เด็กไปได้ ผู้ใหญ่ไปดี วัยรุ่นชอบ มีความสุขไปกับสวนหย่อมขนาดใหญ่ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
สารบัญ
*** รำลึกจุดหมายของการเดินทางครั้งแรก
*** เป้าหมายในวันนี้
*** หลงรถติดในกรุงเทพ
*** ความคึกคักของฤดูท่องเที่ยวที่ป่าหินงาม
*** การเช่าเต็นท์อุทยานแห่งชาติ
*** ความสะดวกที่ทำให้อุทยานแห่งชาติป่าหินงามคือสวนหย่อมแบบอลังการ
*** ช่วงไหนที่ควรมาเที่ยวที่นี่
*** การเตรียมตัว และคำแนะนำในการเที่ยวที่นี่
*** สรุปค่าใช้จ่ายของผม
ดอกกระเจียว คือพืชล้มลุกประเภทมีหัว อยู่ในวงศ์ขิง ข่า และขมิ้น บานแข่งกันในช่วงฤดูฝน
รำลึกจุดหมายของการเดินทางครั้งแรก
เขาว่ากันว่า ครั้งแรกจะเป็นสิ่งที่จดจำได้ง่าย ลืมยาก น่าจะจริงเมื่อย้อนถึงการเดินทางครั้งแรกของผม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกือบปีที่แล้ว ช่วงท้ายฤดูฝน กับชัยภูมิ ทุ่งดอกกระเจียวของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ที่ไม่ได้เห็นดอกกระเจียวแม้แต่ก้านของมัน
เจ้า YAMAHA Spark 115i รูปเมื่อสมัยที่ยังพึ่งให้มันพาเราไปทั่ว ปัจจุบันประจำการอยู่กับน้องสาว
ในครั้งอดีต เดินทางครั้งแรก ผิดแผน และก็มีความกังวลเต็มไปหมดในช่วงวันแรก รถก็วิ่งช้า จะแซงรถบรรทุกแต่ละที คิดแล้วคิดอีก ไม่แซงก็ไม่ได้ ตามหลังพี่ใหญ่ไปนาน ๆ เหมือนจะน่ากลัว ใช้เวลาเดินทางก็นาน ถึงที่หมายก็ฟ้ามืด กางเต็นท์ก็ไม่เป็น เจ้าหน้าที่ไม่มีซักคน ที่สำคัญนักท่องเที่ยวก็ไม่มี ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดในวันแรกที่เดินทาง แถมไม่ได้ชมดอกกระเจียวด้วย เพราะมันช่วงท้ายของฤดูท่องเที่ยวแล้ว ผลคือต้องกลับบ้านในวันถัดมา แต่ตอนเช้า ขี่รถ YAMAHA Spark 115i อย่างช้า ๆ กลับกรุงเทพ ความสดชื่นตรงนั้น เพียงแค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ เป็นตัวผลักดันให้ผมออกเดินทางอย่างถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ‘ผมชอบเหลือเกินกับการเดินทางอยู่นอกกรุงเทพในตอนเช้า ๆ โดยเฉพาะในป่า ในเขา’
การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างรีบเร่ง ไม่แน่ใจว่าต้องพักกี่คืน (แต่สรุปแล้วอยู่แค่คืนเดียว) และเล็งไว้ว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับ 2 อุทยานแห่งชาติที่เด่นเรื่องทุ่งดอกกระเจียวเหมือนกัน คือ ป่าหินงาม กับไทรทอง
แต่สุดท้ายก็อยู่พักแค่คืนเดียว และตัดสินใจทำรีวิวเฉพาะในส่วนของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามอย่างเดียวก่อน เพราะวันที่ 12 - 14 จะมีทริปเดินทางไปห้วยขาแข้งอีก จึงต้องรีบกลับมาเตรียมตัว
เป้าหมายในวันนี้
ถึงจะเปลี่ยนจากไทรทอง มาป่าหินงามที่ดูจะสะดวกกว่าด้วยเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทำทางไว้อย่างดี เดินสะดวก ไม่ลื่น ไม่เละ มีรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวจำนวนมาก (ที่ไทรทองก็ได้ข่าวว่ามี แต่ครั้งที่ผมไปนั้นเงียบเหงาไร้ผู้คน เพราะเป็นช่วงหมดฤดูท่องเที่ยวพอดี) และครั้งนี้มากับ YAMAHA เช่นเคย แต่เป็น M-Slaz ที่เพิ่ม cc. เข้ามาอีกนิด ตัวใหญ่ขึ้นมาอีกมากหน่อย หนักมากขึ้น แต่ไม่มีปัญหากับเส้นทางจากกรุงเทพสู่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามเลย เพราะถนนลาดยางมาตลอดจนถึงอุทยาน ความสะดวกอีกอย่างคือการที่เราไม่ต้องเปิดเบาะเติมน้ำมันเหมือนครั้งใช้ Spark 115i ที่แพ็คของไว้ตรงเบาะหลังรถเยอะมาก แล้วต้องมานั่งขนขึ้น ขนลงตอนเติมน้ำมัน อีกทั้งถังน้ำมันก็เลิกกว่า M-Slaz มาก ทำให้ต้องเติมน้ำมันบ่อย พร้อมกับพกถังน้ำมันสำรองไว้ตลอดเวลา แต่หลังจากใช้ M-Slaz ผมไม่เคยต้องใช้ถังน้ำมันสำรองอีกเลย ยิ่งถ้าวิ่งไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณอาจจะแปลกใจที่ M-Slaz ประหยัดน้ำมันได้ถึงประมาณ 50 กิโลต่อลิตรได้เลยในการขี่เรื่อย ๆ ออกต่างจังหวัด
เจ้า M-Slaz ครั้งเมื่อไปภูลมโล ตอนนั้นแบกเต็นท์ เครื่องนอน แบกอุปกรณ์ทำครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วย แล้วก็อุปกรณ์ถ่ายภาพ หนักแบบนี้ แต่ตอนกลับยังเปรี้ยวขี่หนัก ๆ วิ่งไปภูขี้เถ้า ซึ่งทางวิบากเอาเรื่อง และชันเป็นจุด ๆ
หลงรถติดในกรุงเทพ
ผมออกจากกรุงเทพโดยการแวะไปหาน้องสาวแถวรามคำแหงก่อน จนถึงเที่ยงก็ออกเดินทาง โดยให้ GPS นำทาง แต่ไม่ได้เช็คเส้นทางให้ดีก่อน รถติดเป็นเรื่องที่ทำใจไว้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ตอนวิ่งไปรู้สึกกังวล เพราะถึงผมจะเกิดกรุงเทพ แต่แทบไม่จำเส้นทางในกรุงเทพเท่าไหร่เลย ใช้มือถือนำทางมาตลอด พอวิ่งออกจากราม GPS ก็พาไปถนนหมายเลข 9 ดูแล้วเหมือนจะมีค่าผ่านทาง และผมไม่ได้มาแถวนี้บ่อย ไม่แน่ใจว่ามีถนนเลียบทางไปด้วยไหม จึงวกเข้าเมือง วนไปวนมา หลงไปกับรถติด กว่าจะออกมาได้ก็ปาไปบ่ายโมงถึงจะเริ่มพ้นเขตกรุงเทพ
M-Slaz กับทริปนี้ ขนของน้อยลงเพราะไม่ได้เอาเต็นท์กับเครื่องนอน รวมถึงเครื่องครัวก็ไม่ได้เอาไป แต่อุปกรณ์กล้องมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ยัด ๆ ลงไปในกล่องหลังได้เกือบหมด แต่ก็ค่อนข้างแออัด แต่สำหรับตัวกล้องจะสะพายติดตัวไว้ตลอดเวลากับเลนส์ระยะ 24-70 mm.
