สวัสดีครับ เพื่อนๆวันนี้ กระผม Tummeng Travel มีทริปดีๆ มาฝากทุกท่านอีกครั้งแล้วนะครับ



การเดินทางครั้งนี้ ผมจะพาทุกท่าน ลองสัมผัสกับ การนั่งรถไฟตู้นอน ในเวียดนาม แบบข้ามคืน เป็นการเที่ยวเวียดนามจากเหนือจรดใต้นะครับ



โดยทริปนี้ ผม บินไปลง ฮานอยแล้ว ต่อรถไฟไปยัง เว้ ดานัง ก่อน จะขึ้นเครื่อง ไปลง โฮจิมินต์ แล้วกลับ กทม ครับ



และทริปนี้ ผมได้เดินทางกับ บล๊อกเกอร์หลายคนเลยครับ ซึ่งทำให้เป็นทริป ที่ผม ถ่ายรูปคน แฟชั่นมา เยอะหน่อย เพราะเท่าที่ผมไปเวียดนามครั้งนี้



ผมมองว่าเวียดนามเป็นประเทศ ที่ เหมาะกับการ ถ่าย แคนดิด หรือ แฟชั่นแนวสตรีทๆ อยู่เหมือนกันนะครับ



ดังนั้นรีวิวนี้ จะ ประกอบไปด้วยรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามเส้นทางที่ผมไป และ จะมีแทรกรูปถ่ายแนวแฟชั่นแบบสตรีทตามสไตล์ผมเข้าไปด้วย



ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมไม่ถนัดถ่ายคน เลยนะครับ นี่น่าจะเป็นกระทู้แรกๆ ที่มีคนเยอะที่สุดในรีวิว



ยังไงก็ลองรับชม รีวิว เวียดนามในสไตลืผม ก้แล้ว กัน ครับ



########################################


SR = Airasiathailand สนับสนุนการเดินทางครั้งนี้ ทั้งหมดครับ

########################################



ปล. หากรีวิวนี้เป้นที่ถูกอกถูกใจของใครหลายๆคน ฝากทิ้งข้อความทักทายไว้ด้วยนะครับจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นทำให้ท่านถูกใจได้



หากใคร จะกดถูกใจ กดโหวต ก็แล้วแต่ความสมัครใจของท่านครับ



ปล. และหากใครอยากติดตามผลงานการเดินทางของผมหรือพูดคุยสอบถามต่างๆ เพื่อความรวดเร็วเชิญไปที่



แฟนเพจผม https://www.facebook.com/TummengMagazine

หากพูดถึงเวียดนาม ผมจะนึกถึง ชุดอ๋าวใหญ่ และ หมวกงอบเพราะ ประเทศเวียดนาม เป้นประเทศแรกๆ เลยที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนในกลุ่ม AEC ล่าสุดที่ผมเคยไป ตั้งแต่สมัยผมทำงาน ใน กทมเกือบ 10 มาแล้ว ตอนนั้นไป ทำงาน กับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพานิชยณ์ แทบไม่ได้เที่ยวใหนเลย ไปสองครั้ง คือ ฮานอย กับอีกครั้ง คือ โอจิมินต์



ดังนั้น ทริปเวียดนามในครั้งนี้ จึงเป้นทริปที่ผม ได้เห้นความเปลี่ยนแปลงของเวียดนาม ในรอบ 10 ปี ว่าไปถึงใหนแล้ว แถมยังได้ไปเที่ยว เว้ ดานัง ฮอยอันเมืองที่ มาแรง ในช่วง 5-6 ปี หลัง มานี่



เอ้า.....ไปดุกันเลยครับ

ทริปนี้ผมได้รับเชิญ จาก แอร์เอเชียไทยแลนด์ ให้ไปร่วมทริป กับ บล๊อกเกอร์ อีก 5 คน เพื่อที่พาไปกันไป เที่ยวเวียดนาม แบบเหนือจรดใต้ ภายใน เวลา6วัน 5 คืน แถมยัง บอกอีกด้วยว่าเป้นการนั่งรถไฟเที่ยว แบบกันเอง ผมเลย ตกลงร่วมทริป ในครั้งนี้ ครับ



