บอกเลย!! มองข้าม "Romania" แล้วจะเสียใจ

การเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในต่างประเทศของผมส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนเอเชียเสียเป็นส่วนใหญ่ มีทริปล่าสุดที่โดดไปสูดกลิ่นอายของแขกในทวีปแอฟริกา หนนี้เลยออกนอกกรอบอีกครั้ง ขอไปหาประสบการณ์ในโซนยุโรปดูบ้าง แต่เอ๊ะ เมื่อพูดถึง "ยุโรป"ค่าใช้จ่ายมันสูงเลยนะ แถมความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและทรัพย์สินก็ใช่ว่าจะปลอดภัย แล้วประเทศไหนละที่จะตอบโจทย์ของทริปนี้ได้

ผมพยายามหาข้อมูลของแต่ละประเทศค่อนข้างมาก ท้ายสุดมาจบที่ "โรมาเนีย" ด้วยเหตุผลที่ว่า

1.ประเทศนี้นักท่องเที่ยว รวมถึงคนไทย ยังไม่ค่อยไปเที่ยวที่นี่มากนัก อาจเนื่องมาจากเดิมโรมาเนียปกครองด้วยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์และเพิ่งจะมีการปฏิวัติล้มล้างระบอบเผด็จการไป แล้วเปลี่ยนมาปกครองแบบประชาธิปไตยแทน นักท่องเที่ยวเลยอาจกังวลถึงความปลอดภัยอยู่บ้าง

2.ในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวของโรมาเนีย ไม่ได้น้อยหน้าประเทศอื่นๆ เลย มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ จนยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกถึง 7 แห่ง หรือบางแห่งก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่น่าสนใจ หาชมจากที่ไหนไม่ได้นอกจากโรมาเนีย

และเหตุผลข้อสุดท้ายที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ค่าครองชีพของโรมาเนียดูไม่ต่างจากเมืองไทยเลย เรียกได้ว่าต่ำกว่าหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรปเลยครับ

สำหรับการเตรียมตัวเข้าประเทศโรมาเนีย ต้องทำวีซ่าครับ ผู้ที่มี Schengen Visa อยู่แล้ว สามารถเข้าโรมาเนียได้เลย แต่ถ้ายังไม่มี Schengen Visa แบบผม ก็ต้องไปทำวีซ่าที่สถานทูต โดยจะต้องทำการกรอกแบบฟอร์มการขอวีซ่าท่องเที่ยวระยะสั้นผ่านระบบ internet ไปก่อนทาง http://evisa.mae.ro/home โดยเราจะต้องทำการสมัครด้วยอีเมลก่อน จากนั้นรออีเมลตอบกลับซึ่งจะส่งรหัสหมายเลขคำร้องขอวีซ่ามาให้เรา เมื่อได้อีเมลแล้ว ก็ทำการ login เข้าไปกรอกข้อมูลวีซ่า พร้อมแนบหลักฐาน ซึ่งหลักฐานต่างๆ ประกอบด้วย

1.รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว (พื้นหลังสีขาว) 1 รูป

2.หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ

3.หลักฐานการจองที่พักในโรมาเนีย

4.เอกสารรับรองทางการเงินจากธนาคาร โดยมีเงินคงเหลือในบัญชีล่าสุดไม่เกิน 30 วัน คำนวณจาก จำนวนวันที่จะอยู่ในโรมาเนียx 50 ยูโร และเมื่อคำนวณออกมาแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 500 ยูโร

5.ประกันค่ารักษาพยาบาลและการเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ครอบคลุมไม่ต่ำกว่ารายละ 2 ล้านบาท และต้องมีระยะเวลาครอบคลุมการเดินทางทั้งหมดบวก 1 วัน (เช่นเราจะไป 7 วัน ต้องทำประกัน 8 วัน)

6.หนังสือรับรองการทำงาน

เมื่อเจ้าหน้าที่สถานทูตทำการตรวจสอบรายละเอียดแล้วก็จะส่งเมลกลับมาหาเราอีกครั้ง (1-2 วัน) เพื่อทำการนัดหมายให้เข้าไปที่สถานทูต (ด้วยตัวเอง) เพื่อนำ Passport และเอกสารที่ทำการยื่นทั้งหมดที่เป็นตัวจริงและสำเนา รวมถึงสำเนาของ Passport ด้วย ไปให้เขาอีกครั้ง พร้อมชำระค่าวีซ่า จำนวน 2,400 บาท โดยสถานทูตโรมาเนียตั้งอยู่ที่ ชั้น 12 อาคารสิรินรัตน์ ถ.พระราม 4 ตรงข้ามกับตึกมาลีนนท์ โดยเวลาทำการในการยื่นวีซ่าเปิดให้บริการในวันอังคาร เวลา 14:00-16:00 น. และวันศุกร์ เวลา 9:30-12:30 น. เท่านั้นครับ ผมยื่นเรื่องในวันอังคาร สถานทูตนัดรับเล่มในวันศุกร์ครับ ถือว่าเร็วเลยทีเดียว ในวันที่รับเล่ม ทางสถานทูตจะมีกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนแนะนำว่า ให้นำสำเนาเอกสารที่ยื่นต่อสถานฑูตติดตัวไปในวันที่เดินทางด้วย เผื่อ ตม.โรมาเนียอาจจะขอดูอีกครั้ง สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกมารับเล่ม จะต้องทำหนังสือมอบอำนาจในการรับเล่มแทนครับ

ก่อนอื่นเรามารู้จักโรมาเนียกันก่อนดีกว่า

โรมาเนียอยู่ในทวีปยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรดประเทศยูเครนและมอลโดวา ทิศตะวันตกจรดฮังการีและเซอร์เบีย ทิศใต้จรดบัลแกเรีย ส่วนทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดทะเลดำครับ

