพื่อให้มารับ ซึ่งผมจองที่พักไว้กับ “ฮาดู่บิ แคมป์ปิ้ง” ( https://www.facebook.com/noonew27 ) รอไม่นาน ก็มีรถของที่พักมารับครับ จากจุดลงรถตู้ไปยังที่พัก ระยะทางประมาณ 1 กม. โดยก่อนที่เราจะเข้าไปยังที่พัก เราจะต้องเสียค่าบำรุงพื้นที่ให้กับชุมชน (เพื่อไว้ใช้ในการปรับปรุงถนน) คนละ 20 บาท ถนนที่เข้าไปยังที่พักทั้งแคบ (รถสวนไม่ได้) และชัน สำหรับผู้ที่ต้องการนำรถส่วนตัวเข้าไปจอดหน้าที่พัก ต้องโทรประสานกับที่พักล่วงหน้า เพื่อทางที่พักจะได้เคลียร์เส้นทางล่วงหน้า ด้านหน้าที่พักมีพื้นที่สำหรับจอดรถได้ประมาณ 10 คันครับ

ฮาดู่บิ เป็นภาษาลีซู (ลีซอ) แปลว่า ที่ดินเก่า ที่ตั้งถิ่นฐานเก่า สมัยก่อนบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านมาก่อน แต่เนื่องจากภูมิศาสตร์ไม่ดี ทั้งเรื่องลมที่ตีมาจากทิศใต้ และเรื่องโจรป่า ชาวบ้านเลยได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานกันที่หมู่บ้านเลาวูแทน จวบจนถึงปัจจุบัน

ที่พักที่ฮาดู่บิ แคมป์ปิ้ง มี 2 แบบ คือแบบกระท่อม หลังละ 1,500 บาท นอนได้ 2 คน ราคารวมอาหารเช้า และแบบเต็นท์เล็ก นอน 1 คน ราคาเต็นท์ละ 600 บาท แบบเต็นท์ใหญ่ นอนได้ 2 คน ราคาเต็นท์ละ 1,200 บาท ราคารวมอาหารเช้าเช่นกัน (มีเครื่องนอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และน้ำดื่มให้คนละ 1 ขวด) แต่ถ้าใครนำเต็นท์มาเอง ก็เสียค่าบำรุงสถานที่ 250 บาท/คน ส่วนเรื่องอาหารเย็น จะเป็นอาหารจานเดียว สามารถสั่งเพิ่มเติมได้กับทางที่พักได้เลยครับ

ตำแหน่งที่ตั้งของฮาดู่บิ แคมป์ปิ้ง ตั้งประจันหน้ากับยอดดอยหลวงเชียงดาวเลยครับ เพียงแค่เปิดเต็นท์ ก็มองเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวที่ตั้งเคียงคู่กับดอยนางแล้ว มาถึงที่พักเร็วก็นอนชมยอดดอยหลวงเชียงดาวยาวไปครับ

ที่พักทั้ง 2 แบบ ใช้ห้องน้ำรวมนะครับ โดยจะแบ่งเป็นห้องอาบน้ำ 2 ห้อง (ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น) และห้องน้ำ 2 ห้อง แนะนำเลยว่า ควรอาบน้ำตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขา อากาศค่อนข้างเย็น ช่วงค่ำ หากไม่มีน้ำอุ่น อาบน้ำไม่ได้แน่นอนครับ

คือวิวสวยจริงๆ ครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นมันอิ่มใจมากๆ

แต่ละเต็นท์จะมีเพียงแสงไฟจากโซลาเซลให้เต็นท์ละ 1 ดวง จะส่องสว่างเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น ช่วงค่ำบรรยากาศบนฮาดู่บิเงียบมากๆ เพียงแค่หมาเห่าก็ดังกังวานไปทั่ว แถมยิ่งดึกอุณหภูมิยิ่งต่ำ ได้สัมผัสความหนาวสมใจอยากแล้วครับ

คืนนั้นทั้งคืน นอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะอากาศหนาวเอาเรื่อง 05.30 น. ก็เลยลุกมารอชมแสงแรกของวันซะเลย เช้านี้ฟ้าไม่เคลียร์ มีเมฆค่อนข้างเยอะ เยอะขนาดมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ถึงแม้จะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ แต่ก็ยังพอได้เห็นแสงสวยๆ ที่ไปกระทบกับปุยเมฆครับ

