วันนี้เรามีหนึ่งสถานที่มาแนะนำ เหมาะสำหรับคนที่ชอบตั้งคำถามว่าเสาร์ - อาทิตย์นี้ไปไหนดีน๊า...?

"ชุมชนริมคลองบางหลวง" ชุมชนเก่า ที่มีวิถีชีวิตผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน...ไว้ได้อย่างลงตัว






สำหรับการเดินทางมายังชุมชนริมคลองบางหลวง ก็สะดวกมากค่ะ

หากนำรถยนต์มาแนะนำให้เข้ามาทางซอยเพชรเกษม 28 โดยสามารถจอดรถไว้ที่วัดคูหาสวรรค์ได้เลย

หรือหากอยากมาแบบชิวๆเรื่อยๆ ก็นั่งรถมาลงซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 ปากซอยจะมีวินมอเตอร์ไซต์ และรถสองแถวแดงไว้บริการ



ชีวิตต้องใช้ให้สุด(สุดซอย) นั่งรถไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะลงผิดหรือจะเลย

เพราะสุดซอยมันไม่มีทางให้รถไปต่อได้แล้ว


จากจุดลงรถจะมีทางเดินเล็กๆ ให้เดินเข้าไป หากมองเห็นสะพานข้ามคลองที่เขียนว่า " คลองบางหลวง" นั่นคือเรามาถึงแล้ว

แต่ถ้าเดินไป...แล้วเงยหน้าขึ้นมา ป้ายเขียนว่า "คลองแสบแสบ" คาดว่าคุณคงนั่งรถผิดสายแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ




" เห๊ย!! นี่เราพลาดที่นี่ไปได้ยังไงเนี้ย"

มันไม่มีอารมณ์ของความเป็นกรุงเทพฯ หลงเหลืออยู่เลย



กว่าจะตัดสินใจได้ว่าไปไหน กว่าจะเดินทางมาถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว

แน่นอนเหมือนที่โบราณบอกไว้ว่า... กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

เราก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดด้วย "ก๋วยจั๊บบ้านป้าเล็ก

หน้าตาน่าทานและรสชาติอร่อย ที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องสั่งนอกจากก๋วยจั๊บก็คือ ข้าวเหนียวมะม่วง เป็นมื้อเที่ยงที่อร่อยครบรสจริงๆ



ป่ะ !!! อิ่มแล้วก็กลับบ้านได้ 555555 ไม่ช่ายเซ่ มาถึงแล้วก็ต้องลุยกันต่อ



เมื่อเดินข้ามสะพานมา จะพบกับบ้านไม้ที่ยังคงความเก่าให้เราได้สัมผัส

หากใครกำลังอยากไปตลาดน้ำเพื่อหาของกินสารพัดอย่าง ซื้อผักกลับบ้านไปทำอาหาร

ชุมชนคลองบางหลวงอาจไม่ตอบโจทย์ท่าน เพราะที่นี่เป็นชุมชนริมน้ำ ที่ไม่ได้ใส่จริตของตลาดน้ำสมัยใหม่เข้าไป

เป็นแค่บ้านของคนที่เขาอาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ ค้าขายในสิ่งที่เขาถนัด สินค้าจึงไม่ได้มากมายเหมือนตลาดน้ำทั่วไป


______________________



ภารกิจแรกที่เราจะทำก็คือ ปฏิบัติภารกิจนางงามค่ะ รักสัตว์ให้อาหารปลา

ทนแรงยั่วยุจากสีสันสดๆของอาหารปลา กับที่นั่งไม้เก่าๆ ริมน้ำไม่ไหว มันเข้ากั๊นเข้ากันซะเหลือเกิน

ที่สำคัญ คลองบางหลวง จะมีเรือของมีนักท่องเที่ยวผ่านตลอดเวลา ก็นั่งให้อาหารปลาไป เหล่ฝรั่งหนุ่มๆไป ก็ชิวไปอีกแบบ

(ปลาในคลองส่วนใหญ่จะเป็นปลาสวายค่ะ มีเยอะมาก คงเพราะอยู่ใกล้เขตวัดเลยไม่มีใครจับไปกิน)




เดินลัดเลาะริมคลองไปอีกนิดก็จะพบกับ "บ้านศิลปิน"

บ้านไม้หลังเก่า ซึ่งปัจจุบันถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานศิลป์ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ชั้น



ด้านบนเป็นจุดแสดงภาพและผลงานศิลปะ

ด้านล่างเป็นลานการแสดง และเป็นสถานที่ฝึกสอนนาฏศิลป์ให้กับเด็กๆ ที่สนใจ




และยังเป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย มีทั้งข้าวแกงและเมี่ยงคำ แง่มๆ น่ากินใช่ไหมล๊า

______________________



นอกจากนี้ยังมีหนังสือ โปสการ์ด และของที่ระลึกจำหน่ายอีกเพี้ยบ แต่ละอันก็อ้อนเงินในกระเป๋าซะเหลือเกิน




เพลิดเพลินไปกับการ "เพ้นหน้ากากเป็นที่ระลึก" เป็นการใช้เวลาว่างระหว่างรอการแสดงหุ่นละครเล็ก