สำหรับทริปนี้ ผมใช้เวลาเดินทาง 9 วัน ตามแผนการเดินทางดังนี้

วันแรกBKK > Malaysia

วันที่สอง Malaysia > Doha > Bucharest

วันที่สาม Bucharest > Curtea de Arges > Transfagarasan Highway > Sibiu

วันที่สี่Sibiu > Medias > Biertan Villege > Sighisoara

วันที่ห้า Sighisoara

วันที่หกSighisoara > Salina Turda > Cluj Napoca

วันที่เจ็ดCluj Napoca > Rasnov Castle > Bran Castle > Brasov

วันที่แปดBrasov > Peles Castle > Bucharest

วันที่เก้า Bucharest > Doha > BKK

เห็นโปรแกรมวันแรกแล้วอาจสงสัยว่าทำไมต้องไปมาเลเซียก่อน เหตุเพราะทริปนี้ผมเลือกจองตั๋วเครื่องบินของ Qatar Airways ซึ่งเส้นทางจาก BKK > Doha ไม่มีโปรโมชั่น มีโปรโมชั่นแต่เส้นทาง KL > Doha, Doha > Bucharest และ Bucharest > Doha , Doha > BKK ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดเงิน และยอมเสียเวลา ผมเลยบินมาต่อเครื่องที่ KL นี่แหล่ะครับ

แล้ววันเดินทางก็มาถึง โดยผมใช้บริการของแอร์เอเชียเพื่อบินไปยังมาเลเซียครับ

17.10 น. เริ่มทะยานสู่ฟากฟ้า การเดินทางครั้งสำคัญในชีวิตกำลังจะเริ่มต้นครับ

เมื่อบินเข้าน่านฟ้ามาเลเซีย ความมืดก็เริ่มปกคลุม มองลงไปเบื้องล่างเห็นดาวบนดินสว่างไสวสวยงาม

จากดอนเมือง ใช้เวลาบินประมาณ สองชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึง KLIA2 ครับ

ผมมีเวลาต่อเครื่องราวห้าชั่วโมง ถือว่าเพียงพอที่จะหาอาหารมื้อค่ำรองท้องกันแบบไม่เร่งรีบ ที่สนามบิน KLIA2 มีร้านอาหารมากมาย ผมเลือกที่จะไปใช้บริการที่ Nando'sภายในร้านตกแต่งได้เก๋ไก๋น่านั่ง มื้อนี้ผมสั่งสลัดผัก และไก่ย่างครับ รสชาติถือว่าใช้ได้เลย

จาก KLIA2 เรานั่ง KLIA Transit ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็มาถึง KLIA ค่าบริการ 2 RM ครับ


จาก KL > Doha ผมใช้บริการของสายการบิน Qatar Airways มารอ Check in ตั้งแต่เคาเตอร์ยังไม่เปิดเลย ก็แบบว่าไม่รู้จะไปไหนแล้ว อยาก Check in ให้เสร็จจะได้ไปนั่งพักผ่อนที่ Gate ครับ


ผมว่าความอลังการของ KLIA สู้ KLIA2 ไม่ได้เลย มันดูเงียบๆ ไม่คึกคักเท่า KLIA2 ครับ

02.00 น. เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง ความสว่างไสวของดาวบนดินยังคงระยิบระยับอยู่เหมือนเดิม

เมื่อเครื่องทะยานสู่ฟ้าได้สักพัก ก็มีบริการอาหารว่าง เป็นพายไก่ร้อนๆ และขนมเค้ก และก่อนที่เครื่องจะ Landing ราว 1 ชั่วโมง มีบริการอาหารเช้าครับ

ราว 7 ชั่วโมงกว่า ก็มาถึงยังสนามบิน Doha ผมมีเวลาต่อเครื่องที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมงครับ

สนามบิน Doha ค่อนข้างทันสมัยและกว้างขวางมากๆ ครับ

Gate ที่นี่ค่อนข้างเยอะมาก เลยต้องมีการใส่ตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับด้านหน้าตัวเลข เช่น E45 ก็ให้เดินไปตามเส้นทาง E ครับ โดยให้จับจุดที่ตุ๊กตาหมีสีเหลืองขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางสนามบิน จากนั้นจะมีป้ายบอกเส้นทางว่า E ไปทางไหน

ตุ๊กตาหมีใหญ่ขนาดไหน ลองเทียบสัดส่วนกับคนที่เดินอยู่ใกล้ๆ ดูนะครับ

ไดโนเสาร์บุกสนามบิน ขยับตัวได้ด้วยครับ


มีเครื่องเล่นให้เด็กๆ ได้เล่นกันด้วย บาง Gate ที่อยู่ไกล ก็จะมีรถไฟฟ้าบริการด้วย

มีมุมให้นั่งเล่น Internet พร้อมมุมนั่งพักผ่อน สามารถเอนหลังได้ครับ

อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น Gate ไหนที่ไกล เราสามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ สังเกตด้านบนของสองข้างทางเดินเลื่อนนะครับ จะเห็นรางของรถไฟฟ้าวิ่งกันในสนามบินเลย


07.10 เราเริ่มทะยานขึ้นฟ้ากันอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าสู่ Bucharest ครับ

วิวด้านนอกสวยงามเลยทีเดียว เมืองที่มองดูแห้งแล้ง แต่มีตึกสูงระฟ้าโผล่ขึ้นมาเป็นกระจุก ดูขัดตาดีเหมือนกันครับ

เครื่องขึ้นสักพัก ก็บริการอาหารเช้าครับ

เมฆสวยๆ กระจายเต็มท้องฟ้า


จากพื้นที่แห้งแล้ง เริ่มเห็นความเขียวขจี รู้ทันทีว่าเข้าเขตโรมาเนียแล้ว

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงประกาศจากแอร์โฮสเตสจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยรวมบอกว่าได้มาถึง Bucharest แล้ว เวลาภาคพื้น 13.00 น. จาก Doha เราใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมงครับ สนามบินของโรมาเนียเป็นสนามบินที่ไม่ใหญ่มาก อารมณ์เหมือนสนามบินเชียงใหม่บ้านเรา