เต็มอิ่มกับบรรยากาศที่อยู่เบื้องหน้ามากๆ ถึงแม้ที่นี่จะมีมุมที่เห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวเพียงไม่กี่มุม แต่การได้มานั่งรอดูความสวยงามของธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตามเข็มวินาทีของนาฬิกา มันไม่รู้สึกเบื่อเลยครับ

สำหรับอาหารเช้า วันที่ผมไป มีข้าวสวย ทานกับต้มฟักและไข่ต้ม บริการพร้อมกับชา กาแฟร้อน แต่เนื่องจากอากาศค่อนข้างเย็น ตักข้าวร้อนๆ มาแป๊บเดียว ไม่ทันไร ข้าวแข็งเลยครับ

เรื่องสัญญาณโทรศัพท์/อินเตอร์เน็ต AIS จะใช้ได้ดีกว่า True สัญญาณ True ค่อนข้างแกว่ง บางทีก็ไม่มีเลยครับ

เช้าวันใหม่ ผมจองรถตู้เพื่อเดินทางต่อไปยังบ้านนาเลาใหม่ โดยจองรถกับบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด เช่นเคย โดยจองรถที่ออกจากเปียงหลวงรอบ 10.00 น. และนัดขึ้นรถที่ร้านกาแฟ AKIPU ซึ่งจะอยู่เลยจากจุดลงรถเมื่อวันก่อนประมาณ 500 เมตร ค่ารถ 162 บาท เท่ากับขามา

ที่พักจะเริ่มบริการรถส่งลูกค้าไปยังจุดขึ้นรถได้ ช่วงเวลา 09.00-10.00 น. เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านลงไปทำงานกัน ทำให้การจราจรบนถนนเลนเดียวจะแออัด หลบรถกันลำบาก อันตรายทั้งขาขึ้นและขาลงครับ

ผมออกจากที่พักเวลา 10.00 น. โดยให้รถที่พักไปส่งที่ร้านกาแฟ AKIPU ร้านกาแฟจะอยู่ข้างทางเลยครับ ภายในตกแต่งน่ารัก เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ (มีจำหน่ายด้วย) ถึงแม้ว่าด้านหลังร้านจะมองไม่เห็นยอดดอยหลวงเชียงดาว แต่ก็ถือว่าบรรยากาศดีครับ

รถตู้โดยสารมาถึงหน้าร้าน AKIPU ราวๆ 11.15 น. ครับ สำหรับใครที่จองรถตู้โดยสารไว้ ผมแนะนำให้มานั่งรอขึ้นรถที่ร้าน AKIPU จะดีกว่าไปนั่งรอตรงจุดลงรถบ้านเลาวูครับ เพราะตรงจุดนั้นหาที่นั่งค่อนข้างยาก แต่ถ้ามารอที่ร้าน AKIPU สามารถนั่งรอรถชิลๆ ได้ถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลา แถมมีห้องน้ำให้เข้าด้วย

จากจุดขึ้นรถตู้โดยสารหน้าร้าน AKIPU ใช้เวลานั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง รถก็มาแวะพักที่ร้านเล็กๆ ร้านเดิม เพื่อให้ผู้โดยสารได้กินข้าว / เข้าห้องน้ำ ประมาณ 10 นาที แล้วเดินทางกันต่ออีกประมาณ 5 นาที รถตู้โดยสารก็มาจอดส่งผมที่ จุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ อำเภอเชียงดาวครับ

จากจุดจอดรถ เราต้องต่อรถสองแถว เพื่อไปยังบ้านนาเลาใหม่ และ เมืองคอง ทั้งสองพิกัดนี้อยู่ในเส้นทางเดียวกัน โดยจะถึงบ้านนาเลาใหม่ก่อน