ซึ่งจะมีรอบการแสดงตอนบ่าย 2 โมง


ภายในบ้านจะมีโต๊ะสำหรับนั่งพักผ่อนและทำกิจกรรม

แต่เราต้องการบรรยากาศ ศิลปินต้องบิ้วอารมณ์เซ่ ก็เลยมานั่งระบายสีที่ระเบียงริมน้ำหน้าบ้าน

ข้อดีคือ มันชิวดีมาก นั่งดูเรือที่แล่นผ่าน จินตนาการมันบังเกิด

ข้อเสียคือ มันกดดันตรงที่มีจะมีคนแอบมาดูเราระเลงสีนี่แหละ สายตาดูคาดหวัง

อย่าคาดหวังเลย ขนาดเราทำเองยังออกมาไม่เหมือนที่ตั้งใจไว้ตอนแรกเลย



_____________________



มีเสียงประกาศว่า "นักท่องเที่ยวจากตลาดน้ำตลิ่งชันจะเข้ามาชมการแสดงหุ่นละครเล็กรอบบ่ายด้วย ให้รีบจับจองที่นั่งกันก่อนเลยนะครับ"

รู้สึกเหมือนได้รับการคุ้มครองผู้บริโภค หึหึก็เรามารอตั้งนานก็ต้องได้นั่งดูเซ่ (หยักไหล่เบา ๆ ) ทันใดนั้นก็รีบขึ้นไปยังชั้น 2 คนไม่เยอะมากส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ไม่นานการแสดงก็เริ่มขึ้น เป็นการแสดงชุดหนุมานจับนางสุวรรณมัจจฉา

ซึ่งสิ่งที่ชอบอีกอย่างของการแสดงก็คือ นักแสดงใส่ความสนุกสนานลงไปในการแสดง คนดูมีส่วนร่วมไปด้วย


เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือที่เกิดขึ้น ทำให้บ้านไม้หลังเก่าหลังนี้ดูมีชีวิตชีวา

หลังชมการแสดงสามารถไปร่วมสบทบทุนกันได้เพราะที่นี่ไม่ได้เก็บค่าเข้าชม แต่ให้การสนับสนุนตามกำลังและความเอ็นดู



หลังการแสดงจบ หันมาอีกทีชาวต่างชาติที่อยู่ด้านหลัง สภาพก็เป็นอย่างที่เห็น

หันมาตอนแรกตกใจ!! คิดว่าเป็นอะไรกันไปกันหมด คงเหนื่อยจากการเที่ยวและอากาศร้อนๆ ของเมืองไทยที่มันร้อนและแรงกว่า 4G

หลังจากนั้นก็เดินเลาะริมน้ำ กลับไปอีกด้านของสะพาน ระหว่างทางมีร้านขายหวานเย็นน่ากินมากเลย

หยุดคิดอยู่แป๊บนึง อากาศมันก็ร้อน เริ่มหิวนิดๆแล้วด้วย ก็เลยจัดไปหนึ่งถ้วย

จริงๆทางร้านมีถ้วยใส่ และมีที่นั่งกินริมน้ำได้ แต่เรามีจุดหมายที่จะไปต่อเลยต้องใส่ถ้วยโฟม



______________________



ตลอดทางเดินจะมีร้านขายของสวยๆงามๆ และของที่ระลึก ทอดตัวยาวตลอดริมฝั่งคลอง






บ่ายสี่โมงเย็น ได้เวลากลับแล้วล่ะ แต่ก่อนกลับเหลือบไปเห็น น้องๆ กลุ่มนึงกระโดดน้ำเล่นกัน ไปแอบดูซะหน่อยดีกว่า

เข้าไปตอนแรกๆ น้องก็ดูอายๆ ไม่กล้าโดด คุยด้วยซักพักก็เริ่มสนิท นั่งดูเด็กๆเล่นน้ำก็เพลินดีนะ

ถึงน้ำจะดูไม่สะอาดเท่าไหร่ แต่ความสนุกอะไรก็ฉุดไม่อยู่อะเนอะ ได้โดดน้ำเล่นกับเพื่อมันเป็นความทรงจำวัยเด็กของใครหลายๆคน

เรา : อยากเห็นอะโดดน้ำให้ดูหน่อย

น้อง : อาย

เรา : โดดให้ดูหน่อยขอท่าสวยๆเลยนะ

น้อง : ก็ยังดูเขินๆ อายๆอยู่

ต้องให้ใช้ไม้ตายสินะ!!! แจกค่าขนมไปคนละ 20 ทีนี้ล่ะพ่อคุณเอ๊ยยยยยยย!!!

โดดกันจนปากเปื่อยเลยทีเดียว ทุกกระบวนท่า ทุกวิทยายุทธที่เรียนมา ตีลังกา หกขะเมน จัดเต็ม!!



วันนี้นอกจากได้มาเที่ยวแบบสงบ หลบความวุ่นวายของกรุงเทพฯ นั่งห้อยขาริมน้ำ ใช้ชีวิตแบบอคูสติก เบาๆ สบายๆ

ความสนุกสนานและรอยยิ้มของน้องๆ ที่ได้เจอในวันนี้ ทำให้เรารู้ว่า "ความสุขในแต่ละช่วงวัยมันผ่านไปเร็ว" เราเองก็คงต้องรีบตักตวงความสุขที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นความทรงจำที่งดงามเมื่อหวนมานึกถึง...

I am Nature addict

 วันพฤหัสที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.53 น.

ความคิดเห็น