ณ ราตรีหนึ่งซึ่งยังฝังใจ เชียงรายฟ้าแจ่ม

คืนนั้นวาวแวมด้วยแสงจันทรานภาสดใส....

...........................................................



ทริปนี้จุดหมายอยู่ที่นี่ ไร่แสงอรุณ เชียงของ อยากไปนอนส่องดาวริมลำน้ำโขง

ปกติการเดินทางของเราจะไม่เคยจองอะไรล่วงหน้า นึกจะไปก็ไปเดี๋ยวนั้น

แต่ที่นี่ เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเต็มตลอดเลยทีเดียวเชียวแหละ โดยเฉพาะห้องที่หมายตา

คือ ห้องริมโขง เราจองล่วงหน้าถึงสองเดือน กระนั้นก็ยังไม่ได้ห้องที่ต้องการ

อยากได้ริมโขง 1 ได้มาเป็นห้องริมโขง 3 เอาวะ เอาก็เอา

ถ้ารอก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหน เอาไว้ก่อน มีเวลาค่อยมาใหม่ก็ได้



จริงๆมันก็ไม่ต่างกันหรอก ริมโขง 1 2 3

เพียงแต่ริมโขง1 ระเบียงไม่มีระแนงกั้น จึงมองเห็นวิวน้ำโขงพาโนราม่ากันเลย

แต่ของเราก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ อยู่ริมสุด สวยงามตามท้องเรื่องแหละ เดี๋ยวค่อยมาว่ากันถึงรายละเอียด

..............................................................................................................................

เอาหละ เริ่มเดินทางกันเลย

ทริปนี้เดินทางด้วยแอร์เอเชีย ไฟลท์แปดโมงสิบนาที ไปถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เก้าโมงครึ่ง



จองรถเช่า avis ไว้ รับรถที่สนามบิน


จากนั้นก็ลุยเลยค่ะ ก่อนอื่นต้องไปหามื้อเช้ากิน


เรามุ่งไปร้านสหรส เห็นเขาว่าต้มเลือดหมูอร่อยมาก

จัดไป เออ อร่อยจริงๆด้วย อร่อยมากกกกกก หรือเพราะหิวก็ไม่รู้แฮะ

สั่งยกล้อมาสองแก้ว หูย อร่อยมากเลยอ่ะเธออออ สดชื่นทันใด

อิ่มหนำสำราญก็เดินทางต่อกันเลย ตั้ง GPS มุ่งไปเชียงแสน



มาถึงเชียงแสน

เป็นอำเภอนึงใน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง สุดเขตประเทศไทยกันเลย



"เชียงแสนเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปี

จากประวัติศาสตร์ เชียงแสนถือเป็นอาณาจักรล้านนาในยุคแรกๆ

ประวัติความเป็นมาค่อนข้างชัดเจน และยังปรากฏร่องรอยโบราณวัตถุโบราณสถานหลายแห่ง

จากหลักฐานโบราณคดีสันนิษฐานว่า การสร้างเมืองคงเริ่มขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา

ตามที่ระบุไว้ในชุนกาลมาลีปกรณ์ และพงศาวดารโยนก เพราะศักราชดังกล่าวใกล้เคียงกันใกล้เคียงกันมาก

รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องกันมาสัมพันธ์กับรูปแบบอายุสมัยของของโบราณวัตถุสมัยประวัติศ่สตร์

ที่สร้างขึ้นทั้งในและนอกตัวเมืองซึ่งมีอายุหลังกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ลงมาทั้งสิ้น



พ .ศ.๒๔๘๒ทางราชการเปลี่ยนชื่ออำเภอเชียงแสนเป็นแม่จัน

และย้ายที่ทำการไปอยู่ที่แม่จันห่างจากที่ว่าการอำเภอเดิมประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

ตำบลที่ตั้งที่ว่าการอำเภอนี้เรียกว่าเชียงแสนใหม่ หรือเชียงแสนแม่จัน ส่วนเมืองเชียงแสนนั้นมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอ



ต่อมาในปี พ . ศ . ๒๕๐๐ จึงยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน

และรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะอำเภอเชียงแสนขึ้น

โดยมอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการฟื้นฟูบูรณะ

และอนุรักษ์โบราณสถานที่สำคัญในเมืองเชียงแสน ตั้งแต่พ. ศ . ๒๕๐๐ เป็นต้นมา

ปัจจุบันร่องรอยของโบราณสถานในอำเภอเชียงแสนที่หลงเหลือให้เห็น

มักเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา ได้แก่ พระเจดีย์ และพระวิหาร

ซึ่งส่วนใหญ่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน

และมีวัดอยู่ทั้งสิ้น ๑๔๐ วัด แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่วัดในเมือง ๗๖ วัด และวัดนอกเมือง ๖๕ วัด

