เพื่อน : หยุดยาว 3 วัน ไปเที่ยวไหน
ผม : ไปราชบุรี
เพื่อน : ไปทำไร ไปธุระเหรอ
ผม : ไปเที่ยว
เพื่อน : ไปเที่ยวสวนผึ้งเหรอ
ผม : ป่าว ไปเที่ยวราชบุรีนี่แหล่ะ
เพื่อน : ราชบุรี มีอะไรให้เที่ยวอะ
หากพูดถึงราชบุรี หลายคนคงคิดว่าเมืองราชบุรีเป็นเพียงเมืองผ่าน หรือไม่ เมื่อนึกถึงราชบุรีก็จะนึกถึง สวนผึ้ง เป็นลำดับแรก แต่จริงๆ แล้วราชบุรีมีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่างเลย อยากรู้ว่าราชบุรีมีอะไรน่าสนใจ ตามผมมาเลยครับผมออกเดินทางจากลพบุรี ผ่านสิงห์บุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และตรงเข้าเขตจังหวัดราชบุรี โดยจุดหมายแรกของผมอยู่ที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกครับ
ตลาดน้ำดำเนินสะดวกอยู่ในอำเภอดำเนินสะดวก เป็นตลาดเก่าแก่ซึ่งได้ขุดคลองดำเนินสะดวกขึ้นตามพระราชดำริของ ร.5 ด้วยทรงเห็นว่าการคมนาคมในพื้นที่ไม่มีถนนที่เชื่อมกับอำเภออื่นๆ โดยคลองนี้จะเชื่อมกับแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง ใช้เวลาขุดคลองประมาณ 2 ปีครับ
ผมรู้จักตลาดน้ำดำเนินสะดวกตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก และคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นและต้นแบบของสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกตัวเองว่า “ตลาดน้ำ" ครับ
ผมไม่ได้มาที่ตลาดน้ำแห่งนี้นานมากแล้ว ภาพครั้งล่าสุดที่ผมจำได้คือ เรือพายลำน้อยใหญ่ ที่มีทั้งเรือของพ่อค้า แม่ค้า รวมถึงเรือของนักท่องเที่ยว มีการซื้อขายกันในคลองดำเนินสะดวก การจราจรภายในคลองตอนนั้นถือว่ายังคล่องตัวอยู่บ้าง จากนั้นคนขับเรือจะพาผมล่องไปตามคลองสายเล็กๆ เพื่อไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านละแวกนั้น ไปดูการขึ้นต้นมะพร้าว การทำน้ำตาลมะพร้าวครับ
ปัจจุบันสภาพการจรจรในคลองดำเนินสะดวกถือว่าติดขัดเอามากๆ เนื่องมาจากปริมาณของนักท่องเที่ยวที่มีมากขึ้นทุกๆ วัน สำหรับสินค้าที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขาย ก็จะมีขายทั้งในเรือและบนฝั่ง มีตั้งแต่ของที่ระลึกจนถึงของทานจริงทานเล่นเลย มีทั้งข้าวหมูแดง หมูกรอบ ก๊วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแห้ง ปลาหมึกย่าง กุ้งเผา ขนมจีบ ข้าวเม่าทอด ผลไม้นานาชนิดครับ
ตลาดน้ำแห่งนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00 น. เรื่อยไปจนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. ครับ
ผมได้มีโอกาสคุยกับแม่ค้าที่เดินขายของที่ระลึก ก็เลยถามว่านักท่องเที่ยวเยอะแบบนี้ทุกวันหรือไม่ แม่ค้าบอกว่านักท่องเที่ยวมีทุกวัน แต่จะเยอะในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และถ้าหากผมชอบเดินชมบรรยากาศตลาดน้ำเดิมๆ แบบนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่าน ให้เดินไปจนสุดตลาดน้ำเดินสะดวก จะมองเห็นสะพานข้ามไปยังตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ได้ยินดังนั้นแล้ว ผมเลยเดินข้ามฝั่งไปยังตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักครับ
บรรยากาศของตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักแตกต่างกับบรรยากาศของตลาดน้ำดำเนินสะดวกอย่างสิ้นเชิงครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงข้ามคลองมา บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความพลุกพล่านวุ่นวาย กลับกลายเป็นความเงียบสงบ การค้าขายที่ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลักจะเป็นการค้าขายบนบกซะมากกว่า ร้านรวงเปิดเพียงไม่กี่ร้าน เท่าที่ผมเดินสำรวจจะมีร้านขายอาหาร เช่น ผัดไท ขนมเบื้องญวน ก๋วยเตี๋ยว ร้ายขายของที่ระลึกครับ
ผมมาฝากท้องที่ตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ได้ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ เย็นตาโฟ รสชาติดีแบบไม่ต้องปรุงเลย นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวต้มส้มด้วย แต่ผมไม่ได้ชิมครับ สำหรับตลาดเหล่าตั๊กลัก เปิดตลาดเฉพาะช่วงเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ครับ
จากตลาดน้ำดำเนินสะดวกผมมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองราชบุรี ระหว่างทางแอบเห็นป้ายบอกทางมาที่วัดนักบุญอันตน โคกมดตะนอย เลยจัดการแวะเข้ามาเยี่ยมชมครับ
เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาภายในบริเวณวัด มองแทบไม่เห็นโบสถ์เลยครับ เพราะด้านหน้าของโบสถ์มีการติดตั้งเต้นท์ถาวรขนาดใหญ่บดบังทัศนวิสัยของโบสถ์ซะหมด ถ้าหากอยากชมด้านนอกของตัวโบสถ์คงต้องมามองด้านข้างเอาครับ
ภายในโบสถ์ ถึงแม้จะดูเรียบๆ ง่ายๆ แต่ก็ดูมีมนต์ขลังเชียวครับ
ผมไม่มีข้อมูลของวัดนี้เลย พยายามหาจาก google ก็ไม่มีรายละเอียดที่บอกเล่าเรื่องราวหรือความสำคัญของที่นี่เลย รู้แต่เพียงว่าเมื่อที่นี่มีงาน คริสต์ศาสนิกชนจะมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก
จากวัดนักบุญอันตน โคกมดตะนอย ผมมุ่งหน้าสู่ อ.วัดเพลง เพื่อไปชมความงามของโบสถ์คริสต์อีก 1 แห่งที่วัดพระคริสตหฤทัย วัดเพลง ครับ
