สวัสดี....ม่อนจอง

ดินแดนแห่งเทพนิยาย
แฟรี่เทลมากๆๆ ช่วงเวลาที่จดจำไม่ลืม


.

.

.

ยอมรับว่าเป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจแต่แรก แต่ก็อยู่ในใจมาตลอด เพราะอกหักจากมุลาอิแบบฟ้าผ่าแต่ของเตรียมแล้ว ใจก็ไม่อยู่แล้ว ไปไหนก็ได้ณจุดนั้น พอสตาฟบอกม่อนจองยังว่าง ตัดสินใจแบบไม่คิดเลยว่า...ไป


ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่ที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
- สูงจากระดับน้ำทะเล 1,949 เมตร
- เป็นดอยที่เดินไม่ยาก ดันเนินเรื่อยๆ ไม่ถึงกับชันมาก
- ระยะทางเดิน 4-5 กิโลเมตร (ไปกลับ 10 โล)
- ต้องนั่งรถ 4wd ประมาณ 20 นาที เพื่อไปจุดเดิน
- มีห้องน้ำ มีน้ำใช้ตลอด
- มุมถ่ายรูปเยอะ แบบสุดๆ หันไปทางไหนก็สวยไปหมด
- พระอาทิตย์ตกแสงสวยที่สุดดดดดด
- อากาศหนาวมากกกกก หนาวตะโกน เลขตัวเดียว มือใหม่เดินได้ ถ่ายรูปสวย ประทับใจ ให้ไปใหม่ก็ไปอีก

ออกเดินทางสู่ดอยม่อนจองกัน

ทริปนี้กะชิวๆ ของไม่เยอะ แต่เมื่อเปลี่ยนกระทันหัน งัดของทุกอย่างที่มีออกมาขนไปให้หมด และทริปนี้ตัดสินใจแบกกระเป๋าเองค่ะ เราไปกับเพจสวนหลังบ้าน ขึ้นรถระหว่างทางประมาณ 4 ทุ่ม รถก็แวะรับและหลับไปตลอดทาง (รถไปทางอำเภอลี้ โค้งเยอะมาก ดีนะหลับไป ไม่งั้นตุยแน่ๆ)


ตี 5 รถก็พาเราไปแวะที่ตลาดเช้าให้เราซื้อของก่อนจะขับมาถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 7 โมง

ตรงอุทยานมีน้องหมาหลายตัวมากๆ พอเห็นเราลงรถก็รีบวิ่งมาขอของกินเลย ใครถือของกินคนนั้นจะฮอตมาก เพราะโดนน้องหมารุมล้อม น้องๆไม่ดุนะคะ แบ่งอาหารให้น้องๆกันด้วยน้า


ตรงที่ทำการจะมีห้องน้ำให้ได้ทำธุระส่วนตัว ห้องน้ำสะอาด มีหลายห้องและแยกหญิงชาย

พอถึงเวลา 8 โมง เจ้าหน้าที่จะให้เรายืนยันการลงทะเบียนตามชื่อที่ได้จองมา (อย่าลืมบัตรประชาชนนะทุกคน)

หลังจากลงทะเบียนเสร็จรถจะมาส่งเราตรงหมู่บ้านเพื่อได้เตรียมตัวขึ้นรถ 4wd ไปยังจุดเดิน ตรงจุดนี้ใครจะจ้างลูกหาบก็แจ้งได้เลย รอบนี้เราจ้างหาบแค่เต๊นที่เช่ากับเพจ ส่วนกระเป๋าตั้งใจแบกเอง ลองชั่งน้ำหนักแล้วประมาณ 11 กิโล ชิวววววววว

เตรียมของเสร็จ รับน้ำรับข้าวจากสตาฟแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางได้ 

