ทริปนี้เราเดินทางกันสองสาว นั่งเครื่องจากดอนเมืองไปลงหาดใหญ่ แล้วเช่ารถขับต่อไปสตูลค่ะ ทั้งทริปนี้ใช้เวลา 3 วัน มีทั้งเที่ยวสตูล-หาดใหญ่-สงขลา แต่จะขอรีวิวแต่ในส่วนของสตูลอย่างเดียวแล้วกัน เพราะไม่ค่อยเห็นคนรีวิวกัน


ทริปนี้เริ่มเดินทางแบบผู้สูงวัยเล็ก ๆ คือ เครื่องออก 9.50 น. ถึงหาดใหญ่ 11.00 น. ขากลับบินกลับมารอบเย็น ๆ 17.05 น. ปกติจะเที่ยวแบบไปเช้าสุด กลับดึกสุด รอบนี้ขอแบบเบา ๆ บ้าง เนื่องจากมีหลายทริปต่อเนื่องก่อนหน้านี้



ก่อนเครื่องลงสนามบินหาดใหญ่ วิวจากบนเครื่องจะเห็นได้ว่า มีต้นไม้แดงเยอะมากปูเป็นพรมสีแดงสลับกับสีเขียว ดูแล้วเหมือนใบไม้เปลี่ยนสีเวลาไปเที่ยวต่างประเทศยังไงยังงั้น ไม่มีรูปประกอบนะคะ ปิดมือถือ กล้องเก็บไว้ในช่องเก็บของ ไม่ได้ถ่ายเลย เก็บไว้แค่ความทรงจำ



แวะกินมื้อกลางวันที่ร้านใกล้ ๆ สนามบิน เนินขุมทองการ์เด้นท์ ก่อนมาก็ไม่คิดว่าร้านนี้จะคนเยอะนะเนี่ย ตอนที่ไปเรียกได้ว่าแน่นร้านเลยทีเดียว สั่งเมนูไข่ย้อย แกงคั่วไก่มันขี้หนู และใบเหลียงผัดไข่ อาหารรสชาติใช้ได้ แต่แกงไม่แซ่บเท่าไร เท่าที่สังเกตโต๊ะอื่น ๆ มักจะสั่งขนมจีนกันมากกว่า



อิ่มแล้วก็ไปเดินแวะซื้อขนมที่ทางร้านขาย เช่น พวกสลัดงา วุ้นมะพร้าว ฯลฯ ไปกินต่อกันระหว่างทางค่ะ



Go Go Go…ถึงแล้วค่ะ สตูล แอบตื่นเต้นเล็ก ๆ เพราะปกติถ้าพูดถึงสตูล คนก็จะนึกถึงแต่หลีเป๊ะ ดูสิดู แค่หน้าประตูเมือง ก็ชวนให้เข้าไปค้นหาแล้ว



ระหว่างทางที่ขับรถก็จะเห็นป่าใบไม้เหลืองแดง (น่าจะเป็นต้นยางหรือเปล่า ไม่ได้ถามใครด้วยสิ) เป็นระยะ ๆ บางช่วงที่เป็นพื้นที่ราบกว้าง ๆ จะเป็นวิวที่สวยมาก แต่ไม่ทันได้ถ่ายมา เพราะขับรถค่อนข้างเร็ว เบรกทีคงหัวคะมำ ถึงได้จอดแวะก็ไม่กล้าลงไปถ่ายอยู่ดี ไปกันผู้หญิงสองคน ข้างทางค่อนข้างเงียบมาก ไม่กล้าลงอ่ะ สิ่งที่เรามองเห็นจากบนเครื่องบินมามองจากระนาบเดียวกันก็ยังสวยนะคะนี่ ทำไมไม่เคยมีใครมารีวิวไว้เลย ว่าเมืองไทยมีใบไม้เปลี่ยนสีด้วย งามมาก ๆ



ก่อนวางแผนมาสตูลนี่ ก็มีจุดหมายอื่น ๆ ในใจหลายที่มาก แต่พอดีว่าไม่กี่อาทิตย์ก่อนมา ได้ดูโฆษณาของการท่องเที่ยว “เขาเล่าว่า"