ก่อนจะผ่านกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมือง ผมเตรียมสำเนาเอกสารที่เคยยื่นต่อสถานทูตโรมาเนียไว้เรียบร้อยแล้ว แต่แอบกังวลเล็กๆ กลัวว่าจะโดน ตม.ซักไซ้เสียมากกว่า เพราะภาษาอังกฤษผมไม่แข็งแรง แต่เหมือนเป็นโชคดีของผม เจ้าหน้าที่ ตม.มัวแต่คุยโทรศัพท์ระหว่างตรวจเอกสารผม เลยทำให้ผมผ่านโดยที่ไม่มีการสัมภาษณ์หรือขอดูเอกสารเพิ่มเติมแต่อย่างใด ผิดกับพี่นัท เพื่อนร่วมทริปของผม ที่โดนสัมภาษณ์ถึงที่พักในโรมาเนียที่เราจองไว้ แต่ไม่มีการขอดูเอกสารเพิ่มเติมแต่อย่างใดเช่นกันครับ

บูคาเรสต์ (Bucharest) เป็นเมืองหลวงของโรมาเนีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของโรมาเนีย ด้วยทำเลที่ตั้งที่แวดล้อมไปด้วยเทือกเขาและทะเลสาบ บูคาเรสต์จึงได้รับสมญานามกันทั่วยุโรปว่า "ปารีสน้อย" แห่งโรมาเนีย ชื่อเมืองบูคาเรสต์จะไปคล้องกับ บูดาเปสต์ (Budapest) เมืองหลวงของฮังการี เวลาเรียกผมต้องพยายามตั้งสติดีๆ แต่ก็เรียกผิดอยู่หลายครั้งครับ

ที่สนามบิน ผมแวะแลกเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นค่ารถที่จะเข้าไปยังตัวเมืองบูคาเรสต์ ผมเลือกเดินทางโดยรถบัส สาย 783 ซึ่งสามารถมารอรถที่ชั้นล่างของอาคาร ที่ป้ายจอดรถจะมีตู้ขายตั๋ว เราต้องซื้อตั๋วให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถนะครับ ค่าโดยสารคนละ 2 lei เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยก็ให้เอาตั๋วที่เราซื้อไปแนบกับเครื่องอ่านตั๋ว เป็นอันเสร็จพิธี จากสนามบินใช้เวลาเดินทางถึงตัวเมืองบูคาเรสต์ประมาณ 45 นาทีครับ

ผมนั่งรถยาวจนสุดสาย จากนั้นก็ตะเวนเดินหาที่พักที่จองไว้ล่วงหน้ามาจากเมืองไทย กระเป๋าใบโตถูกลากไปตามพื้นที่ปูด้วยหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก ส่งเสียงดังไปตลอดทาง จนเป็นที่จับตามองจากคนแถวนั้น ฟุตบาทที่นี่จะปูด้วยหินทรงลูกบาศก์ขนาดเล็ก ผมชอบนะ ดูคลาสิคดี แต่ที่ไม่ชอบคือมันไม่เรียบ เวลาเดินค่อนข้างลำบาก และเวลาลากกระเป๋า เสียงจะดังมากครับ

กว่าจะหาที่พักเจอ เวลาก็ผ่านเนิ่นไปจนบ่ายสองโมงกว่าแล้ว เมื่อถึงที่พักผมยังไม่ทันได้เข้าห้อง เนื่องจากเกรงว่าจะเสียเวลา เพราะผมได้ให้โฮสเทลทำการจองคิวเพื่อเข้าชมอาคารรัฐสภาไว้ โดยรอบที่ผมได้คือ 15.00 น. ผมทำได้เพียงฝากกระเป๋าไว้ที่ลอบบี้ และสอบถามพนักงานว่าเวลาเหลือเพียงครึ่งชั่วโมง ผมจะไปทันเข้าชมไหม พนักงานบอกว่าเดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว จากนั้นผมไม่รอช้าแล้วรีบจ้ำเท้าเพื่อไปยังอาคารรัฐสภาทันที

ดูจากแผนที่แล้ว ที่พักผมอยู่ห่างจากอาคารรัฐสภาพอสมควร ใจอยากจะเรียก Taxi แต่เสียงของพนักงานมันก้องอยู่ในหูว่า เดินแป๊บเดียวก็ถึง อีกอย่างผมไม่อยากเสียค่า Taxi ด้วย เพราะกลัวว่าระยะทางมันจะใกล้จริงๆ แต่ยิ่งเดิน ทำไมมันยังไม่ถึงซะที ด้วยเวลาที่จำกัดเพียงครึ่งชั่วโมง ผมเลยต้องรีบจ้ำจนทำให้ขาแทบเป็นตะคริวเลยครับ

จากที่พักใช้เวลาเดินเกือบ 20 นาที ก็เห็นอาคารรัฐสภาอยู่เบื้องหน้า ผมดีใจจนเนื้อเต้น รีบเดินไปที่ประตูทางเข้า แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปเข้าอีกประตูที่อยู่ด้านทิศเหนือ อาการดีใจของผมเมื่อสักครู่สลายไปอย่างสิ้นเชิง