รถที่ไปส่งเรายังจุดเดิน ต้องเป็นรถของชาวบ้านที่ชำนาญทางเท่านั้น เพราะทางแคบและบางจุดมองข้างๆชันมาก ระหว่างทางฝุ่นจะเยอะต้องเอาผ้าบัฟปิดจมูกด้วย เรานั่งรถหัวโยกและใส้เกือบรวมกัน ประมาณ 20 นาที ก็มาถึงจุดเริ่มเดิน

สวัสดีม่อนจอง...เรากำลังจะไปหาเธอออ เริ่มเดินก็เริ่มทำคอนเท้น เดินไปถ่ายรูปไป ทางเดินแรกๆ จะเป็นทางราบสลับกับเดินลงเนิน ยังชิวว เหมือนมาเดินเล่น

เดินไปสักพักเริ่มมีเนินเรื่อยๆ ให้เราพอเสียเหงื่อ และได้หยุดพักมองวิวข้างทางเป็นระยะ ช่วงที่ไปแดดร้อนแต่ลมที่พัดมาเย็นมากๆ ทำให้เวลาพักหายเหนื่อยไว

เดินกันต่อ เดินมาสักพักก็เกือบถึงครึ่งทางแล้วแต่ทำไมมันรู้สึกไกลจัง

เราเดินไม่เร็วมากนัก คุยกับพี่ในทีมไปด้วย ถ่ายรูปกันบ้าง หยุดนั่งพักบ้าง ในใจเริ่มท้อว่าแบกกระเป๋ามาทำไม ทำไมไม่จ้างลูกหาบ 555555

มันเป็นอีกเสน่ห์ของการเดินทางนะ คืออารมณ์และความรู้สึกที่เข้ามาแบบเปลี่ยนไปเรื่อยๆระหว่างการเดินทาง กลับมาคิดแล้วก็ตลกดี

เดินไปสักพักเริ่มเร่งสปีด เพราะทางร่มขึ้นและขาเริ่มอยู่ตัว ธรรมชาติระหว่างทางมักทำให้เราหยุดทักทายและชื่นชม เป็นการพักเหนื่อยไปในตัง ลูกอะไรจำไม่ได้แล้วแต่สีม่วงสวยมากๆ

ระหว่างทางเดินจะเจออุนจิน้องช้างตลอดทาง เพราะดอยม่อนจองเป็นที่อยู่ของช้างโขลงใหญ่ เวลาเดินก็ต้องคอยสังเกตุดีๆนะระวัง เจ๊อะพี่ใหญ่แบบไม่ตั้งตัว

เดินมาพักใหญ่ๆ ก่อนจะหลุดป่าร่ม มองออกไปก็เจอกับเนินที่สูงสุดตา พอมาถึงจุดนี้เรามองขึ้นไปนี่ท้อเลย เจอลูกหาบกลุ่มใหญ่วางหาบอยุ่ใต้ร่มไม้ เราเลยวางกระเป๋าบ้าง ชวนพี่ลูกหาบคุยและควักข้าวเหนียวหมูปิ้งของตอนเช้าออกมาเติมพลังก่อนจะต้องเดินขึ้นเนิน...หมาหอบ

ใช่แล้วเนินนี้ชื่อ...เนินหมาหอบ

พอถึงตรงนี้แล้วถ้าผ่านเนินนี้ไปเราก็จะถึงจุดกางเต๊นของเราแล้ว

มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป

เพลงนี้ลอยขึ้นมาเลย
ดันเนินแบบชัน ด้วยเป็นคนกลัวความสูงก็จะเดินแบบทแยงมุม เดินขึ้น 3 ก้าวและก็พัก ในใจท่องไว้อีกนิดเดียว เราต้องทำได้
ให้กำลังใจตัวเองในทุกก้าว 5555

มองกลับลงไปตรงช่องเล็กๆนั้น นั่นอุโมงที่ฉันโผล่ออกมาหรอเนี่ย สูงมากกกก แต่พอมองออกไปไกลๆ กลับใจฟูขึ้นมาเพราะวิวที่อยู่ตรงหน้ามันช่างสวยงาม ทิวเขาที่กระทบแสงแดด ก้อนเมฆตัดกับท้องฟ้า ลืมความเหนื่อยที่เดินขึ้นมาเลย เราแวะถ่ายรูกสักพักก็เดินขึ้นต่อ

