เตร่ไปเรื่อยในเมืองข้าวเหนียว


[บันทึกสด การเดินทางของข้าพเจ้า]


ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้จาก Page https://facebook.com/omeoyou

จากบันทึกสดเมื่อวันที่ 25 - 26 มิ.ย. 2559 (http://pantip.com/topic/35316607) จะเห็นวันที่ 27 ผมจะต้องตะลอนหาที่ถ่ายรูปเอง เพราะเพื่อนไม่ว่าง แต่สรุปว่านัดกันไว้ช่วงกลางวัน ซึ่งเพื่อนจะเสร็จธุระกลับมาถึงที่พัก แล้วไปภูบ่อบิด (จุดชมวิวภูหอ หรือรู้จักในนาม ฟูจิเมืองเลย) ส่วนในตอนเช้าตรู่ ผมตัดสินใจออกจากที่พักตี 4 เกือบตี 5 เพื่อนไปลองดูสภาพถนนลอยฟ้า หรือหามุมในช่วงเช้าตรู่แบบนี้ดูเล่น ๆ



ภูหอจากมุมมองหนึ่งในตัวอำเภอภูหลวง มี 7-11 ด้วย


พิกัด https://goo.gl/maps/qKifobLyJCH2



คืนที่ 26 คิดอยากตื่นออกไปถ่ายรูปซักช่วงตี 4.20 เพราะดูข้อมูลแล้วพบว่าพระอาทิตย์ขึ้นไว แต่พอออกมาเดินในบ้าน พบว่ามันมืดมาก ๆ ก็เลยค่อย ๆ ทำโน้นทำนี้แล้วออกจากบ้านตอนเกือบตี 5 โดยใช้ Google Map นำทางไปที่ถนนลอยฟ้า (ถนนหมายเลข 2016) แต่ตอนเลี้ยวออกจากซอยบ้าน ผมเลี้ยวผิด ก็ยังเอ๊ะใจ เพราะ Google Map พูดย้ำว่าให้ไปทิศใต้ แต่ผมก็ลองขี่รถไปซักพักเพื่อจะฟังว่า Google Map จะกำหนดเส้นทางใหม่ได้ไหม



ป่ายางที่นี่มีเยอะมาก สมัยก่อนน้องที่ผมไปพักบ้านเขาบอกว่า ที่นี่มีแต่มันสัมปะหลัง แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นปลูกยางกันกันเกือบหมด



มันกำหนดเส้นใหม่ให้ และระยะทางหลายกิโล ผมนึกในใจ คงเป็นทางกำหนดใหม่จริง ๆ ไม่ใช่ให้วิ่งไปแล้วไปบอกให้กลับรถ (มันไร้สาระไหม ให้วิ่งไปกิโลก สองกิโลแล้วบอกกลับรถไปทางเดิม)



ก็ใช่ละมันกำหนดเส้นทางเส้นใหม่ให้จริง ๆ แต่จากประสบการณ์ และลักษณะพื้นที่ ทำให้ผมคิดในใจลึก ๆ ว่า แมร่งจะพาเข้าป่า เข้าสวนหรือเปล่า ฟ้ายังไม่สว่าง เสียว ๆ อยู่นะ แล้วก็ใช่เลย มันพาไปทางดินแดง ในป่าสวนยางหลายไร่ กว่าจะทะลุออกถนนทางดำก็ขี่อยู่นาน ทำให้ใช้เวลานานมากไปหน่อยกว่าจะได้ถ่ายรูปอีกครั้ง



ฤดูทำนาเข้ามาแล้ว ที่นี่กินข้าวเหนียวกันเป็นเรื่องปกติมากกว่ากินข้าวเจ้า นาที่นี่ก็น่าจะเป็นข้าวเหนียว



ฟ้าเริ่มสว่างขึ้น เห็นชาวบ้านรอใส่บาตร บางคนก็เริ่มออกมาเดินตามท้องนา ผมก็หามุมถ่ายภาพในท้องนาที่ยังไม่ได้ลงข้าว จะว่าไปก็ยังไม่ได้มุมที่ชอบมากนัก เพราะผมอยากได้ภาพสะท้อนนาที่เพิ่งลง หรือนาน้ำกับแสงอาทิตย์รุ่งเช้า หรือยามเย็น แต่ไม่มีเวลามากนักแล้ว อยากลุ้นหมอกบนถนนลอยฟ้า ในใจคิดว่าไม่น่าจะมี เพราะเขาหัวโล้นเยอะ แต่ใจมันหวังตลอดเพราะตลอดเวลาที่พักอยู่บ้านเพื่อน จะมองเห็นภูหลวงที่บนยอดมีหมอก มีเมฆปกคลุมได้เกือบตลอดในหน้าฝน



พี่ไม่ต้องห่วง ผมนำขบวนเอง



ฟ้าสว่างเต็มที่ ผมเห็นชาวบ้านขับรถอีแต๊กออกมากันเยอะมาก เขาไปเข้าไร่ เข้านา เข้าสวนของเขา ซึ่งมักจะไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน หลายคนทำไร่ ทำสวนแถวภูเขาหัวโล้นซึ่งใช้เส้นทางถนนลอยฟ้าที่ผมจะไปพอดี



ลุง ๆ ไปไหน ผมไปด้วย



บางคนก็มีผู้โดยสารมากันหลายคน ญาติกันซะงะมั้ง บ้างก็เป็นหมานั่งอยู่ข้างหน้า วิ่งนำบ้าง วิ่งตามบ้าง ลุงบางคนอัธยาศรัยดี เห็นผมยืนก้ม ๆ เงย ๆ แต่งตัวแปลก ๆ ถือกล้อง แต่ไม่ถ่ายรูปซักทีก็เอ่ยถาม (บางครั้งมันต้องรอจังหวะรถมาเข้าฉาก) “ผมรอถ่ายรูปครับลุง” ผมตอบหลังจากลุงถามมาในสำเนียงท้องถิ่น ทำให้ผมต้องถามก่อนหน้านั้นว่าอะไรนะครับหลายครั้ง จนลุงเริ่มงงว่า ไอ้นี้มันกวนส้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายลุงก็ยิ้ม แล้วตอบว่า “ตามสบายนะ”