แอร์เอเชีย บิน จาก ดอนเมือง ไป ฮานอยทุกวันวันละ 1 เที่ยวบิน โดยเป้นเที่ยว เช้าสุดเลยครับ ผมต้องแหกขี้ตาตื่นออกจากบ้านตั้งแต่ ตี 4เพื่อจะไปแย่งชิงพื้นที่ กับกลุ่มทัวรืจีน ที่สนามบิน 555

ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง สนามบิน นอยไบ ของฮานอย เป้นสนามบินค่อนข้างใหม่เลยครับ และ คนก้ไม่เยอะด้วย


รอกระเป๋าสักพักนึง ก้มาแล้ว โดยทริปนี้ กลุ่มเรา ทำประกันการเดินทางกันด้วยนะครับ เพราะ ที่เวียดนามขึ้นชื่อเรื่อง ของหาย และ อาหารที่ไม่ถูกปาก

เมื่อพร้อมแล้วก็ ออกเดินทางกันเลยครับ



รายละเอียดการท่องเที่ยวในครั้งนี้ ตามรายการด้านล่างเลย

Day1 :: กรุงเทพ>เมืองฮานอย>อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์>วิหารวรรณกรรม>เมืองฮาลอง

Day2 :: ล่องเรือชมฮาลองเบย์>ถ้ำเทียนกุง>ย่านการค้า 36>วัดหง็อกเซิน-ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยม>สถานีรถไฟเดินทางไปเมืองเว้

Day3 :: ถึงเมืองเว้>วัดเจดีย์เทียนมู่>สุสานจักรพรรดิไคดิงห์>ตลาดดองบา>พระราชวังหลวง>สะพานเจ็ดสี

Day4 :: พระราชวังหลวงเมืองเว้>เดินทางจากเมืองเว้ ไปเมืองดานัง>หาดหมี่เค>วัดหลินอึ๋ง>เที่ยวเมืองฮอยอันยามค่ำ

Day5 :: เมืองเก่าฮอยอัน>ช่วงบ่ายมากลับมาดานังขึ้นเครื่องบิน บินไปเมืองโฮจิมินห์

Day6 :: อุโมงค์กู๋จี>ตลาดเบนถัน>โบสถ์นอร์ธเธอร์ดาม>ไปรษณีย์>บินกลับไทย

หลังจาก แวะทานอาหารเที่ยงกันแล้วเราก็ไปเยี่ยมชม อนุสรณ์สถานโฮจิมินห์ซึ่งตั้งอยู่ที่ จัตุรัสบาดิ่ญ(Quảng Trường Ba Đình) ซึ่งเป็น


สถานที่ที่สำคัญมากๆของชาวเวียดนาม เพราะร่างของลุงโฮหรือท่านโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุอยู่ในโลงแก้วสภาพของร่างยังสมบูรณ์มากเพราะอยู่ในห้องที่ได้รับการรักษาอุณหภูมิเป็นอย่างดี แถมยังมีทหารคอยอารักขาอีกมากมายรอบบริเวณ การจะเข้าเยี่ยมชมทำได้ด้วยความสงบ มีการตรวจกระเป๋า และต้องเดินผ่านเครื่องสแกนทุกคนและห้ามถ่ายภาพทุกกรณี ด้วยนะครับ



ต่อจากนั้นเราก็เดินไป ชมทำเนียบรัฐบาลและบ้านพักของอดีตท่านผู้นำโฮจิมินห์ในสมัยก่อนได้ อัตราค่าเข้าชมอยู่ที่ 25,000 ดอง หรือเป็นเงินไทยประมาณ 40 บาท(สกุลเงิน 600 ดอง เท่ากับ 1 บาท) สำหรับคนเวียดนามเข้าชมฟรี

ออกจาก ที่แรก ก้มาเที่ยวต่อที่ต่อไครับ


นั่นคือ “วัดเสาเดียว" ผู้คนต่างพากันต่อแถวยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปสักการะด้านบนผมขอบายครับ ไม่ชอบต้องต่อคิวยาวๆเลยเดินไปเก้บภาพ ข้างทางดีกว่า

ตายแล้ว ลืมแนะนำครับในทริปนี้ เรามีไกค์สวาสวย เป้นคนคอยพาชมที่ต่างๆ ตลอดทริปนะครับ


หลังจากนั้นเดินทางต่อมาที่ “วิหารวรรณกรรม" ในภาษาเวียดนามเรียกว่า “วานเหมี่ยว" (Van mieu)



วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึง “ขงจื๊อ" และที่นี่ยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนามอีกด้วย