ถึงแล้วเว้ยยยยยยยย เหนื่อยอิ๊บอ๋ายยยยยยยย 55555555
ความสุขของการเดินป่า คือต่อให้เหนื่อยแค่ไหนพอเราขึ้นมาถึงผ่านเนิน ผ่านความหนักของกระเป๋า ผ่านลมหายใจที่หอบมาได้ มันโคตรดีใจ ที่เราไม่ยอมแพ้

เดินต่อมาจะเจอกับลานกอล์ฟช้าง ลานทุ่งหญ้ากว้างสุดตาที่หญ้าเริ่มกลายเป็นสีทอง เห็นแล้วน่าวิ่งเล่นมาก

เดินเลี้ยวซ้ายมาอีกนิดก็เจอป้ายลานกางเต๊น ใจชื้นสุดๆ จะได้วางกระเป๋าแล้ววว 5555 ฉันแบกแกมาทำไม๊

สวัสดีสตาฟซัน ผู้ที่เจอหน้ากันตอนลงรถ 55555 รีบเดินมาทำอาหารเย็นให้เรากินนี่เอง สตาฟซันจิทำอาหารอร่อย กวนๆนิดหน่อย(หรอ) แต่ไปกับซันสนุกมากๆ ทริปต่อไปรีเควสซันอีก ปลาทับจายยยย 

ระหว่างรอซันทำอาหาร ซันบอกพี่ไปเดินเล่นเลย กลับมาถึงได้กินแน่นอน 5555
เราออกมาเดินเล่นถ่ายรูปกัน มองไกลๆเห็นผาหัวสิงห์จุดไฮไลท์อีกที่ของม่อนจอง มองดูเหมือนไม่ไกลแต่จริงๆแล้วต้องผ่านไปอีกหลายเนินมาก พักก่อน แดดร้อนรอถ่ายพระอาทิตย์ตกดินแล้วเช้าค่อยไปกันดีกว่า

แสงเย็นของพระอาทิตย์ที่ตกกระทบหญ้าสีทองที่ลานกอล์ฟช้าง มองแล้วอบอุ่นใจจัง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของดอยที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นมา คนจึงไม่เยอะมาก ผู้คนที่มาวันนี้ต่างมานั่งรอชมความสวยงามของแสงพระอาทิตย์ที่จะลาลับขอบฟ้า

กรุ๊ปเราก็มากันแบบน่ารัก 6 คน กำลังดี ตีกันบ้าง พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน 

พอแสงเริ่มเบาลง ฟ้าก็เริ่มเปล่งแสงสีทองมากระทบกับทิวเขา ให้พวกเราได้เก็บภาพที่สวยไว้ในความทรงจำ

ธรรมชาติไม่อาจบอกกล่าวให้เรารู้ล่วงหน้า ว่าวินาทีถัดไปจะเป็นอย่างไร คนที่อดทนรอและพยายามสื่อสารกับธรรมชาติเท่านั้น ที่จะได้เห็นความสวยงามที่แท้จริง 

ตะวันลาลับ ทิ้งไว้แต่แสงสีทองที่สะท้อนกับขอบฟ้าแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
แนวเขาที่เรายืนนั้น ช่างเป็นที่ที่สวยงามในการจะหันไปบอกลาพระอาทิตย์ยามเย็น พูดได้คำเดียว โคตรสวย สวยแบบน้ำตาคลอ

นำกลับมาได้......"แค่เพียง"ภาพถ่ายและ ความทรงจำ"