ลุงสองคนผู้อัธยาศรัยดี เอ่ยปากทักทายคนแปลกหน้าอย่างผม



คนที่นี่พอรู้ว่าเรามาจากภาคกลาง มาจากกรุงเทพ เขาก็จะพยายามเปลี่ยนศัพท์ที่พูด สำเนียงที่พูด ให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น (ส่ววนใหญ่ก็เป็นกันทุกภาคละนะ อย่างตอนผมไปใต้ก็แบบนี้)



ผมชอบมาก ๆ ที่จะฟังชาวบ้านในพื้นที่ที่มีสำเนียงเฉพาะของเขา เมืองเลย เขาว่าเป็นสำเนียงอีสานที่อ่อนหวานที่สุด คือบางครั้งผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ชอบฟัง รู้สึกดี แอบอมยิ้มเล็ก ๆ บ่อย ๆ เวลาได้ฟังเขาคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิง



สายหมอกที่เห็นมันไหลไปทางขวาและสลายตัว ตรงนั้นคือถนนหมายเลข 2016 ผมรีบผละจากมุมนี้ไปจุดนั้นให้เร็วที่สุด


พิกัด https://goo.gl/maps/kzZqT1AqAaH2



ถ่ายรูปไปสังเกตุเห็นหมอกเป็นสายเหนือภูเขาลูกนึกที่มีป่าย่อม ๆ อยู่ท่ามกลางภูเขาหัวโล้น ผมรีบถ่ายมุมตรงนั้นไว้เท่าที่จะทำได้ เพราะสังเกตุเห็นรถที่วิ่งผ่านผมไปเมื่อกี้ วิ่งไปแถวนั้น แปลว่านั้นต้องเป็นส่วนหนึ่งของถนนลอยฟ้าที่มีหมอกแน่ ๆ ความหวังเป็นจริง ถ้าได้ถ่ายฉากสวย ๆ ของถนนลอยฟ้ากับหมอก คงฟินไม่น้อย



นี่คือมุมที่สายหมอกพุ่งมา แต่ผมมาไม่ทันเสียแล้ว มันสลายไปจนหมดแล้ว น่าเสียดาย


พิกัด https://goo.gl/maps/8Wc9yb8wo3n



แต่สายหมอกมันไม่เยอะ และสลายตัวเมื่อพ้นแนวต้นไม้เข้าสู่เขาหัวโล้น ผมขี่รถไปถึงจุด ก็ผิดหวัง เพราะสายหมอกหมดแล้ว คงเป็นเพราะเริ่มสายลงเรื่อย ๆ ทำให้ไอน้ำ กับอุณหภูมิอาจจะไม่เหมาะที่จะเป็นหมอกอีก แต่ไม่เป็นไร ผมจะกลับมาอีก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง



ถนนหมายเลข 2016 จุดที่หลายคนนิยมเดินทางเข้าเมืองเลย หรือจากเลยไปกรุงเทพ


พิกัด https://goo.gl/maps/8fbvYMvXexR2



ขี่รถกลับที่พัก ระหว่างขี่ไปก็สังเกตุเห็นว่าภูหลวงมันก็อยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก น่าจะมีถนนที่พุ่งเข้าไปใกล้ตีนเขาไม่มากก็น้อย คิดไม่ทันไล่ ก่อนจะถึงโค้นสุดท้ายเลี้ยวไปทางบ้านเพื่อนที่ผมพักอยู่ ผมก็เห็นถนนซอยไม่ใหญ่นัก แต่ถนนชี้ไปทางภูเขา รีบกลับรถวกไปเข้าซอยนั้นดูซักหน่อย



ขี่ไปไม่นานก็พ้นชุมชน พบสถานปฏิบัติธรรมบ้าง วัดป่าบ้าง ยังไม่สนใจ ว่าจะลองขี่ไปให้ถึงตีนเขาถ้าทำได้ หรือไปให้สุดทางตันไปเลย



หน่วยพิทักษ์ป่าในหมู่บ้านน้ำทบ


พิกัด https://goo.gl/maps/VKK2HP2wFGS2



ทางที่ขี่มามาสุดทางแล้ว ด้านหน้าป้ายเขียนว่า ‘หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำทบ’ ผมคุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่า หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากตีนเขามาก จะมีทางพุ่งไปต่อสู่หน่วยพิทักษ์ต่าง ๆ อย่างหน่วยนี่ อยู่ติดกับห้วยน้ำทบ ก็ชื่อหน่วยพิทักษ์ป่าน้ำทบ มีอีกหมู่บ้าน ติดกับห้วยน้ำจันทร์ ก็ชื่อหน่วยพิทักษ์ป่าน้ำจันทร์ แต่ละหน่วยพิทักษ์ บางทีจะมีจุดน่าสนใจ หรืออาจจะไม่มีก็ได้ อย่างที่น้ำทบ จะติดห้วยน้ำทบดูสงบ ห้วยไม่ใหญ่นัก แต่สบายใจดี สุดท้ายเป็นวัดถ้ำ เท่าที่ดูเห็นพระรูปเดียว ดูสงบมาก มีย่าแก่ ๆ ชาวบ้านมานั่งคุยกันแค่ 2 - 4 คน เห็นมีฝูงผีเสื้อเยอะอยู่



ภายในมีทางเข้าไปสู่วัดถ้ำพุทธมนต์



ส่วนที่หน่วยพิทักษ์ป่าน้ำจันทร์ ผมไม่แวะเข้าไป เพื่อนเจ้าถิ่นบอกว่า ในนั้นมีน้ำตกสูงพอสมควร แต่น่าจะถ่ายรูปไม่สวย เพราะมันรก ๆ เขาไม่ได้ทำไว้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่บางทีก็มีกลุ่มนักศึกษาทำเรื่องของขึ้นไปบนน้ำตกก็มีบ้าง