การเรียกชื่อวัดต่าง ๆ ได้ยึดถือจากตำแหน่งที่ระบุไว้ในพงศาวดารล้านนาซึ่งเขียนขึ้นภายหลัง โบราณสถานที่สำคัญและน่าสนใจ"

**ข้อมูลจาก http://www.chiangraifocus.com/2010/travelView.php?id=128&aid=3**



โดยส่วนตัว ชอบเชียงแสนนะ ดูเป็นเมืองที่ไม่วุ่นวาย และเก๋ไก๋มากทีเดียว

ตัวเมืองมีกำแพงโบราณล้อมรอบ พร้อมคูเมือง เห็นแล้วก็คิดว่าสมัยก่อนนี่คงรุ่งเรืองน่าดู

มีซากวัดโบราณเยอะมาก เรียกว่าสลับกันไปกับบ้านเรือนผู้คนเลยหละ

ดูสวยและขลังอย่างประหลาด ผู้คนดำเนินชีวิตแลดูเรียบง่าย

ส่วนที่เป็นตัวเมืองเล็กนิดเดียว อยู่ภายในโอบล้อมของกำแพงโบราณนั่นแหละ น่าอยู่นะเราว่า



เราขับรถวน ๆ กำแพงเมือง ดูซากวัดซากอารยธรรมต่างๆไปเรื่อย

แวะที่วัดป่าสัก จ่ายค่าเข้าชมคนละ ๑๐ บาท ถูกมาก

ไม่มีคนเที่ยวเลย จะเอาเงินไหนไว้ดูแลโบราณสถานกันนะ แอบเป็นห่วง

เที่ยวเล่นถ่ายรูปสักพักเริ่มหิว เลยลองอาหารย่านนั้น


จำชื่อร้านไม่ได้ค่ะ อยู่ริมแม่น้ำโขงเป็นอาหารจีนสูตรเสฉวนอะไรประมาณนี้

คือ ถ้าคนที่ชอบอาหารแนวนี้ก็คงโอเคแหละค่ะ

แต่เราไม่เคยกิน คนข้างๆอยากลอง เอ้าลองก็ลอง



ผลคือ เข็ดค่ะคุณผู้ชม จริงๆคงอร่อยแหละมั้งแต่เราอาจไม่ชินกับรสชาติแบบนี้

มันเลี่ยนมากกกกก เลี่ยนและเผ็ดแปลกๆ บอกไม่ถูก

แต่ความเลี่ยนมันติดปากติดคอจนผอืดผะอมไปหมดเลย ดื่มชาก็ไม่ดีขึ้น

โชคดีเจอเซเว่นเลยแวะหาอะไรเปรี้ยวๆดับความเลี่ยน ได้มะม่วงดองมาสองถุง ค่อยยังชั่ว

อิ่มจากตรงนี้ (จริงๆไม่อิ่ม กินต่อไม่ไหว ไปหาขนมเซเว่นกินเอา) เราไปทะเลสาปเชียงแสนกันค่ะ


ออกนอกเมืองไปนิดนึง ชื่อทางการคือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย



"เดิมเป็นหนองน้ำขนาดเล็กซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ โดยรอบเป็นแอ่งรองรับน้ำฝนตามธรรมชาติ

ทางราชการได้ก่อสร้างเขื่อนน้ำล้น เพื่อกักเก็บน้ำ จึงทำให้หนองน้ำมีปริมาณมากขึ้น

มีลักษณะเป็นทะเลสาบขนาดย่อมเรียกว่า “ทะเลสาบเชียงแสน"

และได้รับการประกาศ จากกระกรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2528 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ

ของอนุสัญญาว่าด้วย พื้นที่ชุมน้ำหรืออนุสัญญาแรมซาร์ อันดับที่ 1101

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2544 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2,711 ไร่"

**ข้อมูลจาก http://www.chiangraifocus.com/2010/travelView.php?id=143&aid=3**



ที่นี่สวยมากนะเราว่า กว้างใหญ่ เงียบสงบ ไม่มีคนเลย

เคยอ่านเจอเห็นว่าตอนเย็น ๆ จะสวยมากกก แต่พอดีเราไปกันช่วงเที่ยงเกือบบ่าย แดดค่อนข้างแรง

แต่ก็ยังสวยงามมากอยู่ดีแหละ เสียดายอย่างนึง มันไม่ใช่ฤดูวบาน



ในทะเลสาปมีสะพานไม้ไผ่ทอดยาว ผ่านเหล่าบัวมากมาย และก็ต้นผักตบ

นี่ถ้ามีดอกนะ คงสวยสะพรั่งมากๆ ที่นี่มีบ้านพักนักท่องเที่ยวด้วย

ถ้าฤดูหนาวได้พักที่นี่คงบรรยากาศดีมากมาย เราก็แวะถ่ายรูปฟิน ๆ พอหอมปากหอมคอเนอะ

เอาหละ ออกเดินทางไปสู่จุดหมาย ไร่แสงอรุณกันเถอะ


ทางไร่แจ้งมาว่า เราควรต้องไปเช็คอินก่อนห้าโมงเย็น

ที่บอกว่าต้องเช็คอินก่อนห้าโมงเย็นนั้น ทีแรกเราเข้าใจว่าเพราะทางลำบากไรงี้

แต่ความจริงคือ ครัวปิดตอนหกโมงเย็นจ้า

ถ้าเราไปถึงหลังครัวปิด ลำบากแน่ เพราะละแวกนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีร้านรวง