จากนั้นก็วิ่งยาว ๆ โดยใช้ถนนเส้นหลักอย่างถนนหมายเลข 1 ต่อด้วยถนนหมายเลข 21 จนถึงลพบุรีถึงเริ่มออกเข้าสู่ถนนเส้นย่อย ๆ ซึ่งถนนก็อยู่ในสภาพที่ดี ใช้เวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง รวมเวลาพักระหว่างทางอย่างไงก็น่าจะถึงแน่นอนครับ บางคนอาจจะใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงด้วยซ้ำกับระยะทางประมาณเกือบ 300 กิโลเมตร
มีจุดอยากแวะถ่ายรูปอยู่บ้างระหว่างทาง แต่ก็ตัดสินใจไม่แวะวิ่งยาวตลอด เพราะคำนวนแล้วน่าจะถึงอุทยานแห่งชาติในช่วงบ่ายแก่ ๆ กลัวว่าจะไม่มีเวลาสำรวจ และถ่ายแสงเย็นได้ เพราะถ้าถ่ายแสงเย็นได้ เก็บข้อมูลช่วงเย็นได้พอใจ อาจจะได้กลับบ้านเร็วเพื่อมาเตรียมตัวสำหรับทริปถัดไปได้
กระทู้รีวิวเก่า เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว
นาขั้นบันได ขุนเขา ไอหมอก กลิ่นดิน กลิ่นน้ำ แสงดาว และตะวัน - บ้านป่าบงเปียง - เชียงใหม่ (http://pantip.com/topic/35452677)
บันทึกสด 6 - 7 ก.ค. 2559 [ผีตาโขน หน้าร้าย แต่ขี้เล่น เพื่อนำพาความทุกข์ให้จากไป] (http://pantip.com/topic/35357253)
บันทึกสด 30 มิ.ย.- 3 ก.ค. 2559 [เชียงคาน หน้าฝน หมอก ยิ้มให้กัน] (http://pantip.com/topic/35345418)
บันทึกสด 29 มิ.ย. 2559 [เมืองเลย ภูบ่อบิด หน้าฝน หมอกและดาวบนดิน] (http://pantip.com/topic/35329482)
บันทึกสด 28 มิ.ย. 2559 [เมืองเลย หลง มันส์ เหนื่อย เปียก ประทับใจ น้ำใจ] (http://pantip.com/topic/35324083)
บันทึกสด 25 - 26 มิ.ย. 2559 [แรกเยือนเมืองเลย ประทับใจถนนลอยฟ้า] (http://pantip.com/topic/35316607)
ยอยักษ์ ตักตะวัน ทะเลน้อย ควายน้ำ นกอพยพ ต้นลำพู - ทะเลน้อย - พัทลุง (http://pantip.com/topic/34977668)
สะพานไม้สุดชิว วิถีชาวมอญ - สะพานมอญ - สังขละบุรี - กาญจนบุรี (http://pantip.com/topic/34907371)
ชมทะเลหมอก ชิมน้ำใจที่เขาพะเนินทุ่ง - เขาพะเนินทุ่ง - อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - เพชรบุรี (http://pantip.com/topic/34582338)
อ่างเก็บน้ำบางพระ สวรรค์นักปั่นจักรยานหาก๊วนรู้ใจ - อ่างเก็บน้ำบางพระ - ชลบุรี (http://pantip.com/topic/35208447)
Page ถ่ายภาพ แนะนำสถานที่เที่ยวของผม https://www.facebook.com/omeoyou/
ความคึกคักของฤดูท่องเที่ยวที่ป่าหินงาม
เพียงแค่ออกจากถนนหลวง ตรงช่วงปากทางก็จะพบกับร้านค้ามากมาย (พิกัด https://goo.gl/maps/ZGTvLmUK8Wq) รอตอนรับนักท่องเที่ยวให้ได้แวะซื้อสินค้าจากท้องถิ่น ตลาดเส้นทางที่ขี่จากปากทางไม่นานเราก็จะถึงตัวอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ซึ่งเป็นทางตัน ใครวิ่งมาตรง ๆ ตามทางก็ต้องเจออุทยานแน่ ๆ (พิกัดที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม https://goo.gl/maps/SokzeC8jb472)
ระหว่างสองข้างทางก่อนจะถึงตัวอุทยาน เราจะพบร้านค้า และรีสอร์ทจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณก่อนถึงประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ จะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ รีสอร์ทอยู่ติด ๆ กันหลายแห่ง แต่เท่าที่คุยกับเจ้าหน้าที่ก็พบว่า ถึงจะมีมากขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาว ก็มีโอกาสเต็มได้เหมือนกัน รวมไปถึงที่พักอุทยาน และลานกางเต็นท์ที่เมื่อช่วงหยุดยาววันเข้าพรรษา พื้นที่กางเต็นท์ต้องรองรับนักท่องเที่ยวที่มานอนเต็นท์กว่า 200 หลัง จนหมดช่วงวันหยุดยาวก็รวม ๆ แล้ว 1000 กว่าหลัง
กรวยจราจรถูกตั้งไว้เป็นแนวให้เห็นเด่นชัดตั้งแต่ปากทางเข้าอุทยาน ซึ่งตอนกลางคืนถนนเล็ก ๆ สายนี้จะมีไฟเปิดไว้ตลอดทาง
ผมขี่รถเข้ามาถึงที่ทำการอุทยานก็จะเห็นลานจอดรถกว้างขวาง และมีรถอยู่จำนวนมาก พลางนึกในใจว่านี้แค่วันธรรมดา ถ้ามาวันศุกร์ เสาร์ คงจะคนเยอะกว่านี้