ด้านบนของวัดมีถ้ำ และมีเจดีย์ ผมไม่ได้ขึ้นไปเพราะมั่วแต่หาทางลงไปยังห้วยน้ำทบที่อยู่ข้าง ๆ


พิกัด https://goo.gl/maps/wMAtaydSVw42



สภาพวัดร่มรื่น และสงบสุด ๆ ครับ เข้ามาแล้วสบาย ๆ เลย



ถึงที่พัก 10 โมงกว่ารอจนเพื่อนมาก็ออกเดินทางอีกรอบ เป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่ภูบ่อบิดอย่างที่วางแผนไว้เมื่อคืน แต่เปลี่ยนมาเป็น ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง’ (พิกัด https://goo.gl/maps/iRgzKg87NJQ2) ทั้ง ๆ ที่เรารู้ว่าทางการปิดฟื้นฟูป่าในช่วงนี้สำหรับเขตรักษาพันธุ์แห่งนี้ แต่ก็หวังลึก ๆ ว่าเขาอจจะยอมอนุญาติให้เราขึ้นไปดู ไปชม ไปถ่ายรูป แต่ก็คิดเผื่อไว้แล้วว่า ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ปัญหา เราเข้าใจดี ก็แค่อยากเดินทางลองดู



https://goo.gl/maps/6FNuaSzxz952



ผมเห็นยอดภูหลวงทุกวันตั้งแต่อยู่ที่นี่ มันมีเมฆ มีหมอกปกคลุมเกือบตลอด แถมตรงยอดก็จะเป็นหินชั้น ๆ บนสุดเหมือนจะเป็นที่ราบ สีเขียวมันสดใสดี ทำให้ผมยอมที่จะลองเดินทางทั้งที่รู้นั้นแหละว่าโอกาสเข้าไม่ได้สูงมาก

กระทู้รีวิวเก่า เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว


บันทึกสด 25 - 26 มิ.ย. 2559 [แรกเยือนเมืองเลย ประทับใจถนนลอยฟ้า] (http://pantip.com/topic/35316607)


ยอยักษ์ ตักตะวัน ทะเลน้อย ควายน้ำ นกอพยพ ต้นลำพู - ทะเลน้อย - พัทลุง (http://pantip.com/topic/34977668)

สะพานไม้สุดชิว วิถีชาวมอญ - สะพานมอญ - สังขละบุรี - กาญจนบุรี (http://pantip.com/topic/34907371)

ชมทะเลหมอก ชิมน้ำใจที่เขาพะเนินทุ่ง - เขาพะเนินทุ่ง - อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - เพชรบุรี (http://pantip.com/topic/34582338)

อ่างเก็บน้ำบางพระ สวรรค์นักปั่นจักรยานหาก๊วนรู้ใจ - อ่างเก็บน้ำบางพระ - ชลบุรี (http://pantip.com/topic/35208447)



Page ถ่ายภาพ แนะนำสถานที่เที่ยวของผม https://www.facebook.com/omeoyou/

วันนี้พบน้ำฝน เพื่อพาไปเจอน้ำใจ


ฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน แต่ไม่ใช่ประเด็น เรารู้ และเตรียมใจเผื่อไว้แล้ว วิ่งมาตามเส้นทางหลักขึ้นภูเรือ ถนนตัดใหม่ลดความโหดร้ายของโค้งหักศอกตัว S ที่จุดโค้ง 100 ศพ ให้เป็นถนนใหม่ที่ขับขี่ง่ายขึ้น แต่ก็ยังอันตราย แวะถ่ายรูปวิวจากจุดนี้สักใหญ่โดยไม่แคร์เมฆฝนที่แอบคลืบคลานเข้ามาโดยเราแทบไม่ทันตั้งตัว เพราะเรามองไม่เห็นเมฆที่แอบเข้ามาหลังยอดเขาข้างหน้า



ผมกับน้องหาช่องทางปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปในมุมโค้ง 100 ศพ ซึ่งปัจจุบันได้เบี่ยงถนนใหม่อันตรายลดลง (ภาพนี้คือเพื่อนผม)


พิกัด https://goo.gl/maps/asd93SWnHAt



ปีนป่ายถ่ายรูปจุดนี้จนพอใจก็ขี่รถไปต่อ ไม่ทันครบ 5 นาที ฝนก็เทลงมา และหนักขึ้นเรื่อย ๆ พบบ้านหลังหนึ่งโดดเด่นอยู่ระหว่างทางถนนสายหลักภูเรือ เพราะผ่านมาผมไม่เจอบ้านอื่นเลย มีหลังนี้หลังเดียว ไม่รอช้าแวะเข้าไป ตะโกนถามผู้ที่เดินผ่านให้เห็นคนแรกว่า ผมขอเข้าไปหลบฝนได้ไหม



ภาพจากมุมโค้ง 100 ศพ


พิกัด https://goo.gl/maps/asd93SWnHAt



ไม่ทันสิ้นเสียงผมเลย ชายแปลกหน้าชี้ให้เราเข้ามาจอดก่อนผมจะถามเสร็จเสียอีก พลางยิ้มอ่อน ๆ ต้อนรับ ผมจัดแจงจอดรถ เอาของออกมาวางเสร็จก็พบว่า หลังคาหลังนี้มีคนนั่งอยู่ 3 คน



ฝนตกมาไม่เกรงใจหลังจากขับผ่านโค้ง 100 ศพได้ไม่นาน แต่บ้านหลังเดียวตรงนี้ ไม่มีหลังอื่น เปิดรอรับนักท่องเที่ยวผู้ประสบปัญหาระหว่างทางเสมอ