โบสถ์ทรงกะทัดรัด ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป สีม่วงอ่อน แต่งแต้มด้วยลวดลายปูนปั้นสีขาวอย่างอ่อนช้อย สะกดสายตาของผมให้เดินสำรวจไปรอบๆ ตัวโบสถ์อย่างไม่ละสายตา
ตรงประตูโบสถ์ มีป้ายบอกไว้ว่า ที่นี่ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภท ปูชนียสถานและวัดวาอาราม ประจำปี 2549 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วยครับ
โบสถ์แห่งนี้ตกแต่งตามสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค ตามซุ้มประตูและหน้าต่างจะใช้กระจกสีตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม มีการวาดภาพฝาผนังด้านหลังพระแท่นสวยงามมากๆ ครับ ลักษณะโครงสร้างจะเป็นแบบผนังรับน้ำหนักถ่ายน้ำหนักลงสู่เสาเข็มไม้ ผนังก่ออิฐฉาบปูน
ผมว่าวัดพระคริสตหฤทัยสวยงามไม่แพ้โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลที่จันทบุรีเลยครับ โบสถ์แห่งนี้โดดเด่นในเรื่องการใช้กระจกสีเข้ามาตกแต่งตามซุ้มประตูหน้าต่างและเพิ่มความมีเสน่ห์ด้วยลวดลายบนผนังโบสถ์ด้านนอก ใครที่ผ่านมาทางอำเภอวัดเพลง ผมแนะนำว่า ไม่ควรพลาดโบสถ์คริสต์แห่งนี้นะครับ รับรองว่าถ้าได้เข้ามาเยี่ยมชมแล้ว จะต้องประทับใจอย่างแน่นอนครับ
หากใครชอบเที่ยวชมโบสถ์ หลังจากเที่ยวชมที่วัดพระคริสตหฤทัยแล้ว ยังสามารถไปชมโบสถ์บางนกแขวกได้อีกนะครับ แต่ผมเพิ่งไปเที่ยวที่บางนกแขวกมา เลยตัดโปรแกรมนี้ออกไปครับ
ออกจากวัดพระคริสตหฤทัยแล้ว ผมผ่านเข้าตัวเมืองและมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่จะไปอำเภอจอมบึง แต่ขอแวะเติมพลังกันสักเล็กน้อย ด้วยร้านไก่ย่างวิเชียรบุรีข้างทาง ก่อนที่ผมจะไปผจญภัยกันต่อที่ถ้ำเขาบินครับ
ถ้ำเขาบินเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย ถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 20 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางค่อนข้างชัดเจนเลยครับ
จากลานจอดรถ เราต้องเดินเท้าต่อกันสักประมาณ 200 เมตรก็จะถึงปากถ้ำ บริเวณปากถ้ำจะมีจุดชำระค่าเข้าชม เสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาทครับ ที่นี่จะมีไกด์พื้นที่ไว้คอยบริการด้วย แต่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำมาเรียบร้อยแล้ว เลยไม่ได้ใช้บริการครับ
ระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าไปในถ้ำ มองเห็นนักท่องเที่ยวเดินสวนออกมาจากปากถ้ำ แต่ละคนเหงื่อไหลไคลย้อยกันเป็นแถว เพียงแค่ยืนอยู่บริเวณปากถ้ำ ผมก็รับรู้ถึงความร้อนที่อยู่ภายในถ้ำแล้วครับ
ภายในถ้ำเขาบินประกอบด้วย 8 ห้องใหญ่ๆ แต่ละห้องก็จะมีชื่อเรียกขานตามลักษณะของหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นครับ
ห้องนี้เป็นห้องแรก ชื่อโถงอาคันตุกะ เป็นเหมือนห้องรับแขกที่ใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยหินงอกหินย้อยที่เกิดใหม่ ว่ากันว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องนี้นับว่าเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และเป็นผู้มีเพื่อนฝูงมากมาย ถ้าเดินผ่านห้องนี้ไปเรื่องเศร้าโศกก็จะหายไปด้วย ตามข้อมูลบอกว่าที่ผนังถ้ำมีรูปใบหน้าของชายชราด้วย แต่ผมพยายามมองหาก็ไม่เจอครับ
สภาพทางเดินในถ้ำถือว่าไม่ลำบาก แต่ต้องระวังความลื่นจากน้ำที่หยดลงมาจากผนังถ้ำกันสักเล็กน้อย ความสว่างในตัวถ้ำถือว่าไม่มืดมาก สามารถชมหินงอกหินย้อยได้ตลอดเส้นทางครับ
ห้องที่ 2 ชื่อศิวะสถาน ตามข้อมูลบอกว่าผู้ที่ได้เข้ามาสัมผัสกับเสาหินที่เปรียบเสมือนเสาหลักเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ประจำถ้ำ ผู้นั้นจะได้รับความสุขสมหวัง คิดการใดจะสำเร็จสมอารมณ์หมาย อาการเจ็บไข้จะหายไปในทันใด โชคลาภที่คอยมานานก็จะได้รับในทันที จุดนี้ผมไม่เห็นด้วยกับคำโฆษณาชวนเชื่อให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสหินเลยครับ โดยปกติการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เราไม่ควรใช้มือสัมผัสกับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นหินงอกหินย้อยภายในถ้ำด้วยแล้ว ไม่ควรจะใช้มือสัมผัสอย่างยิ่ง อาจจะทำให้หินก้อนนั้นเป็นรอยดำ หรือที่แย่ไปกว่านั้น หินงอกหินย้อยอาจตายได้ (เมื่อหินโดนมือสัมผัส หินก้อนนั้นอาจจะหยุดการงอกหรือย้อยได้)
ห้องที่ 3 ชื่อ ธารอโนดาต หินย้อยภายในถ้ำมีลักษณะคล้ายธารน้ำตกหินปูนที่หลั่งไหลมาสู่ผู้มาเยือน ที่ผนังถ้ำจะมีฟองหิน มีสวนหินย้อยคล้ายปะการังใต้ทะเล
ห้องที่ 4 ชื่อ สกุณชาติคูหา ที่ผนังถ้ำจะมีลักษณะคล้ายนกกางปีก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำ เชื่อกันว่าผู้ที่ได้พบเห็นจะเป็นผู้ที่มีสายตาที่กว้างไกลดุจดังพญาอินทรีย์ครับ
ห้องที่ 5 ชื่อ เทวสภาสโมสรสถาน ภายในห้องนี้มีเสาหินขนาดใหญ่หลายร้อยต้น ด้านหลังของเสาหินมีหินที่มีลักษณะเป็นธารน้ำตกเกิดใหม่ เชื่อว่าที่นี่เป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตในถ้ำ ผู้ที่เข้ามาถึงที่ห้องนี้ ภายภาคหน้าจะมีความเจริญ ไม่มีทุกข์ จะมีสมองที่สดใสครับ