สำหรับรถสองแถวที่จะไปบ้านนาเลาใหม่และเมืองคอง จะไม่มีเวลาออกที่แน่นอนครับ รถสองแถวจะทยอยออกรับผู้โดยสารจากเมืองคองมาส่งที่ อ.เชียงดาว ในช่วงเช้าจนถึงก่อนเที่ยง จากนั้นจะมารับผู้โดยสารจากจุดพักรถ อ.เชียงดาว ไปบ้านนาเลาใหม่ เมืองคอง ในช่วงเที่ยงไปแล้ว โดยหลักๆ จะมีรถสองแถววิ่ง 6 คัน สามารถไล่โทรสอบถามเวลารถออกจากคนขับรถสองแถวได้โดยตรง เพื่อจะได้สอดคล้องกับเวลาที่เราเดินทางมาถึงจุดจอดรถ จะได้ไม่ต้องรอรถนาน โดยสามารถโทรสอบถามและจองรอบรถได้ที่

1. ป้าบุญ 098-7837217

2. โจ้ 091-8308740

3. ป้าผ่อง 093-1311361

4. ป่อง 092-7380051

5. ลุงอ้าย 065-0496011

6. ป้าพัน 081-0266449

ค่าโดยสารจากจุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ – บ้านนาเลาใหม่ 150 บาท

ค่าโดยสารจากจุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ – เมืองคอง 200 บาท

ค่าโดยสารจากบ้านนาเลาใหม่ – เมืองคอง 150 บาท

จากจุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ นั่งรถแป๊บเดียวก็จะเจอมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมครับ สามารถขอให้คนขับจอดรถเพื่อถ่ายรูปได้ครับ

เนื่องจากบ้านนาเลาใหม่ และเมืองคอง อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จึงต้องมีการเสียค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่ คนละ 30 บาทครับ จากจุดจอดพักรถ นั่งรถประมาณ 45 นาที ก็มาถึงบ้านนาเลาใหม่แล้วครับ คืนนี้ผมจองที่พักไว้กับ บ้านฮัก เฮือนสุข (https://www.facebook.com/profile.php?id=100064441492272 )

ที่พักที่บ้านฮัก เฮือนสุข มี 2 แบบ คือบ้านพักแบบห้องน้ำในตัว (บางหลังจะมีห้องน้ำอยู่ข้างห้อง) คนละ 900 บาท รวมอาหารเย็น+เช้า และแบบเต็นท์ (ห้องน้ำรวม) คนละ 700 บาท รวมอาหารเย็น+เช้าเช่นกัน (มีเครื่องนอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ครีมอาบน้ำ ยาสระผม และน้ำดื่มให้คนละ 1 ขวด)

บ้านที่ผมได้เป็นแบบห้องน้ำในตัว หลังใหญ่เลยทีเดียว สามารถนอนในห้องได้ 4 คน และนอนตรงระเบียง (มีผ้าม่านปิด) ได้อีก 4 คน ในห้องพักใช้ไฟแบบโซลาเซล ไม่มีปลั๊กไฟสำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้านะครับ ถ้าต้องการชาร์จโทรศัพท์ สามารถชาร์จได้ที่พื้นที่ส่วนกลางครับ

ในห้องน้ำไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนะครับ บริหารเวลาการอาบน้ำให้ดี เพราะช่วงค่ำอากาศหนาวมาก อาบน้ำไม่ได้แน่นอน

มีระเบียงให้ออกมานั่งชมวิวด้วย วิวที่เห็นคือดอยหลวงเชียงดาวแบบใกล้แค่เอื้อม เสียดายที่วิวหน้าห้องจะมองเห็นหลังคาบ้าน 2 หลังไปซะนี่

พื้นที่ส่วนกลาง มีกาแฟ และของกินเล่นจำหน่ายด้วยครับ และสามารถนั่งชมวิวของยอดดอยหลวงเชียงดาวแบบไม่มีอะไรมาบดบังเหมือนหน้าห้องผมครับ

ราวๆ 17.00 น. อาหารมื้อเย็นก็มาเสิร์ฟถึงห้องเลยครับ มื้อเย็นเป็นข้าวสวย ไข่เจียว ต้มจืดฟักเต้าหู้หมูสับ ผัดผัก และน้ำพริกลีซู รสชาติอร่อยทีเดียว ที่สำคัญหากไม่อิ่ม สามารถขอเติมได้ครับ