ภายในพื้นที่อุทยานแห่งนี้จะมีซุ้มร้านค้ายาวตลอดทาง ซึ่งจัดไว้ให้คนในจังหวัดได้เข้ามาขายของที่ระลึก และส่วนใหญ่ก็จะมากินอยู่หลับนอนกันในซุ้มตลอดช่วงฤดูท่องเที่ยว เมื่อหมดฤดูท่องเที่ยวก็จะรื้อซุ้มทิ้ง ชาวบ้านก็จะกลับไปทำอย่างอื่นต่อ
ร้านค้าที่กลายเป็นบ้านอีกหลังเมื่อตะวันลับขอบฟ้าของชาวชัยภูมิที่จะเข้ามาขายของที่ระลึกในซุ้มแบบง่าย ๆ ที่ทางอุทยานจัดทำไว้ให้ก่อนจะรื้อทิ้งเมื่อพ้นฤดูการท่องเที่ยว
จะว่าไปร้านค้าภายนอกอุทยานที่อยู่ด้านหน้าประตูนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของกิจการที่มาจากจังหวัดอื่น เข้ามาเช่าพื้นที่ของคนในพื้นที่เพื่อค้าขายเท่านั้น เมื่อหมดฤดูท่องเที่ยวก็จะเลิกเช่าไปเช่นกัน
ด่านเก็บค่าผ่านทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ค้างคืน ส่วนใครค้างคืนนอนเต็นท์ที่นี่ จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บเงินถึงหน้าเต็นท์เองในช่วงเวลากลางคืน
การเช่าเต็นท์อุทยานแห่งชาติ
ผมนอนเต็นท์เป็นประจำโดยเฉพาะช่วยแรกของชีวิตการเดินทางที่นอนเต็นท์แทบจะตลอดเวลา เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก แต่หลัง ๆ จะมีนอนเต็นท์สลับกับนอนห้องพักบ้าง แต่ก็ยังพยายามหาทางประหยัดให้ได้มากที่สุดอยู่ดีนั้นแหละ
หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะห้ามจอดรถ เพราะจัดที่จอดรถไว้เป็นหลักแหล่งแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจว่าในวันหยุดยาวที่จะถึงในช่วงวันแม่ ที่จอดรถจะรองรับไหวไหม เพราะนี่แค่วันธรรมดาก็ยังมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่น้อยแล้ว แต่ตอนผมเข้าไปติดต่อขอเช่าเต็นท์ และเครื่องนอนนั้นไม่พบนักท่องเที่ยวในนั้นเลย ทำให้เดาได้ว่า นักท่องเที่ยวในวันธรรมดามักจะแวะมาเที่ยว แล้วกลับ ไม่ค้างคืน
การเช่าเต็นท์อุทยานแห่งชาติ ถือเป็นครั้งแรกสำหรับผม เพราะปกติจะพกเต็นท์ไปเอง แต่ครั้งนี้อยากลองดูว่าเป็นอย่างไง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเช่าเต็นท์และเครื่องนอนก็รวมทั้งหมด 285 บาทต่อคืน โดยมีสิ่งที่ได้มาด้วยดังนี้
* เต็นท์ - หลังใหญ่ นอนได้ 4 คนแบบพอดี ๆ แต่แนะนำนอนแค่ 3 คนจะสะดวกกว่า
ตัวเต็นท์กันน้ำได้แต่วันที่ผมไปฝนไม่ได้ตกหนัก ทำให้ไม่รู้ว่ากันได้แค่ไหน รู้แต่ว่าอากาศถ่ายเทได้ดีมาก หน้าต่างเยอะ ด้านบนยังมีช่องลมอีกต่างหาก
สภาพเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติมักจะเป็นการกางทิ้งไว้ยาว ๆ มีการทำความสะอาดบ้าง ทำให้บางเต็นท์อาจจะต้องเลือกดูหน่อย ถ้านักท่องเที่ยวเพิ่งจะกลับ บางทีก็ทำความสะอาดไม่ทัน ฝุ่น ทราย หรืออาจจะมีขยะบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ หรือไม่มีเลย ก็เดินเลือกเต็นท์เอาได้เอง
ผมเคยจะลองเช่าเต็นท์ตั้งแต่ตอนไปอุทยานแห่งชาติภูเรือแล้ว แต่ว่า ช่วงนั้นฝนตกบ่อย ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องเก็บเต็นท์ทันทีที่นักท่องเที่ยวกลับ ปัญหาคือ เหมือนเจ้าหน้าที่จะขี้เกียจกางเต็นท์ให้ผม ตอนผมไปติดต่อขอเช่าเต็นท์ที่นั้น โดนโยนไปโยนมาระหว่าง 2 จุดบริการที่อยู่ค่อนข้างห่างกันจนผมหงุดหงิด เลยบอกว่าไม่ต้องแล้ว ผมออกไปนอนรีสอร์ทหน้าอุทยานเอาก็ได้ ซึ่งจะว่าไปมีน้อยครั้งที่ผมเจอประสบการณ์แย่ ๆ จากอุทยานแห่งชาติ เพราะส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่จะตั้งใจ และยินดีต้อนรับเรามาก และถึงแม้ว่าที่ภูเรือจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยงกันทำงาน แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายท่านที่ดี ๆ ที่พอรู้เรื่องราวของผม ก็พยายามช่วยเหลือ หรือดูแลในส่วนที่เขาทำอยู่ให้ดีที่สุดสำหรับผม