ห้องที่ 6 ชื่อ กินนรทัศนา หรือ กินนรีทัศนา ผนังของห้องนี้จะเป็นสีขาว เชื่อกันว่าผู้ที่พบเห็นจะมีอายุยืนยาวและได้รับการยกย่องเชิดชู ในห้องนี้ยังมีหินรูปเต่า และบ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยแห้ง ใช้เป็นน้ำสาบานและน้ำมนต์ของพระชื่อดังครับ
ห้องที่ 7 ชื่อ พฤกษาหิมพานต์ ผู้ค้นพบจินตนาการหินงอก ที่ราบเรียบประดุจค้างคาวกางปีก ผมพยายามมองก็ไม่เห็นว่าจะมีส่วนไหนที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวเลยครับ ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องนี้จะเป็นสวนหิน มีต้นไม้เป็นรูปหินย้อยและเสาหินมากมาย เชื่อกันว่าผู้ที่เดินทางมาถึงห้องนี้จะมีบ้านเรือนที่สุขสดชื่นระรื่นใจ เป็นที่รักและพึ่งพาของลูกหลานครับ
มาปิดท้ายที่ห้องที่ 8 ชื่อ อุทยานทวยเทพ เชื่อว่าเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของถ้ำ นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไหว้ เพราะเชื่อว่าจะมีความโชคดีเป็นศรีสุข หมดทุกข์หมดโศกหมดโรคหมดภัยครับ
สำหรับการเดินภายในถ้ำแนะนำให้เดินไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ อย่าเดินออกนอกเส้นทางนะครับ เพราะจะพาลให้หลงได้ อากาศภายในถ้ำร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับห้องอบซาวน่าเลย เสื้อผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเดินออกมาถึงปากถ้ำต้องขอหยุดพักสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดซะก่อน ไม่งั้นมีหวังเป็นลมแน่ครับ
ผมว่าหินงอกหินย้อยภายในถ้ำก็สวยใช้ได้เลยครับ แต่เสียที่การประดับไฟบางจุดยังไม่ประณีตเท่าที่ควร คือมีการเอาไฟมาตั้งโด่เด่เลย ดูขัดตาเป็นอย่างมาก ถ้าหากหลบมุม เอาหลอดไฟซ่อนไฟไว้ตามซอกหิน จะทำให้ถ้ำน่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ
ก่อนเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปผมคงต้องเปลี่ยนเสื้อ เพราะเสื้อที่ใส่อยู่ ณ ตอนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากใส่เสื้อเปียกแบบนี้ขึ้นรถ เบาะรถก็คงจะชุ่มเหงื่อด้วยเช่นกัน
ผมใช้เส้นทางมุ่งหน้ากลับมายังตัวเมืองราชบุรีอีกครั้งและแวะชมอุทยานหินเขางูก่อนเข้าตัวเมืองครับ
เดิมอุทยานหินเขางูเป็นแหล่งระเบิดหินและย่อยหินที่สำคัญของไทยตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมาภาครัฐและประชาชนได้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิประเทศ จึงมีการยกเลิกสัมปทานการระเบิดและย่อยหินลง จนกลายเป็นเหมืองร้าง มีสภาพทรุดโทรม ภายหลังจังหวัดราชบุรีจึงมาพัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวครับ
จากที่ผมได้ขับรถตะเวนรอบๆ เขางู เห็นเลยว่าที่นี่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว จึงปล่อยให้รกไปด้วยวัชพืชมากมาย ที่นี่ยังมีฝูงลิงเป็นจำนวนมาก ใครที่ผ่านมาผ่านไปแถวนั้นสามารถเอาอาหารไปให้ลิงได้นะครับ
ผมมาปิดทริปของวันที่โรงงานเซรามิค เถ้าฮ่งไถ่
โรงงานแห่งนี้เปิดกิจการมาเกือบ 80 ปีแล้ว ผลิตงานเครื่องปั้นดินเผาอย่างโอ่งมังกรและผลิตภัณฑ์เซรามิคมากมาย ปัจจุบันมีการปรับรูปแบบให้ดูร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น มีการใส่สีสันให้ดูโดดเด่น เตะตา สินค้าที่ผลิตออกมามีตั้งแต่กระถาง แจกัน โอ่ง ชุดเก้าอี้ โต๊ะ ตุ๊กตาประดับสวนครับ
บริเวณด้านหน้าเป็นลานสนามหญ้า มีร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีฉูดฉาดรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ใครร้อน ก็เข้าไปพักตากแอร์ในร้านกาแฟ ส่วนใครที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่ก็มีมุมให้โพสท่าเก๋ๆ ถ่ายภาพอวดเพื่อนๆ หลายจุดเลยทีเดียวครับ
ถัดจากสนามหญ้าเข้าไปจะเป็นโรงงานผลิตเซรามิค นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมกระบวนการผลิตด้านในได้ สำหรับด้านหน้าโรงงานจะมีผลิตภัณฑ์ที่แล้วเสร็จรอการจำหน่าย ใครถูกใจชิ้นไหนสามารถเลือกชอปปิ้งไปไว้ที่บ้านได้ครับ สนนราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว
วันนี้เที่ยวกันจนหมดแรงครับ ผมมาหมดแรงตั้งแต่ออกจากถ้ำเขาบินแล้ว ตอนนี้ขอเข้าที่พักก่อนดีกว่า ผมเลือก SPACE59 เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ การเข้าพักครั้งนี้ผมจองที่พักผ่าน Agoda เบ็ดเสร็จค่าเสียหายต่อห้อง รวมภาษีโรงแรมและเซอร์วิสชาร์จแล้ว ราคาอยู่ที่ 800 บาทต่อห้องครับ
โรงแรมค่อนข้างใหม่เลยทีเดียว ด้านหน้ามีพื้นที่โล่งสำหรับจอดรถได้ประมาณ 20 คัน หากมีแขกเข้าพักเยอะ สามารถมาจอดที่ด้านนอกของโรงแรมได้อีกไม่เกิน 10 คันครับ
รูปแบบการตกแต่งโรงแรม ออกแนวอาร์ทครับ โดนใจผมซะจริงๆ
บริเวณ Lobby มีพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอ Check in/Check out รวมถึงนั่งจิบกาแฟด้วยครับ
หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว ผมลองสอบถามราคาห้องพักสำหรับผู้ Walk in ดู เมื่อได้ยินคำตอบแล้วเจ็บใจมาก เพราะราคา Walk in อยู่ที่ 750 บาท ถูกกว่าจองผ่าน Agoda 50 บาทเลย ถ้าหากใครสนใจเข้าพักที่นี่ ผมแนะนำว่าให้โทรจองกับทางโรงแรมโดยตรงดีกว่านะครับ (032-315559)