หลังมื้อเย็น แดดร่มลมตกแล้ว ก็ออกไปเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้านกันครับ บ้านแทบจะทุกหลังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพัก และกางเต็นท์ ช่วงเย็นมีของปิ้งย่างขายหลายเมนู มีร้านค้าชุมชนด้วยครับ

แสงสุดท้ายของวัน

ช่วงกลางคืน ออกมาที่หน้าระเบียงห้อง มองเห็นดาวเต็มฟ้าเลยครับ นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นดาวระยิบระยับอย่างนี้ แต่นั่งดูได้ไม่นาน ก็ต้องรีบกลับเข้าห้อง ไปซุกตัวหาความอุ่นใต้ผ้าห่มหนาๆ ครับ

อุตส่าห์รีบตื่นมาตั้งแต่ 05.30 น. เพื่อรอชมแสงแรกของวัน แต่เหมือนวันนี้ดวงอาทิตย์จะขี้อาย ส่องแสงแรกให้เห็นนิดเดียว จากนั้นฟ้าก็เน่าสนิทเลยครับ

ประมาณ 07.00 น. มื้อเช้าก็มาเสิร์ฟที่หน้าห้องพักแล้ว เช้านี้เป็นข้าวต้มหมู และกาแฟ/โอวันตินครับ

แสงก็ไม่มี หมอกก็มาแค่นี้ เศร้าเลย

เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นกลุ่มก้อนเมฆ ก็ส่องแสงเป็นลำ สาดส่องมายังสายหมอกบางๆ ถึงจะไม่ได้เห็นแสงแรกสวยๆ แต่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ ถือว่าพอจะทดแทนกันได้บ้างครับ

บ้านระเบียงดาวคือที่พักแรกที่ผมหมายตาไว้ แต่เนื่องจากห้องเต็ม ทางระเบียงดาวจึงแนะนำ บ้านฮัก เฮือนสุข ให้ ซึ่งบ้านฮักเฮือนสุข ก็อยู่ติดกับบ้านระเบียงดาวเลยครับ ที่สำคัญ เจ้าของเป็นพี่น้องกันด้วย ช่วงสายผมเลยมาเก็บบรรยากาศที่บ้านระเบียงดาว มาจิบชาอุ่นๆ ชมแสงสวยๆ ที่นี่ครับ

ที่ระเบียงดาว มีอาหารตามสั่งด้วยนะครับ ช่วงเที่ยงผมเลยมาฝากท้องไว้ที่นี่ครับ

จุดหมายต่อไป ผมปักหมุดที่เมืองคอง โดยได้โทรจองรถสองแถวไว้ รถมารับผมราวๆ 12.30 น. ค่าโดยสารคนละ 150 บาทครับ นั่งรถประมาณ 45 นาที ก็มาถึงเมืองคองครับ

เมืองคอง เป็นตำบลเล็กๆ ในเขตอำเภอเชียงดาว ซึ่งยังคงความ Slow life สภาพพื้นที่เป็นป่าเขา ทำให้น้ำ ป่า อากาศ ยังคงความบริสุทธิ์ เมืองคองอยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาน้อยใหญ่ มีลำน้ำสายเล็กๆ อย่าง แม่คอง แม่แตง แม่เมิน ไหลผ่าน ชาวบ้านเมืองคอง ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรรม ทำให้เมืองคองเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่มีกินมีใช้อย่างเพียงพอ

ที่เมืองคอง ผมเข้าพักที่ ฮักเมืองคองโฮมสเตย์ครับ (https://www.facebook.com/hugmuangkhong )

ห้องพักจะเป็นบ้านส่วนตัว นอนได้ 2 คน หลังละ 1,000 บาท ในห้องจะมีที่นอน 6 ฟุต พัดลม กระติกน้ำร้อน ผ้าเช็ดตัว น้ำดื่ม และมีห้องน้ำในตัว (ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น) ราคาห้องพักไม่รวมอาหารนะครับ ไฟที่ใช้ในห้องเป็นไฟจากโซลาเซล มีปลั๊กสำหรับชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าให้พร้อม สามารถใช้ไฟได้ทั้งวันครับ ในห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ ถ้ามาในช่วงฤดูฝน เมื่อเปิดหน้าต่างออกไป จะมองเห็นทุ่งนาแปลงน้อยๆ สีเขียวขจี แต่ช่วงที่ผมไป แปลงนากำลังเตรียมแปลงสำหรับปลูกมันฝรั่งครับ