อาคารรัฐสภาหรือทำเนียบประธานาธิบดีของโรมาเนีย (PALACE OF PALIAMENT) แห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากตึกเพนตากอนของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ใจกลางของบูคาเรสต์ เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ.1984 โดยนิโคไล เซาเซสคู ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติโรมาเนีย เพื่อเป็นที่ทำการรัฐบาลและรัฐสภา ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคมีขนาดใหญ่ 270×240 เมตร มีความสูง 12 ชั้นบนดิน 8 ชั้นใต้ดิน อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิก 700 คน และแรงงานถึง 30,000 คน ใช้เวลาสร้างนานกว่า 13 ปี ถึงแม้อาคารนี้จะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจนดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าภูมิใจ แต่แท้จริงแล้วอาคารหลังนี้แลกมาด้วยความเจ็บปวดของชาวโรมาเนียในยุคนั้น เพราะอาคารรัฐสภาถูกสร้างมาจากงบประมาณแทบจะทั้งหมดในคลังของประเทศกว่า 3.3 พันล้านยูโรจนได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่ฟุ่มเฟือยและราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในขณะที่ประชาชนกลับอดอยากปากแห้งและไร้สวัสดิการใดๆ

เมื่อเข้าไปด้านในของอาคารรัฐสภาได้แล้ว บริเวณชั้นล่างจะเป็นจุดจำหน่ายตั๋ว ค่าเข้าชมที่นี่จะมีราคาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะชมอะไรบ้าง ค่าเข้าชมตามรูปด้านบนเลยครับ ผมเลือกเข้าชมตามข้อ 4 เสียค่าเข้าชมคนละ 45 lei

การเข้าชมด้านในอาคารรัฐสภา หากต้องการถ่ายรูปด้านใน เราต้องเสียค่าถ่ายภาพด้วย อีกคนละ 30 lei ถือว่าแพงเอามากๆ เลย และการถ่ายภาพก็จะมีกติกาด้วย คือ ห้ามถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ รวมถึงบริเวณชั้นล่างที่มีจุด Scan สิ่งของ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับจุดขายตั๋ว และเมื่อชมภายในเสร็จแล้ว อาจจะโดนสุ่มตรวจภาพในกล้องด้วยครับ

จริงๆ ผมถ่ายภาพบริเวณซื้อตั๋วมาด้วย แต่พอตอนที่ผมจะกลับ เจ้าหน้าที่ขอดูภาพในกล้อง ปรากฏว่าภาพที่ผมถ่ายจุดซื้อตั๋วดันไปติดพื้นที่ที่มีจุด Scan สิ่งของนิ๊ดเดียว เจ้าหน้าที่เลยให้ผมลบภาพทิ้งไปครับ

หลังจากชำระค่าเข้าชมเรียบร้อยแล้ว เราต้องมาแลกบัตรเพื่อเข้าไปด้านใน โดยนำ passport มาแลกกับบัตรเข้าชม พร้อมกับผู้ที่ซื้อบัตรสำหรับถ่ายภาพไว้ เจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรคล้องคอมาด้วยครับ

ห้องนี้เป็นห้องแรกที่เจ้าหน้าที่พาเข้าชมครับ เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีรูปปั้นของบรรดาผู้นำรัฐสภาในอดีต และผู้นำรัฐสภาคนล่าสุดของโรมาเนีย ผนังตกแต่งด้วยหินอ่อน ฝ้าเพดานเป็นทรงโค้งสีขาว ปูด้วยพรมสีเขียว

ห้องนี้เป็นห้องประชุม ออกแบบเป็นทรงกลมให้อารมณ์เหมือนโรงละคร มีแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของอาคารรัฐสภาแห่งนี้ แชนเดอเลียร์มีน้ำหนักกว่า 5 ตัน ทำจากคริสตัลโคมไฟกว่า 2,000 ดวง สวยงามมากครับ

บริเวณนี้จะเป็นทางเดินเพื่อเข้าไปสู่อีกห้องหนึ่ง โดยรอบจะมีชุดพื้นเมืองของโรมาเนียแต่ละภูมิภาคมาจัดแสดงให้ชมด้วย

นอกจากจะมีชุดพื้นเมืองมาแสดงแล้ว บริเวณทางเดินนี้ก็จะมีภาพเขียนจัดแสดงมากมาย แต่ภาพนี้ถือเป็นไฮไลท์ ผู้วาดสื่อถึงแนวทางการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ภาพนี้เมื่อมองจากหลายมิติ จะเห็นหน้าคนที่แสดงอารมณ์เปลี่ยนไป แล้วแต่มุมมองของภาพครับ

ห้องนี้เป็นห้องประชุมอีกเช่นกัน

ห้องนี้เป็นห้องประชุมที่ประดับด้วยหินอ่อนสีชมพูจากอิตาลีครับ

โถงทางเดินทำจากเสาหินอ่อนที่ดูอ่อนช้อย มีการประดับโคมไฟและผ้าม่านอย่างสวยงาม นี่ขนาดเปิดไฟไม่ครบ ยังสวยขนาดนี้ ถ้าเปิดไฟครบ คงอลังการน่าดูชมครับ

อีกห้องที่เตะตาผมเป็นอย่างมาก คือโถงต้อนรับอยู่กลางอาคารครับ โดดเด่นที่โคมไฟโบฮีเมีย ดูอลังการมากๆ ใหญ่ขนาดไหนลองเทียบมาตราส่วนกับคนดูนะครับ บริเวณโถงนี้จะมีบันไดหินอ่อนขนาบสองข้าง

ลวดลายบนพื้นหินอ่อนเป็นแผนผังของอาคารรัฐสภาแห่งนี้ครับ

ห้องประชุมโต๊ะกลม

ห้องนี้เป็นห้องที่เปิดให้เช่าพื้นที่เพื่อใช้จัดแสดงสินค้า ที่พื้นมีลวดลายสไตล์โรมาเนีย ห้องนี้เคยใช้จัดประชุมครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลก โดยมีประธานาธิบดีโรมาเนียเป็นผู้ประสานให้เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสลาเอล และ ยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำชาวปาเลสไตน์ ที่ต่างก็ขัดแย้งกันมาพบกัน ซึ่งทั้งคู่ต่างรับคำเชิญ แต่มีข้อแม้ว่าต้องหาสถานที่ที่มีทางเข้าหลักอย่างสมเกียรติ 2 ทางเท่าๆ กัน โดยผู้นำทั้งสองจะไม่เดินเข้าทางเข้าเดียวกัน