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถตู้ ออกจากฮานอย วิ่งยาว ไปยัง อาลองเบย์ ระหว่างทาง ก้หลับๆตื่นๆ เพราะ เพลีย กับการตื่นเช้าเลยมีโอกาส เก้บภาพข้างทางมาเล็กน้อย บรรยากาศระหว่างหลังจากออกมาจากฮานอย ก็เป้น ถนน สองเลน แบบ ชนบท บ้านเรานั่นแหละครับเป้นเมืองเล็กๆ สลับ กับทุ่งนา



มาถึงฮางลองเลย์ก็ค่ำแล้ว ทานอาหาร แล้วก็ เข้าที่พัก เพื่อ จะตื่นแต่เช้าไป ยัง ท่าเรือ เพื่อ จะนั่งเรือชมวิว อ่าว ฮาลอง อันเลื่องชื่อ ของเวียดนาม ครับ



ตอนเช้า เราออกจาก รร แต่เช้า เพื่อ จะได้ มาออกเรือ รอบเช้า ครับ

ตอนมาถึง ก้ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก เพราะ ยังเช้าอยู่ ประมาณ 8 โมง เรือจอดรอที่ท่าเรือ เยอะมาก พร้อมกับ บรรยากาศฟ้าขาว เหมือนฝนจะตก ครับ ทริปนี้ เลย เริ่มทำใจ ว่าสงสัย ไม่ได้ มาเวียดนาม แต่ ไปดผล่ อาเจนติน่า แทน


เมื่อขึ้นเรือเสร็จแล้ว เรือ ก้พาเราออกไปแล่น อยู่กลาง อ่าว อาลองเบย์ ซึ่งมันต่างกับภาพที่ผมคิดไว้อย่างสิ้นเชิงถ้ามาในวันฟ้าใสๆแดดดีๆ คงสวยมากจริงๆสมคำร่ำลือ แต่นี่มันอะไรกัน


เมื่อถ่ายวิวไม่สวย ผมเลย เริ่มหันไปถ่ายผู้ร่วมทริปครับ 555


ถ่ายรูปกันเพลินๆ เรือก็พามาแวะที่“ถ้ำเทียนกุง" หรือในชื่อไทยแบบสวยๆเรียกว่า ถ้ำวิมารสวรรค์ค่ะ เป้นถ้ำขนาดใหญ่ บนเกาะ ใน ฮาลองเบย์



ต้องบอกว่าเป็น หนึ่งในจุดหมาย ที่ เรือทุกลำต้องแวะเลยปรากกว่า คนเยอะมาก ครับ



ข้างใน มีหินงอกหินย้อย แต่ตบแต่งด้วย ไฟสีสัน สวยงามทีเดียว

ออกจาก ถ้าเทียนกุง ก้ล่องเรือไป ชม เกาะแก่งต่าง ก่อนจะเริ่มวกกลับ



และเริ่มเสริฟอาหาร เที่ยงบนเรือครับ นั่งทานอาหารไปด้วย ชมบรรยากาศ ไปด้วย ฟินสุดๆ


และสุดท้าย เรือ ก็กลับมาเที่ยบท่าที่เดิม
ใช้เวลาในการล่องเรือ รวมเข้าถ้ำเทียนกุงประมาณ 4ชั่วโมง ซึ่งได้ชมเพียงแค่ส่วนหนึ่งของอ่าวฮาลองเท่านั้น ถ้าจะชมในทั่วจริงๆ อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆเลย ซึ่งก็จะมีทัวร์แบบค้างคืนให้บริการด้วย นั่นคือล่องเรือไปเลยๆ นอนค้างคืนบนเรือออกจากฮาลอง นั่งรถย้อนกลับมาฮานอยอีกครั้ง เพื่อ จะต่อ รถไฟไปยัง เมืองเว้



จึงมีเวลา แวะเที่ยว อีกที่หนึ่ง คือ ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยม หรือ ทะเลสาบคืนดาบ

ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยมแห่งนี้ มีวัดหง็อกเซิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่ต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวฮานอย วัดหง็อกเซินจะอยู่บนเกาะกลางน้ำ การจะเดินทางไปนั้นต้องเดินข้ามสะพานแดง หรือที่เรียกในภาษาถิ่นว่าสะพานเทฮุก มีค่าเข้าวัดอยู่ที่คนละ 30,000 ดอง