พิกัด https://goo.gl/maps/1Y7Gc53xAJr



ตาเจ้าของบ้าน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของโรงปั้นที่อยู่ด้านหลังบ้าน และพี่ที่ทำรับเหมาก่อสร้างจากระยอง เพิ่งกลับบ้านเกิดเมืองเลยได้ 2 เดือน และพี่อีกท่านที่พูดติดตลกบ่อย ๆ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพี่เหมือนจะขี้อาย พูดกับเพื่อน ๆ ของพี่กันเองเป็นสำเนียงท้องถิ่น พลางหัวเราไปเพราะฤทธิ์เหล้าขาวที่ผมสังเกตุเห็นว่าเหลือเกือบก้นขวด ที่ไม่ทันได้ละสายตาออกจากขวดเหล้าดี ตาก็คว้าไปรินใส่แก้ว พลางยกให้พวกผมกิน แต่พวกผมบอกกินไม่เป็น แล้วตาก็คว้าเข้าปาก



ชวนกันกินข้าว



อาหารเอาออกมาเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มากับฝน เพิ่งทำเสร็จหยก ๆ ยังอุ่น ๆ อยู่ เราไม่ปฏิเสธ ถึงแม้เพิ่งกินข้าวมาแล้วก็ตาม เพื่อรักษาน้ำใจจริงที่เจ้าของที่ยื่นให้



รูปปั้นพระ และรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ ที่ตาเจ้าของบ้านที่ให้เราหลบฝนทำขึ้นมากับลูกน้องที่ไม่อยู่ในตอนนี้อีก 2 คน สวยงามมากนะครับ ไม่น่าเชื่อเลย



พี่ผู้รับเหมา พาไปชมวิวหลังบ้าน แกพูดอยู่พักใหญ่ว่าวิวนี้สวยมาก คนอื่นไม่ได้เห็นเพราะถ้าไม่แวะมาก็ไม่รู้ แต่บ้านหลังนี้ต้อนรับแขกแปลกหน้าบ่อยครั้ง รถยางแตก เบรคไหม้ ฝนตก แวะบ้านแกกันทั้งนั้น บางคนรถเสียต้องทิ้งรอรถยก 2 วัน ตาแกขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งที่ขนส่งในเมืองให้ด้วยซ้ำ จะให้เงินแกก็ไม่เอา แต่ถ้าเป็นเหล้าละจะดี ตาพูดติดตลก แต่ผมคิดว่าตาเอาจริง 555



วิวด้านหลังที่พักหลบฝน ที่คงจะมีไม่กี่คนได้ถ่าย


พิกัด https://goo.gl/maps/sus4QRdJExr



อีกมุมหนึ่งของบ้านเล็กในป่าใหญ่



ได้เวลางานเลี้ยงร่ำลากันแล้ว ผมบอกพี่ ๆ ว่า เมื่อผมผ่านมา ผมจะแวะทักทาย หรือมาเยี่ยม พลางขี่รถขึ้นทางชันคดเคี้ยว ผ่านชุมชนแล้วชุมชนเล่า จนถึงที่หมาย ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง’



ฝนหยุดแล้ว เราต้องไปต่อแล้ว

ผิดหวังสำคัญขนาดไหนกับนักเดินทาง


เราได้ใช้กำลังใจของเราแล้วเมื่อมาถึงจุดหมายนี่ เจ้าหน้าที่บอกชัดเจนว่าไม่สามารถให้ขึ้นภูหลวงได้ เรารู้เต็มอกว่าโอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้สูงมาก มองหน้ากันว่าเอาไงต่อดี เพราะเราไม่ได้วางแผนอะไรมากนัก พี่เจ้าหน้าที่เหมืองนั่งอยู่กลางวงประชุมในใจพวกผม พลางชี้เป้าหมายถัดไปที่พี่ภูมิใจนำเสนอ



เจ้าหน้าที่ดูแลทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง กำลังบอกแผนที่ในโทรศัพท์ว่า ภูโปกอยู่บริเวณไหน


พิกัด https://goo.gl/maps/dLvfrA91WWB2



ยินดีที่ได้เจอสถานที่ยากที่จะค้นพบ


่’ภูโปก’ ชื่อที่คนทั่วไปไม่รู้จักถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ นับหัวดูแล้วก็มีหมู่บ้านแถวนี้ไม่กี่จุด รวม ๆ แล้วคนในโลกนี้จะมีถึง 1000 คนไหมที่รู้จักที่นีน่ เรารู้สึกตื่นเต้น พี่เจ้าหน้าที่ชี้เส้นทาง หาพิกัดให้เรา เราจ้องมองแล้วพบว่ามันน่าตื่นเต้นมากกว่าคำที่พี่พูดให้ฟังเสียอีก หน้าผา สูง ชัน แถมเป็นจุดเล่นเครื่องร่อน ดูในแผนที่แบบแสดงภูมิประเทศแล้วดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก



ทางขึ้นภูโปก จริง ๆ มันชันกว่าที่เห็นในภาพนะครับ ถ่ายมาแล้วมันดูไม่สูง


พิกัด https://goo.gl/maps/6NSsCZkeZbQ2



ในใจผมร้อง เอาเว้ย กูเหนื่อยแน่ ๆ วันนี้ ฝนเพิ่งตก พี่บอกว่ามันเป็นดินแดงอัดแน่น อืม ก็คิดในใจว่า คงไม่เป็นไรหรอก ผมลุยทางโหด ๆ มาเยอะพอสมควรกับมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันนี้ เกิดมายังไม่เคยขี่รถล้มแม้แต่ครั้งเดียว น่าจะไหว แต่ใจก็หวั่น ๆ ว่าสิ่งที่พี่เห็นว่าธรรมดา กับเรามันอาจจะไม่ธรรมดาก็ได้



บัดซบ เส้นทางเปลี่ยนชีวิต


ชีวิตการขี่มอเตอร์ไซค์อันบริสุทธิ์ผุดผ่องกับประวัติไม่เคยล้มซักครั้งแม้ทางจะโหด ลื่นขนาดไหนก็ตาม ต้องจบลงตรงนี้เหมือนผมเสียความบริสุทธิ์ไปก็วันนี้แหละ ถึงจุดทางขึ้น พวกผมมองหน้ากันว่ามันใช่หรอ เพราะทางมันไม่เหมือนทางขึ้นภู เหมือนทางไปทำไร่ ทำสวนของชาวบ้านมากกว่า ทั้งชัน ทั้งเป็นร่องน้ำกัดเซาะ