ห้องนี้เป็นห้องที่มีเสียงสะท้อน เวลาตบมือเสียงจะสะท้อนดังไปทั่วห้อง ทั้งเสาและพื้นเป็นหินอ่อนเช่นกัน

ห้องนี้เป็นห้องที่มีเพดานสูงสุด ประมาณตึก 3 ชั้น ใช้แสงจากธรรมชาติ เพดานเป็นกระจก เสาและพื้นทำจากหินอ่อนครับ ผมว่าห้องนี้ดูไม่อึดอัดเท่ากับทุกๆ ห้องที่ได้ชม อาจเพราะมีแสงจากธรรมชาติมาช่วยก็เป็นได้

พักออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างครับ จะมีทางเดินออกมาสู่สวนเขียวด้วย แต่ดูแล้วสวนที่นี่ไม่ค่อยได้รับการดูแลตกแต่งให้สวยงามสักเท่าไร อาจเนื่องจากงบประมาณมีจำกัดก็เป็นได้

ขึ้นไปดูชั้นอื่นบ้างดีกว่า โดยเราต้องเดินขึ้นบันไดหินอ่อนนี้ครับ

บริเวณกึ่งกลางบันได มีผ้าม่านขนาดใหญ่จากเปอร์เซีย เห็นว่ามีน้ำหนักกว่า 200 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ขึ้นมาเจอห้องนี้ครับ มีธงชาติโรมาเนียประดับไว้ด้วย ที่ผมชอบคือลวดลายบนเพดาน ที่มีแสงธรรมชาติส่องผ่านลงมาครับ

ห้องนี้เป็นห้องประชุมอีกห้องที่มีขนาดใหญ่ ไมเคิล แจ็คสัน เคยมาถ่ายทำมิวสิควีดีโอที่ห้องแห่งนี้ด้วย ห้องนี้จะมีทางเดินที่ออกไปสู่ระเบียงด้านหน้าได้ครับ

ระเบียงนี้เป็นจุดที่นิโคไล เซาเซสคู ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติโรมาเนียเคยออกมาปราศรัยกับประชาชนครับ

จากนั้นเจ้าหน้าที่นำขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นมาที่ชั้นไหนก็ไม่รู้ครับ มาโผล่อีกทีที่ห้องนี้ ห้องนี้เป็นห้องโถง ที่ดูสูงโปร่ง ลวดลายที่เพดานดูสวยงามไม่แพ้ห้องอื่นๆ ออกแบบเป็นโทนสีชมพู ห้องนี้จะมีประตูเพื่อออกมาสู่สานกว้าง ที่สามารถชมเมืองบูคาเรสต์มุมสูงได้ครับ

เมื่อเดินออกมาที่ลานกว้าง มองย้อนกลับไปยังอาคารรัฐสภาครับ

มุมนี้มองออกไปด้านนอก มองเห็นถนน Bulevardul Unirii ผมว่าน่าจะเป็นถนนที่สวยที่สุดในบูคาเรสต์แล้ว เพราะมีการตกแต่งด้วยน้ำพุมากมาย แถมตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟร่วมด้วยครับ

บูคาเรสต์มุมสูงแบบสุดลูกหูลูกตาครับ

น่าแปลกที่ทุกห้องในอาคารรัฐสภาไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศแต่มีความรู้สึกว่าอากาศเย็นเหมือนติดแอร์ ต้องยอมรับความสามารถในการออกแบบของสถาปนิกจริงๆ ที่ออกแบบระบบระบายอากาศโดยใช้การหมุนเวียนของอากาศ จึงทำให้ภายในอาคารรัฐสภามีความเย็นอยู่ตลอดเวลา

ผมใช้เวลาเดินชมภายในอาคารรัฐสภากว่า 2 ชั่วโมง แต่เนื่องจากจำนวนห้องที่มากกว่า 2,000 ห้อง ทำให้ผมไม่สามารถชมได้ทั้งหมด อีกทั้งที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น ไกด์บอกรวมๆ ว่าที่เราเข้าชมวันนี้ ไม่ถึง 10% ของอาคารรัฐสภาเลยครับ

ถ้าหากใครต้องการเข้าชมอาคารรัฐสภา ควรทำการจองรอบมาล่วงหน้านะครับ อาจจะประสานกับที่พักเพื่อให้โทรเข้ามาจองรอบไว้ให้ และอย่าลืมนำ Passport ติดตัวมาด้วยเพื่อแลกบัตรเข้าชมครับ

เที่ยวกันจนลืมเวลาทานข้าวไปเลย วันนี้ได้มื้อเช้าบนเครื่องบิน จากนั้นก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจนถึงตอนนี้ เวลาล่วงเลยไปจน 17.00 น. แล้ว คงได้ฤกษ์หาอะไรใส่ท้องกันสักที

ก่อนที่จะออกจากอาคารรัฐสภา แอบกระซิบถามเจ้าหน้าที่สาวที่พาพวกเราเดินชมอาคารรัฐสภาว่า มีร้านอาหารแนะนำบ้างไหม เธอแนะนำร้านนี้มาครับ อยู่ไม่ไกลจากอาคารรัฐสภาสักเท่าไร และยังเป็นทางเดินกลับที่พักของผมด้วย

Hanuberarilor คือร้านที่เจ้าหน้าที่อาคารรัฐสภาแนะนำ บรรยากาศมีทั้งแบบ indoor และ outdoor มองจากภายนอกร้าน ลูกค้าเยอะมากๆ เลยลองเข้าไปสอบถามพนักงานที่ใส่ชุดพื้นเมืองรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าร้าน พนักงานแจ้งว่ามีโต๊ะจองที่ว่างอยู่ หากเราทานเสร็จก่อน 1 ทุ่ม ก็สามารถใช้บริการได้ ผมไม่รอช้ารีบหาที่นั่งในบรรยากาศสวน ซึ่งดูโปร่งโล่งสบายกว่าการนั่งทานภายในอาคารครับ