<<<ในถ้ำใหญ่กว่า 50 ไร่มีพลังแห่งแสงมรกตซุกซ่อนอยู่>>>



ค้นหาข้อมูลได้ความว่าที่นี่เป็นถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกด้วยน่ะสิ ลองไปดูสักหน่อยแล้วกัน ปกติก็เป็นคนไม่ค่อยพิสมัยถ้ำสักเท่าไร แต่ก็เคยไปดูถ้ำที่เค้าเล่ากันว่าติดอันดับโลกต่าง ๆ ในต่างประเทศมาแล้ว นี่แค่ในเมืองไทยเอง ต้องลองไปพิสูจน์หน่อยแล้วกัน



จากการคำนวณเวลาคร่าว ๆ แล้วคิดว่าวันนี้ไม่น่าจะไปถ้ำทัน เลยไปแวะทะเลบันกันก่อนดีกว่า เหตุผลที่ไปก็คือ

1. ชื่อแปลกดี น่าไป

2. เค้าเล่าว่า มีหมาน้ำด้วย...โดยส่วนตัวเลี้ยงหมาและชอบหมาอยู่แล้ว (จริง ๆ มันไม่เกี่ยวกับหมาน้ำเลยสักนิด)

3. ไม่ค่อยเห็นรีวิวที่นี่สักเท่าไร

4. เพื่อนร่วมทางไม่ขัดศรัทธา

เหตุผลมากมายขนาดนี้ ไปเลยหล่ะกัน



ระหว่างทางขับรถ ก็ไปไกลอยู่เหมือนกัน มาถึงเมืองแห่งชาชักแล้ว ต้องหาซื้อชาชักดื่มดับกระหายซะหน่อย...ที่ไหนได้หล่ะ เบรกไม่ทันตลอด เลยได้มะพร้าวปั่นนมสดใส่เม็ดแมงลักมาแทน หลังจากซื้อก็พบว่าคงเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของแถวนี้เหมือนกัน เห็นมีขายอยู่หลายร้าน อย่าลืมตามไปชิมกันนะค้า ห้ามพลาด



ด้วยความที่รู้สึกว่ามันไกลมาก ทำไมไม่ถึงซะที เลยถามทางย้ำความแน่ใจกับแม่ค้าขายน้ำอีกครั้ง



เจอมัสยิด สวยอ่ะ...แต่...จริง ๆ ที่เราเห็นแบบนี้ บางทีก็ไม่ใช่มัสยิดนะ อย่างเช่นในรูปนี้เป็นโรงเรียนนะคะ ไม่รู้จะแยกกันยังไงเจออะไรหน้าตาแบบนี้เรียกมัสยิดไว้ก่อนหล่ะกัน หรือจริง ๆ มัสยิดกับโรงเรียนก็คือที่เดียวกัน เหมือนเมื่อก่อนโรงเรียนก็อยู่ในวัด เอ๊ะ งง รอผู้รู้มาให้ความกระจ่างแล้วกันนะคะ



ขับไปขับมาเพลิน ๆ ชมวิวข้างทางไปเรื่อย ๆ เบรกไม่ทันอีกแล้ว ดีนะถนนแทบไม่มีรถวิ่งผ่านมาเลย ถอยหลังยาว ๆ คร่าแล้วเลี้ยวเข้าซอยไป



หลังจากซื้อบัตร และแวะศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อประทับตราอุทยานแล้วก็ลุยกันต่อค่ะ



นอกเรื่องหน่อยนึง ได้แวะเข้าห้องน้ำที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวด้วย มีก๊อกน้ำตรงอ่างล้างมือไหลตลอดเวลาปิดไม่ได้ เราเลยไปแจ้งพี่ที่อยู่ในออฟฟิส แต่มีพี่คนนึงเค้าบอกว่าไม่เป็นไรหรอก คนจ่ายตังค์ค่าน้ำไม่ใช่เค้า ไม่ต้องไปสนใจ....เศร้าอ่ะ เราก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งแล้วจากไป (เผื่อมีผู้ที่เกี่ยวข้องมาอ่าน ช่วยไปซ่อมก๊อกน้ำในห้องน้ำด้วยนะคะ)



