สวัสดีครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกคนไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย Museum of Contemporary Art หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า MOCA กันครับ



จริงๆ แล้ว ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ MOCA มานานหลายปีแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปซักที จนกระทั่งช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เห็นเพื่อนใน Facebook 2-3 คนไปพร้อมๆ กัน พร้อมกับบอกว่าช่วงนี้ทาง MOCA เปิดให้เข้าชมฟรี เพื่อเป็นการร่วมระลึกถึงศาสตาจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาของศิลปะไทยร่วมสมัย ผู้เป็นเจ้าของวลีนี้ครับ “Ars longa, vita brevis ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น*"



หมายเหตุ : วลีที่ว่า “Ars longa, vita brevis ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น" นั้น ท่านถึงศาสตาจารย์ศิลป์ พีระศรี ไม่ได้เป็นคนกล่าวคนแรกนะครับ แต่ว่าท่านเคยกล่าวและหลายๆ คนจดจำได้เป็นอย่างดีครับ



MOCA นั้นตั้งอยู่แถวๆ ถ.กำแพงเพชร 6 หรือถ้าเอาง่ายๆ ก็คือ อยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฝั่ง ถ.วิภาวดีครับ สำหรับคนที่สนใจสามารถตาม google map ไปได้เลย ไม่ยากครับ โดยจะเปิดทำการวันอังคารถึงวันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) และมีอัตราค่าเข้าชมคือ 250 บาท/คน สำหรับผู้ใหญ่ และ 100 บาท/คน สำหรับเด็กนักเรียน รวมทั้งยังมีราคาพิเศษสำหรับครอบครัว และเปิดให้เข้าชมฟรีสำหรับบุคคลบางประเภทด้วยครับ



สามารถดูรายละเอียดได้แบบเต็มๆ ตามภาพด้านล่างได้เลยครับ



เมื่อเราเดินทางไปถึง MOCA ก็จะเห็นอาคารสีขาวสูงๆ ที่มีการแกะลวดลายก้านมะลิพร้อมกับช่องแสงสวยๆ ตามผนังครับ ผมว่าเป็นอาคารที่มีออกแบบเรียบแต่ดูดีตึกนึงเลยครับ สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถมาก็สามารถเดินเข้าไปซื้อบัตรได้เลย แต่สำหรับใครที่ขับรถมาก็ให้เลี้ยวรถลงไปตามทางเพื่อไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดินครับ ที่จอดรถอาจจะไม่มากมายน่าจะจอดได้ราวๆ 40 คัน แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถเต็มครับ เพราะขนาดผมไปวันอาทิตย์ตอนบ่ายๆ แถมยังเป็นวันที่เปิดให้เข้าชมฟรี ที่จอดรถยังว่างเพียบเลยครับ



สำหรับคนที่ขับรถมาระหว่างทางเดินจากที่จอดรถไปยังบริเวณทางเข้า MOCA จะมีทางเดินสวยๆ ด้วยนะครับ วันไหนแสงดีๆ นี่น่าจะถ่ายรูปสนุกเลย แต่พอดีวันที่ผมไปนั้นแสงแย่มากก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ และก็ประตูทางเข้าออกของเค้านี่ออกแบบดีมาก ปิดแนบสนิทกับกำแพงยังกับประตูกลในหนังเลยครับ



เอาล่ะครับ เมื่อเราเดินทางมาถึงบริเวณที่ขายตั๋วแล้ว ปกติวันอื่นๆ เราก็ต้องเข้าไปซื้อตั๋วจ่ายเงินตามอัตราที่เค้ากำหนดไว้ครับ แต่สำหรับวันนี้เราแค่เดินไปบอกจำนวนคนแล้วทางพนักงานที่ประจำจุดก็ทำการ Print ตั๋วพิเศษ in memory Silpa Brirasri ราคา 0 บาทให้เราพร้อมกับโบรว์ชัวร์ของ MOCA ทันทีครับ



*วันศิลป์ พีระศรี นั้น จะตรงกับวันที่ 15 กันยายนของทุกปี และสำหรับปีนี้ทาง MOCA ได้เปิดให้ทุกคนเข้าชมฟรีตั้งแต่วันที่ 13-20 กันยายนครับ



สำหรับกติกาการเข้าชม MOCA นั้นก็คือ ทุกคนสามารถที่จะถ่ายรูปต่างๆ ได้ตามสบาย แต่มีข้อยกเว้น 3-4 ข้อดังนี้ครับ