ตะโกนถามชาวบ้านที่ทำไร่ตรงนั้น “ภูโปกไปทางไหนพี่” ทุกคนตรงนั้น ชี้ขึ้นไปในทางที่บัดซบนั้น ไม่รอช้า ผมบอกน้องว่า ผมจะขี่ไปก่อน แล้วเดินตามขึ้นมาให้พ้นจุดนี้ เพื่อทดสอบ



อืม ไม่มีอะไรนะ ภูลมโลโหดกว่านี้อีก ดิน หินแข็งแรงดี ถึงจะมีร่องน้ำกัดเซาะที่ลึกมากพอสมควร “ปะซ้อนขึ้นมา น่าจะไหว” คำพูดที่ต้องกลืนกลับหลังจากขี่ไปได้ 2 นาที เพราะทางข้างหน้าเป็นดินโคลนจากฝนที่เพิ่งตกไป ร่องน้ำเซาะถนนบางจุดลึกมาก และหลุมบ่อที่เกิดขึ้นตามถนนทำให้ขี่ยากมากจนน้องที่มาด้วยต้องลงจากรถ แล้วเดินได้เร็วกว่ารถ



สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็เหนื่อย



รถผมติดหล่มบ่อยครั้ง ต้องช่วยกันเข็น และยังคุมรถแทบไม่ได้ โคลนที่นีน่ลื่น ผมรู้ดี เพราะเคยสัมผัสมาในวันก่อน ๆ หน้านี้แล้ว รู้ได้เลยว่าโคลมมันลื่นมาก ๆ



มันจะไม่ใช่ปัญหาในทางราบที่ไม่มีแรงโน้มถ่วงมาฉุดเรานอกจากแรงเฉื่อยที่รถวิ่งไป ทางชัน แรงโน้มถ่วงทำให้รถชะลอแล้วไถลลง แต่มันไม่ได้ไถลตามแนวล้อที่ควบคุม แม้ล้อรถจะเอียง แต่มันก็ไถลลงตรง ๆ เพราะโคลนลื่น ร่องน้ำทำให้พื้นที่ยืนไม่มีในหลาย ๆ จุด ขาผมลอยเหนือพื้น พยายามที่จะเอียงตัวลงในด้านที่ลงได้ ถ้าสำเร็จ เราก็ติดหล่ม ผลักกันไป แต่ถ้าไม่สำเร็จจะเป็นอย่างไง



รถล้มซะครับ ทางลื่นขนาดนั้น ล้มไป 2 รอบ ไม่รูชะตาว่าทางข้างหน้าจะดีขึ้นไหม จอดไว้ก่อนดีกว่า แล้วเดินขึ้นไป



“ตุบ” ไม่ใช่เสียงตดผม แต่เป็นเสียงรถล้มเพราะสถานการณ์ตามที่บอก ผมห่วงรถมากตามภาษาคนเพิ่งเสียความบริสุทธิ์ย่อมเกิดความกังวลตามมา ช่วยกันยกรถตั้งขึ้น M-Slaz รถหนักเกือบ 140 กิโลกรัม บนทางชัน ลื่น เอารถขึ้นเหมือนไม่ยากนัก แต่จะไปอย่างไงต่อ ในใจผมรคิดลึก ๆ แล้วว่าแผนที่ไม่อยากให้เกิดอาจจะต้องถูกเรียกใช้ แต่อย่ากระนั้นเลย ลองดีก่อนดีกว่า



“ตุบ” ที่สอง บัดซบเอ้ย ไม่ได้เสียความบริสุทธิ์แล้ว นี่เรียกว่าโดนรุมโทรมมากกว่า หนทางข้างหน้ามันไม่ได้ต่างจากข้างหลัง เดินขึ้นเร็วกว่ามาก ๆ แผนในใจถูกปลุกมาบอกน้องข้าง ๆ ซึ่งน้องไม่เห็นด้วยนัก ผมบอกว่า ไม่ได้ขับเองไม่รู้หรอก ผมเคยขึ้นภูลมโล ภูขี้เถ้ากับน้องคนนี้มาแล้ว ครั้งนั้นน้องหวัน ๆ แต่ผมน้อยกว่า แต่ครั้งนี้ผมเอ่ยปากว่าไม่ไหว ไม่เหมาะ ก็แปลว่ามันโหดจริง ๆ



ได้ที่จอดรถทางราบกลางไร่มันสัมปะหลัง มองรถและหมวกกันน็อคอย่างห่วง ๆ แต่วินาทีนั้น ก็คิดว่าเราต้องไปต่อ เพราะภาพในแผนที่มันเรียกร้อง แม้ว่าใจผมจะเผื่อไว้แล้วว่า เราจะไปไม่ถึงจุดหมาย



หิวน้ำอย่างหนัก ไม่มีน้ำ เดินหาน้ำ ชมวิวทะเลภูเขาที่อยากจะบอกว่า ภาพนี้ ไม่ได้ครึ่งของจริงเลยแม้แต่น้อย เราเคยแต่เห็นภาพสวยกว่า อลังการกว่าของจริง แต่อยากจะบอกว่า ภาพนี้ห่วยแตกมากครับ



โจรขโมย


โดยปกติผมจะชอบพกน้ำระหว่างเดินทาง ไม่ว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์ หรือเดินเท้าก็ตาม แต่ทริปมาเมืองเลย เป็นอะไรที่แปลก เพราะผมไม่พกน้ำ ปัญหาก็เกิดซิกับการเดินทางโหด ๆ แบบนี้ ทางมันชันมาก ถึงแม้จะไม่รก เพราะเส้นทางนี้ชาวบ้านใช้ขับรถขึ้นไปทำไร่กัน แต่มันทำให้ผมเหนื่อยมาก ๆ กับการเดินบนทางชันขนาดนี้ ผมคิดต่อเนื่องไปถึงตอนลง เราอาจจะถึงจุดหมาย และได้ถ่ายรูป ผมดูเวลาแล้ว 5 โมงเย็น คิดได้ไม่ยากว่าถึง 6 โมงแน่ ๆ แล้วตอนลงมันจะต้องมืด ความลำบากคงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ



ความกังวลในอนาคตดูเหมือนแทบจะไร้ความหมายเมื่อปัญหาใหม่มาเผชิญตรงหน้า ‘ขาดน้ำ’ ถึงขั้นประชุมกันถึงทางเลือกที่จะต้องลงโดยไม่ถึงจุดหมาย



เถียงไร่ของชาวบ้าน ขอถือโอกาสเข้าไปหาน้ำกิน แต่ก็ไม่ได้กิน



เรามองหาความหวัง พื้นที่ตรงนี้เป็นไร่มันสัมปะหลัง ไร่ข่า ข้าวโพด ซึ่งมาคิดเอาเองทีหลังว่า ทำไมไร่ข้าวโพด กับมันสัมปะหลังมักจะอยู่ในจุดต่ำกว่าไร่ข่า ไว้เฉลยอีกทีเมื่อถึงเรื่องราวตรงนั้น ก็กลับมาตรงที่ว่ามันเป็นไร่ และก็จะต้องมีเถียงไร่ เถียงนา (กระท่อม กระต๊อบที่ทำไว้แบบง่าย ๆ เพื่อใช้เก็บของ ใช้พักผ่อนระหว่างทำไร่ ทำนา) มันอาจจะมีคนอยู่ และมีน้ำให้เราก็ได้ มันต้องมีซิน่า



คิดเรื่องนี้ไม่ทันไหร่ก็เจอเถียงไร่แยกทางออกไปด้านขวาไม่ไกลนัก ขาผมเริ่มล้า ถ้าตะคริวกิน หรือขาพลิกนี้จะลำบากมากขึ้น ผมเป็นพวกทำอะไรเกินตัวเสียด้วย การเดินแยกไปที่เถียงไร่ที่อยู่ในพื้นที่ต่ำกว่า ทำให้สบายมากขึ้น เพราะระหว่างทางขึ้นมามีแต่ทางที่ชันขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นการเดินลาดลงครั้งแรก รู้สึกสบายใจว่า ขาลงจะไม่ลำบากนักแล้ว แต่ก่อนอื่น ขึ้นให้ถึงจุดก่อนแล้วกัน



เถียงนี่ไร้ผู้คน อย่างน้อยก็ในตอนนี้ สภาพดูออกว่ามันเพิ่งถูกใช้ไปไม่นานี้ แต่เรามองหาน้ำเท่านั้น ผมเอ่ยปากตะโกนเรียกสวัสดี แต่ไร้คนตอบกลับ ถือวิสาสะเพราะความกระหายน้ำอย่างหนัก เปิดฝาตุ่มทันที ใจมาเต็มร้อยตอนกำลังจะเปิด และหมดไปทันทีเมื่อเห็นภายในตุ่ม น้ำนั้นสกปรกมาก คาดว่าชาวบ้านน่าจะรองไว้สำหรับใช้ล้างมือ ล้างเท้า ส่วนน้ำกินคงเป็นกระติกติดตัวมีน้ำแข็งมากกว่า พอไม่อยู่เถียงก็จะเอากระติกติดตัวไปด้วย



ต้องเดินกลับบนทางชัน ๆ ต่อเนื่องอีกแล้ว น้ำไม่มี คำถามว่าเราจะลงข้างล่างเลยดีไหมกลับมาเป็นหัวข้อพูดคุยอีกครั้ง แต่เท้าของพวกเรายังคงเดินต่อไปข้างหน้า



โอ้สวรรค์


สักพักไม่นาน ไอ้น้องพูดเสียงดังว่า พี่เห็นรถไหม มีรถลงมา ผมที่เหนื่อยกว่าน้องเขา เดินก้มหน้าก้มตาตลอด แม้ว่าการเงยหน้าจะทำให้ได้รับอากาศมากขึ้น แต่นาทีนั้นต้องเรียกว่าผมคอพับจะดีกว่า “เฮ้ยรถจริง ๆ ด้วย รถของชาวบ้านทำไร่แน่ ๆ” ต้องมีน้ำแน่ ๆ ผมมั่นใจ ต้องมีแน่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แน่ ๆ โว้ย (เนี้ยในใจผมคิดแบบนี้เลย หลอกตัวเองไว้ก่อน)



ทางตรงนั้นชัน และน้ำกัดเซาะแบบบัดซบมาก ผมบอกน้องว่าให้ยืนรอตรงนี้ เพราะทางตรงมาดิ่งเลย รถอาจจะไถลแล้วมาชนเราได้ แต่ยืนรอได้ 10 วินาที รถยังไม่ลงมา กูรอไม่ไหวแล้วโว้ย เดินขึ้นไปหาเอง รถก็เริ่มเดินทางลงสวนมา



รถของชาวไร่ที่ผ่านมาให้น้ำแก่พวกเรา ขอบคุณมากครับพี่



“พี่ ๆ ทางไปภูโปกใช่ทางนี้ไหม” ไอ้น้องเอ่ยถาม ผมพลางคิดในใจว่า เฮ้ย ถามอะไรวะ แล้วพูดออกไปตอนสิ้นความคิดว่า “พี่มีน้ำไหม ขอน้ำผมหน่อยนะครับ” กูตรงประเด็นกว่าเยอะ ผมรู้แน่ว่าไม่หลงหรอก เพราะถามทางเจ้าหน้าที่มาแล้ว และชาวไร่ตรงตีนเขา แล้วทางมันก็ยังไม่มีทางแยก แถมดูใน Google Map มันก็ยังคงตรงในเส้นทาง (ถึงแม้ว่า Google Map จะไปไม่ถึงจุดชมวิว Google มันไปได้สั้น ๆ ไม่ยอมกำหนดเส้นทางต่อถึงจุดหมายได้ คาดว่ามันคงไม่รู้จริง ๆ ว่าตรงนี้มีทางไปได้)