และวัดแห่งนี้ ก็จะมีผุ้สูงอายุ มานั่ง คุยพบปะกัน และเล่นหมากรุก กัน ให้เห้น ทั่วไปในบริเวณวัด

และอีกหนึ่งสัญลักษณ์ ที่ชัดเจนของที่นี่คือ สะพานสีแดง อันนี้ มองเผินๆ เหมือน สะพานญี่ปุ่น



เมื่อผม เห้นสภาพอากาศ เลย ตกลงปลงใจ ว่า ทริปนี้ เน้นถ่ายคนดีกว่าจึงเริ่ม เป้นที่มา ของ การ ตามถ่ายเด็กแนว สองคน ในทริปนี้ ครับ 55



และฝั่งตรงข้ามทะเลสาปคืนดาบ จะเป็น ย่านการค้า 36 สาย ที่นี่เป็นแหล่งช็อปปิ้งชั้นดีสำหรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ สิ่งที่น่าสนใจคือพวกเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม ของก๊อปราคาถูก


หลังจาดทานมื้อเย้นเสร็จเราก้ไปยัง สถานีรถไฟ ในฮานอย เพื่อเดินทาง ไปยัง เว้ โดยระยะเวลาในการเดินทางคือ 13 ชั่วโมง งานนี้ เลยได้โอกาส นั่งรถไฟตู้นอน ของต่างประเทศอีกครั้ง หลังจาก ครั้งก่อนนั่งที่อินเดีย



รถไฟเวียดนาม เรียกได้ว่า แทบจะตรงเวลา เลย ครับ เพราะ พวกเราเกือบตกรถไฟ เลยมีเวลาถ่ายรูปในสถานี น้อยไปหน่อย


ตู้นอนของรถไฟเวียดนาม จะเป็นห้อง สี่เหลี่ยม มีเตียง สองด้านด้านละสองชั้นขนาดพอเหมาะไม่อึดอัด



ตรงกลางห้องเป็นที่วางของมีปลั๊กไฟให้ เตียงละรู ดังนั้นควรพก ปลั๊กพ่วงไปด้วย



ถ้าในห้อง มีแต่ กลุ่มเดียวกันเองก็คงสะดวกสบาย แต่ ถ้า เป้นคนไม่รู้จักกัน คงอึดอัดอยู่บ้าง



นอน แปบๆ ตื่นมา เช้าแล้วครับ เพื่อนในกรุ๊ป เริ่มออกมา เก็บภาพกันแล้ว



ถ้าถามผม ว่า รถไฟเวียดนามเป้นอย่างไรบ้าง ผมก็คงตอบตามประสา คนเคยผ่านรถไฟอินเดีย มาว่า ดีเกินกว่าที่คาดไว้เยอะครับ ทั้งเรื่องตรงเวลา ทั้งเรื่องความสะอาดมีอาหาร มี เครื่องดื่มขาย สภาพตู้ไม่เก่ามาก ไม่อึดอัด

การเดินทาง ไปยังประเทศต่างๆ บนโลกนี้ หากจะให้เข้าถึง วัฒนธรรมประเทศนั้นจริงๆ ต้องลองใช้ บริการ รถไฟ ของเขา ครับ จะทำให้รู้ว่า คนในประเทศนั้นเขาเดินทาง กันอย่างไร กินอยู่อย่างไร



หลายครั้งที่เวลาผมออกเดินทาง และมักจะทำตัวกลมกลืนกับคนท้องถิ่นด้วยการนั่งรถไฟ

นั่งมา 10 กว่าชั่วโมง รู้สึกเมื่อย เลย ออกมายืดเส้นยืดสาย ระหว่าง รถไฟ จอดสถานีต่างๆ ครับ



มาถ่าย แฟชั่น ชุดนอนบนรถไฟกันหน่อย 555



เมื่อครบ 13 ชั่วโมง รถไฟก้มาจอดที่ สถานี เว้ ซึ่งเป้นจุดหมาย ที่เราต้องการมาเที่ยว ในวันที่ 3 ของเวียดนาม



ก็พากันลงจากรถไฟ แล้ว ไป เช้คอิน อาบน้ำอาบท่า กันที่ โรงแรม ก่อน เพราะบนไฟไม่มี ห้องอาบน้ำ