เต็นท์ของอุทยานจะมีจุดเปิดได้หลายจุด ซึ่งผมไม่สะดวกนัก เพราะมีของบางอย่างที่มีค่าอยู่ในเต็นท์ ปกติถ้าใช้เต็นท์ของตนเองจะมีจุดเปิดแค่ 2 จุด ซึ่งหากุญแจมาล็อคแล้วก็ช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง เพราะถ้าจะขโมยก็ต้องฉีกเต็นท์ หรือไม่ก็ยกไปทั้งเต็นท์เลย ซึ่งคงทำได้ยากเพราะนักท่องเที่ยวคนอื่นน่าจะเห็นก่อน (แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับอุปกรณ์ที่มีราคาสูง ๆ ไม่ควรทิ้งไว้ในเต็นท์นะครับ)
ภาพนี้เป็นภาพก่อนกลับ ผมเอาถุงนอน และแผ่นรองนอนรัดไว้กับเชือกยาง ส่วนหมอนนั้นก็เหน็บ ๆ ไป เพื่อเอาไปคืนให้กับอุทยานที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
* หมอน แผ่นรองนอน ถุงนอน - มีกลิ่นหอมดี เพราะมีการเอาไปเก็บ ทำความสะอาดทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวกลับ ต่างจากเต็นท์ที่มักจะกางทิ้งไว้ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามาพัก
ผ้าห่ม หรือถุงนอน น่าจะพันห่อตัวเราได้ด้วย ผมเห็นซิปแต่ซิปมันแตกเลยไม่ได้ลองพันห่อตัว จึงไม่แน่ใจว่ามันพันห่อตัวได้จริงไหม แต่แค่เอามาห่มก็อบอุ่นดีครับ
ความอบอุ่นน่าจะเพราะเรานอนบนแผ่นรองนอนอีกชั้นด้วย มันช่วยกันความเย็น และความชื้นจากพื้นดินได้ดีมาก และทำให้เรารู้สึกอุ่นมากขึ้น เพราะตอนผมนอนเต็นท์ตัวเอง ผมไม่ใช้แผ่นรองนอน จะมีแค่ถุงนอนที่เอาตัวซุกเข้าไปเป็นดักแด้ในนั้น ผลคือ ในคืนไหนที่หนาวมาก ๆ ผมจะรู้สึกเย็น ๆ หลังไม่มากก็น้อยครับ
ลานกางเต็นท์ที่มี 2 จุดใหญ่ ๆ ในช่วงที่นักท่องเที่ยวไม่มาก ก็สามารถเอารถเข้ามาจอดใกล้ ๆ ได้
285 บาท สำหรับผมถือว่าราคาสูงเหมือนกัน เพราะถ้าเอาเต็นท์มาเองจะไม่เสียเงินเลย ยกเว้นค่าบริการที่เราเข้าไปค้างคืน คืนละ 30 บาทเท่านั้น แต่ก็แน่ละ เราพกของเยอะ ๆ ก็หนักเรา วุ่นวายตอนกาง และตอนเก็บ แต่ค่าตัว 285 บาท ผมอาจจะหาที่พักที่ไกลแหล่งท่องเที่ยวซักหน่อยได้ไม่ยากในราคา 300 บาท หรือถูกกว่านั้น
จริง ๆ อยากให้ทางอุทยานแห่งชาติทุกแห่งทำที่พักแบบเป็นห้องพักในราคา 400 - 500 บาทไว้บริการบ้าง เพราะเห็นมีแต่บ้านพักซึ่งราคามักจะแตะหลัก 1000 พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบเครื่องมาก
แต่คนที่ท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยต้องการแค่น้ำอุ่น ห้องอุ่น ๆ เตียงอุ่น ๆ แค่นั้นก็มี หรือจะมี Wi-Fi ด้วยก็ดีไม่น้อย เก็บเพิ่มอีก 50 - 100 ก็ว่าไป น่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นมากเลย
ความสะดวกที่ทำให้อุทยานแห่งชาติป่าหินงามคือสวนหย่อมแบบอลังการ
สวนหย่อมอยู่ในเมือง มันสะดวก เรียบร้อย สะอาด ปลอดภัย แต่กับป่าใหญ่ ๆ นั้นจะไม่สะดวก ทางเดินอาจจะมีโคลน หรือดิน ฝุ่น หรือต้นไม้ ใบหญ้าเต็มไปหมด นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่กับอุทยานแห่งชาติป่าหินงามนั้นไม่ใช่
เส้นทางหลักในการเดินทางสู่จุดท่องเที่ยวภายในอุทยานนั้นถูกสร้างไว้ด้วยถนนปูนซีเมนต์ขนาด 6 - 7 เมตรเห็นจะได้ ทำให้คุณสามารถเดินทางไปมาได้หลากหลายด้วยวิธีดังต่อไปนี้
จุดรอรถรับส่งนักท่องเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างในภาพนี่คือจุดที่เดินชมทุ่งดอกกระเจียวเสร็จแล้ว จะเดินออกมาเจอจุดรอรถตรงนี้พอดี ถ้ารถว่าง เราก็ขึ้นไปได้เลย
* ใช้บริการรถรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรถตอนยาว มีที่นั่งจำนวนมาก
ชาวบ้านที่รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนจัดระบบเข้ามาให้บริการตรงนี้ พร้อมทั้งคอยพูดผ่านไมค์แนะนำจุดท่องเที่ยว และข้อมูลต่าง ๆ ให้ด้วย รถรับส่งจะวิ่งจากด่านเก็บเงินค่าเข้าอุทยาน (30 บาทสำหรับด่านอุทยานแห่งนี้ ส่วนใครนอนเต็นท์ก็ไม่ต้องจ่าย จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บเองที่เต็นท์ตอนกลางคืน ส่วนค่าบริการรถรับส่งนั้นจะต้องเสียอีก 30 บาท) ตรงไปบนสุดปลายทางคือ ‘ผาสุดแผ่นดิน’ แล้วก็วิ่งลงไปที่ ‘ลานหินหน่อ’ ต่อด้วย ‘ลานหินงาม’ และกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งจะมีรถรับส่งวิ่งไปมาตลอดทั้งวัน แต่กลางวันจะน้อยหน่อย ช่วงเช้า ๆ จะเยอะมาก เพราะนักท่องเที่ยวนิยมมาชมตอนช่วงเช้าเยอะสุด