มาต่อกันที่ "ทะเลบัน" มาจากคำว่า "เลิด เรอบัน" เป็นภาษามลายูแปลว่า ทะเลยุบหรือทะเลอันเกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน ไม่ใช่ทะเลจริงนะจ๊ะ ดูเหมือนจะเป็นบึงขนาดใหญ่กลางหุบเขาเสียมากกว่า รอบ ๆ บึงจะมีต้นบากงขึ้นอยู่มากมาย



ที่ทะเลบันยามบ่ายเพลานี้ นอกจากแดดแรงแล้ว ลมก็แรงไม่แพ้กัน



ทะเลบันเป็นชุมชนใหญ่ของหมาน้ำ หรือเขียดว้าก ถ้ามาถึงที่นี่ไม่ได้เจอเขียดว้าก ได้ยินเสียงก็ยังดี ไม่งั้นก็ถือว่ามาไม่ถึงนะ ที่เรียกว่าหมาน้ำเพราะจะส่งเสียงร้องคล้ายลูกหมาในตอนกลางคืน และในฤดูผสมพันธุ์จะร้องเสียง ว้าก ๆ ตอนที่ไปนี่ก็ได้ยินเสียงตลอดนะ ดังระงมไปทั่ว จนแอบคิดว่าเจ้าหน้าที่แอบมาติดตั้งลำโพงหลอกเราไว้หรือเปล่า เราพยายามหาตัวก็มองไม่เห็น ตอนหลังมาคุยกับพี่ร้านขายของในเมืองสตูลเค้าบอกว่า เขียดว้ากตัวนิดเดียวเองจะเกาะอยู่บนต้นบากง เราก็พยายามมองต่ำไปที่โคนต้นอย่างเดียวเลย



เค้าว่ากันว่าตัวมันเป็นแบบนี้ ลองตามหากันดูนะคะ



เดินเล่นอยู่รอบ ๆ ไม่ไกลนัก ไม่กล้าเดินไปไกลมาก เพราะยิ่งเข้าไปลึกก็ดูเงียบเกินไป


เดินเล่น ถ่ายรูปเล่นจนพอใจแล้วก็โบกมือบ๊าย บาย หล่ะน้า



มีลิงเล่นกันอยู่ประปราย เห็นในป้ายบอกว่าจริง ๆ ที่นี่มีนกเงือกด้วย แต่เท่าที่มองด้วยสายตาไม่เห็นแล้วนะ เจอแต่รูปปั้นแทน



นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นสัตว์หายากต่าง ๆ ไม่รู้ว่าต่อไปสัตว์ต่าง ๆ จะกลายเป็นแค่รูปปั้นให้คนรุ่นหลังให้ระลึกถึงหรือเปล่านะ คิดแล้วก็เศร้าจัง



จากอุทยานแห่งชาติทะเลบันไปไม่ไกลน่าจะสัก 2 กิโลเมตรได้ จะเจอกับตลาดชายแดนไทย-มาเลเซีย ดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร เราเลยได้แต่ขับรถชมบรรยากาศ



ระหว่างทางขับรถเข้าที่พักในตัวเมืองสตูล ก็จะเจอมัสยิดงาม ๆ มากมาย ถ้าคนมีฝีมือชอบถ่ายรูป ถ่ายออกมาคงจะสวยกว่านี้มิใช่น้อย เราก็ได้แต่กดมือถือถ่ายไปรัว ๆ ย้อนแสงอีกตังหาก



มัสยิดที่นี่มีหลากแบบ หลากสีสัน สวยจริง ๆ...ทำไมไม่เคยมีใครกล่าวไว้นะ



แล้วเราก็ขับรถมาถึงหัวใจสำคัญของเมืองสตูล นั่นก็คือ หอนาฬิกา และมัสยิดมำบัง ไม่ว่าเราจะขับรถไปไหนก็ตาม ก็มักจะวนมาเจอหอนาฬิกาและมัสยิดนี้ตลอด



ที่พักของเราวันนี้อยู่หน้าเขาพญาวัง เป็นสวนกระต่ายด้วย...อ่ะ...ไม่ใช่ V Valley Resort ต่างหาก ที่นี่เลี้ยงกระต่ายไว้ 13 ตัว ปล่อยให้วิ่งเล่นอย่างอิสระ มีแมวอีกจำนวนหนึ่ง คอยวิ่งไล่หยอกกระต่ายเล่นเป็นระยะ ๆ แต่กระต่ายน้อยก็หาสนใจไม่ แค่กระโดดหนีแล้วก็กินหญ้าต่อไป