ไม่มีอะไรให้เราหาซื้อ ไม่มีร้านอาหาร มีแต่หมู่บ้านที่เงียบเชียบเหลือเชื่อ

ไม่มีแม้แต่ผู้คนที่ออกมาเดินตามถนน

(แต่ถ้าเลยไปอีกหน่อยก็เป็นเชียงของ น่าจะคึกคักอยู่)


เราเดินทางตาม GPS คนข้าง ๆ แบกใส่เป๋าไปด้วย เส้น 1129 ตรงไปยังเชียงของ

ขอบอกว่า ระหว่างทางสวยงามมาก เป็นเส้นเลียบริมโขงเกือบทั้งเส้นมีทั้งทุ่งนา ภูเขา และแม่น้ำโขง

เราแวะถ่ายรูปไปเรื่อย เสพติดวิวข้างทางแบบไม่รู้ตัว


แต่หิวกาแฟใจแทบขาด ไม่มีร้านกาแฟระหว่างทาง ไม่มีปั๊มน้ำมัน ไม่มีจุดพักชิคๆชิลล์ๆใดๆทั้งสิ้น



กระทั่งใกล้ถึงเชียงของแหละค่ะ เห็นป้ายร้านกาแฟ

โอ๊ยยย รอดตายแล้วฉันนนนน เจออยู่ร้านเดียวค่ะย่านนี้ หน้าวัดศรีดอนมูล

แต่ถัดไปในเมืองเชียงของ น่าจะมีอีกแหละ แต่เราไม่ไหวแล้ว กว่าจะเจอสักร้าน แทบลงแดง

และมีฝรั่งปั่นจักรยานท่าทางเกือบลงแดง เข้ามาสั่งต่อจากเราอีกสามคน 555

ถ่ายรูปมารีวิวซะหน่อย เผื่อใครไปแถวนั้น ก็อร่อยอยู่นะ หรือเพราะเรากำลังจะลงแดงก็ไม่รู้

แล้วก็เข้าไร่กันเลยค่ะ จากปากถนนใหญ่


ไปอีกเป็นสิบกิโลกว่าจะถึง ไกลมากค่ะ แต่ก็คุ้มที่ดั้นด้นมา

มาถึงก็เช็คอิน เจ้าหน้าที่รับเช็คอินค่ะ


แล้วก็รับน้ำมะตูมเป็นเวลคัมดริ๊ง


และสั่งอาหารเย็นไว้ก่อนเลย เราไปถึงสี่โมงเศษๆหละ


สั่งอาหารเสร็จ พนักงานก็พาไปส่งห้องพัก

ของเราหลังด้านในสุดค่ะ ริมโขง 3


ห้องพักไม่ได้กว้างมาก แต่ก็โปร่งดี ไม่อึดอัด ระเบียงนอนดูดาวตอนกลางคืน ฟินมาก



มาดูห้องน้ำกันบ้าง


ห้องน้ำนี่ ส่วนอาบหลังคาเปิดโล่งจ้า อาบน้ำไปดูดาวไป โรแมนติกนะเออ

วิวทิวทัศน์จากระเบียงห้อง


ในห้องพัก ทุกอย่างพรั่งพร้อมนะ ทีวี ตู้เย็น กาต้มน้ำ ในตู้เย็นที่เครื่องดื่มทุกอย่างฟรีหมด


น้ำดื่ม น้ำผลไม้ต่าง ๆ ชากาแฟ มีบะหมี่คัพให้ด้วย

เราคุยกันว่า คงเผื่อสำหรับลูกค้ามามืดๆมั้ง

ไม่มีอะไรให้กินแล้ว ก็บะหมี่ถ้วยนี่หละ ประทังชีวิต 555



ไร่แสงอรุณนี่ เขามีสองฝั่งนะคะ ถนนตัดผ่านกลาง ฝั่งนึงคือฝั่งริมโขงที่เราพัก

มีห้องพักแค่สามห้องเท่านั้น อีกฝั่งคือ ฝั่งท้องนาและภูเขา

ขอบอกว่า ถ้ามีผู้สูงอายุไปด้วยแนะนำจองริมโขงนะคะ เพราะอีกฝั่งนั้นเดินไกลมากกกกกก

ผ่านทุ่งนาเป็นกิโล ๆ แล้วต้องเดินขึ้นเขาอีก เกือบสองร้อยขั้นบันได เฮือกกกกกกกกกก

คนพักฝั่งภูเขานี่ คือ ถ้าไม่ไปเที่ยวไหนก็อยู่แต่บนห้องเลยค่ะ อาหารเช้าเย็นให้ทางพนักงานส่งปิ่นโตเอา