ติดกับ Lobby จะเป็นประตูเพื่อไปยังลิฟต์และบันได มีหมีน้อยตัวใหญ่ยืนรอต้อนรับอยู่ที่ประตูครับ
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นมุมกาแฟ ที่นี่ไม่มีบริการอาหารเช้านะครับ แต่จะมีมุมกาแฟให้บริการตลอดทั้งวัน สำหรับตอนเช้าจะมีขนมปังไว้บริการฟรีด้วยครับ
ลิฟต์จะอยู่ฝั่งตรงข้ามของมุมกาแฟ สำหรับใครที่อยากออกกำลังสามารถเดินขึ้นบันไดพร้อมกับชมพื้นที่ของแต่ละชั้นซึ่งมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกันด้วยครับ
ผมพักที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดครับ
เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 6 มีพื้นที่สำหรับให้นั่งเล่นด้วยครับ
มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้างครับ ห้องพักที่นี่จะมี 2 type คือ Superior และ Duplex รวมแล้ว 59 ห้องครับ
ผมเลือกพักแบบ Superior ห้องดูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเก๋ครับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องจะมีทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์ ในห้องไม่มีตู้เสื้อผ้าแต่จะมีพื้นที่สำหรับให้แขวนเสื้อผ้า รวมถึงโต๊ะสำหรับให้นั่งเขียนหนังสือ หรือนั่งเล่น Notebook ได้ Free Wifi ที่นี่สัญญาณค่อนข้างแรงเลยทีเดียวครับ
สำหรับห้องน้ำจะอยู่ด้านในสุดของห้องพัก แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยบานกระจก มีฝักบัว 2 แบบ และมีสายฉีดชำระให้พร้อมครับ
จากในห้องสามารถเดินออกไปสูดอากาศรวมถึงชมวิวที่ระเบียงหลังห้องได้ด้วยครับ
ทางโรงแรมได้จัดเตรียมหมอนแบบแน่น (Firm pillow) ไดร์เป่าผม ปลั๊กพ่วง ที่ชาร์ตแบบไอโฟน รวมถึงจักรยาน ไว้คอยบริการที่ส่วนกลางด้วย หากลูกค้ามีความประสงค์ที่จะใช้สามารถติดต่อที่ Lobby ได้เลยครับ ให้บริการแบบใครยืมก่อนได้ก่อนครับ (First come , First serve)
ผมไปถึงช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตก ฟ้ากำลังเปลี่ยนสี เลยขอปักหลักเก็บภาพแสงสุดท้ายที่ระเบียงหลังห้องพักซะเลยครับ
หลังพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว ผมเลยออกไปหาอาหารค่ำทานกันที่ตลาดโต้รุ่งหอนาฬิการิมน้ำแม่กลองครับ
ร้านค้าภายในตลาดโต้รุ่งมีเยอะมากๆ แถมด้านนอกยังทำเป็นถนนคนเดินอีกด้วย
บริเวณริมน้ำแม่กลองติดกับตลาดโต้รุ่ง เมื่อเดินลงบันไดมา จะมีหมอนวดบริการนวดคอ นวดเท้า เต็มไปหมดเลย สนนราคาค่านวด 120 บาทต่อชั่วโมงครับ
อีกหนึ่งมุมอาร์ทที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กลองครับ
หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนเอาแรงเพื่อลุยต่อในวันต่อไปครับ
เช้าวันใหม่ หลังจากทานอาหารว่างเป็นขนมปัง โอวันตินของทางโรงแรมแล้ว ก็เตรียมเดินทางกันต่อครับ
จุดหมายแรกของผมในวันที่ 2 อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรีครับ
อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัย ร.6 เดิมเคยใช้เป็นศาลากลางจังหวัดมาก่อน ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปี 2526 ด้านในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับราชบุรีในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะพื้นบ้าน แต่เนื่องจากผมมีเวลาค่อนข้างจำกัด เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านใน ได้แต่เก็บบรรยากาศภายนอกเท่านั้นครับ
ติดๆ กับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติมีบ้านเรือนแถวเก่าๆ อยู่แถวหนึ่ง มีรูปแมวกวักด้วย น่ารักเชียวครับ
ผมมาต่อที่ หอศิลป์ Tao Hong Tai : d Kunst (คำว่า Kunstเป็นภาษาเยอรมัน แปลว่าศิลปะ) ซึ่งก็อยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินั่นเองครับ
เดิมที่นี่เป็นบ้านไทยทรงมะนิลา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปลาย ร.5 ถือว่าเป็นบ้านเก่าแก่ของราชบุรีครับ ปัจจุบันทางเถ้าฮงไถ่ได้เข้ามาบูรณะเพื่อทำเป็นหอศิลปร่วมสมัยและได้อุทิศให้เป็นสถานที่ทางการศึกษาและความรู้ทางศิลปะแก่ชุมชน ภายในหอศิลป์แห่งนี้แบ่งเป็น 3 ชั้น ครับ
บันไดที่อยู่ด้านนอกจะพาเราขึ้นมาที่ชั้น 2 ภายในมีมุมให้นั่งพักผ่อน นั่งอ่านหนังสือ หรือนั่งพูดคุยได้ตามอัธยาศัย โดยจะมีร้านกาแฟเล็กๆ ไว้ให้บริการด้วย
ด้านข้างก็ยังมีอีก 1 ห้อง ให้นั่งพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยครับ
ชั้นบนเป็นแกลอรี่แสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปิน ที่จะสลับสับเปลี่ยนมาจัดแสดงให้ชมกันเรื่อยๆ ช่วงที่ผมไปเป็น Theme ชุดผ้าปักครับ
สำหรับชั้นล่างสุดจัดทำเป็นห้องสมุดครับ
หอศิลป์แห่งนี้อยู่ติดแม่น้ำแม่กลอง อยู่ข้างๆ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี ว่างๆ แวะไปนั่งเล่นชิวๆ ได้นะครับ
จากนั้นผมรีบมุ่งหน้าสู่ อ.โพธาราม เพื่อจะไปชมการแสดงเชิดหนังใหญ่ที่วัดขนอน ซึ่งจะเริ่มแสดงในเวลา 11.00 น.ครับ
จุดสำคัญในวัดขนอน มี 3 จุด จุดแรกคือวิหารครับ อยู่บริเวณด้านหน้าของวัด
จุดที่สองคือโรงมหรสพหนังใหญ่วัดขนอน ซึ่งในวันเสาร์จะมีการแสดงเชิดหนังใหญ่ในเวลา 10.00 น. และวันอาทิตย์แสดงเวลา 11.00 น. จัดแสดงวันละ 1 รอบเท่านั้นครับ