1. ห้ามใช้แฟลช

2. ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง

3. ห้ามถ่ายรูปทุกอย่างในห้องพิเศษห้องนึงที่อยู่ที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดครับ

4. ห้ามถือกระเป๋าทุกชนิดที่มีขนาดใหญ่เกินกว่ากำหนดเข้าไปโดยเด็ดขาด โดยที่จุดขายตั๋วจะมีการตรวจและให้เราฝากกระเป๋าที่ใหญ่เกินกว่ากำหนดไว้ครับ โดยขนาดกระเป๋าที่จะเอาเข้าได้ต้องมีขนาดไม่เกิน 36x56x23 cm ครับ



เมื่อผมเจอข้อห้ามแบบในข้อ 4 ก็ถึงกับต้องคิดหนัก เพราะวันนั้นผมจัดอุปกรณ์ไปเต็มกระเป๋ากล้องเลย แต่ในที่สุดผมก็ทำการเลือกเอา Fuji X-t10 กับเลนส์ 35mm f1.4 เป็นเลนส์หลักติดกล้องคล้องคอไว้ และฝากจากเลนส์ 10-24mm ไว้กับกระเป๋าถือของคุณภรรยาครับ ซึ่งก้ต้องบอกว่าผมตัดสินใจได้ถูกต้องเลย เพราะว่าภาพกว่า 90% ที่ผมถ่ายได้วันนั้นมาจากเจ้า 35mm 1.4 หมดเลยครับ



ผมให้ดูขนาดกระเป๋าของภรรยาผมนะครับ ว่าขนาดประมาณเท่าไหร่ครับ



เอาล่ะครับ ตอนนี้ทุกคนน่าจะพร้อมเข้าไปชมงานศิลป์สวยๆ กันแล้ว ผมก็ขอเปิดด้วยภาพนี้แล้วกันครับ ภาพที่เหมือนสัญลักษณ์ของทาง MOCA ภาพนึงเลยครับ โดยเราสามารถที่จะเห็นมันได้ตั้งแต่จุดขายตั๋วเลย แต่มุมที่ผมถ่ายนี้ต้องเดินเข้าไปตึกก่อนนะครับถึงจะสามารถถ่ายได้ครับ



หลังจากที่เราเดินเข้าตัวตึกก็จะมีพนักงานทำการตรวจตั๋วอยู่แถวๆ หน้ารูปปั้นนี้ครับ



จากนั้นก็จะเจอรูปปั้นของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีครับ เป็นจุดที่ผมชอบมาก Space สวย ถ่ายอะไรได้เยอะมากครับ



ใกล้ๆ กันก็จะมีรูปปั้นของศิลปินที่กำลังวาดภาพอยู่ครับ และก็ยังมีช่องแสงสวยๆ ตรงผนังให้เราถ่ายรูปเล่นด้วยครับ



MOCA นั้นจะมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่หากดูภายนอกจะเห็นเป็นตึกที่มีความสูงประมาณ 10 ชั้นได้ครับ เพราะเพดานแต่ละชั้นนั้นสูงถึง 6 เมตรด้วยกันครับ โดยทุกชั้นจะมีห้องน้ำไว้บริการ และการเดินทางขึ้นลงระหว่างชั้นสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ลิฟท์ บันได หรือบันไดเลื่อนครับ



สำหรับบริเวณชั้น 1 หรือชั้น G นั้นจะมีการแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ นะครับ ดังนี้นะครับ



ส่วนแรกคือ นิทรรศการหมุนเวียน 2 ห้อง

ส่วนที่ 2 คือ นิทรรศการถาวรเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ สาขา ทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) 2 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณชลูด นิ่มเสมอ และ คุณไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์

ส่วนที่ 3 Museum Shop หรือร้านขายของที่ระลึก

ส่วนที่ 4 Café ไว้สำหรับพักผ่อนหลังจากที่ชมงานศิลป์สวยๆ อย่างยาวนานครับ



ผมให้ดูภาพรวมๆ เลยแล้วกันนะครับ ^^



ที่ชั้นนี้ยังมีภาพวาดสวยๆ ของศิลปินแห่งชาติทั้ง 6 ท่านนี้ด้วยนะครับ



จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของนิทรรศการแห่งนี้คือ ป้ายบอกทางเดินดีมาก และป้ายข้อมูลของงานศิลป์แต่ละชั้นนั้นมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ บางงานก็มีการอธิบายแนวคิดให้อ่านอย่างยาวเหยียดด้วยครับ