เริ่มที่เมนูแรก เป็นสลัดเสิร์ฟพร้อมชีส เวลาทานก็คลุกชีสให้ทั่วเท่านั้นเองครับ

ตามมาด้วย ซามาลูเต้ (Sarmalute) ทำจากกะหล่ำปลีนึ่งห่อเนื้อบด หมักจนออกรสเปรี้ยว รสชาติคล้ายๆ แหนมบ้านเรา เสิร์ฟพร้อมแฮมและ มามาริกา (Mamaliga) เครื่องเคียงที่ทำจากแป้งข้าวโพด หน้าตาคล้ายขนมตาลบ้านเรา รสชาติออกจืดๆ ครับ

ไส้กรอกโรมาเนีย หน้าตาคล้ายไส้กรอกบ้านเรา ดูน่าทานเชียว แต่รสชาติหนักไปทางเค็มครับ

ปลาทอด เสิร์ฟพร้อมกับมามาริกา และน้ำขาวๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นนม แต่พอชิมแล้ว รสชาติคล้ายน้ำกระเทียมครับ

ราคาอาหารไม่ต่างจากบ้านเราเลย มื้อนี้ตกพันต้นๆ ครับ จริงๆ แล้วผมจองร้านอาหารอีกร้านหนึ่งไว้ตอน 1 ทุ่ม แต่สงสัยคงต้องรวบมื้อนี้เป็นมื้อค่ำด้วย เพราะตอนนี้เราอิ่มกันพอสมควรแล้ว

กว่าจะออกจากร้านอาหารก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว แต่ท้องฟ้ายามนี้ยังไม่มีวี่แววที่จะมืดเลย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้ที่นี่มืดค่อนข้างช้าครับ หาข้อมูลก่อนมาแล้ว ที่นี่จะมืดประมาณสี่ทุ่ม ดังนั้นเรายังมีเวลาเดินเที่ยวได้อีกร่วม 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ผมเดินเล่นไปเรื่อย เข้าซอยโน้น ทะลุซอยนี้ เห็นสถาปัตยกรรมของตึกรามบ้านช่องแล้วบอกเลยว่าเพลินครับ

Coltea Hospital เป็นโรงพยาบาลของรัฐที่เก่าแก่ที่สุดของบูคาเรสต์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1704 ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค ที่งดงามมากครับ

ติดกับ Coltea Hospital จะเป็น Biserica Coltei โบสถ์คริสเตียนออโธดอกซ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงบูคาเรสต์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1701 ดูจากภาพวาดที่อยู่บนซุ้มเพดานภายนอกก็สวยมากๆ แล้ว ภายในน่าจะสวยมากๆ เช่นกัน เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชม เพราะโบสถ์ปิดเสียแล้วครับ

อาคารเก่าแก่แห่งนี้สร้างในปี ค.ศ.1900 รูปทรงอาคารดูเข้มขรึม มียอดโดมโลหะที่มีช่องกระจกแบบเรเนสซองส์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ CEC Bank หรือสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการออมแห่งชาติครับ

เยื้องๆ กับ CEC Bank เป็นที่ตั้งของ Nation Museum of Romanian History หรือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติโรมาเนีย อาคารหลังนี้สร้างก่อนอาคาร CEC Bank อีกครับ คือสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1892 เคยใช้เป็นสำนักไปรษณีย์กลางของโรมาเนีย จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ อาคารมีขนาดใหญ่มาก เห็นว่ามีห้องจัดแสดงกว่า 60 ห้อง พื้นที่จัดแสดงกว่า 8,000 ตารางเมตรเลยทีเดียว ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์มีรูปปั้นจักรพรรดิ Trajan (จักรพรรดิองค์ที่ 16 ของอาณาจักรโรมัน มีชื่อเสียงจากความสามารถทางการรบและการปกครอง และเป็นผู้ที่สามารถนำทัพโรมันไปถึงเปอร์เซียและปกครองได้อย่างสันติ) ยืนเปลือยกายอุ้มสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย ผมแอบนึกสงสัยอยู่ว่า ทำไมต้องปั้นให้จักรพรรดิยืนเปลือยกายด้วย

อาคารหลังนี้เป็นที่ขายของเก่า ผมว่าน่าจะถูกใจคนที่ชอบสะสมของเก่าเป็นอย่างยิ่งครับ ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ

อาคารหลังนี้คือ Bank National Romania ถ้าเทียบกับบ้านเราก็น่าจะคล้ายๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยครับ ที่ด้านหน้ามีซากโบราณสถานที่อยู่ใต้ดิน โดยนักท่องเที่ยวสามารถยืนชมได้จากด้านบนผ่านกระจกผืนใหญ่ครับ

เยื้องๆ Bank National Romania คือ Stavropoleos Monastery หรือโบสถ์สตาฟโรโปลิโอส โบสถ์แห่งนี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมโรมาเนียนเรเนสซองต์ สร้างขึ้นเพื่อยกย่อง St. Archangels Michael และ St. Gabriel ชื่อ Stavropoleos เป็นคำที่ยืมมาจากภาษากรีก แปลว่าเมืองที่เต็มไปด้วยกางเขน ที่โบสถ์แห่งนี้จึงสามารถมองเห็นไม้กางเขนที่สลักจากหินอยู่เยอะพอสมควรครับ

จากโบสถ์สตาฟโรโปลิโอส เดินนิดเดียวก็ถึงที่พักของผมในคืนนี้แล้ว คืนนี้ผมเข้าพักที่ Little Bucharest Hostel ซึ่งตั้งอยู่ภายใน Old Town ที่ตั้งของ Hostel มีบรรยากาศคล้ายๆ กับถนนข้าวสารบ้านเราครับ ตลอดซอยจะมีร้านอาหารเล็กๆ มากมายตั้งอยู่บนทางเดิน ต่างเปิดเพลงเรียกลูกค้ากันอย่างคึกคัก