หนังใหญ่ถือเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นการแสดงชั้นสูง เป็นการแสดงที่รวมศิลปะที่ทรงคุณค่าหลายแขนง ได้แก่ด้านศิลปะการออกแบบลวดลายไทยเชิงจิตกรรมที่มีความวิจิตรบรรจง ผสมกับฝีมือช่างแกะสลักที่ประณีต เมื่อแสดงก็จะมีการนำศิลปะทางนาฏศิลป์การละครที่เคลื่อนไหวอย่างได้อารมณ์ตามเนื้อเรื่อง ประกอบกับบทพากย์ บทเจรจา บทขับร้อง ดนตรีปี่พาทย์ ทำให้เกิดเรื่องราวและอรรถรสในการชม
ก่อนการแสดงผมได้ยินเสียงพิธีไหว้ครูอยู่ด้านหลังจอหนัง จากนั้นวงดนตรีปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงขณะทำพิธี เรียกพิธีเบิกหน้าพระ จากนั้นจะมีพิธีกรออกมาเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของหนังใหญ่ครับ
สำหรับการแสดงในวันนั้น แสดงเรื่องรามเกียรติ์ เสียงดนตรีที่เร้าใจ เพลงเชิดและบทเจรจาที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน รวมถึงท่าเชิดที่อ่อนช้อย โดยเฉพาะท่าขึ้นลอย ทำให้เวลา 45 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว การแสดงหนังใหญ่นั้นชมฟรี ไม่มีการเรียกร้องค่าโชว์แต่อย่างใด แต่ที่ด้านหลังของโรงมหรสพจะมีตู้สำหรับบริจาคช่วยฟื้นฟูการแสดงหนังใหญ่ ผมว่าถ้าหากได้ไปนั่งชมแล้ว ผมว่าเงิน 100 บาท ไม่มากเลยสำหรับการมานั่งชมอะไรดีๆ ที่หาดูได้ยากแบบนี้ครับ
และจุดสำคัญจุดสุดท้ายของวัดขนอนที่พลาดไม่ได้คือพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงมหรสพครับ
มีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพอดีครับ
รูปหล่อของท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) ผู้ที่ริเริ่มในการแกะสลักตัวหนังครับ
มีของเก่าจัดแสดงไว้มากมาย
สมุดข่อย ทำจากเปลือกของต้นข่อย นำมาทำเป็นแผ่นกระดาษ ใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะเป็นแผ่นยาวแผ่นเดียวพับกลับไปกลับมาเป็นชั้นให้เป็นเล่ม ชั้นหนึ่งเรียกว่า “เผนิก" (ผะ- เหนิก) ใน 1 เล่มมีประมาณ 20-40 เผนิก ครับ
ภาพพระบฎ คำว่า บฏ มาจากภาษาบาลีว่า ปฏ (ปะ-ฏะ) หมายถึงแผ่นผ้า ภาพพระบฏจึงมีความหมายว่ารูปของพระพุทธเจ้าหรือเรื่องของพระพุทธเจ้าที่เขียนบนผืนผ้าด้วยสีฝุ่นครับ
เสาหงส์ ถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดมอญ ที่วัดมอญต้องมีเสาหงส์เพราะคนมอญเชื่อว่าหงส์นั้นเกี่ยวข้องกับตำนานการเกิดเมืองหงสาวดี อันเป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งของอาณาจักรมอญก่อนจะสิ้นแผ่นดินให้แก่พม่าในปี พ.ศ.2300 ครับ
เรือนหลังนี้เป็นที่จัดแสดงของตัวหนัง ที่ทยอยเริ่มสร้างขึ้นในสมัย ร.5 โดยหลวงปู่กล่อม โดยท่านได้ชักชวนช่างร่วมกันสร้าง ชุดแรกที่สร้างคือ ชุดหนุมานถวายแหวน ต่อมาได้สร้างเพิ่มอีกรวม 9 ชุด ปัจจุบันมีตัวหนังทั้งหมด 313 ตัว
ตัวหนังใหญ่ส่วนมากทำจากหนังโค นำมาฉลุเป็นภาพตามตัวละครในเนื้อเรื่อง ตัวหนังที่มีความสำคัญคือ หนังเจ้าหรือหนังครู จะเป็นตัวหนังที่ใช้ในการไหว้ครู มี 3 ตัวคือพระฤาษี พระอิศวร และพระนารายณ์ การทำหนังเจ้าจะใช้หนังโคที่ตายท้องกลม หรือถูกเสือกัดตาย หรือถูกฟ้าผ่าตาย แต่ถ้าหากหาไม่ได้ก็จะใช้หนังเสือหรือหนังหมีแทน โดยผู้สร้างจะต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลแปด เขียนและลงสีให้เสร็จภายในวันเดียวสำหรับหนังอื่นๆ จะใช้หนังโคครับ
ตัวหนังแต่ละตัวที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์จะนำมานาบกับตู้ไฟ ทำให้ตัวหนังมีสีสันสดใส ตอนที่เดินดูตัวหนังในพิพิธภัณฑ์ผมยังแอบนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ตัวหนังแต่ละตัวมีอายุมายาวนานมาก แต่ทำไมที่นำมาโชว์เหมือนหนังที่ทำขึ้นใหม่เลย แล้วก็มีน้องๆ ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์มาเฉลยคำตอบให้ผมครับ น้องปิดไฟที่อยู่ด้านหลังของตัวหนัง ทำให้ผมมองเห็นถึงความเก่าของตัวหนังอย่างชัดเจน
ตัวหนังนารายณ์ทรงสุบรรณ ซึ่งเป็นร่างอวตารของพระรามตัวนี้ ใช้หนังวัวถึง 4 ตัว มีความสูง 3.15 เมตร ใช้เวลาทำเพียง 2 วัน ถือเป็นตัวหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเห็นคุณค่าการแสดงหนังใหญ่ ทรงมีพระราชดำริให้ทางวัดช่วยอนุรักษ์หนังใหญ่ทั้ง 313 ตัว และจัดทำหนังใหญ่ชุดใหม่ขึ้นแสดงแทน โดยมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบทำหนังใหญ่ทั้งหมด และได้นำขึ้นถวายสมเด็จพระเทพฯและท่านก็ทรงพระราชทานให้ทางวัดขนอนนำมาใช้ในการแสดงต่อไป ลองสังเกตหนังตัวนี้ดีๆ นะครับ มีลายพระหัตถ์ของท่านด้วยครับ
ลานระเบียงที่ยื่นออกมาจากส่วนของพิพิธภัณฑ์ มีต้นจัน-อินแผ่กิ่งก้านสาขา ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมากครับ ผมไม่แน่ใจว่าลานตรงนี้คือที่ใช้ฝึกเชิดหนังใหญ่ด้วยหรือเปล่า เพราะเท่าที่เคยดูผ่านตาทางรายการทีวี จะใช้จุดนี้เป็นจุดสอนเชิดหนังใหญ่ครับ