ประโยคนี้คือที่สุดในเวลานี้ ถ้ามีคนเห็นภาพนี้และถามว่า ณ เวลานั้นมันสวยแค่ไหนหรอ

: ภาพที่เห็นว่าสวย ไม่เท่ากับที่ผ่านเลนส์ตาเลย มันเหมือนมีมนต์สะกด ให้หลุดเข้าไปอยู่ในเทพนิยาย ม่อนจองทำไมแกสวยอย่างนี้ 

ถ่ายรูปกันจนเมมเต็ม แบตหมด ก็ถึงเวลาข้าวเย็น สตาฟซันจัดให้ กินดีกว่าอยู่บ้านอีก อิ่มอร่อยมากๆเลยฮะ

ในภาพยังไม่หมด มีต้มยำไก่อีกอย่าง

ที่นอนของข้าวตู ด้วยความเต๊นที่มีอยู่ใหญ่นอนได้ 3 คนก็ขี้เกียจขน เลยเช่าของเพจไป มีคนกางให้แบบชิว ไปถึงยัดของเข้าเต๊น เป่าที่นอนลม นอนได้แบบสวยยยย

กลางคืนหนาวแบบสุด ประมาณ 9 องศา ใส่เสื้อไป 3 ชั้น เข้าไปในถุงนอนอีก ใครไปก็เตรียมเสื้อกันไปดีๆเด้อ

เช้าอีกวันเราตื่นมาและเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาหัวสิงห์กัน

เดินมาพอดีพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น แสงสวยสุดๆ

เดินมาพักใหญ่ ไกลจากแคมป์เหมือนกัน ผ่านมาหลายเนินแวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็ใกล้ถึงแล้ว

เย่ เดินขึ้นมาถึงแล้ว ม่อนจองงงงงงงงงงงงง จุดไฮไลท์ต้องมาเช็คอิน
ถ่ายรูปเสร็จก็รีบเดินกลับแคมป์กัน

ว้าวววว เมนูที่มองแล้วดูธรรมดามาก แต่กินแล้วอร่อยมาก มันเรียกว่าอะไรนะ มาโมซ่ามั้ย

ไส้กล้วยอ่ะ ถึงกับใส่ถุงพกมากินด้วยระหว่างเดินลง

ขาลงก็ทำเวลาแบบไม่ได้เร็วมาก เพราะเริ่มแก่เข่าเริ่มแย่นะฮะ เอ็นข้างเข่าร้าวแบบร้องขอชีวิต

เดินลงมาเรื่อยๆจนมาถึงจุดเริ่มเดินแล้วว

แก๊งอกหัก...จากมุลาอิ 5 คนถ้วน @ม่อนจอง

พี่ปั๊ป Wonderingpup

มีคนถามหลายคนว่าไปกับเที่ยวกับใคร....ไปคนเดียวแบบไม่รู้จักใคร ทริปนี้ก็ไปคนเดียวแล้วไปจอยทริปกับเพจ การได้ไปเจอผู้คนที่เราไม่รู้จัก การได้ทักทายผู้คนใหม่ๆ ได้แลกเปลี่ยน พูดคุย มันก็สนุกไปอีกแบบแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจเรา เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราชอบแล้วทำให้หัวใจเรามีความสุขเราจะไคว่คว้าหามัน บางครั้งการรอคอยรออาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เมื่อเรายังมีโอกาสเราแค่ชนะความกลัวและเริ่มเห็นความสุขจากรอบตัว การได้ทำตามที่ใจบอกก็เป็นอะไรที่เติมเต็มพลังชีวิตเหมือนกัน

พี่ปั๊ป Wonderingpup

มาเจอกันโดยบังเอิญ...แต่ความคิดถึงและความทรงจำจะอยู่ตลอดไป
การออกเดินทางคนเดียว ไม่น่ากลัวเท่ากับวันที่จะไม่มีแรงเดินทาง
.
.
.
บ๊ายบายม่อนจอง เจอกันใหม่นะ

พี่ปั๊ป Wonderingpup


ข้าวตูไปไหนอีกเนี่ย

 วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567 เวลา 15.14 น.

ความคิดเห็น