นั่งเล่น นั่งดูกระต่ายไปเพลิน ๆ ไม่อยากออกจากที่พักเลย



เหมียวจอมซ่า ชอบไล่แหย่กระต่าย



ลานนั่งเล่น ชมวิวเขาพญาวัง ลมเย็น ๆ พัดมาตลอดเลย



ด้วยความที่ที่พักมีแค่ไม่กี่หลัง ทำให้บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนมาก ๆ



ห้องข้างในก็ดูสะอาดสะอ้านดี



ห้องน้ำเป็นแบบใช้แสงจากธรรมชาติเข้ามาช่วย ทำให้ตอนกลางวัน ไม่ต้องเปิดไฟเลย แต่มีข้อเสียคือ ไม่มีที่แขวนกระดาษทิชชู่ในห้องน้ำ ไม่มีที่วางสบู่ หรือสบู่เหลวตรงอ่างล้างมือ และน้ำก็เบาไปหน่อย



ปิดท้ายก่อนออกไปเที่ยวเล่นในเมืองต่อ ด้วยภาพเหมียวจอมซน



จุดมุ่งหมายของเราเย็นนี้ไม่มีไรมาก เปิดดูแผนที่แล้วคิดว่าสตูลน่าจะมีจุดที่สุดแผ่นดิน ติดกับทะเลสักที่ เลยขับตามถนนไปเรื่อย ๆ ให้สุดแผ่นดินว่าจะเจออะไร ระหว่างทางในเมือง เราก็ตามรอยน้องล่า เหนียวไก่ ดูจุดเกิดเหตุหน้า 7-11 และร้านเหนียวไก่ที่น้องล่าไปซื้อ



หลังจากออกจากเมืองมาได้สักระยะ ระหว่างทางจะมีคนปั่นจักรยาน คนวิ่งตลอดทาง นับถือเลย เพราะระยะทางค่อนข้างไกลเลยทีเดียว



วิวเมื่อขับมาจนสุดแผ่นดิน เห็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย ที่นี่คือ ท่าเทียบเรือตำมะลัง นั่นเอง



วิวงาม ๆ จากท่าเรือ ไม่ใช่ภาพพานอรามานะ แค่เป็นภาพที่ตัดนางแบบข้างล่างออกเท่านั้นเอง



ปูผู้พิทักษ์ ณ จุดสุดแผ่นดิน คล้าย ๆ ที่กระบี่ ใช่ไหม หลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่าอย่างนั้น ที่นี่มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วย แต่เรามาเย็นมากแล้ว เลยได้แต่แอบมองทางเข้าจากด้านหน้า



มาเติมพลังกันต่อ สิ่งที่ต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวงคือ โรตีและชาชัก นั่นเอง ร้านโรตี ชาชักที่สตูล จะมีหลายร้าน ร้านที่เราไปก็คือ ร้านกำปง


เริ่มกันด้วย ชาชัก หวาน มัน...สำหรับเรา หวานไปหน่อยนะ



โรตีทิชชู แผ่นใหญ่เท่าถาด เหมือจะกินเท่าไรก็ไม่หมดซะที...แต่สุดท้ายก็หมดทุกอย่างนะ



ข้าวเกรียบปลาสด หรือกะโป๊ะ อร่อยดี ถ้ากินตอนร้อน ๆ ถ้าไม่ร้อนแล้วจะเหนียวมาก ตะกร้านี้เยอะมาก เยอะเกินไปสำหรับกินสองคน



เพิ่มโปรตีนให้กับมื้ออาหารด้วยโรตีซาร์ดีน อร่อยเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ



หลังจากนั้นก็สองทุ่มพอดี รีบบึ่งมาร้านนี้เลย Twin Shop Satun เห็นเค้าบอกว่าร้านนี้เป็นร้านท้องถิ่นที่ออกแบบร้านได้สวยงาม เลยขอมาชมสักหน่อย