คณะกรรมการจากยูเนสโกประกาศให้ “การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน" ได้รับรางวัลจากยูเนสโก และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกที่มีผลงานในการอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเชิงนามธรรมด้วยนะครับ น่าภูมิใจแทนวัดขนอนมากๆ ใครที่มาเที่ยวราชบุรี ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดการมาเที่ยวชมที่วัดขนอนนะครับ และควรวางแผนดีๆ ให้มาตรงเวลาที่มีการแสดงด้วยจะคุ้มค่ามากๆ ครับ
กว่าจะออกจากวัดขนอนก็เกือบบ่ายแล้ว ผมมาหามื้อเที่ยงทานกันในตลาดเก่าโพธาราม ได้ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ และราดหน้าครับ
และมาปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ร้าน “Do นม" ร้านเครื่องดื่มแนวเก๋แห่งโพธาราม มีที่นั่งพักผ่อนทั้งแบบ indoor และ outdoor ในสวนเขียว มีมุมถ่ายรูปเท่ห์ๆ หลายมุมเลยครับ
พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป นั่นคือวัดคงคาราม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดเก่ามากนักครับ
วัดคงคารามเป็นวัดมอญ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อกรุงธนบุรี สร้างโดยพระยามอญ วัดแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองในช่วง ร.4 ได้รับการอุปถัมภ์โดยเจ้าจอมมารดากลิ่นและทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นพระอารามหลวง โบราณสถานที่สำคัญภายในวัดคงคารามคือพระอุโบสถหลังนี้ครับ จะมีเจดีย์ทรงรามัญ 7 องค์รายรอบ เป็นตัวแทนของพระยามอญทั้ง 7 ครับ
ประตูอุโบสถด้านหน้าทำจากไม้สลัก ลวดลายอ่อนช้อย มีจิตกรรมฝาผนังเขียนอยู่เป็นซุ้มประตูดูเก่ามากๆ ครับ
ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุไม่ต่ำกว่า 250 ปี เป็นภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ ภาพสวรรค์ชั้นต่างๆ ภาพอดีตของพระพุทธเจ้าที่ประทับบนบัลลังก์ ภาพพระพุทธประวัติและพระพุทธชาดก ภาพเขียนเหล่านี้เขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินตอนต้น จิตรกรรมฝาผนังแบบนี้หาชมได้ยากในปัจจุบัน เห็นว่าเหล่าบรรดาผู้ศึกษาในจิตรกรรมต้องมาศึกษา คัดลอกต้นฉบับกันที่นี่เป็นอันดับแรกๆ เลยครับ
จริงๆ แล้วผมยังมีโปรแกรมที่โพธารามอีก 1 โปรแกรมนั่นคือวัดถ้ำน้ำ แต่จากการคำนวณเวลาคร่าวๆ แล้ว ถ้าหากไปที่ถ้ำน้ำ ผมจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงแน่ๆ แต่เนื่องจากเวลามีจำกัดเลยต้องตัดโปรแกรมถ้ำน้ำออก และมุ่งหน้าสู่ จ.นครปฐม มุ่งสู่ที่พักที่ผมจองไว้นั่นก็คือ กมลธารา อพาร์ทเม้นท์ครับ
กมลธารา อพาร์ทเม้นท์ ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังสนามจันทร์ ริมสระบัวครับ การเข้าพักครั้งนี้ผมจองที่พักผ่าน Agoda อีกเช่นเคย เบ็ดเสร็จค่าเสียหายต่อห้องรวมภาษีโรงแรมและเซอร์วิสชาร์จแล้ว ราคาอยู่ที่ 800 บาทต่อห้องครับ และเพราะความอยากรู้อีกเช่นเคยเลยถามราคา Walk in ดู ปรากฏว่าราคา Walk in ถูกกว่าจองผ่าน Agoda50 บาทอีกแล้วครับ (ที่นี่ไม่มีบริการอาหารเช้าและไม่มีบริการกาแฟฟรีครับ)
ภายในห้องพักกว้างขวางพอใช้ มีตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ เครื่องปรับอากาศ และ Free wifi ไว้ให้ด้วยครับ
หลังจากพักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่องค์พระปฐมเจดีย์ครับ
องค์พระปฐมเจดีย์เป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ต่อมา ร.4 ขณะผนวช ได้เสด็จธุดงค์มานมัสการ ทรงเห็นเป็นเจดีย์ยอดปรางค์สูง 42 วา เมื่อทรงลาผนวช ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ได้โปรดให้ก่อพระเจดีย์ใหม่ห่อหุ้มองค์เดิมไว้ สูง 120เมตร 45 เซนติเมตรพร้อมสร้างวิหารคดและระเบียงโดยรอบ แต่งานยังไม่ทันแล้วเสร็จท่านก็สวรรคต จากนั้น ร.5 โปรดให้ปฏิสังขรณ์จัดสร้างหอระฆังและประดับกระเบื้องจนสำเร็จ ต่อมา ร.6 ปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง เขียนภาพเจดีย์องค์เดิมและภาพต่างๆ ไว้ที่ผนัง รื้อมุขวิหารด้านทิศเหนือสร้างใหม่เพื่อประดิษฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ครับ
พระร่วงโรจนฤทธิ์มีชื่อเต็มว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ราชปูชนียบพิตร เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ประทับยืนอยู่บนฐานโลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยมนิ้วพระหัตถ์และพระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น ยื่นออกไปข้างหน้าระดับพระอุระ เป็นกิริยาห้าม มีพระอุทรพลุ้ยออกมา ห่มจีวรบางคลุมแนบติดพระวรกาย บ่ายพระพักตร์สู่ทิศเหนือมีขนาดความสูงวัดจากพระบาทถึงพระเกศ 7.42 เมตร หรือราว 12 ศอก 4 นิ้ว ทำด้วยโลหะทองเหลือง หนัก 100 หาบ เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วไปครับ
องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุงรัดด้วยโซ่เส้นมหึมา ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ มีวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าครับ
มีพระพุทธรูปปางพระไสยาสน์ไว้ให้สักการบูชาด้วยครับ
ที่กำแพงแก้ว มีตุ๊กตาจีนตั้งอยู่บริเวณทางเข้าเป็นระยะๆ
บรรยากาศยามพลบค่ำครับ งามไปอีกแบบเหมือนกัน