ผมว่าไฮไลท์ของฮักเมืองคองโฮมสเตย์ อยู่ที่ทำเลที่ตั้ง เพราะตั้งอยู่ติดลำน้ำแม่คอง มีเปลญวนแขวนที่หน้าห้องพักแต่ละห้อง ให้แขกได้นอนฟังเสียงน้ำไหล ปล่อยใจไปกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ครับ

ในฮักเมืองคองโฮมสเตย์ มีค่าเฟ่เล็กๆ ชื่อ ฮักเมืองคองคาเฟ่ ให้บริการอาหารตามสั่ง หมูกระทะ และเครื่องดื่มด้วย เปิดให้บริการในเวลา 08:00 - 20:00 น. ครับ

แดดร่มลมตกแล้ว ผมออกไปทำกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่เมืองคอง นั่นคือการล่องแพไม้ไผ่ในลำน้ำแม่แตงครับ โดยจะมีรถมารับถึงที่พัก และพาไปส่งยังจุดเริ่มล่องแพ ระยะทางในการล่องแพประมาณ 4 กิโลเมตร ระหว่างเส้นทางจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน มาลงข่ายหาปลา ได้เห็นฝูงวัวควาย ออกมานอนพักผ่อน บางช่วงผ่านแก่งหินเล็กๆ ให้ได้ลุ้นว่าเราจะเปียกน้ำไหม เป็นหนึ่งชั่วโมงที่เพลิดเพลินเลยทีเดียวครับ

สำหรับใครที่สนใจล่องแพ สามารถติดต่อกลุ่มชาวบ้านล่องแพเมืองคอง ได้ที่เบอร์ 097-9465088 โดยแพ 1 ลำ สามารถนั่งได้ 4 คน ในราคาลำละ 700 บาท และจะมีค่ารถรับจากที่พักไปส่งยังจุดลงแพ และจากจุดขึ้นแพส่งกลับที่พักอีก 100 บาท รวมเป็น 800 บาทครับ ผมมีเพื่อนร่วมที่พักชวนไปล่องแพด้วยกัน เลยมีคนช่วยหารค่าแพกัน 4 คน ก็ตกคนละ 200 บาทเองครับ

ช่วงเย็นๆ จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายอาหารอยู่บนสะพานข้างที่พักด้วย ร้านอาจจะไม่ได้มากมาย แต่ผมก็ได้อาหารพื้นถิ่นอย่างข้าวปุกงามาชิมด้วย แถมยังมีพิซซ่าเวียดนาม มาทานเรียกน้ำย่อย สำหรับมื้อเย็น ผมฝากท้องไว้กับฮักเมืองคองคาเฟ่ กับเมนูคั่วพริกหมูแห้งครับ

หลังฟ้าสิ้นแสง อากาศเริ่มเย็นลง คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นๆ คืนนี้ต้องรีบพักผ่อน เพราะเช้าวันใหม่ผมมีอีกหนึ่งภารกิจที่ตั้งตารอครับ

ผมนัดรถมารับในเวลา 05.30 น. เพื่อขึ้นรถไปชมแสงแรก ที่มองเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาว บนจุดชมวิวเด่นทีวีครับ การเดินทางไปยังจุดชมวิวเด่นทีวีนั้น เราต้องนั่งรถปิคอัพไปตามเส้นทางลูกรัง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร สมบุกสมบันพอสมควร มีสูงชันเป็นบางช่วง เส้นทางค่อนข้างแคบ ใช้เวลานั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

