ทริปนี้เคยรีวิวไว้เมื่อปีที่แล้วนะคะ ^^
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พวกเราทั้งหมด 5 คนประกอบไปด้วย (ขออนุญาติเอ่ยชื่อ หากใครเคยได้ยินทริปนรกหารเฉลี่ยน่าจะรู้จักพวกพี่ๆเค้ากันบ้าง เผื่อจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะตามรอยทริปนี้หรือไม่ 555) พี่โอ๊ต ทราเวลไลฟ์, พี่กาญ น่านทัวร์ริ่ง, พี่โป้ โยคี, ป้าแต๋ว ณ ภูเก็ต และเราหวกน้อย ออยลี่ มารวมตัวกัน
เกิดขึ้นจากที่พี่โอ๊ต ฮีเล่าว่า เห็นยอดนี้ตั้งแต่ส่องแผนที่ทหารเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยที่เค้าขึ้นดอยมะม่วงสามหมื่นใหม่ๆ จนปัจจุบันพอมีกูเกิ้ล เอิร์ท ทำให้รู้ว่าพอจะมีทางขึ้นไป ซึ่งเริ่มจากหมู่บ้านมะโอโค๊ะนี้แหละ ได้ทีช่วงหาที่เที่ยวใหม่ๆ เลยปลุกทริปนรกหารเฉลี่ยขึ้นมา แม้จะดูมีความหวังว่ามีทางขึ้น และสามารถเดินขึ้นไปได้ จากการสอบถามชาวบ้านซึ่งเรียกยอดดอยนี้ว่า ดอยพะวี แต่สุดท้ายก็กลายเป็นทริปแห้วเฉลี่ยไป เพราะตอนแรกหลงไปอีกหมู่บ้านนึง เจอคนนำทางหลอกให้รอ รอแล้วรออีก จนผ่านไป 1 คืน ก็ยังไม่มา เลยตัดสินใจไปหาคนนำทางที่หมู่บ้านมะโอโค๊ะ ซึ่งถ้ามาที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่แรกก็ได้ขึ้นแล้ว เพราะถ้าเริ่มเดินก็คือเริ่มจากตรงนี้ แต่จะต้องขึ้นในวันถัดไป ชาวบ้านออกไปไร่หมด แต่พวกเราไม่มีเวลาเหลือที่จะรอแล้ว เลยต้องพับโปรเจคไปชั่วคราว รอบนั้นจึงเสียเวลาและความตั้งใจไปเปล่าๆ
แต่ด้วยเพราะยอดดอยพะวีที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆ ตะหง่านท้าทายเชิญชวนทุกครั้งที่ได้ผ่านมายังอุ้มผาง ยังสะกิดใจพี่โอ๊ตอยู่เรื่อยมา
คราวนี้ฮีจึงรื้อทริป ชวนสมาชิกไปอีกรอบ ทริปสำรวจครั้งนี้มีกัน 4 คน คือพี่โอ๊ตเป็นหัวหอกเช่นเคย เจ๊นกโกะ กับพี่หน่อยนั้นขาลุยกันประจำอยู่แล้ว ส่วนเรา ปวกเปียกขี้โล้ที่สุดในทริปเพราะเจอรองเท้าทรยศ เลยกล้ำกลืนฝืนทน เสียทรงไปไม่ใช้น้อย เพราะรองเท้าเป็นเหตุ
เค้าว่าสมุนไพรอันนี้ คล้ายที่ดอยหลวงเชียงดาว ที่พวกลูกหาบเอามาดองเหล้า รสชาติคล้ายๆโสม
ระหว่างทางข้างบนมีหินขาวๆแบบนี้เต็มไปหมด คล้ายๆหินอ่อนแต่ไม่น่าใช่ ใครรู้บ้างคะ
ช่วงหน้าหนาว น่าจะมีดอกไม้ดิน กล้วยไม้ป่าให้เห็นนะ ความชื้นบนความสูงระดับนี้ ทำให้ที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี
แม้หมอกจะหนาจัด อาศัยลมที่พัดเป็นระยะ ทำให้เราพอจะให้เห็นวิวรอบตัวบ้าง แต่แม้ทัศนวิสัยจะแย่ ทุกคนในกลุ่มต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าฟ้าเปิด ที่นี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งดอย ที่มีวิวระหว่างทางเดินสวยมากอีกที่ อย่างไม่ต้องสงสัย
ทริปนี้เราเดินรั้งท้ายสุด ทางมันไม่ยากนะ พอๆกันกับภูสอยดาว แต่เราเตรียมตัวมาไม่ดี เราเอารองเท้าที่ไม่ได้ใส่เดินป่าประจำ มาประเดิมทริปนี้ ทรมานสุดๆ แต่ก็ยังต้องแข็งใจเดินต่อไป
ในกระท่อมมีพวกเครื่องครัวและดูสบายดี พวกเราจึงตัดสินใจไม่กางทั้งเปลและเต็นท์ นอนอัดกันในกระท่อมนั่นแหละ อุ่นดี
ใกล้ๆกันนั้นไม่เกิน 10 เมตร มีลำห้วยเล็กๆให้พอตักอาบน้ำ ตักทำกับข้าวได้ ซึ่งก็ถือว่าเรื่องน้ำบนเขานั้นไม่มีขาดแคลน แต่ตลอดปีหรือเปล่า ไม่การันตีนะคะ อิอิจากที่จะนอนกัน 2 คืน พอเจอสภาพอากาศปิดแบบนี้ จึงต้องมาปรึกษากันใหม่ เพราะไม่มีทีท่าว่าฟ้าจะเปิด คนนำทางบอกว่า เราสามารถขึ้นยอดในวันรุ่งขึ้นได้โดยสามารถตีกลับลงหมู่บ้านได้เลย พวกเราจึงเปลี่ยนแผน เป็นนอนที่นี่แค่ 1 คืน
คืนนั้นผ่านไปพร้อมลม ที่เหมือนจะพังกระท่อมเก่าๆได้ตลอดเวลา ทำให้เราหลับๆตื่นๆกันถ้วนหน้า ไม่อยากนึกว่าถ้ากางเต๊นท์กันข้างนอกนี่จะได้นอนกันหรือเปล่า
เช้านี้ขมุกขมัวจนไม่อยากจะลุกออกจากถุงนอน หมอกยังหนาจัดเช่นเคย ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องไปให้ถึงยอดดอยพะวีให้สมกับที่รอคอยและตั้งใจ
ขากลับนี้ ก็เหมือนกันกับขามานี่แหละ ผ่านหินก้อนใหญ่ๆที่อยู่ริมหน้าผาหลายก้อน ที่ดูแล้วเหมาะจะปีนไปยืนชมวิวถ่ายรูปเท่ๆอยู่ตรงนั้นได้ แต่ถ้าฝนตกหมอกหนามองอะไรอย่างนี้น่ะหรอ ก็อย่าเลย เสี่ยงลื่นตกเขาเปล่าๆ
เรารั้งท้ายขบวนตามเดิม ยิ่งพอลงเขา นิ้วนี่จิกจนเจ็บระบบ จนทนไม่ไหว ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะให้รู้แล้วรู้รอด แม้จะเสี่ยงทากกัดกับลื่นหกขะเมน แต่ชีวิตดีขึ้นเยอะ พูดเลย
ไผ่ชนิดนี้ เห็นว่าหายากนะ บ้านเราพบที่ไถ่ผะ ยอดเขาที่สูง 1800 ม. ในทุ่งใหญ่ เคยกินครั้งนึงตอนไปยอดเขามุราอิที่พม่า เอามาจิ้มน้ำพริกกินอร่อยดี
สักเที่ยงพวกเราก็ลงมาถึงรถที่จอดไว้ข้างลำธารหมู่บ้าน ต่างสำรวจบาดแผลจากการบริจาคเลือดให้ทาก ซึ่งโดนกันถ้วนหน้า สงสารก็แต่หมา 2 ตัวที่มันตามขึ้นไปด้วยนี่แหละ น่าจะโดนทากกัดไปหลายตัวอยู่เหมือนกัน เห็นมันเลียแผลอยู่เรื่อยๆ