รถรับส่งให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้าจน 6 โมงเย็นนะครับ
รถรับส่งนักท่องเที่ยววิ่งช่วงเช้าเยอะมาก เพราะนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันเยอะ แป๊บ ๆ ก็เต็มคันรถ รถถึงออกเดินทาง
* เดิน หรือวิ่งด้วยตัวเอง
อย่างที่บอกว่าเส้นทางเป็นปูนซีเมนต์ทำไว้ดีมาก ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงผาสุดแผ่นดินรวมแล้วไม่เกิน 3 กิโล มีจุดที่เป็นทางชันบ้าง ทำให้คุณได้ท้าทายในการวิ่งออกกำลังกาย ถ้าเหนื่อยก็แค่เดิน หรือรอขึ้นรถรับส่งนักท่องเที่ยวก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นวันปกติ รถรับส่งจะค่อนข้างว่างในบางเวลา ทางชาวบ้านหลายคนก็ใจดีที่จะรับเรากลับฟรี ๆ ไม่ได้คิดเงิน
* ปั่นจักรยานของตนเอง
ที่นี่ไม่มีจักรยานให้เช่า ถ้าอยากปั่นต้องเอามาเอง แต่อาจจะไม่เหมาะถ้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพราะจากที่ฟังมาคือ สามารถเอาจักรยานมาปั่นเล่นเองได้ แต่ไม่ควรเกิน 2 คน ถ้ามามากกว่านี้จะขวางเส้นทางรถรับส่งนักท่องเที่ยว และเป็นอันตรายได้
เส้นทางที่เป็นปูนซีเมนต์ตลอดทางหลัก เชื่อมไปยังจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ เราจะนั่งรถรับส่ง จะเดิน หรือวิ่ง หรือปั่นจักรยานของเราไปก็ได้ครับ
นอกจากเส้นทางหลักที่เชื่อมจุดท่องเที่ยแต่ละจุดแล้ว ภายในเส้นทางย่อยก็ยังทำไว้ดีมาก อย่างเช่น เส้นทางชมทุ่งดอกกระเจียว ที่ทำเป็นทางยกระดับสูงขึ้นมาจากพื้นดินเล็กน้อย ทำให้ไม่มีน้ำขัง เดินได้สะดวก มีรั้วเล็ก ๆ กั้นเพื่อให้ทราบว่าห้ามลงไปเหยียบย่ำในทุ่งดอกกระเจียว พร้อมป้ายห้าม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากโคตร ๆ ที่ลงไปเหยียบ วันนึงหลายร้อยคนครับ ถ้าเป็นวันหยุดอาจจะเกือบหลักพันคน และถ้าหยุดยาว ผมว่าเกิน 2000 คนสบาย ๆ เลย โดยที่มีคนเตือนอย่างสุภาพก็ยังคงไม่สนใจ แล้วมีการมาเถียงคนที่เตือนอีกต่างหาก บางคนก็แกล้งทำเป็นล้มลงไปในทุ่ง แล้วนอนทับดอกไม้เพื่อที่จะได้ถ่ายรูป - ทุเรศครับ ไม่ได้ดีเลย
นักท่องเที่ยวเจ้าเล่ห์บางคน ทำเป็นแกล้งล้มลงไปในทุ่งดอกกระเจียว ถ้ามากันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะชอบใจที่เพื่อนโชว์อะไรแผลง ๆ
ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็ยอมรับตรง ๆ ว่าดูแลไม่ไหว กำลังมีแค่ 4 คน บางวันมีแค่ 1 คน กับทุ่งดอกกระเจียวขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ยังบ่นเชิงตัดพ้อกับผมว่า ในช่วงวันหยุดยาว ๆ ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน และคนที่เดินลงไปย้ำบนทุ่งดอกกระเจียวเห็นอยู่ใกล้ ๆ ตะโกนเรียกให้ขึ้นก็ไม่ขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปจับ หรือนำตัวขึ้นมาได้ เพราะคนยืนเต็มทางเดินจนขยับไปไหนไม่ได้ก็มี และยังมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่หน้าใหญ่ หรือใจใหญ่เวลาอยู่เป็นกลุ่ม โชว์พาวให้เพื่อนเห็น โดนตำหนิไม่ได้ ทำท่าทำทางจะเข้ารุมทำร้ายคนเตือน หรือเจ้าหน้าที่ก็มีให้เห็นเยอะแยะ
เฉพาะที่ผมไปยืนดูผมพบว่า รถรับส่ง 1 คันที่วิ่งขึ้นมา 1 รอบ มีนักท่องเที่ยวติดรถมาประมาณ 20 คนเห็นจะได้ จะต้องมีอย่างต่ำ 1 คนโดยเฉลี่ยที่จะต้องเหยียบลงไปในทุ่ง บางคันมากันเป็นหมู่คณะ ก็ลงกันแทบจะทั้งหมู่คณะนั้นแหละ แล้ววัน ๆ นึง รถรับส่งวิ่งรวมกันเป็น 100 เที่ยวนะครับ นี่คือวันธรรมดานะ
บางคนเพื่อนห้าม แต่ทำใจใหญ่ ดูเก๋าดี เดินลงไปอย่างไม่แคร์สายตาใคร บางคนโดนเตือนก็ยังไม่สนใจคำเตือนแม้จะโดนเตือนถึง 4 รอบ แต่พอกลับขึ้นมายังจะเถียงคนที่เขาเตือนอย่างสุภาพเสียอีก