ถ้าเดินขึ้นลงหลายรอบนี่ ไม่ไหวนะ ขาจะเดี้ยงเอา แต่สวยมากค่ะ

ฝั่งภูเขาวิวสวยมาก เราไปเดินชมมานิดหน่อยตอนเช้า

แต่ขึ้นไม่ถึงบ้านพักด้านบนนะคะ ถอดใจซะก่อน ฝั่งริมโขงใกล้ค่ะ เช็คอินเสร็จเดินลงที่พักได้เลย

................................................................................................................................



มื้อเย็นเราออกไปทานตอนห้าโมงครึ่ง ตรงริมแม่น้ำโขง อากาศดี๊ดี ข้อเสียมีนิดนึงคือ ยุงเยอะจัง

เขาก็มีสเปรย์กันยุงให้นะ แต่มันก็บินกันน่ารำคาญแหละ



ระหว่างรออาหาร ถ่ายรูปเพลิน ๆ


ที่เราสั่งไว้ก็มีผัดผัก ยำถั่วพู ปลาอะไรสักอย่างทอด และต้มข่าไก่


อาหารของที่นี่ ก็โอเค ใช้ได้อยู่ แต่เราว่าบางอย่างติดหวานไปนิด

ผักเขาปลูกเองค่ะ มีแปลงปลูกผักริมโขง สด ๆ กันเลย



รูปไม่ค่อยชัดนะคะ หิวๆเลยใช้มือถือรีบถ่าย

ทานข้าวเสร็จกลับห้องนอนมองดาว ที่นี่เงียบและมืดมาก


ดาวพร่างตั้งแต่หกโมงเย็น ทางช้างเผือกเด่นตาตั้งแต่ทุ่มนึง ดีใจมาก ณ จุดนี้

เราได้รูปทางช้างเผือกมาอย่างไม่นึกไม่ฝัน

แต่ก็นะ เราไม่เคยถ่ายทางช้างเผือก เปิดเนทหาวิธี แล้วทำตามนั้นก็ได้มาแค่นี้

แต่ก็ดีใจมากกกกก คืนนั้นนอนหลับฝันดียามเช้าตื่นมาพบความงามและความสดชื่น



ออกไปถ่ายรูปเล่นในท้องทุ่งของอีกฝั่ง กะว่าจะขึ้นไปดูบ้านพักฝั่งนู้นด้วย


ต้องเดินผ่านทุ่งข้าว ผ่านบึงบัว และขึ้นเขาอีกยาวไกล


ระหว่างทางก็เจอชาวบ้านไปทำไร่ทำนากัน


สรุปว่าเราขึ้นไม่ถึงค่ะ ไต่บันไดไปได้ครึ่งทางไม่ไหวแล้วตัดใจ ซูมรูปบ้านพักเอาละกัน


ย้อนกลับลงมาไปหามื้อเช้ากินดีกว่า


อาหารเช้าก็ทานริมฝั่งโขงเหมือนเดิม


จะมีให้เลือกว่ารับเป็นข้าวต้ม หรือ ABF เราสั่งมาทั้งสองอย่าง

โอเคค่ะ นั่งทานกันไป ดูวิว อ่านหนังสือกันไป ในความสงบงาม

อิ่มแล้วก็เดินเล่นดูบรรยากาศรอบ ๆ


แปลงผักค่ะ


จากนั้นก็เก็บของ เชคเอาท์ค่ะ เสียดายเรามีเวลาแค่เสาร์ อาทิตย์ ยังอยากอยู่ต่อจังเธอ


โดยรวม สำหรับเรานะไร่แสงอรุณดีงามค่ะ

เราชอบ แต่ถ้าหนาวกว่านี้น่าจะสวยกว่านี้ แต่หน้าฝนก็สวยงามสดชื่นค่ะ
นาข้าวกำลังเขียวพอดีเลย

อีกอย่างที่อยากชม คือพนักงานที่นี่บริการดี๊ดี เขาใส่ใจทุกรายละเอียด

คอยถามไถ่ว่าอะไรขาดตกบกพร่องมั้ย

ตอนทานมื้อเช้า แดดส่องตรงไหน โดนเราไหม เขาจะคอยดู คอยเลื่อนร่มตามเงาแดดให้

ชอบอ่ะค่ะ ดูมีน้ำมิตรจิตใจเต็มที่เลย


แต่ต้องบอกกันก่อนนะคะ คนที่มาที่นี่ คือตั้งใจมาพัก นอนเล่นเงียบ ๆ

เพราะแถวนี้แทบไม่มีที่เที่ยว ไม่มีที่กิน ไม่มีกิจกรรมอะไรทั้งนั้น

เหมาะสำหรับคนแสวงหาความสงบ

ถ้าใครพัก สองคืน แนะนำลองทั้งสองฟากนะจ้ะ

น่าจะได้อารมณ์คนละแบบ

หรืออาจจะเข้าไปในเมืองเชียงของ ไปเดินเล่น น่าจะได้อารมณ์ชิลๆอยู่นะ


กลับหละเนอะ เดี๋ยวจะพาไปแวะเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อ เพราะเราจองไฟลท์กลับไว้ 21:45