พี่เขางงไปนิดนึง พลางชี้บอกคนด้านหลัง เอาน้ำให้น้องเขาหน่อย เปิดกระติก น้ำเย็น ซัดไปซิ 3 แก้ว กินตุนเผื่อไว้ต้องเดินต่อ แต่ใจคิดไม่เสร็จดี ปากเอ่ยต่อเลยว่า “พี่มีขวดน้ำไหมครับ ผมขอน้ำพกติดตัวไปหน่อย”



ผมคิดในใจ กูหน้าด้านนะเนี้ย ปกติผมเป็นคนขี้เกรงใจแท้ ๆ พี่เขาอึ้งไป 2 วินาที พลางถามหาขวดน้ำและส่งให้ เอาน้ำมากรอก ๆ ได้เต็มขวด ดีใจเลย (อารมณ์ต้องนั้น คือคำนี้) กูรอดแล้ว ถึงที่แน่ ๆ ขอแค่มีน้ำ นี่คือคำที่ผมกับน้องพูกันตลอดทาง



ไอ้น้องรถเครื่อง


ไต่ความสูงขึ้นไป วิวสวยเหลือเกิน ทะเลภูเขาคืออะไร เห็นภาพมาเยอะแยะ แต่น้อยนักที่จะรู้สึกถึงคำว่าทะเลภูเขา เพราะนี่ซิของจริง ภาพที่ถ่ายมาไม่ได้ครึ่งของสิ่งที่เห็นตรงหน้า ใครบอกว่าภาพสวยเกินจริง ท้าให้มาด้วยกัน ไม่สวยผมให้เตะเลย แต่...สูง ชันเหลือเกิน



ตะคริวมาแล้ว เริ่มขึ้นแล้ว มีกินเป็นช่วง ๆ มันไม่ได้กินแค่น่อง ผลจากการเกร็งเท้าอย่างหนักตอนขี่รถขึ้นมาที่ไถลไปมาตลอดทาง อาการออกมากขึ้น ตะคริวกินแม้แต่กล้มเนื้อเล็ก ๆ เหนือตาตุ่ม ผมคิดในใจว่า “มันมีด้วยหรอวะ กล้ามเนื้อตรงนี้ ทำไมตะคริวขึ้นในจุดนี้ เกิดมาไม่เคยเป็น” ต้องหยุดพักแล้ว เป็นครั้งแรกที่หย่อนก้นลงไป ต้องการเอาแรงก่อน แล้วก็ลุกขึ้นเดินหลังพักได้ไม่นานนัก เพราะไอ้น้องพูดเตือนย้ำบ่อย ๆ ว่ามันจะมืดก่อน แต่ผมก็บอกแล้วว่า มีน้ำแล้วถึงแน่ แค่จะตอนไหนเท่านั้นเอง ผมพัก และเดินได้ตลอด ใจผมชอบเกินตัว ขอแค่ได้พัก ผมไปได้เรื่อย ๆ



“เฮ้ยเสียงมอเตอร์ไซค์พี่” ไอ้น้องตะโกนใส่ผมที่เดินคอพับอยู่ ผมมองหาแหล่งเสียงไปข้างหน้า ไม่มี ข้างหลังละ พลางเห็นเงาสูงพ้นต้นหญ้าที่คลุมสูงพื้นที่ตรงนั้น ทำให้ผมคิดว่า ต้องเป็นมอเตอร์ไซค์วิบากแน่ ๆ เลยสำหรับท่ายืนขี่แบบนั้น



รถเลี้ยวพ้นโค้งปรากฎกาย ‘ไอ้น้องรถเครื่อง’ อย่างชัดเจน อ้าว wave ซะละมั้งนั้น พวกผมตะโกนเรียก ไอ้น้องรถเครื่องจอด พลางคุยกันถึงเส้นทางที่จะไปยอดภูโปก



33

ไอ้น้องรถเครื่อง ขี่รถ wave อย่างกับรถวิบาก ยืนขี่มาแต่ไกล



ไอ้น้องบอก มาบ่อย 40 กว่าครั้ง แต่ครั้งนี้นัดเพื่อนไว้แล้วไม่ยอมมา ผู้สาว ๆ นั้นเอง น้องไม่แคร์ผู้สาว ขึ้นมาเอง ผมยิ้มพลางแหย่เล่นว่า ขอซ้อนไปด้วยซิ แต่น้องตอบคำถามก่อนหน้าว่า ระยะทางที่ขึ้นไปอีกไม่ไกลมาก ผ่าน 2 คอกวัวก็ถึงยอด “อืม สองคอกวัวนี้มันไกลแค่ไหนวะเนี้ย” ไอ้น้องที่มากับผมแซวว่า คนแถวนี้วัดระยะกันเป็นระยะคอกวัวกันมั้ง



ไอ้น้องรถเครื่องถามว่าพี่ไม่ขึ้นหรอ “เอาเอาจริงหรอ” ผมไม่นึกว่าจะเอาจริง แต่ผมก็ปฏิเสธน้ำใจไป ไม่อยากเป็นภาระให้น้อง ว่าแล้วก็แยกย้าย เดินต่อ ไอ้น้องบอก 2 คอกวัว ไม่ไกลหรอก ดูใน Google Map ก็เหมือนจะไม่ไกลแล้ว



ความประทับใจ


ถึงจุดแรกที่ชมวิวที่พี่เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบอกไว้ มองออกไปเห็นวิวที่สวยงามกลับพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงมากแล้ว สวยงามมาก ๆ เราเดินไต่ไปตามทางลาดหน้าผาที่สูงมาก เพื่อเก็บรูปจนเป็นที่พอใจอยู่พักนึง การเดินขึ้นเร็วขึ้นเพราะกำลังใจก็มา กำลังกายได้พัก แต่อีกแป๊บมันก็หดหาย เพราะชันเข้าไปอีก



