สำหรับคนที่เพิ่งผลัดชีวิตเข้าสู่วัยทำงานจะมีคำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมากมาย เป็นคำถามเฉพาะของช่วงวัยซึ่งต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ก้าวอยู่บนความวิตกของช่วงวัยจนใคร่วิ่งฉิวหายเข้าป่าเสียหลายหน ส่วนจะไปไหนหรือไปเพื่ออะไร ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบ ขอเพียงได้บากบั่นคว้ากระเป๋าแล้วออกเดินเท่านั้นพอ
การเดินทางครั้งใหม่ของผมเริ่มต้นฤดูฝน อำเภอ สังขละบุรี จังหวัด กาญจนบุรี คือจุดหมายที่ส่งเสียงเร่าร้องให้ได้รับการเยี่ยมเยือน และวันหยุดยาวเป็นดั่งโองการสวรรค์ที่อนุญาตให้หันหลังจากวงเวียนการใช้ชีวิตตามปกติ ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันรถตู้สาย กรุงเทพ-พุทธมณฑล-กาญจนบุรี รอบ 06.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ค่าโดยสาร 120 บาท เช้านั้นผู้คนต่อคิวจ่ายตั๋วกันยาวเหยียด หลายคนต้องการกลับบ้าน แต่บางคนยังไม่ทราบปลายทางแล้วแต่ผองเพื่อนจะพาไป
หลับเพียงสามตื่นก็ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดกาญจนบุรี แวะเติมพลังและรีบต่อรถตู้สาย ทองผาภูมิ-สังขละบุรี รถออกพร้อมเพื่อนร่วมทางเต็มคัน ค่าโดยสาร 175 บาท ไม่นานนักฉากสองข้างทางก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง ชุมชนแต่ละชุมชนเว้นช่องว่างไกลห่างออกไป ผืนป่า ผาสูง เริ่มปรากฏพร้อมทางโค้งลาดชันมากเกินนับ ผมถึงปลายทางได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีอาการวิงเวียนตลอดการแล่นตัด ดงดิบนานกว่า 3 ชั่วโมง ชุมชนมอญริมฝั่งน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว
ตามแผนเดิมผมเลือกที่พักไว้ในซอย สามประสบ เมื่อไปถึงจึงพบว่าทุกที่ล้วนถูกจองและเข้าพัก ทว่าไม่นานนักก็พบห้องว่างละแวกโรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา ผมรีบคว้าไว้ จัดเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย พักผ่อนกายา แล้วเร่งออกสำรวจบนทางหลวงชนบท
สถานที่แรกที่ไปเยี่ยมชมคือเจดีย์พุทธคยาจำลอง ปูชนียสถานทรงสี่เหลี่ยมสีเหลืองทองตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำ ศูนย์รวมทางจิตใจ ชาวมอญ อำเภอ สังขละบุรี การเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในองค์เจดีย์จะต้องแต่งกายสุภาพ แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่บังเอิญปกปิดร่างกายมาด้วยผ้าน้อยผืนก็ไม่ต้องผิดหวัง เพราะสามารถหาเช่าผ้านุ่งได้ในราคาถูกจนใจหาย จุดสนใจอีกแห่งคือรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่ที่ยืนเคียงอยู่เบื้องหน้าประหนึ่งคอยปกปักษ์มิให้สิ่งร้ายมากล้ำกลายพระศาสนา และรูปปั้นเทพนมทรงเครื่องเรียงรายรอบองค์เจดีย์ เมื่อสำรวจจนถ้วนแล้วผมก็ไม่ลืมแวะศาสนสถานสำคัญอีกแห่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่)
ตะวันคล้อยต่ำลง เมฆฝนสีเทากระจายทั่วนภากาศ แต่แดดยังแรงกล้าเลียผิวหนังจนไหม้เกรียม หลังจากบรรจุแกงฮังเลตำรับชาวมอญลงท้องเสร็จสรรพก็ถึงเวลาที่จะล่องเรือไปตามลำน้ำบนจุดที่แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน เพลิดเพลินกับทัศนียภาพสองข้างน้ำไม่นานหัวเรือก็เข้าเทียบฝั่ง "ถึงแล้วครับ เมืองบาดาลหรือวัดวังก์วิเวการามเดิม" มัคคุเทศก์น้อยพูดตะกุกตะกัก เป็นไปตามที่คาดไว้ พระอุโบสถกลางน้ำขณะนี้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่บนผืนหญ้าเขียวขจี รอรับคำชื่นชม และเป่ามนต์สะกดให้นักท่องเที่ยวต้องเดินทางกลับมาอีกครั้งเมื่อพุทธสถานแห่งนี้อวดโฉมเหนือผิวน้ำ เพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วครับ
ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติ สายน้ำ และอดีต อยู่นานเลยทีเดียว เมื่อกลับถึงหมู่บ้านมอญก็ล่วงเข้าเวลาเย็นแล้ว สะพานไม้ยาวเหยียดอันเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนบัดนี้กลับมาครึกครื้นหลังจากร้างผู้คนเพราะไอแดด เดินชมความงามบนตัวสะพานและทิวทัศน์ข้างเคียง สักพักใหญ่ก็ตัดสินใจย้ายตัวเองมาอยู่ตรงจุดชมวิวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ที่ ๆ มองเห็นแม่น้ำโค้งเลาะลัดภูเขาทะมึนและสะพานไม้พาดยาวจากด้านข้าง บนนี้เลยครับ สะพานซองกาเลีย ทางผ่านที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลย
มื้อค่ำเย็นนี้ผมตั้งใจมาหาของกินอร่อย ๆ ละแวกตลาดสดสังขละบุรี สอดส่ายสายตาชั่วครู่ก็พบร้านหนึ่งคนมุงเยอะทีเดียว ป้ายบอกรายการเหนือศีรษะแม่ค้าล้วนเป็นอาหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ยำใบชาของพม่า ยำข้าวซอยแบบมอญ ยำกระเหรี่ยง ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย และกะปองโจ้ ผักชุบแป้งทอดสีเหลืองนวลชวนรับประทาน ชิมอย่างละนิดละหน่อย รับประกันความอร่อยทุกเมนู เสร็จแล้วไปต่อร้านหมูจุ่มไม้ละบาท วิธีกินก็แสนง่ายแค่นั่งล้อมหม้อ เล็งชิ้นที่โต ๆ ราดน้ำจิ้มแล้วเทเข้าปาก รสชาติอาจไม่พิสดารนักแต่ลองเถอะครับประเดี๋ยวเจ้าบ้านเขาจะหาว่ามาไม่ถึงถิ่น
เช้าถัดมาผมย้อนกลับมาที่หมู่บ้านมอญอีกครั้งเพื่อเฝ้าดูวิถีชีวิตยามเช้าและกล่าวลา หลายคนยืนเรียงแถวรอใส่บาตร บ้างจับกลุ่มตามร้านรวง บ้างปล่อยอารมณ์เดินชมหมอกลอยเกลื่อนเหนือแมกไม้ ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่เก็บภาพความทรงจำไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะหันหลังกลับสู่สภาวะเดิมในป่าคอนกรีต ที่ ๆ เต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้นเตือนให้ผมออกเดินทาง
Pa'Nat Tiao-Tea
วันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.57 น.