ออกแบบได้สวยจริง ๆ พี่เจ้าของร้านก็ใจดี



มีมุมของฝากเล็ก ๆ ด้วย



ไปเดินถนนคนเดินกันต่อ ในถนนคนเดินมีทั้งของใช้ ของกินหลายอย่าง



แต่ที่ทำให้เราเลือกซื้อจนตลาดปิด ก็คือ ผ้าปาเต๊ะ มันก็ดูลายคล้าย ๆ กับที่ขายแถวบ้านนะ แต่เอาเหอะ ให้คุณป้าใจดีช่วยสอนใส่ผ้าให้แล้ว ก็ซื้อมาสักหน่อย 6-7 ผืนเอง



กลับมาถึงที่พักก็ไปชวนกระต่ายเล่นกันก่อนนอน แล้วก็หลับสบายไปถึงเช้าตื่นเช้า แวะไปเที่ยวสวนสาธารณะเขาพญาวัง ที่อยู่หน้ารีสอร์ทนี่เอง



แวะไหว้พระ



ขับไปขับมาเจอมัสยิดมำบังอีกแล้วไง



โปรแกรมห้ามพลาดของทุกทริปคือ แวะตลาดเช้า ดูว่ามีของกิน ของขาย อะไรกันบ้าง ที่นี่ของซื้อกลับไปกินมีไม่เท่าไร แต่มีของสดเยอะอยู่



แวะกินติ่มซำโกอ้วน



กลับมาต่อด้วยข้าวต้มที่รีสอร์ท อร่อยดีค่ะ อิ่มแปล้เลย



เห็นแมวเล่นกับกระต่ายกันสนุก ยังไม่อยากเช็คเอาท์ออกเลย



เริ่มออกเที่ยวกันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือคฤหาสน์กูเด็น



สถานที่ที่จะเล่าความเป็นมาของเมืองสตูล เงาะป่าซาไก อาชีพดั้งเดิมของชาวเมืองสตูล วิถีชีวิต ฯลฯ



หลังจากนั้นว่าจะแวะกินโรตีกันอีกซักรอบ แต่ร้านที่จะไปกินปิดแล้วซะนี่ เสียใจจัง เลยไปแวะซื้อผ้าบาติกกัน



ไปถึงสภาพร้านเหมือนจะไม่เปิด แต่แม่ค้าบอกว่าเปิดแล้ว เราต้องไปคุ้ย ๆ ช่วยเค้าเปิดร้าน เอาผ้าที่คลุมเสื้อออก เสื้อเกือบทุกตัวจะคลุมด้วยถุงพลาสติกไว้หมด คงเป็นเพราะเมืองสตูลลมแรงมาก พัดฝุ่นเข้ามาตลอด เลือกลายกันอยู่นาน เดินตัวเบาออกมาจากร้าน



แวะวัดชนาธิปเฉลิมก่อนออกจากตัวเมือง



วัดเมืองใต้แท้ ๆ ดูสิ ดูสิ



ออกเดินทางมุ่งสู่จุดหมายสำคัญของวันนี้กันดีกว่า ตามหาอุโมงค์แสงมรกต ที่ถ้ำภูผาเพชร กันค่ะ



บอกแล้วว่าเป็นเมืองมัสยิดงาม ก็จะเห็นมัสยิดงามให้ยลโฉมระหว่างทางเป็นระยะ ๆ



เราเปิด google map ให้นำทางไปช่วงแรกค่ะ ระหว่างทางกว่าจะถึงถ้ำ บางช่วงจะเป็นเนินขึ้น ลง ๆ ๆ ๆ ๆ ยังกะเล่นรถไฟเหาะในสวนสนุก บางช่วงก็ดูเงียบ ๆ จนน่ากลัว บางช่วงก็โค้งซ้าย ขวา ไปมา เรียกกว่านั่งรถกันจนเหนื่อยพอสมควร



แวะซื้อเครื่องดื่มดับกระหาย พร้อมถามทางดีกว่า ชา ณ กาหลง เห็นมีหลายสาขามาก คล้าย ๆ เห็นชาพะยอมที่ภาคกลาง