สำหรับเมืองเว้ เรามาเริ่มต้นเที่ยวกันที่นี่เลย ที่วัดเจดีย์เทียนมู่วัดดังริมแม่น้ำหอม จุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ทรงเก๋งแปดเหลี่ยม สูงเจ็ดชั้นที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ด้านหน้าวัด


อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของวัดเจดีย์เทียนมู่ ก็คือรถยนต์สีฟ้าคันนี้ ความสำคัญอยู่ที่เมื่อปี 2506 เจ้าอาวาสได้ขับรถยนต์คันนี้ไปยังใจกลางเมืองไซง่อน (หรือเมืองโฮจิมินห์ในปัจจุบัน) แล้วทำการเผาตัวเองประท้วงรัฐบาลที่บังคับให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์และทำร้ายพุทธศาสนา วัดแห่งนี้จึงมีความสำคัญมากสำหรับชาวเมืองเว้

เมื่อ สมาชิก อยู่ด้วยกันมา สามวันก้เริ่มคุ้นชินกันเลย เลย เป้นการง่าย ที่จะชักชวนกันมาถ่ายแบบ 55 สถานที่แห่งนี้ มีมุมให้เก็บภาพสวยๆ หลายมุม เลยครับ


เดิน ไปถ่ายไป มีแดดออกมา สลับ กับฟ้าครึ้ม บ้าง



หลังจากดูจนทั่ว ก้ออกมา รอที่หน้าวัด เพื่อรอรถตู้มารับ ครับ เพราะแถวนี้ จอดรถยากมาก


จากวัดเจดีย์เทียนมู่ ก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงกัน หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเว้ นั่นคือ สุสานจักรพรรดิไคดิงห์สุสานแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยจักรพรรดิไคดิงห์เอง ด้านนอกยิ่งใหญ่อลังการด้วยปูนปั้น ด้านในตกแต่งไว้อย่างงดงามด้วยจิตรกรรมที่ใช้กระเบื้องสี สุสานแห่งนี้มีความสวยงามเป็นอย่างมาก


ตกเย็น เราพากันไปเก้บแสงเย็น ที่ พระราชวัง เมืองเว้ซึ่งตามโปรแกรม เราจะมา ที่นี่เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมข้างใน อีกครั้ง



ก่อนกลับ รร เราแวะถ่าย สะพาน เจ็ดสี แห่งเมืองเว้ เพราะ สะพานแห่งนี้ ตอนกลางคืนจะเปิดไฟ ครบเจ็ดสี เพื่อ ความสวยงาม ยามค่ำคืน



เช้าวันถัดมาเรา ไปยังพระราชวังเมืองเว้อีกครั้ง



พระราชวังแห่งนี้มีต้นแบบเป็นพระราชวังกู้กงจากประเทศจีนภายใน กว้างมาก เดินอยู่ครึ่งวัน ยังไม่หมด

บรรยากาศ โดยรอบ กำลัง มีการปรับภุมิทัศน์ อยู่หลายจุด



หากใครเดินไม่ไหว ก็มีรถม้า ไว้ คอยบริการ เที่ยวชมวัง นะครับ



สำหรับวัยรุ่นอย่างเรา ต้องเดินเท่านั้นครับ เพื่อเก็บภาพสะดวก 555



เจอมุมสวยๆ แสงสวยๆ ก้หยุดถ่าย เพราะ มีเวลา เหลือเฟือ


ที่ พระราชวังเมือง เว้นี่จะเห้นสาวๆ เวียดนาม ใส่สุด อ๋าวใหย่มาเดินกัน เยอะทีเดียวครับ ตามที่เข้าไปสอบถามดุ ส่วนใหญ่ จะเป้น นักศึกษา มาทัศนศึกษา



เสร็จจาก พระราชวังเมืองเว้เรารับประทานอาหาร แล้วก้ออกเดินทาง นั่งรถตู้ ข้ามเมืองอีกครั้ง