นี่คือจุดถ่ายรูปที่เราคาดว่าถึงยอดแล้ว (แต่จริง ๆ ต้องไปอีกหน่อย)


พิกัดhttps://goo.gl/maps/UaTFNGWHSAo



แต่มันไม่ไกลแล้ว ในที่สุดเราก็ถึงคอกวัวที่ถามกันมาตลอดว่า ‘ไหนคือคอกวัว’ เราเห็นเป็นรั้วกันขวางทางไว้ ก่อนหน้านี้สังเกตุเห็นแล้วว่ามีเหมือนรั้วที่ขวางทางไว้ เพียงแต่มันพังไปแล้ว มีป้ายเขียนว่า เปิดแล้วปิดด้วย



รั้วข้างหน้าปิดอยู่ ผมคุยกับไอ้น้องว่า นี่คือถึงแล้วใช่ไหม เพราะ Google Map ตรงกับพี่เจ้าหน้าที่บอกจุดไว้ให้ ที่ตรงนี้เป็นที่ราบ อากาศเย็น มุมด้านตะวันตกโดนต้นไม้บังน่าเสียดาย พอจะถ่ายได้บ้าง แต่ไม่เป็นไร สวยงาม ต้นหญ้าเขียวมาก



บ่อน้ำนี้เป็นโป่งดิน ที่สัตว์ป่าจะเข้ามากิน มีมูลสัตว์เต็มเลย



ผมเห็นบ่อน้าขังขนาดไม่เล็กไม่กว้าง มันเหมือนโป่งดินที่สัตว์มากินมาก ๆ มองอีกแป๊บก็เห็นมูลสัตว์รอบ ๆ โป่งดินนั้น ใช่แน่ ๆ มันต้องเป็นที่ ๆ สัตว์มากินดินตรงนี้ ปัญหาคือ สัตว์นั้นคืออะไร ทำไมคอกวัวต้องทำเป็นรั้วกันไว้ และต้องเขียนป้าย เปิดแล้วปิดด้วย มูลสัตว์ไม่ใช่สัตว์ขนาดเล็ก แต่ไม่น่าจะใช่ช้างเพราะไม่ใหญ่มาก ฟ้าเริ่มมืด เราถ่ายรูปบบนั้น 1 ชั่วโมง อากาศเย็นมาก



ผมวัดความสูงด้วยมือถือผม ระบบระบุว่าที่ ๆ ผมยืนสูง 1160 เมตรเห็นจะได้ สูงไม่ใช่เล่นเลย



สักพักใหญ่ไอ้น้องรถเครื่องขี่ลงมาทางรั้วคอก เปิด และปิดคอก เราได้คุยกันอีกแป๊บ ไอ

ชีวิตบัดซบ


เจอร้าน แวะซิครับรออะไร จอดรถยากมาก เพราะโหลดต่ำทำให้รถไม่เอียงตัวเวลาวางขาตั้งลง พื้นตรงนั้นลาดเอียงทำให้จอดแล้วรถดูเอียงน้อยมาก แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เอ่ หรือว่าผมเบลอเพราะความเหนื่อยล้า รถล้มตามตอนผมลงจากรถ มือพยายามฉุดลดความแรงที่รถจะกระแทกพื้น รอบนี้กระแทกแรงกว่าบนภูโปก พื้นก็แข็งกว่า ผมห่วงรถมาก เจ้าของร้านของชำตกใจ มองดูกันใหญ่



ชีวิตบัดซบ รถมาล้มตรงนี้อีกรอบ ทั้ง ๆที่เป็นทางราบ หน้าร้านของชำ



ผมกับไอ้น้องช่วยกันยกรถขึ้นแบบคนหมดแรง ยกยากจัง ทำไมหนักจัง บนภูยังไม่ยกยากแบบนี้เลย สงสัยใช้แรงกันไปหมดแล้ว พอเราตั้งรถได้ ผมก็จอดอีกมุมพร้อมเดินไปหาสปอนเซอร์มากิน ไอติม เมาเทนดิว กินเข้าไปไม่สนใจรถเท่าไหร่แล้ว เจ้าของร้านมองแบบงง ๆ ว่าทำไมดูเหมือนเราไม่สนใจรถเลย



นอนเป็นตาย


วันนี้ต้องจากบ้านเพื่อน เพื่อนแยกไปกรุงเทพ ก่อนไปก็จะเข้าตัวเมืองเลย แผนที่ผมจะวิ่งไปภูป่าเปาะตอนเช้ามืด แล้วไปเกษตรที่สูงภูเรือ ก่อนจะไปพักที่ภูเรือก็เปลี่ยนแผน เพราะเชื่อว่าจะต้องนอนกินบ้านกินเมืองแน่ ๆ



แผนเปลี่ยนเป็น ออกจากบ้านบ่าย 3 ไปส่งเพื่อนที่ตัวเมืองเลย และผมจะหาที่พักที่นั้น หาที่ซักผ้าที่โคตรซกมก และอาจจะขึ้นไปถ่ายรูปบนภูบ่อบิดที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวเมืองนั้นในตอนเย็น และตอนเช้าวันถัดไป



ระหว่างรอเดินทาง ผมก็นั่งเขียนบันทึกการเดินทางสดชิ้นนี้นั้นแหละครับ



พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไง ผมยังไม่รู้ จะได้มาเขียนบันทึกสดอีกทีตอนไหน ก็ไม่ทราบ ถ้าอ่านกันมาถึงตรงนี้ก็แวะไป Like Page ผม หรือภาพในนั้น แชร์ได้ยิ่งดี จะขอบคุณมาก



Page บันทึกการเดินทางของข้าพเจ้า (https://web.facebook.com/omeoyou/)



ลากันไปด้วยภาพนี้ก่อน



ลาท่านผู้ชมตรงนี้สำหรับบันทึกการเดินทางสดครั้งนี้

เดินทางตามฝัน

 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 20.53 น.

ความคิดเห็น