ตอนแรกว่าจะแวะหาร้านกินข้าว แต่คนขับตีนผี ขับเลยตลอด อดข้าวกลางวันไปซะแล้วกัน ได้แต่กินขนมที่ซื้อมาตุนไว้ประทังชีวิตไป เจอสวนสาธารณะ น้ำสีสวยมาก ๆ แต่ไม่ได้จอดแวะถ่ายรูป เนื่องจากกลัวไปเที่ยวถ้ำไม่ทัน



ถึงต. ปาล์มพัฒนา แล้ว นี่ไง ปาล์มเต็มเลย



บางช่วงก็ชวนขนหัวลุกมาก ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตรอบ ๆ สักอย่าง อย่างกับขับรถทะลุมิติกันมาสองคน



ช่วงก่อนถึงเป้าหมายตามในหมุดที่ปักไว้ เห็นว่าไปคนละทางกับป้ายบอกทาง เลยเลือกไปทางที่ป้ายบอกทางไว้ดีกว่า แต่ป้ายก็หายไปสักระยะ เลยหลงเล็กน้อย ยังดีที่เจอคนให้ถามทาง ขับมาเรื่อย ๆ ชมวิวป่าไม้สีแดงอีกแล้ว สวยมาก แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเลย ได้แต่เก็บไว้ในความทรงจำ



เจอผาแล้ว ถ้ำต้องอยู่ใกล้ ๆ นี้แน่ พวกเรามั่นใจ



ถึงแล้ว ถ้ำภูผาเพชร นั่งรถซะเมื่อยก้น



หนทางเข้าถึงตัวถ้ำก็ไม่ง่ายไม่ยากจนเกินไป เห็นมีคนแก่กับเด็ก เดินเข้าไปพิชิตถ้ำมาแล้วเหมือนกัน หลังจากจ่ายค่าเข้า 50 บาทต่อคน ก่อนเข้าถ้ำถ้าไม่ได้เตรียมไฟฉายมา ให้เช่าไฟฉายที่หน้าทางเข้าราคา 20 บาทต่ออัน เนื่องจากข้างในมืดมาก แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปหลายร้อยขั้น น่าจะ 300 กว่าขั้นได้ ระหว่างเดินขึ้นและหายใจหอบอยู่นั้น ก็จะได้ยินเสียงคนที่เดินลงมาจากข้างบน รำพึงรำพันตลอดเวลา ว่าข้างในสวยมาก ๆ คุ้มมากที่ได้เข้าไป บางคนก็พูดให้กำลังใจว่าอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เข้าไปข้างในหายเหนื่อยแน่นอน



พักไปสามหอบก็ถึงทางเข้าถ้ำพอดี รอคนมาจำนวนหนึ่ง เพราะต้องใช้ไกด์นำทางเข้าไป ถึงแม้ในถ้ำจะมีทางเดินอยู่ แต่ข้างในก็กว้างมาก มีทางเดินไปหลายทาง ส่วนที่เปิดให้เข้าชมเป็นแค่ชั้นสองของถ้ำเท่านั้น (ถ้ำมีสามชั้น) เพื่อความปลอดภัย จึงต้องมีไกด์นำทางเข้าไป



กว่าจะมาถึงตัวถ้ำไม่ใช่ง่าย ๆ อีกด่านที่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้คือ ทางเข้าถ้ำขนาดพอดีตัว อ้วนมากเกินไปก็เข้าไม่ได้นะคะ



ภายในถ้ำจะมีไฟเป็นระยะ ๆ แต่ไม่ใช่สีส้มเหมือนในโฆษณานะคะ ไกด์เล่าว่าไฟสีส้ม การท่องเที่ยวเพิ่งเอามาติดตั้งตอนที่ถ่ายโฆษณาเอง แต่ตอนที่ไปหลอดไฟสีส้มขาดหมดแล้ว เหลือแต่ไฟสีขาว เค้าเพิ่งมาถ่ายทำวันที่ 15 ม.ค. นี้เอง อืม ตัดต่อได้เร็วมาก



สำหรับคนที่กลัวที่แคบ ไม่ต้องกังวล ทางเข้าเท่านั้นที่แคบ เข้ามาข้างในจะกว้างมาก อากาศเย็นสบายเชียว ใช้เวลาในการชมถ้ำทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงได้