ยังมีเวลาพอตระเวนได้อีกตามสมควรขากลับ เส้นทางเดิมค่ะ

ผ่านวัดพระธาตุผาเงา แวะสิคะ รออะไร

ชื่อของวัดนี้มาจากชื่อของพระธาตุผาเงา

ที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่าผาเงาก็คือ

เงาของก้อนผา (ก้อนหิน) หินก้อนนี้มีลักษณะสูงใหญ่

คล้ายรูปทรงเจดีย์และทำให้ร่มเงาได้ดีมาก

ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า “พระธาตุผาเงา"

ความจริงก่อนที่จะย้ายวัดมาที่นี่ เดิมมีชื่อว่า “วัดสบคำ"

ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งน้ำได้พังทลายลง

ทำให้บริเวณของวัดพัดพังลงใต้น้ำโขงเกือบหมดวัด

คณะศรัทธาจึงได้ย้ายวัดไปอยู่ที่ใหม่บนเนินเขา ซึ่งไม่ไกลจากวัดเดิม


แต่เดิมแถวนี้เป็นถ้ำ เรียกว่าถ้ำผาเงา

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 ได้มีการแผ้วถางป่า

ปากถ้ำถูกปิดไว้นาน ทำให้บริเวณแห่งนี้เป็นป่ารก

เต็มไปด้วย ซากโบราณวัตถุกระจัดกระจายอยู่กลาดเกลื่อน

และได้ค้นพบพระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2519

ซ่อนอยู่ใต้ตอไม้หน้าฐานพระประธานมีอิฐโบราณก่อเรียงไว้

เมื่อยกอิฐออกก็พบหน้ากาก แล้วได้พบพระพุทธรูป

มีลักษณะสวยงามมาก ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณวัตถุได้วิเคราะห์ว่า

พระพุทธรูปองค์นี้มีอายุระหว่าง 700-1,300 ปี

คณะทั้งหมดจึงได้พร้อมกันตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อผาเงา"

** ข้อมูลจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16697**

ที่นี่ด้านบนเป็นจุดชมวิว

ที่มองเห็นสามเหลี่ยมทองคำ และวิวรอบ ๆ แบบพาโนราม่าเลยทีเดียว


ขับรถขึ้นไปได้ หรือใครแข็งแรงพอก็เดินขึ้นบันไดไปก็ได้นะ

ก่อนถึงจุดชมวิวด้านบนสุด จะมีส่วนของอุโบสถหลังงาม

โซนนี้เงียบเชียบ น่าจะเป็นส่วนปฎิบัติธรรมหรือเปล่าไม่แน่ใจ

แต่อุโบสถเปิดให้เข้าชมได้

เป็นศิลปะคล้ายวัดเชียงทองที่หลวงพระบาง

สวยงามมากทีเดียว

ในจุดบนสุดนั้น เป็นจุดชมวิว สวยมากกกก วิวสวย บรรยากาศดี


ก็แวะกราบพระธาตุบนนั้น

แล้วนั่งจิบกาแฟชมวิวสวยๆ มีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียวค่ะ รสชาติใช้ได้ทีเดียว


ลงจากวัดพระธาตผาเงา ก็ไปต่อที่สามเหลี่ยมทองคำซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก



สามเหลี่ยมทองคำเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง ไทย ลาว พม่า

ในอดีตเคยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปลูกฝิ่นเพื่อใช้ในการผลิตยาเสพติดหลากหลาย



เคยได้ยินชื่อมานานมาก มโนไปว่าคงเป็นดินแดนทุรกันดาร

มีมาเฟียข้ามชาติ เต็มไปด้วยธุรกิจผิดกฎหมายอะไรทำนองนั้น

เมื่อมาพบเห็นของจริง แหม่ อิลูกช่างมโน สามเหลี่ยมทองคำสวยงามจะตาย

วิวสวย พื้นที่งาม โอบล้อมด้วยแม่น้ำและขุนเขา

น่าปั่นจักรยานเล่นริมโขงจริงๆ



เมื่อก่อนเราว่าน่าจะคึกคักรุ่งเรืองกว่านี้มั้ยคะ

เพราะดูแล้วมีร่องรอยความเจริญอยู่มาก

อาคาร บ้านเรือน โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร พลาซ่าห้างร้านต่างๆ เยอะมากนะ