บ่นพอแล้วสำหรับเรื่องแย่ ๆ มาดูกันต่อถึงความสะดวก เช่น ไฟฟ้าตามข้างทางแถวที่พัก และห้องน้ำที่มีเยอะมาก ห้องน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็มีรองรับ ไม่ใช่ว่ามีแค่ตรงจุดกางเต็นท์ แต่แม้แต่จุดท่องเที่ยวทั้งหมด ก็มีห้องน้ำไว้รับรอง
ทางเดินที่ว่าดี ๆ อาจจะมีบางจุดท่องเที่ยวที่คงไว้เป็นทางธรรมชาติ เช่นลานหินงามเป็นต้น
ร้านอาหารทั้งในอุทยาน และหน้าอุทยาน จะปิดกันค่อนข้างดึก ทำให้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารการกินมากนัก อ่อ แล้วยังมีร้านค้าเปิดตามจุดท่องเที่ยวบางแห่งอีก เช่น ลานหินงามก็มีร้านน้ำ ร้านขนมขาย ที่ผาสุดแผ่นดินก็มีเช่นกัน
เอาเป็นว่า ที่นี่ไม่เหมือนป่า แต่บรรยากาศเขียว ต้นไม้แน่นเหมือนป่าปกติทั่วไป แต่สะดวกกว่าป่าปกติจนเหมือนสวนหย่อมขนาดยักษ์ จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะมาก เพราะความสวยงามของพื้นที่ไม่ได้ลดทอนลงไป บรรยากาศการเดินป่าแบบลุย ๆ นั้นจะไม่มีที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสวยงามของธรรมชาติจะหายไปด้วยทั้งหมดครับ
แช๊ะแล้วแชร์ ทำได้ถ้าใช้ True และ AIS แต่บางพื้นที่ก็เน็ตไม่วิ่งนะ ส่วน DTAC ผมไม่มี SIM ไม่มีเครื่องให้ลอง
สัญญาณมือถือที่นี่มีทั้ง 3 ค่าย แต่ของ DTAC ผมไม่ได้ตรวจสอบด้วยตัวเอง ฟังจากชาวบ้านเล่าว่า จะมีแค่บางจุดเท่านั้น ส่วน TRUE จะมีเกือบเต็มพื้นที่ และ AIS จะเต็มพื้นที่น้อยกว่า True แค่เล็กน้อยครับ แต่ถึงจะโทรเข้าออกได้ในจุดที่มีสัญญาณ แต่ผมพบว่า เน็ตอาจจะไม่รวดเร็วอย่างที่คิดนะครับ
ช่วงไหนที่ควรมาเที่ยวที่นี่
จุดขายของที่นี่คือ ทุ่งดอกกระเจียว ซึ่งบานเฉพาะฤดูฝน ตั้งแต่ มิ.ย. - ก.ย. แต่ผมแนะนำว่า กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนสิงหาคมคือช่วงเวลาที่ดอกกระเจียวจะบานเกือบเต็มที่ หรือเต็มที่แล้ว
ทุ่งดอกกระเจียวไม่ได้มีดีแค่ดอกกระเจียว ผมพบว่าในวันฟ้าเปิด เราจะเห็นเมฆ หรือหมอก ผมตอบไม่ได้ เพราะลักษณะมันคล้ายเมฆบนหัวเรา แต่มันไหลผ่านไปเร็วมาก ๆ ทำให้บรรยากาศภายในทุ่งเห็นเป็นแสง และเงาเมฆไล่กันไปมาในบางครั้ง สวยงามมาก ๆ
ชีวิตสบาย ๆ กลางทุ่งดอกไม้ รับแดดอ่อน ๆ นั่งเล่นกับพื้นไปเลยเพื่อความฟิน ถ้าได้ลองไปจะรู้ว่าอากาศเย็นสบาย ลมผิวเบา ๆ กับหมอกจาง ๆ เมฆไหล ๆ มันทำให้เราสบายใจได้ขนาดไหน
ลมไม่แรงเพราะเป็นป่ากันลมไว้แล้ว ส่วนเมฆ หรือหมอกที่ว่านั้น จะโดนลมพัดสูงกว่ายอดไม้ไปไม่มาก อ่อ แล้วก็เช้า ๆ ยังมีหมอกคลุมตัวเต็มพื้นที่ทุ่งดอกกระเจียวด้วยครับ สายหน่อยหมอกคลุมตัวถึงจะหายไป เหลือแต่เมฆหมอกที่ลอยเร็ว ๆ เหนือยอดไม้
ยังมีผาสุดแผ่นดิน ที่เป็นหน้าผาชันสูง ทำให้เราเห็นทิวทัศน์ที่ราบของลพบุรี (เรายืนบนจังหวัดชัยภูมิ) กว้างขวางออกไป สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม แต่ในหน้าฝนคุณอาจจะพบว่า บางวันมีไอน้ำลอยอยู่ในอากาศมากไปหน่อย หรือบางวันก็เป็นเมฆฝนลอยไปลอยมาอยู่ไกล ๆ ทำให้อาจจะต้องวัดดวงกันซักหน่อย แต่ถ้าแสงมาจะสวยมาก แต่ถ้ามาหน้าหนาว หรือหน้าร้อน ไอน้ำในอากาศน้อย ฟ้าเปิด เราจะเห็นได้ไกล และเคลียร์มากครับ
ดอกกระเจียวจะบานเยอะมากเป็นจุด ๆ ซึ่งก็จะทำเป็นพื้นที่ยืนเข้าไปให้ได้ถ่ายรูปกันก็มี
ลานหินงาม เราสามารถมาชมได้ทุกฤดู แต่ถ้าไม่อยากวัดดวงกับฝน ก็มาหน้าหนาวได้ครับ แต่หน้าฝนอย่างที่ผมมา ก็ไม่ได้เจอฝนเลยยกเว้นตอนกลางคืน แต่ก็นั้นแหละ ใครจะไปรู้ได้ละ
ลานหินหน่อนั้นจะเป็นกองหินอยู่รวม ๆ กันใกล้ ๆ กัน พื้นที่ไม่กว้างนัก มาฤดูไหนก็ได้ และมันยังมีดอกกระเจียวขึ้นรวมกับดอกหญ้าอื่น ๆ ขึ้นแถวนี้ด้วย
การเตรียมตัว และคำแนะนำในการเที่ยวที่นี่
* เตรียมหมวก ร่ม ไว้กันแดด
* กลัวดำ กลัวผิวไหม้ ต้องครีมกันแดด แต่ถ้ามาช่วงเช้า ๆ แดดจะอ่อน ๆ เพราะโดนหมอกบัง
* จักรยานส่วนตัว เอามาปั่นเล่นได้ถ้ามากันไม่กี่คน เพราะที่อุทยานไม่มีให้เช่า
* ปั้มน้ำมันยี่ห้อดังปั้มสุดท้ายอยู่ที่พิกัด (ปตท. https://goo.gl/maps/Bog3xAjffxj) (PT https://goo.gl/maps/VvuH2qseQCP2)