ผมหาทานมื้อค่ำบริเวณตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระครับ มีร้านค้ามาตั้งมากมาย แต่ละร้านก็มีลูกค้ามาอุดหนุนกันอย่างคับคั่ง มื้อนี้ผมอยากทานหอยทอด ก็เลยไปเดินสำรวจมา เห็นมีหอยทอดถึง 3 ร้าน เลยไปถามพ่อค้าแม่ค้าร้านอื่นๆ ว่าหอยทอดร้านไหนอร่อย พ่อค้าแม่ค้าก็แนะนำว่าร้านนี้อร่อย ผมก็เลยไปรอสั่ง ปรากฏว่าคิวสั่งหอยทอดยาวมากๆๆๆครับ พ่อค้าหอยทอดบอกว่าถ้ารอไหวก็รอ เพราะตอนนี้ยังมี order ค้างอยู่อีกประมาณ 30 จาน ผมเองจะไปนั่งรอที่โต๊ะก็ไม่มีโต๊ะให้นั่งรออีก เลยต้องถอยทัพไปหาหอยทอดร้านอื่นทานแทนครับ
ผมแอบนึกในใจว่าคนนครปฐมเขาไม่ทำอาหารเย็นทานกันเหรอ ถึงได้มาพึ่งอาหารจากตลาดโต้รุ่งกันมากมายขนาดนี้ ผมเองก็ยังไม่อิ่มท้อง แต่จะให้รอคิวทานต่อคงไม่ไหว เลยขับรถตะเวนหาของทานไปเรื่อย ท้ายสุดไปได้อาหารญี่ปุ่นข้างทางครับ หลังจากนั้นกลับที่พักเพื่อพักผ่อนครับ
ช่วงค่ำ ด้านหน้าที่พักของผมบริเวณสระบัว มีร้านอาหารเล็กๆ เปิดตัวกันอยู่โดยรอบ มีการเล่นดนตรีสดด้วย ผมเลยมานั่งกินบรรยากาศ ฟังเพลงกันสักเล็กน้อยก่อนขึ้นพักผ่อนครับ
เช้าวันสุดท้าย ผมมีโปรแกรมเที่ยวอินละครมาเฟียเลือดมังกร “เสือ สิงห์ กระทิง แรด หงส์" กับสถานที่สไตล์เมืองจีนในบ้านเรา ที่วัดสามพรานครับ
วัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของผู้แสวงหาความสงบในจิตใจมาปฏิบัติธรรมบวชชีพราหมณ์ เมื่อก้าวเข้ามาในวัดนี้รู้สึกถึงความร่มเย็นของเหล่าพรรณไม้น้อยใหญ่ ทุกๆ จุดแฝงแง่คิด สติเตือนใจให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี อย่าเช่นทางเดิน จะมีลักษณะคล้ายๆ กระเบื้องที่ทำเป็นรอยเท้า จะมีแถวละ 8 คู่ เตือนสติว่า เราต้องมี มรรค หรือหนทางถึงความดับทุกข์ มรรคมีองค์แปด คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความคิดที่ถูกต้อง เจรจาที่ถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง การเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง ความเพียรที่ถูกต้อง การมีสติที่ถูกต้อง และการมีสมาธิที่ถูกต้องครับ
และสิ่งที่ผมตามรอยมาที่นี่คือ ความอลังการของมังกรขนาดยักษ์ที่พันอยู่รอบตึกสีแดงสูงตระหง่าน 17 ชั้น ที่รู้จักกันในชื่อ “กุฏิร้อยแปดเกจิอาจารย์ มังกรตะกายฟ้า เสาหลักปักค้ำฟ้า" หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า “มังกรพันหลัก" ภายในตัวมังกรจะมีทางเดินขึ้นไปบนอาคารรวมระยะทาง 300 เมตร แต่เหมือนทางวัดไม่อนุญาตให้ขึ้นไปด้านบน แต่สามารถเดินชมที่ชั้นล่างได้ครับ
ออกจากสามพรานผมมุ่งหน้าสู่ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เพื่อไปหาบรรยากาศย้อนยุคเดินที่ตลาดเก้าห้อง 100 ปีครับ ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งนี้ตลาดเก่าแห่งนี้มีการปรับปรุงในส่วนภูมิทัศน์บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน แต่สภาพบ้านเรือนเก่าบางจุดเริ่มผุพัง ทรุดโทรมลงไปมากเลยครับ
ตลาดเก่าเก้าห้องจะมีลักษณะเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ปลูกติดต่อกันเรียงเป็นแถวยาว หันหน้าเข้าหากัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณ หรือแม่น้ำท่าจีน สร้างขึ้นเมื่อประมาณต้นรัชสมัย ร.5 เรือนไม้ในอดีตใช้เป็นที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชุมชนไทย-จีน
มีคุณป้าคนหนึ่งพาผมเดินไปยังริมแม่น้ำท่าจีน แล้วชี้ให้ผมดูบ้านเรือนไทยโบราณที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วบอกว่าบ้านหลังนั้นคือที่มาของคำว่า “เก้าห้อง" ซึ่งลักษณะการสร้างจะยึดแนวความยาวของบ้าน โดยมีเสาบ้านเรียงอยู่ 10 แถว แนวเสา 2 แนวจะถือว่าเป็น 1 ช่องเสา หรือ 1 ห้อง บ้านที่มีแนวเสา 10 แถว จึงเรียกว่าบ้านมี 9 ช่องเสา หรือ บ้าน 9 ห้องครับ เสียดายที่ผมลืมถ่ายภาพบ้านหลังนั้นมาให้ชม
มาถึงตลาดเก้าห้องแล้ว ถ้าใครชอบทานขนมเปียะสูตรโบราณ ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดร้านตั้งกุ้ยกี่ครับ ที่นี่มีขนมเปียะหลายไส้ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไส้ถั่วดำ ถั่วแดง ฟัก และไส้ฟักผสมถั่ว ราคามีให้เลือกตั้งแต่ 5 บาท 10 บาท 25 บาท 50 บาท และ 100 บาท ขอบอกว่าไส้นั้นอัดแน่นจริงๆ ผมว่าคุณภาพเกินราคา ที่สำคัญมาถึงที่นี่แล้วได้ขนมทำเสร็จใหม่ๆ กลับไปทานอย่างแน่นอนเพราะทางร้านทำใหม่ทุกวัน นอกจากขนมเปียะแล้ว ที่นี่ยังมีขนมโบราณอีกหลายชนิดเลยอย่าง ขนมบัวหิมะ ขนมปลา ขนมหน้าแตก ขนมลูกเต๋า ขมโก๋อ่อน ขายกันแพคละ 10 บาทเท่านั้น เสียดายที่วันนั้นผมซื้อมาน้อย แอบหวังไว้ลึกๆ ว่า สักวันจะต้องกลับไปหาซื้อทานอีกสักครั้งครับ
ผมชอบตลาดแห่งนี้นะครับ คนไม่พลุกพล่าน แถมเป็นตลาดของคนพื้นที่จริงๆ ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและค้าขาย ไม่ใช่นายทุนจากต่างจังหวัดมาเพื่อมาตั้งร้านขายของเฉพาะวัน ส อา อยากให้เพื่อนๆ มาเที่ยวกันเยอะๆ ครับ
ด้านขวามือจะเป็นชุมชนของตลาดเก้าห้อง มองเห็นหอดูโจรด้วย ถึงแม้ว่าปัจจุบันโลกจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่กาลเวลาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้ครับ