แต่ตอนนี้ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น มันร้าง ชำรุดทรุดโทรม ปิดกิจการ



แม้แต่โรงแรงใหญ่ที่ยังเปิดอยู่ ก็แลดูโทรมมาก เงียบเหงาเอามาก ๆ

ร้านขายของต่างๆ มีเหลืออยู่ไม่กี่แผง ซึ่งไม่มีคนเดินเลย อ้างว้างน่าดู

เพราะอะไรกันหนอ คนถึงไม่มาเที่ยวที่นี่แล้ว เศรษฐกิจไม่ดีหรือหมดความนิยม

หรือยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของย่านนี้??



เราว่าที่นี่น่าสนใจมากอ่ะ ถ้าช่วงฤดูหนาวอากาศคงดีมาก

เดินชิลๆ หรือปั่นจักรยานเล่นริมโขง ฟินเลยนะ



เห็นแม่ค้านั่งเหงาแล้วสงสารจริงๆ เลยอุดหนุน ผ้าซิ่นกับเสื้อพื้นเมืองมา 2-3 ชุด

ออกจากสามเหลี่ยมทองคำ เรามุ่งไปบ้านดำค่ะ



บ้านดำของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

และเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)

ประวัติ อ.ถวัลย์ อ่านจากลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.thawan-duchanee.com/biography-thai-1.htm



บ้านดำ ตั้งอยู่ที่ 414 หมู่ 13 ตำบลนางแล ในอำเภอเมืองค่ะ



เมื่อก่อนนะคะ ตอนเห็นกระทู้รีวิวต่างๆพูดถึงบ้านดำ

เราก็เข้าใจว่า ที่นี่ก็คงประมาณบ้าน แกลอรี่ สถานที่ทำงานของ อ.ถวัลย์

คือคำว่าบ้านน่ะ ฟังดูก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะใหญ่โตอะไรมาก

ดูจากรูปที่เคยเห็นตามรีวิวต่าง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะอลังการ

เกินคำว่าบ้านหรือสถานที่สร้างสรรค์ผลงานแต่อย่างใด



ครั้นเมื่อมาเห็นของจริง

แม่จ้าวววว ถึงขั้นตะลึงลาน ที่นี่ใหญ่โตมโหฬาร

อย่าเรียกว่าบ้านเลย เป็นอาณาจักรมากกว่า

สถาปัตยกรรมทุกอย่างล้วนยิ่งใหญ่อลังการ



ยิ่งใหญ่และใหญ่ยิ่ง สมเป็นงานของ อ.ถวัลย์

แน่นอนว่าในทุกสิ่งอย่างที่นี่ ล้วนมีความหมาย มีความล้ำลึกแทรกซ่อนอยู่

ซึ่งเราเข้าไม่ถึงหรอกค่ะ ทุกอย่างตื่นตา ตื่นใจ น่าตะลึงไปเสียทั้งสิ้น

แต่ถามว่า เราเข้าใจไหม?? รู้เรื่องไหม?? บอกเลยว่า ไม่!!


แหม คนสามัญอย่างเราไม่เข้าใจอะไรลึกล้ำปานนี้หรอกค่ะ


แต่ที่เรารู้แน่ ๆ คือ คนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนธรรมดาจริงๆ

คนเยอะมากค่ะ ที่เข้าชมซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นทัวร์จีน


แต่ก็เรียบร้อยกันดีนะคะ ไม่วุ่นวาย ไม่เสียงดัง

ค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าทัวร์จีนในอื่นที่เคยเจอมา


จากพิพิธภัณฑ์บ้านดำ เราไปต่อกันที่วัดร่องขุ่น

ทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องแนะนำอะไรมากเนอะ



ยอมรับว่าสวยงามมหัศจรรย์มาก แต่ถามว่า ไปอีกมั้ย คงต้องคิดนานหน่อย

คือชอบวัด ชอบงานของ อ.เฉลิมชัย สวยงามเกินบรรยาย

แต่ที่ไม่ชอบคือ คนเยอะมากกกกกก เยอะ วุ่นวายไปหมดเลย


ในรูปที่เห็นไม่ค่อยเยอะนี่ คือ หาช่องปลอดคนเอาค่ะ ซึ่งยากมาก คนเยอะจนแอบหงุดหงิดค่ะ


แต่ทึ่งมากจริง ๆ

อ.เฉลิมชัยก็อีกท่าน ที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนธรรมดา



ใครมาวัดร่องขุ่น อย่าลืมเข้าไปชมในแกลอรี่นะคะ


มีงานของ อ. เฉลิมชัย มากมายอยู่ในนั้น แต่ถ่ายรูปไม่ได้นะคะ

เข้าไปเก็บความประทับไว้ในใจค่ะออกจากวัดร่องขุ่นก็เย็นมากแล้ว แวะหาอะไรกินมื้อค่ำก่อนเข้าสนามบิน