เหนือยอดหญ้าก็เป็นไอหมอกยามเช้า
* ถ้าไปช่วงวันหยุด หรือวันหยุดยาว อาจจะต้องพักรีสอร์ทข้างนอก
* ถ้าจะเดินชมให้ทั่ว อาจจะต้องเดินเยอะหลายกิโลก ฟิตร่างกายซักหน่อย
* เตรียมถุงผ้า หรือเป้ไว้ใส่น้ำ ขนม และขยะ เพื่อไว้กินระหว่างเดินชมจุดต่าง ๆ (น้ำ และขนมมีขายในบางจุด แต่ถ้าเรามาเช้ามาก ร้านค้าอาจจะยังไม่เปิด
* จุดท่องเที่ยวบางจุดอาจจะมีต้นไม้ ต้นหญ้าขึ้นขวางบ้าง เช่น ลานหินงาม ควรใส่กางเกงขายาวแบบสบาย ๆ หรือใส่ถุงเท้ายาวถึงเข่า จะได้ไม่โดนต้นไม้ข่วน
* ลานหินงามจะมีทรายตามพื้นดิน อาจจะทำให้ลื่นได้ถ้าต้องปีนป่าย รองเท้าควรจะกระชับเข้าเท้าซักหน่อย แต่เส้นทางไม่ได้เลวร้ายขนาดที่จะต้องคิดมาก เพราะคนเฒ่าคนแก่ก็เดิน เด็กประถมก็ยังมาเดินกัน
ชาวบ้านที่รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำหน้าที่ขับรถรับส่งนักท่องเที่ยว และให้ข้อมูลการท่องเที่ยว 2 คนนี้ใจดีมาก เพราะเย็นวันที่ 7 ส.ค. 59 ผมไม่ได้ใช้บริการรถ เดินไปตามทางเรื่อย ๆ เจอน้องคนนึงขับรถรับส่งผ่านมา แล้วอาสาพาผมไปผาสุดแผ่นดิน แถมยังยืนรอผมถ่ายรูปอยู่นานเพื่อรับผมกลับไปส่งที่ลานกางเต็นท์อีกต่างหาก แต่น้อง ๆ เขาก็เตือนว่า ถ้าเป็นวันหยุดคงจะรับแบบนี้ไม่ได้ เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ผาสุดแผ่นดิน มักจะมีนักท่องเที่ยวมานั่งเล่นทั้งเช้า กลางวัน และเย็น เพื่อชมทิวทัศน์ที่มองเห็นได้ไกล
สรุปค่าใช้จ่ายของผม
* วันที่ 7 สิงหาคม 2559
เติมน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ ปตท. คลองหลวง ปทุมธานี
145 บาท
ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ + กาแฟกระป๋อง (อยากลองเลยซื้อกินเล่น) ที่ ปตท. ชัยบาดาล ลพบุรี
26 บาท
วิวเบื้องหน้าเมื่อยืนอยู่ที่ผาสุดแผ่นดิน ด้านซ้ายจะมีตัวเมืองอยู่ ตกกลางคืนจะกลายเป็นดาวบนดินเพราะตัวเมืองเปิดไฟสว่าง
เติมน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ ปตท. ชัยบาดาล ลพบุรี
110 บาท
ค่าเช่าเต็นท์ และเครื่องนอน (หมอน แผ่นรองนอน ถุงนอน) ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
285 บาท (เต็นท์ 225 บาท / หมอน 10 บาท / ถุงนอน 30 บาท / แผ่นรองนอน 20 บาท)
ค่าข้าวกระเพราหมูสับ ไข่เจียว ร้านค้าหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
50 บาท
ค่าน้ำอัดลม ร้านค้าอีกร้านหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
10 บาท
เส้นทางเดินชมทุ่งดอกกระเจียวเมื่อเลี้ยวมาจากผาสุดแผ่นดิน ซึ่งจะเป็นทางดินไม่ยาวมากก่อนจะถึงทางเดินที่เป็นทางยกระดับ
ค่าค้างคืนในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
30 บาท
รวม 656 บาท
* วันที่ 8 สิงหาคม 2559
ค่าใช้บริการรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
30 บาท
น้ำอัดลม ที่ร้านค้าที่จุดท่องเที่ยว ลานหินงาม ในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
15 บาท
พ้นทางดินมาก็จะเจอทางยกระดับเหนือพื้น ซึ่งจะเป็นเส้นทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตรกว่า ๆ เข้าไปในทุ่งดอกกระเจียว
กาแฟลาเต้เย็น ที่ Cafe Amazon สาขาปั้มน้ำมัน ปตท. หนองแค สระบุรี
60 บาท
เติมน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ ปตท. หนองแค สระบุรี
75 บาท
เติมน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ ปตท. ในกรุงเทพ
100 บาท
รวม 280 บาท
รวมทั้ง 2 วัน 936 บาท
จริง ๆ ควรจะมีค่าอาหารมากกว่านี้ แต่ช่วงเช้าของวันที่ 8 ผมมั่วแต่ถ่ายรูป และก็ตัดสินใจกลับเลย
ค่าใช้จ่ายเยอะสุดไปตกที่ค่าน้ำมัน รวมแล้วเกือบ 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ต่อมาก็เป็นค่าเข้าพัก รวมเครื่องนอนของอุทยานที่คิดเป็น 35% โดยประมาณ