แล้วก็อย่าคิดนะครับว่างานศิลป์ทั้งหลายที่โชว์ใน MOCA จะเป็นแค่งานปั้น งานวาดธรรมดาๆ ครับ เพราะงานหลายๆ ชิ้น หากเราเข้าไปดูใกล้ๆ นั้นจะต้องอึ้งและทึ่งในรายละเอียดมากๆ หลายๆ งานมีการใช้สื่อผสมหลายอย่าง หลายๆ งานมี texture ที่ไม่ธรรมดา อย่างภาพแรกด้านล่างนี้ตรงบริเวณขอนไม้สีดำๆ 3-4 ชิ้นในภาพ ถ้าเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นเลยว่าเป็นมิตินูนเด้งออกมาจากส่วนอื่นๆ ครับ



สำหรับบริเวณชั้น 2-5 นั้นจะเป็นงานนิทรรศการถาวร หรือเรียกได้ง่ายๆ ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บงานศิลป์ที่คุณบุญชัย เบญจรงคกุล เจ้าของตึก MOCA สะสมมาตลอด 35 ปีครับ โดยมีผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงกว่า 200 ท่านอยู่ในตึกนี้ครับ!!



ผมให้ดูภาพรวมๆ แล้วกันนะครับ และเดี๋ยวค่อยมาเน้นไฮไลท์ในบางจุดครับ โดยการถ่ายภาพในตึกนี้นั่นค่อนข้างง่ายเพราะคนน้อยมาก ที่สำคัญแสงสว่างค่อนข้างเยอะด้วยครับ



แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่เรียนมาด้านนี้ และความรู้ทางศิลปะนั้นน้อยมาก แต่งานศิลป์หลายๆ ชิ้นทำให้ผมอึ้งในขนาดของชิ้นงาน รายละเอียด แนวคิด และวิธีการนำเสนอมากๆ ครับ



อย่างที่บอกไว้ในตอนแรกครับ หลายๆ งานนั้นจะมีการระบุรายละเอียดไว้บริเวณข้างๆ ชิ้นงานอย่างละเอียดมากด้วยครับ อย่างเช่นภาพกวนเกษียรสมุทรภาพนี้ครับ



สำหรับที่ชั้น 3 นั้นจะมีไฮไลท์อีกอย่างนึงครับก็คือ เรือนนางพิม ซึ่งเป็นการสร้างบ้านไม้ที่ใช้เล่าเรื่องย่อๆ ของนางพิมพิลาไลยและขุนช้าง-ขุนแผนออกมาครับ ภาพวาดที่อยู่ในนี้สวยมากครับ

หมายเหตุ : ผมพึ่งทราบหลังจากที่กลับมาแล้วว่า บริเวณข้างกำแพงห้องขุนช้างขุนแผน มีภาพลายเส้นดินสอของเหม เวชกร ศิลปินสมัยเมื่อห้าสิบปีที่แล้วเป็นต้นฉบับภาพพร้อมกับกลอนเรื่องขุนช้างขุนแผนครับ เค้าบอกว่าคลาสสิคมาก ดังนั้นใครที่มีโอกาสตามรอยผมไป ห้ามพลาดแบบผมนะครับ T_T



และสำหรับชั้น 4 นั้น จะเป็นชั้นที่รวบรวมผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตกรรม) ปราชญ์ผู้เป็นตำนานแห่งวงการศิลปะไทยร่วมสมัยครับ โดยจะมีผลงานทุกประเภทของท่านอยู่ในนี้ครับ!!



ใครที่ชอบผลงานของท่าน ต้องไม่พลาดที่จะมาชมจริงๆ ครับ และการแสดงงานที่ชั้นนี้เป็นอะไรที่ผชอบมากเพราะมีการใช้ผนังสีแดง ดำ เข้ามาเพิ่มเติมจากสีขาว ทำให้แตกต่างจากชั้นอื่นและดูมีพลังมากๆ ครับ



หมายเหตุ : ที่ชั้นนี้นอกจากผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แล้ว ก็ยังมีผลงานของศิลปินไทยชั้นเยี่ยมที่หาชมได้ยากอีกหลายท่านเลยนะครับ



และไฮไลท์สุดๆ ของชั้นนี้ก็คือ จะมีทางเดินที่เรียกว่าสะพานข้ามจักรวาลที่จะพาคุณเดินไปพบกับงานจิตกรรมขนาดสูงถึง 7 เมตร 3 ภาพด้วยกันครับ เป็นอะไรที่สวยงามอลังการมากๆ ครับ