ดดยเราจะเดินทางไปยัง เมือง ดานัง โดยใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง
ระหว่างทางจะต้องผ่านอุโมงค์ลอดภูเขาที่ชื่อว่า ฮายวัน (Hai Van) ซึ่งมีความยาวถึง 7 กิโลเมตรเลยทีเดียว ขับรถภายในอุโมงค์ห้ามขับช้ากว่า 40 กม. และห้ามขับรถเกิน 70 กม.ห้ามขับเร็วเพราะป้องกันอุบัติเหตุ และห้ามขับช้าเพราะป้องกันการก่อการร้ายภายในอุโมงค์อุโมงค์ฮายวันสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางของเมืองเว้และเมืองดานัง จากเดิมที่ต้องขับรถข้ามเขาอ้อมไปอ้อมมา ก็ลอดอุโมงค์ตรงๆได้แล้วประหยัดเวลาไปเยอะมากดานังเป็นเมืองริมฝั่งทะเล ในสมัยก่อนเป็นสนามรบกับสหรัฐหลังสงครามจบลงเมืองงี้ราบเป็นหน้ากลอง แถมยังเคยเจอ พายุทุเรียน พัดถล่ม พังราบ ที่ดินโดนทิ้งร้างว่างเปล่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ใครจะมาจับจองก็มาได้เป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนสนใจ แต่ในปัจจุบันเมืองดานังเป็นเมืองที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด ราคาที่ดินตอนนี้แทบจะจับต้องไม่ได้แล้ว แพงมาก ที่ดินริมหาดสวยๆกลายเป็นโรงแรมและรีสอร์ทห้าดาวไปหมดแล้ว

หาดที่เห็นชื่อว่าหาดหมี่เค ตัวหาดยาวมาก สวยสะอาดน่าเล่นน้ำมาก แต่ส่วนที่สวยๆนั้นไม่ได้ถ่ายมา มาถ่ายส่วนที่น่าสนใจมากกว่าคือส่วนปลายหาดด้านซ้าย


มองไปจะเห็นอะไรกลมๆลอยอยู่เต็มทะเลไปหมด ลงมาดูใกล้ๆก็ได้พบกับกระด้งใหญ่ๆ นี่คือเรือหาปลาของชาวประมงที่นี่ค่ะ เป็นเรือกระด้งที่ทำจากไม้ไผ่สาน เรียกว่า “เทวี่ยนทู๊ง"ใช้หาปลาที่ใกล้กับโขดหินซึ่งเรือใหญ่เข้าไปไม่ได้ พบเห็นได้แค่ที่เวียดนามเท่านั้นค่ะ แปลกแต่เจ๋งดี เห็นแล้วอยากลองนั่งเลย

ที่หาดนี้ คงเป้นแหล่ง ที่ชาวเวียดนาม จะมา พักผ่อน กันตอนเย้นๆ ทุกเพศทุกวัย



เผลอแปบเดียว น้องสาวเรา ไป สมาคม กับ เด็กๆ เวียดนาม ซะแล้ว


แวะมาสักการะเจ้าแม่กวนอิม ที่วัดหลินอึ๋งแห่งแหลมเซินจ่า เพื่อ ชม พระอาทิตย์ตก และเก็บแสงเย็นที่นี่


ดานังเป้นอีกเมือง ที่ เหมาะสำหรับคนชอบถ่าย เมือง นะครับ เพราะ มีทั้ง สะพานสวยๆ และตึกอาคาร ที่ สวยๆ มากมาย



มื้อค่ำวันนี้ เราไปเดินหาอาหาร Local กิน ที่ เมือง ฮอยอัน เพราะ อยู่ห่างไปจาก ดานังแค่ 20 กิโล เท่านั้น



ทานเสร้จ ก็เดิน เที่ยว ตลาดฮอยอัน ตอนกลางคืน ซึ่งจะคล้ายๆ ถนนคนเดินบ้านเรา แต่ ฝรั่งจะเยอะกว่าเท่านั้นเอง

เช้าวันถัดมาผม ออกไปเก็บภาพ แสงยามเช้า ที่หาด


ก้จะมี เรือประมง ที่ออกไปหาปลา นำเอา ปลาหมึก กุ้ง ปุ มา ขายยังแม่ค้า ที่มารอซื้อ ที่ชายหาด


บรรยากาศคล้ายๆ แข่งกันประมุล


บางคนก้มารอ สามี ที่ ออกเรือไป เพื่อ รับกลับบ้าน


ช่วงสายๆ ของวัน เราไปเตรียมตัวไปเดิน ย่านเมืองเก่า ฮอยอัน



เดินชมเมืองในตอนกลางวันกันบ้าง การจะเข้าไปเดินในย่านเมืองเก่านั้นต้องซื้อบัตรผ่านประตูก่อน ราคาอยู่ที่ 10$