วันนี้เดินทางกันมาทั้งวัน แถมยังเดินเที่ยวกันจนหมดแรง คืนนี้ขอตุนแรงไว้เที่ยวในวันพรุ่งนี้ต่อดีกว่า ออกมาซ่าไม่ไหวแล้ว ก่อนนอนเรามาสำรวจที่พักของผมในคืนแรกกันก่อนดีกว่าครับ

ที่พักของผมในคืนแรก ดูจากภายนอกแล้วดูแทบไม่ออกเลยว่าเป็นที่พัก ดีที่เห็นป้ายเล็กๆ ติดอยู่ด้านหน้าอาคาร บริเวณชั้นล่างดูโดยรวมจะคล้ายเป็นหน้าร้านที่เปิดให้เช่า และจะมีประตูเล็กๆ เพื่อนำไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของลอบบี้ครับ ลอบบี้แบบเล็กๆ ดูเรียบง่ายดีครับ

มีห้องสำหรับสั่งกาแฟดื่ม รวมถึงเป็นห้องนั่งเล่นไปในตัวครับ

ห้องนอนของผมในคืนนี้ครับ นอนกัน 6 คน เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมตลอดทริปนี้ 4 คน (รวมผม) และฝรั่งอีก 2 คนครับ

ห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำรวม ตู้อาบน้ำแอบคับแคบไปนิด ขนาดพอดีตัวเลยครับ สนนราคาห้องพักคนละ 10 ยูโร/คืน หรือถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวต้องการนอนห้องแบบ 2 คน ก็มีในราคา 40 ยูโร/คืนครับ

ปกติอยู่เมืองไทย ผมจะนอนราว 5 ทุ่ม แต่ ณ ตอนนี้ เวลาเพิ่งจะสามทุ่มเอง ท้องฟ้ายังไม่มีวี่แววว่าจะมืด อีกทั้งเสียงดนตรีที่ดังกึกก้อง แต่ผมก็สามารถนอนหลับแบบไม่รู้ตัว เรียกได้ว่าหัวถึงหมอนก็หลับยาวยันเช้า อาการ Jet Lag ที่กลัวก็ไม่ปรากฏ เพื่อนร่วมห้องเข้ามาครบเมื่อไรไม่ต้องถามเลยครับ

มารู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน 05.00 น. โผล่หน้าต่างออกมาเห็นท้องฟ้ากำลังเริ่มสว่าง รีบล้างหน้าล้างตาแล้วคว้ากล้องออกไปในทันทีครับ

ทันทีที่ก้าวเท้าออกนอกอาคาร ความสงสัยก็เริ่มเกิดขึ้น นี่เรามาเที่ยวช่วงฤดูร้อนหรือฤดูหนาวกันแน่ อากาศที่ร้อนๆ ของเมื่อวานต่อเนื่องถึงกลางคืน ณ เวลานี้อากาศกลับเย็นสบาย ประมาณสัก 20 ต้นๆ ได้ ผมภาวนาขอให้เจออากาศเย็นๆ แบบนี้ไปทั้งวัน

จุดแรกไปกันที่ Old Princely Court ครับ

จากนั้นย้อนกลับมาที่ Bank National Romania

เดินต่อไปยังอาคารที่ขายของสะสมครับ

Stavropoleos Monastery

CEC Bank

Nation Museum of Romanian History

ผมกลับเข้าที่พัก เพื่ออาบน้ำ เช้านี้ผมนัดรถที่เช่าไว้ตอน 08.30 น. หลังจากเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ยังพอมีเวลาเหลืออีกร่วมชั่วโมง เลยออกเดินสำรวจในเมืองเก่าอีกครั้ง โดยกลับไปเริ่มที่Old Princely Court อีกครั้งครับ

ระหว่างที่กำลังสาละวนถ่ายภาพอยู่ภายนอกโบสถ์นั้น จู่ๆ ก็มีคุณลุงเดินมุ่งหน้ามาที่ผม แล้วโบกไม้โบกมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในโบสถ์ เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ต้องบอกเลยว่า ผมตกตะลึงในความงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจริงๆ ด้านนอกว่างดงามแล้ว ภายในยิ่งงดงามยิ่งกว่า นี่ขนาดยังไม่ได้เปิดไฟในโบสถ์ยังงดงามขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากเปิดไฟแล้วจะงดงามขนาดไหน

ติดกับ Old Princely Court เป็นที่ตั้งของโรงแรมแห่งแรกในบูคาเรสต์ครับ

ในบูคาเรสต์มีโบสถ์เยอะมากจริงๆ ถึงแม้ว่าโบสถ์จะเล็ก แต่ความงดงามภายใน ผมว่าไม่ได้เล็กตามขนาดของโบสถ์เลย ผมเห็นชาวคริสต์วนเวียนเข้ามาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ตลอดเวลาครับ

อีกจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเขตเมืองเก่า สามารถเดินไปได้ นั่นคือ Romania Glass Street เป็นถนนที่มีร้านค้าขายเครื่องแก้วมากมาย เครื่องแก้วที่วางจำหน่ายมีทั้งที่ผลิตจากการเป่า, เครื่องแก้วที่ได้จากการเจียรนัย, คริสตัล ในรูปแบบหลากหลาย ทั้งสไตล์โมเดิลและสไตล์โบฮีเมียนที่มีชื่อเสียงครับ