ผลงานชุดนี้ชื่อว่า “ไตรภูมิ" เป็นการบอกเล่าเรื่องราวการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ในสังสารวัฏตามคติทางเชื่อในพุทธศาสนาครับ โดยผลงานนี้เป็นผลงานของคุณสมภพ บุตราช, คุณปัญญา วิจินธนสาร และคุณประทีป คชบัว ครับ



พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการวางที่นั่งเอาไว้ตลอดการเดินชมนะครับ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลไปว่าจะเมื่อย เพราะเราสามารถนั่งเสพความงามของงานศิลป์เหล่านี้ได้สบายๆ ครับ โดยที่นั่งหลายๆ ตัวก็มีการออกแบบแบบไม่ธรรมดาด้วยครับ ลองไปดูนะครับ



ส่วนใครที่ชอบถ่ายภาพขาวดำ น่าจะชอบที่นี่เลยครับ เพราะ Space สวย มีช่องแสงหลายจุดครับ



สำหรับบริเวณชั้น 5 นั้น จะเป็นการรวมศิลปะจากหลายประเทศมาไว้ด้วยกันครับ ซึ่งจะไม่ใช่ผลงานของศิลปินไทยแล้ว โดยจะมีห้องที่เป็นไฮไลท์สุดๆ ที่ชื่อว่า Richard Garden ซึ่งจำลองห้องนิทรรศการจากพิพิธภัณฑ์ในแถบยุโรปที่มีหลังคากระจกทรงโค้งรับแสงธรรมชาติมาครับ โดยในห้องนี้จะจัดแสดงผลงานจิตรกรรมจากศิลปินยุโรปที่มีฝีมือต้นๆ ในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 ของไทยไว้อย่างมากมายครับ และผลงานบางชิ้นนี่มีอายุเกือบ 300 ปีเลยทีเดียวครับ!!



*ห้อง Richard Garden เป็นห้องเดียวใน MOCA ที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะครับ



เอาล่ะครับ หลังจากที่เราชมงานศิลป์ครบทั้ง 5 ชั้นแล้วก่อนที่เราจะกลับบ้านผมขอแนะนำให้ทุกท่านแวะไปนั่งพัก จิบเครื่องดื่มอร่อยๆ ที่ชั้น G ก่อนครับ โดยเค้าจะมีร้านหน้าตาแบบนี้บริการครับ ตัวร้านเก๋ดีครับโดยเฉพาะบริเวณชั้น 2 แต่เราสามารถเลือกนั่งกินได้ทั้งบริเวณห้องโถงชั้น G หรือในสวนด้านนอกได้เลยนะครับ



ร้านเค้ามีบริการพวกชา กาแฟ เครื่องดื่ม แล้วก็เบเกอรี่ครับ ผมกับภรรยาสั่งชาไทยกับ White Chocolate ปั่นมาครับ ราคาเมื่อเทียบกับสถานที่แล้วถือว่าไม่แพงครับ เฉลี่ย 70-80 บาท/แก้ว ส่วนเรื่องรสชาตินั้นติดหวานไปนิดครับ



บริเวณสวนด้านนอกนั้นสวยดีนะครับ โดยเฉพาะตอนเย็นๆ น่าจะเย็นสบายดีครับ ที่สำคัญเหมาะสำหรับถ่ายรูป Portrait เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ



เอาล่ะครับ ทีนี้ก็มาถึงบทสรุปของผมกับการเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วครับ ต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะกับคนที่รักในงานศิลป์พวกนี้ ค่าเข้า 250 บาท/คน เมื่อเทียบกับผลงานสวยๆ มูลค่าสูงลิบลิ่วหลายร้อยชิ้นที่นำมาจัดรวมกันในตึกเดียวกันแล้วต้องถือว่าถูกมากๆ ครับ ที่สำคัญคือคนน้อย พนักงานที่ประจำจุดเยอะมาก แถมอัธยาศัยดีอีกต่างหากครับ



ผมเชื่อว่าคนที่รักในงานศิลป์เหล่านี้จริงๆ สามารถไปเดินอยู่ได้เป็นวันเลยครับ แต่สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองยังไม่อินกับงานเหล่านี้ ลองดูครับ ลองเปิดใจซักครั้งแล้วหาโอกาสไปชมดู หากคิดว่า 250 บาทนั้นสูงไปก็รอติดตามข่าวในช่วงที่มีการเปิดให้เข้าชมฟรีหรือลดราคาครับ



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ครับ หากขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ หากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ



ภรรยาหา สามีใช้

 วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.21 น.

ความคิดเห็น