จากตลาดเก้าห้องผมมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองสุพรรณบุรี เพื่อมาล้างตาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งผมเพิ่งมาตอนเมื่อปลายปี 2557 ตอนนั้นทางวัดกำลังบูรณะพระปรางค์ประธานอยู่พอดีและทริปนั้นผมก็พลาดเห็นอีกหนึ่งจุดสำคัญของวัดแห่งนี้ คือ วิหารแฝดครับ
รีวิวเที่ยวสุพรรณบุรีที่ผมไปมาเมื่อปลายปี 2557 ครับ
http://pantip.com/topic/33062286
วันนี้พระปรางค์ประธานบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
และนี่คือวิหารแฝด ซึ่งอยู่ติดกับพระปรางค์ประธาน ได้รับการบูรณะใหม่เช่นกัน ไม่หลงเหลือความขลังอีกเลยครับ วิหารเดิมเก่าแก่มาก การสร้างวิหาร 2 หลังนี้ใช้เสาต้นเดียวกัน 1 ต้น หันหน้าเข้าหากัน ด้านในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย วันที่ผมไปวิหารปิดพอดีครับ
และนี่คือภาพวิหารแฝดก่อนบูรณะครับ CR: ตามภาพครับ
ผมมุ่งหน้าสู่ อ.สามชุก ก่อนจะถึงแยกสามชุกสักประมาณ 2 กิโลเมตร จะมีร้าน “กุ้งเป็น" อยู่ด้านซ้ายมือ ผมแวะเติมพลังที่นี่ก่อนที่จะลุยเที่ยวกันต่อครับ
ชื่อร้าน “กุ้งเป็น" ก็พอจะบอกเป็นนัยๆ ว่าร้านนี้เด่นอาหารประเภทอะไรนะครับ กุ้งที่นี่จะขายกันเป็นกิโล มีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ แล้วแต่ความพึงพอใจของลูกค้า เมื่อเลือกขนาดกุ้งได้ตามต้องการแล้ว ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าเราอยากทานเมนูอะไร ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผา หรือต้มยำกุ้ง ก็สั่งได้ตามใจชอบครับ
อีกเมนูหนึ่งที่อยากแนะนำคืออาหารประเภทปลาครับ มื้อนี้ผมเลือกเป็นปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ขอบอกว่า กระเทียมที่นี่มาแบบถึงใจจริงๆ ทางร้านจะนำกระเทียมมาชุบแป้งแล้วนำมาทอด หน้าตาของกระเทียมทอดดูไม่ต่างอะไรกับกากหมูทอดเลยครับ
ผมปิดท้ายด้วยยำตำลึงกรอบ ตำลึงทอดมาเป็นแพ มีกุ้งตัวเล็กๆ ทอดแล้วนำมาโรยหน้าบนตำลึง เสริฟพร้อมน้ำยำ เมนูนี้ไม่ค่อยโดนใจผมสักเท่าไร ผมว่าน้ำยำมันใสไป หากเปลี่ยนจากกุ้งทอดเป็นกุ้งลวก พร้อมใส่มะม่วงดิบและหมูสับลงไปในน้ำยำสักนิดหน่อย ผมว่าจะทำให้เมนูนี้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมครับ
หลังอาหารทางร้านจะมีแตงโมมาเสริฟให้ฟรีครับ ผมว่าร้านนี้ใช้ได้เลย รสชาติอาหารถือว่าโอเค ราคาอาหารก็ไม่แพงครับ
หนังท้องก็ตึงแล้ว ยังไม่ทันที่หนังตาจะหย่อน ผมก็แวะเที่ยวที่ตลาดสามชุกสักหน่อยครับ
ตลาดสามชุกเป็นตลาดเก่าแก่ที่ได้รับประกาศให้เป็นตลาด 100 ปีในเชิงอนุรักษ์ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ผมมาเที่ยวตลาดสามชุกครั้งล่าสุดตอนสิ้นปี 2557 รอบนี้เลยขอเดินเล่นชิวๆ หาซื้อของฝากกลับบ้านดีกว่าครับ
ที่ว่าการอำเภอสามชุกหลังเก่าครับ
ร้านรวงต่างๆ มีให้เลือกช๊อบ เลือกชิมมากมาย
มาสามชุก อย่าลืมมาทานข้าวห่อใบบัว ของขึ้นชื่อของที่นี่นะครับ ไม่ได้ทานเหมือนมาไม่ถึงสามชุกน๊า นอกจากข้าวห่อใบบัวแล้ว ยังมีเตี๋ยวยำบก และห่อหมกปลาช่อน อร่อยๆ ด้วยครับ
ท้องก็อิ่มแล้ว ของฝากก็ได้มาแล้ว ถือว่าปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น คงต้องมุ่งหน้ากลับกันแล้วครับ ผมใช้เส้นทางเดียวกับขามา โดยใช้เส้นทางนางบวช-ไหสี่หู-สิงห์บุรี-ลพบุรีครับ เมื่อมาถึงแยกไหสี่หู เห็นป้ายบอกทางไปเตาเผาแม่น้ำน้อย ดูจากเวลาแล้วก็ยังไม่เย็นสักเท่าไร เลยขอแว๊บออกนอกเส้นทางสักนิดหน่อยครับ
เตาเผาแม่น้ำน้อยตั้งอยู่ในบริเวณวัดพระปรางค์ (ชัณสูตร) เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงศรีอยุธยาครับ เมื่อเข้ามาจะเจออาคารหลังนี้ เป็นที่จัดแสดงตัวอย่างเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ ที่ขุดได้บริเวณแหล่งเตาเผาแม่น้ำน้อยครับ
ส่วนอาคารหลังนี้สร้างคลุมเตาเผาขนาดใหญ่ครับ
เตาเผาขนาดใหญ่ด้านในอาคาร ลักษณะตัวเตาเป็นแบบระบายความร้อนเฉียงขึ้น ก่อด้วยอิฐ ตัวเตาบางส่วนคล้ายเรือประทุนจึงเรียก “เตาประทุน" ตัวเตาเผามีขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 14 เมตร กว้าง 5.60 เมตร และเส้นผ่าศูนย์กลางของปล่องควันไฟยาว 2.15 เมตร เคยใช้เป็นที่ผลิตภาชนะดินเผา เช่น ไห อ่าง ครก กระปุก ช่อฟ้า กระเบื้องปูพื้น ครับ
ลองดูขนาดของเตาเผาเทียบกับภาชนะดินเผาซึ่งวางเรียงอยู่ด้านขวามือของภาพซิครับ แล้วจะรู้ว่าเตาเผาใหญ่ขนาดไหน
มีเศษซากตัวอย่างของภาชนะดินเผาที่แตกเสียหายวางอยู่บนเตาเผาด้วยครับ
แบบจำลองเตาประทุนครับ
ด้านข้างของอาคารจัดแสดง ยังมีเตาเผาที่มีขนาดเล็กกว่าในอาคารจัดแสดงอีก 2 เตาครับ
แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์ศึกษาทางวิชาการเซรามิคอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกอีกด้วยครับ
การไปเที่ยวราชบุรีในครั้งนี้ทำให้ผมรู้เลยว่า ราชบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมากครับ ด้วยเวลาเพียง 2 วัน 1 คืน หากจะเที่ยวให้ครบทุกรสชาติคงไม่พอแน่ๆ ผมไม่อยากให้ใครมองราชบุรีเป็นแค่เมืองผ่าน ลองมาใช้เวลาที่ราชบุรีแบบผมดูนะครับแล้วจะรู้ว่า “ราชบุรี" มีอะไรดีๆ มากกว่าที่คิด จริงๆ ครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.12 น.