ที่ผมมัวเดินเที่ยวต่อนั้น เพียงเพราะต้องการฆ่าเวลาจากการรอร้านอาหารเปิดครับ ช่วงที่ผมออกไปถ่ายรูปในช่วงเช้าตั้งแต่ 05.30 น. ยังมีชาวโรมาเนียบางคนนั่งดื่มติดลมกันอยู่เลย ร้านค้าบางร้านเพิ่งจะปิดตัวไปก่อนหน้านั้นไม่นาน บางร้านก็เริ่มทยอยเปิดร้านบ้าง อย่างร้านที่ผมไปใช้บริการก็เพิ่งจะทำการเคลียร์ร้านเสร็จไปไม่นาน เช้านี้ผมได้ Kebap ซึ่งร้านอยู่ใกล้ๆ กับ Old Princely Court ครับ ได้ทั้ง Kebap ไก่ และ เนื้อ ราคาไม่แพงอีกเช่นเดิม

หลังอาหารก็ได้ฤกษ์เดินทางกันต่อ เรามาถึงจุดนัดหมายกับรถช้าไป 10 นาที จอห์น (เมื่อวานนี้เป็นพนักงานของ Hostel ที่นั่งอยู่ที่ลอบบี้ วันนี้ได้แปลงกายเป็นคนขับรถพร้อมทำหน้าที่เป็นไกด์ให้กับพวกเรา) บอกกับพวกเราว่า คนโรมาเนียจะถือว่า ถ้าหากว่ามาสายเกิน 15 นาที ถือว่าทุกอย่างยกเลิก เราเลยทำการขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พยายามอธิบายว่ารอร้านอาหารเปิด เลยทำให้มาถึงจุดนัดหมายช้าครับ

ผมขอให้จอห์นพาเก็บรายละเอียดสถานที่ที่น่าสนใจในบูคาเรสต์อื่นเพิ่มเติมก่อนที่จะมุ่งหน้าออกสู่ซิบิวตามโปรแกรมที่วางไว้ เพราะสถานที่เหล่านี้อยู่ไกลเกินความสามารถที่ผมจะเดินจาก Old Town ได้ จุดแรกคือ Patriarchy Church โบสถ์นี้น่าจะเป็นโบสถ์ที่สำคัญที่สุดของโรมาเนีย เพราะเป็นโบสถ์ประจำพระองค์ของพระสังฆราช จอห์นเล่าว่าโดยทั่วไปชาวโรมาเนียจะใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเข้าไปในโบสถ์เพื่อแสดงความเคารพ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวไม่เป็นไร หยวนๆ ได้ครับ

อย่างที่บอกในตอนต้นทริปแล้วว่า ผมเคยเที่ยวแต่เมืองแขก เคยเห็นแต่มัสยิด มาทริปนี้เจอโบสถ์เข้าไป เลยทำให้หลงใหลแบบไม่รู้ตัว กับความงดงามภายในโบสถ์ ทั้งภาพเขียน ทั้งกระจกสี ทั้งโคมไฟ ทั้งเสียงสวดที่ไพเราะ บวกกับพลังศรัทธาของชาวคริสต์ ทำให้เมื่อผมเจอโบสถ์ที่ไหน จะขอเข้าไปชมความงดงามในทันที

Kretzulescu Church ก็เช่นกันที่อยากจะเข้าไปชมด้านใน แต่เนื่องจากโบสถ์ปิด เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านใน โบสถ์แห่งนี้สร้างด้วยอิฐสีแดง เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในบูคาเรสต์ที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1720-1722

เยื้องๆ กับ Kretzulescu Church เป็นที่ตั้งของจัตุรัสแห่งการปฏิวัติหรือลานปฏิวัติสงคราม (Revolution Square) ถูกโอบล้อมไปด้วยอาคารที่มีความสำคัญซึ่งเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ของอดีตประธานาธิบดีนิโคลัส เชาเชสกู (Nicolae Ceausescu) ซึ่งเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์ที่เผด็จการ แสวงหาอำนาจในทางมิชอบ จึงโดนประชาชนก่อการปฏิวัติในปี ค.ศ.1989 จุดเด่นของจัตุรัสแห่งนี้น่าจะเป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเป็นเสาขนาดใหญ่ทรงสามเหลี่ยม และมีก้อนสีดำๆ ถูกเสียบด้วยยอดแหลม ชาวบูคาเรสต์ต่างมองว่าเหมือนมันฝรั่งเสียบไม้ บ้างก็ว่าเหมือนลูกชิ้น บ้างก็ว่าเหมือนมะกอกบนไม้จิ้มฟัน สุดแล้วแต่จินตนาการของแต่ละคนครับ

ติดกับ Revolution Square เป็นที่ตั้งของหอสมุดมหาวิทยาลัยบูคาเรสต์ (The Central University Library) ตัวอาคารออกแบบตามศิลปะ นีโอ-บารอก ด้านหน้าของหอสมุดเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์กษัตริย์แครอลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งโรมาเนียครับ

จอห์นชี้ให้ผมดูอาคารหลังหนึ่งที่มีการผสมผสานระหว่างความเก่า (อาคารเดิมที่เป็นอิฐ) และความใหม่ (อาคารกระจก) ดูแล้วก็ขัดๆ ตาอยู่เหมือนกัน อาคารหลังนี้อยู่ด้านหลังของ The Central University Library ครับ

ไม่ไกลจาก The Central University Library เป็นที่ตั้งของโรงละครแห่งชาติของโรมาเนีย (The Romanian Athenaeum ) ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส "Albert Galleron" ซึ่งออกแบบได้ดูสง่างามตามแบบฉบับฝรั่งเศสและดูยิ่งใหญ่แบบโรมัน ภาพของโรงละครแห่งชาตินี้ปรากฏอยู่บนหลังธนบัตรใบละ 5 lei ด้วยครับ ถือว่าเป็นอันจบโปรแกรมในบูคาเรสต์ครับ จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง Sibiu

ติดตามชม ROMANIA #2 : Sibiu ได้ที่ https://th.readme.me/p/5233

ลุงเสื้อเขียว

 วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.45 น.

ความคิดเห็น