ไกด์จะคอยอธิบายจุดต่าง ๆ ภายในถ้ำตลอด ภายในถ้ำสวยอลังการจริง ๆ แต่แสงน้อยมาก ถ่ายรูปออกมาไม่ชัดเลย กว่าจะเดินหมด เมื่อยคอไปเลยทีเดียว เพราะต้องคอยเงยหน้า มองด้านบน มองซ้าย มองขวา ตามไกด์บอก มันกว้างมาก ๆ ข้อดีของถ้ำนี้คือ เป็นถ้ำที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีการก่อตัวของหินงอก หินย้อย บางจุดยังมีน้ำหยดลงมาให้เราเห็นเป็นระยะ ๆ ไม่มีการจัดแสงสีแปลก ๆ เหมือนถ้ำหลาย ๆ ที่ที่เคยเห็นมา แต่น่าเสียดายที่ได้เห็นว่าบางจุดเริ่มมีคนมาหักหินงอกเล่นซะแล้ว กว่าจะเป็นหินงอกสวย ๆ ให้เราชมแบบนี้ รู้กันไหมว่าต้องใช้เวลากี่สิบปี คิดแล้วก็ปวดใจ ต่อไปถ้าคนมาเที่ยวกันเยอะขึ้น คงน่าจะยิ่งควบคุมได้ยากกว่านี้แน่



มาดูจุดไฮไลท์ของที่นี่กันดีกว่า “อุโมงค์แสงมรกต" ปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหล เห็นไกล ๆ อยู่ลิบ ๆ นั่นไง



ตรงจุดนี้เป็นจุดเดียวของถ้ำที่มีแสงส่องถึง เดิมทีพื้นตรงนี้ทั้งหมดจะเป็นสีเขียว แต่พอมีคนเข้ามาเรื่อย ๆ สีเขียวก็เลยเหลือแต่ในขอบรั้วที่กั้นไว้อย่างที่เห็น



ในถ้ำใหญ่กว่า 50 ไร่มีพลังแห่งแสงมรกตซุกซ่อนอยู่ มุมเดียวกับในโฆษณาเลย นี่ไง



ภายในถ้ำแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ หลายห้อง แต่ละห้องก็จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน อันนี้ต้องไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเองนะคะ มีอีกหนึ่งห้องที่เราจำได้ดี และชอบเป็นพิเศษก็คือ ห้องพญานาคราชพัน จะเป็นห้องที่มีดูแล้วเหมือนเป็นรอยพญานาคราชพันอยู่รอบห้อง และเป็นห้องที่มืดมาก ไกด์บอกว่ามืดกว่าปกติถึง 3,000 เท่า วัดกันยังไงไม่รู้หล่ะ แต่พอทุกคนปิดไฟหมดพร้อมกัน แม้แต่มือตัวเองก็ยังมองไม่เห็น นาฬิกาที่เรืองแสงก็มองไม่เห็น คนที่ใส่เสื้อสีขาว ก็มองไม่เห็น หลอนมาก แค่ความมืดก็อาจทำให้คนกลัวจนตายได้เลยนะนี่



ลักษณะของหินในถ้ำส่วนใหญ่จะเป็นประกายเพชร จึงน่าจะเป็นที่มาของชื่อ ถ้ำภูผาเพชร



จบทริป ท่องเมืองมัสยิดงาม ตามหาหมาน้ำ อุโมงค์แสงมรกต และทุ่งใบไม้เปลี่ยนสี ขับรถไปนอนหาดใหญ่กันค่ะคืนนี้ ระหว่างทางขับไปหาดใหญ่ บางช่วงจะเห็นแดดสีทองสาดแสงไปบนทุ่งใบไม้สีแดง สวยมากเกินมากเลยค่ะ ประทับใจสุด ๆ



หลังจากจบทริปมาเปิดรูปในคอมที่บ้าน ช็อกหนักมาก เพราะตั้งค่ารูปในกล้องเป็นไซส์เล็กหมดเลย...ว่าแล้วก็กรีดร้องราวกับโดนน้ำมนต์ราด ลาก่อนนะคะทุกคน พบกันใหม่ทริปหน้า ขอบคุณที่ติดตามเป็นกำลังใจให้จนจบ



GoNeverStop

 วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 02.33 น.

ความคิดเห็น