เราเลือก ร้านชีวิตธรรมดาค่ะ เคยเห็นรีวิวจากที่ต่าง ๆ ว่าโอเค ก็ต้องไปลองหน่อย


ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำกก ข้ามสะพานแม่น้ำกกเจอแยกไฟแดงแรกให้เลี้ยวซ้าย

ขับเข้าไปเรื่อย ๆ เจอซอยเล็ก ๆ ด้านซ้ายมีป้ายบอก ก็ตามป้ายไปเรื่อย ๆ ค่ะ


ระหว่างทางเราคุยกันว่า ชื่อร้านยังกะสไตล์เพื่อชีวิตเลยเนอะ

ทั้งที่จริง ๆ เป็นแนวสวนอังกฤษ แปลกดี



กาแฟ เค้ก ขนม อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้ลอง

เราไปทานมื้อค่ำ ก็เลยสั่งแต่อาหารทั่วไปแหละค่ะ


ที่นี่เขามีทั้ง อาหารฝรั่ง ไทย ไทยพื้นบ้านและอื่น ๆ อีกมากมาย


เครื่องดื่มที่สั่งมา น้ำผึ้งมะนาวโซดา และ บ๊วยโซดา อร่อยมากเลย

นั่งดูดเอื๊อกๆไปครึ่งแก้ว ลูกอะไรไม่รู้หล่นมาในแก้วแฟนเรา

คือเราเลือกนั่งโซนริมน้ำใต้ร่มไม้ไง ถามพนักงานว่าไอ้ลูกนี้มันมีพิษมั้ย

ถ้าไม่มีพิษเรากินกันต่อได้ไม่มีปัญหา 555

น้องเขาบอกไม่มีพิษหรอกค่ะพี่ แต่หนูเอาเปลี่ยนแก้วใหม่ให้ดีกว่า

เราบอก ไม่เป็นไร ไม่มีพิษเราก็จัดการต่อได้ ไม่ซีเรียส

แต่น้องเขาก็ก็รีบยกแก้วเอาไปเปลี่ยนใหม่ให้ในทันใดค่ะ อันนี้ประทับใจ


อาหารอย่างอื่นอร่อยรึปล่าว ก็ไม่รู้นะคะ เห็นรีวิวเขาว่าอร่อย

ในส่วนที่เราสั่งกันมานั้น สเต็ก กับ ข้าวคลุกน้ำพริกหนุ่มและโป๊ะแตก

อร่อยถึงใจมากเลยทีเดียว โป๊ะแตกนี่รสชาติจี๊ดจ๊าดมาก


สำหรับเราสองคน รสชาติแบบนี้ถือว่าผ่านค่ะ


ใครไปเชียงรายก็ไปลองกันดูเนอะ ร้านสวยมากกกกก

แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ ลูกค้าเต็มร้าน เกรงใจเขาค่ะ


ถ้าไปทานมื้อค่ำ แนะนำนั่งด้านในนะ

บริเวณริมน้ำกกด้านนอกบรรยากาศดีก็จริง

แต่ยุงเยอะมากจ้าาา สเปรย์ที่ร้านเขาเอามาให้ก็เอาไม่อยู่


ส่วนเรื่องราคา ก็กลาง ๆ นะ

อย่างของเรา มีเครื่องดื่ม 2 แก้ว

สเต็ก 1 จาน ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มพร้องเครื่องเคียง 1 ชุด

และโป๊ะแตกทะเล 1 หม้อเล็ก จ่ายไป 900 บาทถ้วน


สำหรับคนชอบถ่ายรูป แนะนำไปกลางวัน ร้านมีมุมถ่ายรูปเก๋ ๆ สวย ๆ เยอะเลย


อ้อ พนักงานบริการดีมาก ขนาดลูกค้าเยอะ

พนักงานวนเวียนมาถามไถ่ตลอด ขาดเหลืออะไรไหม

รสชาติอาหารเป็นยังไง ดีหรือแย่ยังไงหรือเปล่า

ดูพนักงานเขาใส่ใจลูกค้าดีจัง



ทานมื้อค่ำเสร็จแล้ว เวลายังมีเหลือเฟือ เราเองก็เช็คอินผ่านมือถือไปเรียบร้อย


จะเข้าสนามบินเลย ก็เบื่อรอแย่ เลยขับรถไปวนรอบเมืองกันค่ะ

ตั้งใจไปกราบพ่อขุนเม็งรายด้วย มาบ้านท่าน เมืองท่าน ก็ต้องไปลามาไหว้ค่ะ



จากนั้นก็เตรียมตัวเข้าสนามบินหละ


ทีนี้วนไปวนมา หลงทางค่ะ ไปโผล่แถวหอนาฬิกา ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว

หาที่จอดรถถ่ายรูปหน่อยดีกว่า

...............................................................................................