แวะที่แรกศาลเจ้าแม่ทับทิม แวะมาไหว้พระขอพรกันก่อน หากใครสนใจจะร่วมทำบุญจุดธูปขดแบบเดือนขดละ 800 บาท เค้าจะเขียนชื่อเราที่ธูปและจุดให้ทันที โดยที่ธูปนี้จะติดไฟและค่อยๆสั้นลงๆอยู่ได้หนึ่งเดือนพอดี


หลังจากนั้นก้มาเดิน ช๊อปปิ้ง สินค้า แบรนดืเนม ก๊อปปี้ กัน ครับ โดยนัดกันที่สะพานญี่ปุ่น เพื่อ รวมตัว



ใคร คาดหวังจะมาซื้อ ของ ก๊อบ ที่เวียดนาม ให้ ซื้อที่นี่ นะครับราคา น่าจะดีที่สุด



เดิมเมืองฮอยอันเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมากๆของอาณาจักรจามปาเมื่อครั้งอดีต มีหลากหลายประเทศเดินทางมาทำการค้าที่นี่ จากจุดนี้ทำให้เมืองฮอยอันแห่งนี้รับเอาศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆจากผู้มาเยือนไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือชาติอื่นๆ และหลอมรวมกันจนเป็นเมืองที่มีเสน่ห์



และแน่นอน เป็นเมือง ที่ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกแล้ว



ด้วยสีสันที่สดใส ของตัวอาคารประกอบกับ อาคาร แบบ โบราณ สวยงาม จริงๆ

ใครที่ชอบถ่าย แคนดิด หรือ สตีท คงชอบเมืองนี้ ครับ



ออกจากฮอยอัน เราก็ ตรงไยัง สนามบิน ดานัง เพื่อบินไป ยังโฮจิมินต์ แต่ ปรากกว่า เวียดนามแอร์ไลน์ ทำเรา อดที่ จะไปเดิน ชม เมือง ไซง่อน ยามเย็น เพราะ ไฟล์ตดีเลยื จาก 4 ดมง เป็น 1 ทุ่ม


เมื่อไปถึง โอจิมินต์ เข้าที่พัก ทานอาหาร แล้ว ก้ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่าดงรถติดไปยัง อุโมงค์กู๋จี อีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ของเวียดนาม


ซึ่งที่นี่เปรียบเสมือ เมืองใต้ภิภพ เพราะ ใต้พื้นดิน ถูกขุดเจาะ เป้น ห้อง ต่างๆ เพื่อใช้ ทำสงคราม กับ อเมริกา ในสมัย สงครามเวียดนาม



ช่วงบ่ายเราแวะไปยัง


ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ สีเหลืองเด่นเป็นสง่า สวยสะดุดตามาก ทุกวันนี้ก็ยังเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งส่งจดหมาย จำหน่ายสแตมป์ที่ระลึก และให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงามด้านใน

และ ที่ไกล้ๆกัน ฝั่งตรงข้าม ก็คือ


โบสถ์นอร์ธเธอร์ดามแห่งนี้ รับเอาสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส และยังเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม และเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานพิธีคริสต์ยอดนิยมของชาวเวียดนามด้วย
และสุดท้าย พวกเราก็ เดินทางกลับ จาก โอจิมินต์ ด้วย ไทยแอร์เอเชีย ไฟล์ตเย็นเพราะ ปกติดอนเมือง - โฮจิมินต์ จะมี 3 เที่ยวต่อวัน สามารถ เลือกเวลา ที่สะดวกได้ เลย



สรุป ทริป เวียดนาม เหนือจรดใต้



ถือว่าเป็นทริป ที่ สนุกสนาม และ หลากหลาย ได้ไปยังสถานที่ต่างๆ ของเวียดนาม



ได้นั่งรถไฟ ของเวียดนาม เดินทาง เหนือ - กลาง - ใต้ ก็สะดวกดี



หากใคร คิดจะมา เวียดนาม ก็ ลองหาข้อมุล เพิ่มเติม จาก ทริป ของผม ได้ ครับ



สุดท้ายนี้

ขอบคุณ ไทยแอร์เอเชีย ที่ ชวนผมไปร่วมทริปสนุกๆ นี้



ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน



และ

ขอบคุณ ทุกท่าน ที่ เข้า เยี่ยมชม รีวิว นี้ครับ



แบกเป้เท่ทั่วโลก

 วันพฤหัสที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.38 น.

ความคิดเห็น