เป็นอีกหนึ่งอุทยานแห่งชาติที่จะพบเห็นเด็กเล็ก ๆ หรือผู้เฒ่าผู้แก่เยอะมาก แสดงให้เห็นถึงความสะดวกสบาย และเข้าถึงได้ง่ายของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้นอกจากอุทยานแห่งชาติป่าหินงามแล้ว ก็ยังมีอุทยานแห่งชาติไทรทองที่มีทุ่งดอกกระเจียวอยู่ด้วย แต่คนจะมาที่ไทรทองน้อยกว่า เส้นทางจะไม่ใช่ทางยกระดับ แต่มีจุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะของไทรทองเช่น น้ำตกไทรทอง ผาหด เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เป็นเส้นทางธรรมชาติ แต่ไม่รกมากครับ
ดอกกระเจียวจะบานต่อเนื่องกันไปอีกอย่างน้อยผมว่ากลางเดือนนี้ช่วงวันหยุดยาวก็ยังสวยงามอยู่ครับ แต่ไม่รู้ว่าหลังหยุดยาวจะโดนย่ำเหยียบไปเท่าไหร่ ถ้าไม่โดนย่ำเละไปก่อน ปลายเดือนก็น่าจะยังมีให้ชมสวย ๆ อยู่หลายจุดครับ เพราะดอกทั้งหมดไม่ได้บานพร้อมกันทั้งป่าเสียทีเดียว
จากผาสุดแผ่นดิน ถ้าเดินไปาทงขวาจะเห็นป้ายบอกทางว่าไป ผาก่อรัก ซึ่งจริง ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันกับผาสุดแผ่นดิน แต่ทางเส้นนี้ยาวร่วม 3 กิโลเมตร เพราะเชื่อมไปถึงจุดที่เป็นทุ่งดอกกระเจียวสายพันธุ์ดอกสีขาว ซึ่งผมไปแล้วดอกยังเล็ก ๆ อยู่ คาดว่าน่าจะบานกลางเดือนนี้เยอะขึ้นครับ ส่วนเส้นทางจะเป็นปูนไปตลอดทางครับ
ดอกกระเจียวน้อยสีขาวแอบอยู่ในพงหญ้า
ระหว่างเส้นทางชมดอกกระเจียวสีขาว ก็จะเจอต้นกล้วยไม้อะไรไม่รู้ขึ้นตามก้อนหิน
ไม่เพียงดอกกระเจียวสีขาวในเส้นทางนี้เท่านั้น เพราะที่เส้นทางแยกมานี่ ก็มีทุ่งดอกกระเจียวสีชมพูให้เห็นไม่น้อย
ดอกหญ้าก็มีหลายแบบ
เมื่อเดินใกล้สุดเส้นทางเดินชมทุ่งดอกกระเจียวสีขาว (ป้ายจะเขียนตรงแถวผาสุดแผ่นดินว่า ทางไปผาก่อรัก) เราจะเจอทุ่งดอกกระเจียว ทุ่งหญ้า และด้านหลังเป็นป่าเต็งรัง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขา และท้องฟ้า
ลานหินหน่อจะอยู่ก่อนถึงผาสุดแผ่นดิน แต่ถ้าเดินทางด้วยรถรับส่งนักท่องเที่ยว เขาจะพาเรามาผาสุดแผ่นดินก่อน แล้วค่อยขับรถลงไปส่งที่ลานหินหน่อ
ที่ลานหินหน่อจะมีก้อนหินทราย หินปูน ที่ถูกธรรมชาติขัดแต่งด้วยลม และฝนจนกลายเป็นก้องหินกลุ่มใหญ่ ๆ อยู่ติด ๆ กันเหมือนเขาวงกต
ที่ลานหินหน่อจะมีดอกไม้ปลูกหลายพันธุ์ และมีดอกกระเจียวขึ้นเป็นทุ่งด้วย แต่เหมือนจะเริ่มเหี่ยวไปเยอะแล้ว ผมไม่แน่ใจว่ามันเหี่ยวไปเอง หรือว่าเสียหายจากการโดนจับ โดนดึงหรือเปล่า เพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่เลย และไม่มีรั้วกันด้วย ส่วนดอกในภาพน่าจะขึ้นเอง เป็นดอกหญ้าที่ขึ้นหนาแน่นเป็นสีม่วง ๆ กินบริเวณกว้าง
ลานหินงามคือจุดท่องเที่ยวสุดท้ายที่รถรับส่งจะพาเราไป และถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของป่าหินงาม
ช่วงแรกของเส้นทางเข้าไปชมลานหินงามจะเป็นทางยกระดับสูงเหนือพื้นเล็กน้อย แต่เดินไปนิดเดียวก็จะเป็นทางธรรมชาติทั้งหมด
เส้นทางธรรมชาติที่วกวนไปมา แต่จะมีป้ายบอกตามทางให้รู้ว่า หินรูปทรงต่าง ๆ อยู่ตรงไหนบ้าง
เส้นทางอาจจะมีกิ่งไม้ ต้นไม้ขึ้นขวางทาง ถ้าไม่ใส่กางเกงขายาว ก็ต้องระวังโดนกิ่งไม้ข่วนเอา ส่วนตามพื้นดินจะมีทรายอยู่บ้าง เพราะการกร่อนของหินในพื้นที่ ทำให้เมื่อต้องเดินขึ้นเดินลงตามโขดหิน จะต้องระวังลื่นบ้าง
หินรูปทรงต่าง ๆ ถูกตั้งชื่อตามลักษณะที่มันคล้าย อย่างก้อนนี้ถูกตั้งชื่อว่า ‘หินปราสาท’
เป็นหนึ่งบรรดาหินที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ด้วยรูปร่างที่ดูทะเล้นทะลึ่งของมัน เรียกเสียงหัวเราะให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย
หินช้างเอราวัณ และยังมีหินอีกสารพัดในพื้นที่ลานหินงาม
หินถ้วยฟีฟ่า เป็นหินที่โด่งดังอีกจุด และดูแล้วก็ค่อนข้างเหมือนด้วย
หินเหล่านี้ เห็นเป็นชั้น ๆ ชัดเจน และก็ซึกหรอได้ง่าย อย่าเอาอะไรไปแซะ ไปขีดเขียนมันนะครับ
เมฆไหลเร็ว ๆ แบบนี้ผ่านทุ่งหญ้าสร้างเงา และแสงที่ผ่านตัวเราสลับกับสายลม สบายใจดีครับ
เดินทางตามฝัน
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 20.52 น.