ขอบอกว่า โมงยามตรงนี้ พีคสุดในทริปเชียงรายของเราเลย

แปลกใจตัวเองมาก จะดื่มด่ำกำซาบอะไรนักหนา

กะอิแค่หอนาฬิกา ค้นหาคำตอบไม่พบเหตุผลใด

มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วน ๆ


ก็เคยได้ยินมาแหละว่า เป็นหอนาฬิกาใหม่งานของ อ.เฉลิมชัย

แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจอะไรมาก่อน


ก็เห็นคนมารอถ่ายรูปกันจำนวนนึง ตอนนั้นน่าจะไม่เกินห้านาทีจะทุ่มตรง

ขณะกำลังยืนถ่ายรูป ลุงคนนึงเดินมาสะกิดบอกว่า

คุณ ๆ มุมนี้มันไม่เห็นบัวบาน นี่เลยคุณต้องมายืนมุมนี้นี่ มาเร็ว

เดี๋ยวอีกแป๊บบัวจะบานหละ มา ๆ


เราก็ตามไปยืนจุดที่ลุงบอกแบบ งง ๆ มองหน้ากะแฟน บัวอะไรบานตอนนี้ง่ะ

และก็ไม่เห็นมีอ่างบัว สระบัวอะไรแถวนี้เลยนิ งงมากกกกกกก

เอาวะ เชื่อลุงละกัน


ยังไม่ทันทิ้งช่วงหายใจ เพลงบรรเลงขึ้นมา

แสงสีที่หอนาฬิกาเปลี่ยนสลับสี สวยยยยยย กดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ชัดมั่งไม่ชัดมั่ง

และแล้วดอกบัวใต้หอนาฬิกา ค่อย ๆโผล่มาคลี่บานในเวลา 1 ทุ่มตรง

สวยงามมากกกกก


เพิ่งเข้าใจ ดอกบัวบานที่คุณลุงบอก

คือแบบนี้เอง สวยงามมากมาย


แสงสี เพลง บรรเลงอย่างงดงาม บัวคลี่บานเต็มดอก

ก่อนค่อย ๆ หุบกลีบ กลับลงสู่ใต้ฐานเหมือนเดิม


เราคิดว่าจบแสงสีเสียง แต่เพียงเท่านั้น

เตรียมกลับ ปรากฎว่า...



" ณ ราตรีหนึ่ง ซึ่งยังฝังใจ

เชียงรายฟ้าแจ่ม

คืนนั้นวาวแวม ด้วยแสงจันทรานภาสดใส

ริมน้ำกกเย็น ด้วยลมพริ้วผ่าน

ซ่านซึมผิวกาย

คืนนั้นเชียงราย มีเธอและฉัน

ร่วมสัมพันธ์ไม่คลาย


หนาวลมเย็นยิ่ง

เราอิงซบกันดวงจันทร์คล้อยต่ำ

คืนนั้นยังจำ ริมน้ำราตรีที่มีจันทร์ฉาย

ไฉนมาลืม รักเราเคยสร้างริมฝั่งเชียงราย

เมื่อคืนเดือนหงายนิยายสวาท

บาดหัวใจไม่ลืม... "



บทเพลงงดงามลอยล่องมาพร้อมสายลมของต้นฤดูหนาว

แล้วเราก็พลันต้องมนต์สะกด


หอนาฬิกายังคงเปลี่ยนสีสันงดงาม



เชื่อไหม ทั้งหมดที่เราตระเวนเที่ยวมาในทริปนี้

ก่อนโมงยามนี้เราไม่ได้รู้สึกมากมายกับอะไรที่ไหน

ทุก ๆ ที่ เราก็แค่ "ก็สวยดี" / " ก็โอเคนะ "/ " ก็น่าสนใจ "/ " ก็ชอบ " / " ก็ประทับใจ"



อารมณ์ประมาณนั้น แค่นั้น ไม่ได้กำซาบอะไรมาก


จวบมาถึงเมื่อได้ยินเพลงนี้ ที่นี่ เวลานี้

ทุกอย่างตั้งแต่นาทีแรกที่มาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง

หลั่งไหลเข้ามาในใจ มันเต็มปรี่ มันกลายเป็นความดื่มด่ำอย่างอธิบายไม่ได้


กระทั่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ เรายังละเมอเพ้อถึงเชียงรายอยู่เลย

ถามคนข้างตัว คุณรู้สึกอย่างฉันไหม

รู้สึกสิ เรามีคำตอบเดียวกัน

รู้สึกอย่างเดียวกัน...

จบทริปเชียงรายสองวันหนึ่งคืนอย่างงดงาม

แล้วเราจะกลับไปอีกนะ

........................................................................................



Paramee Na Prasri

 วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 20.12 น.

ความคิดเห็น