เด่นทีวี เป็นจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อของเมืองคอง ถ้ามาในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะมองเห็นทะเลหมอกลอยฟูฟ่อง โดยมีฉากหลังเป็นยอดดอยหลวงเชียงดาว เหตุที่เรียกจุดชมวิวนี้ว่า “เด่นทีวี” ก็เพราะในสมัยก่อน เมืองคองยังไม่มีสัญญาณโทรคมนาคมต่างๆ การจะชมรายการทีวีที่สำคัญอย่างการชกมวยชิงแชมป์โลกของเขาทราย แกแล็คซี่ จึงต้องหาจุดที่จะสามารถรับสัญญาณทีวีได้ จนชาวบ้านได้มาพบที่นี่ เมื่อมีการถ่ายทอดสด ก็จะพากันแบกโทรทัศน์ขึ้นมาเชียร์มวยที่จุดนี้อยู่เป็นประจำ

สำหรับเช้านี้ ฟ้าไม่เคลียร์อีกแล้วครับ มีกลุ่มเมฆกระจายอยู่มากมาย แสงเช้าโผล่มาให้เห็นน้อยมาก แต่ก็ยังดี ที่พอมีหมอกให้เห็นอยู่บ้าง

จากนั้น คนขับรถพาไปยัง ม่อนอิงฟ้า อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สามารถชมทะเลหมอกได้ในระยะใกล้ ม่อนอิงฟ้าเป็นจุดชมวิวที่อยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 20 บาท โดยจุดชมวิวนี้จะทำเป็นระเบียงไม้ไผ่ ให้นักท่องเที่ยวได้ยืนชมวิวด้วย สำหรับใครที่จะมากางเต็นท์ด้านบนก็สามารถ มีห้องน้ำไว้ให้บริการด้วย

วิวที่มองจากม่อนอิงฟ้า ก็ยังคงเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวเช่นกัน แต่จะมองไม่เห็นเต็มยอดเหมือนจุดชมวิวอื่นๆ เพราะจะมีภูเขาลูกย่อมๆ มาบดบัง แต่ก็นับเป็นจุดชมยอดดอยหลวงเชียงดาวที่ดูแปลกตาดีครับ

สมควรแก่เวลา คนขับรถก็เรียกสมาชิกขึ้นรถ พร้อมส่งกลับที่พักก่อนเวลา 08.00 น. ใครที่มาเที่ยวเมืองคอง แล้วต้องการขึ้นไปชมวิวบนจุดชมวิวเด่นทีวี สามารถโทรติดต่อได้ที่เบอร์ 089-2644187 โดยมีค่าบริการคนละ 150 บาทครับ

ยังพอมีเวลาเหลืออีกราว 2 ชั่วโมง ก่อนถึงเวลาที่ผมนัดรถสองแถวไว้ เพื่อจะกลับลงไปยังอำเภอเชียงดาว ช่วงเวลาที่เหลือจึงขอเดินเล่นในชุมชนครับ

ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงวัดวังมะริว วัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในชุมชน ภายในวัดมีเจดีย์สีทอง ซึ่งภายในเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุด้วย

เมืองคองมีความอุดมสมบูรณ์เรื่องน้ำท่า เพราะสามารถปลูกข้าวได้ 2 รอบต่อปี หลังจากนั้นจะปรับเปลี่ยนผืนนา เป็นแปลงปลูกมันฝรั่ง ช่วงที่ผมไปชาวบ้านเริ่มปลูกมันฝรั่งกันบ้างแล้ว โดยมันฝรั่งจะมีอายุราวๆ 80 วันก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวได้แล้ว ถ้าใครอยากจะมาชมช่วงที่ทำนา คงต้องมาราวๆ เดือน พฤษภาคม – ตุลาคมครับ

ใครที่มาเที่ยวเมืองคอง สามารถเดินทางต่อไปยังห้วยน้ำดัง และ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนต่อก็ได้นะครับ แต่เส้นทางยังเป็นถนนลูกรังอยู่ คงต้องใช้รถส่วนตัว หรือถ้าใครไม่มีรถส่วนตัว ก็คงต้องเหมารถจากเมืองคองต่อไปครับ

ถึงเวลาที่ต้องอำลาเมืองคองแล้ว แต่บอกเลยว่า ใจยังไม่อยากกลับเลย ทำได้แต่เพียงสัญญากับตัวเองว่า จะต้องกลับมาเมืองคองอีกครั้งอย่างแน่นอน มาเมืองคองรอบหน้า คงจะหาโอกาสมาช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนตุลาคม คงจะได้เห็นทุ่งนาสวยๆ หมอกหนาๆ อย่างแน่นอน

10.30 น. รถสองแถวมารับผมที่หน้าที่พักตามที่ได้นัดหมายไว้ ใช้เวลาเดินทางราว 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึงจุดจอดพักรถ บ.ยานยนต์นครเชียงใหม่ จากนั้นรอต่อรถ เชียงใหม่-ท่าตอน เพื่อกลับตัวเมืองเชียงใหม่ครับ รถขาล่องจะออกจากจุดจอดพักรถ ทุกๆ ต้นชั่วโมง วันที่ผมไปคลาดเคลื่อนจากเวลาตามตาราง 15 นาที ใช้เวลานั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ค่าโดยสารคนละ 44 บาทครับ

เมื่อรถแดงมาส่งยังสถานีขนส่งช้างเผือกแล้ว ให้เดินมาที่ด้านหน้า 7-11 จะมีคิวรถสองแถวแดงครับ เราอาจจะต้องรอผู้โดยสารให้ครบ 5 คนก่อน รถถึงจะออก ค่ารถไปสถานีรถไฟ 30 บาทเท่ากับขามา แต่ถ้าหากต้องรีบเดินทาง อาจจะต้องเหมารถไป เนื่องจากผมมีเวลาเหลือเฟือ เลยนั่งรอผู้โดยสารคนอื่นๆ อีกราวครึ่งชั่วโมง

ขากลับนี้ ผมจองรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี หมายเลข 10 รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 โดยรถไฟจะออกจากสถานีเชียงใหม่ในเวลา 18.00 น. และตามเวลาจะถึงสถานีรถไฟลพบุรีในเวลา 04.04 น. แต่เอาเข้าจริงถึงสถานีรถไฟลพบุรีช้ากว่ากำหนดราว 45 นาที หลังจากนั้นจึงทำเวลาได้ในตอนหลัง ทำให้ถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ตรงตามเวลา ในเวลา 06.50 น.

ใครที่กำลังวางแผนเดินทางโดยรถไฟ ผมแนะนำให้เดินทางกับขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี หมายเลข 9 (กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่) และขบวนหมายเลข 10 (เชียงใหม่-กรุงเทพอภิวัฒน์) ครับ สภาพตู้โดยสารใหม่และสะอาดกว่าทุกขบวน เสียงเครื่องยนต์เบา แอร์เย็น มีปลั๊กไฟให้ทุกที่นั่ง ในหนึ่งตู้ มีห้องน้ำให้ 2 ห้อง ห้องโถฉี่ 1 ห้อง แล้วยังมีอ่างล้างหน้าอีก 2 อ่างครับ

สำหรับใครที่มีเวลาในการท่องเที่ยวเพียง 2 คืน (ไม่รวมวันเดินทาง) ผมแนะนำให้พักค้างคืนที่ฮาดู่บิ และ เมืองคอง อย่างละ 1 คืนครับ สำหรับบ้านนาเลาใหม่นั้น อาจจะขอให้คนขับรถสองแถวแวะพัก เพื่อซื้อเครื่องดื่มที่ระเบียงดาว ได้ ระหว่างที่รอเครื่องดื่ม ก็สามารถชมวิวยอดดอยหลวงเชียงดาวแบบใกล้ๆ ได้ครับ

การเดินทางโดยใช้รถขนส่งสาธารณะ ก็มีข้อดีนะครับ คือเราไม่ต้องขับรถเอง เพราะเส้นทางค่อนข้างแคบ และสูงชัน หากไม่มีความชำนาญในการขับรถขึ้นเขา ผมว่าค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว อีกทั้งรถราที่จะต่อไปยังจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ก็มีตลอด ถือว่าค่อนข้างสะดวกในการเดินทาง จะเสียก็ตรงต้องรอเวลารถออก ซึ่งจะทำให้เสียเวลาไปบ้าง และไม่สามารถแวะเที่ยวระหว่างทางได้เท่านั้น

ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการเดินทางนะครับ หากมีปัญหาเรื่องข้อมูล สามารถสอบถามได้เลยครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 13.20 น.

ความคิดเห็น