- เมื่อมาถึงอุ้มผางแล้ว ให้เดินทางมาตามทางที่จะไปทีลอซู ขับตรงมาเรื่อยๆจะเห็นแยกเข้าอบต.แม่จัน จากนั้นหรอ.. บอกทางไม่ถูกแระ 555 เพราะมันหลายเลี้ยวอยู่ แต่ถามทางชาวบ้านเอาได้
- จากจุดเริ่มเดินระดับ 800 เมตร จนไปถึงแคมป์ที่ 1,700 เมตร ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ระดับความยากพอๆกับภูสอยดาว ต่างกันแค่ไม่มีขั้นบันได และราวจับ ถ้าฝนตกก็ลื่นอยู่เหมือนกัน รองเท้าควรมีดอกยางดีหน่อย
- ทางที่ขึ้นไปถึงยอด ประมาณ 1 กิโลกว่าๆ ไปถึงยอดดอยพะวีที่ความสูง 1,920 เมตร
- บนเขามีแหล่งน้ำเล็กๆให้ได้ใช้ และความสูงระดับนี้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี
- ลานที่จะตั้งแคมป์ได้นั้นมีที่เหลือเฟือ ลาน 2 ฤดูนั้นก็กางได้ ยังไงเต็นท์ก็ยังจำเป็น เพราะบนกระท่อมไม่ได้กว้างมาก คนนอนได้จำกัด
- ป่านี้อุดมสมบูรณ์มาก ไม่แปลกใจที่จะมีทากชุม ตัวใหญ่ด้วยขอบอก
- แม้จากจุดเริ่มเดินจะเป็นฝั่งไทย แต่ยอดเขาพะวีนั้นอยู่ทางพม่า ฉะนั้นการเดินทางเข้าไป จะต้องขออนุญาตจากที่ทำการเขตชายแดนบ้านมะโอโค๊ะ และควรต้องมีคนนำทางที่เป็นคนท้องถิ่นเข้าไปด้วยทุกครั้ง
- แน่นอนว่าที่นี่ยังไม่ได้เปิดให้เป็นที่เที่ยวอย่างเป็นทางการ ถามว่าแล้วจะอันตรายมั้ย ก่อนที่จะขึ้น เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พี่ๆทหารเตือนว่า บางจุดเค้าก็ยังกู้ระเบิดกันไม่ครบ (ไม่รู้ขู่มั้ย) ต้องมีชาวบ้านนำไป เพราะเค้าจะรู้ว่าเส้นทางไหนปลอดภัย ซึ่งเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านของทั้ง 2 ฝั่ง ได้เดินเข้าออกกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และอีกอย่างคือ หากเดินๆอยู่ ไปปะคนพม่าเข้าให้ ก็ยังมีชาวบ้านที่นำทางให้พออุ่นใจที่จะเป็นสื่อกลางได้ ว่าเราเป็นเพียงนักท่องเที่ยวไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่ทั้งนี้ไม่มีอะไรมารับประกันได้ ออกนอกเขตไทยไปแล้ว พวกเราก็ต้องดูแลตัวเอง และอย่าทะลึ่งออกนอกเส้นทางค่ะ
ดอยพะวี สถานที่แห่งนี้ สวยดิบและป่ายังสมบูรณ์อยู่มาก คุ้มที่จะไป เอาไว้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่อยากไปที่ใหม่ๆกันนะ เดินไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากไปกว่าหลายๆดอยในเมืองไทยค่ะ
หรือจะติดต่อผ่านพี่สิงห์ "สิงห์คำโฮมสเตย์" ให้ช่วยจัดการประสานงานให้ก็ได้ค่ะ เราไม่ได้ค่านายหน้าอะไรนะ ตอนออกมาเราขอเบอร์ปะกอละไว้ก็จริง แต่คิดว่าให้คนทางอุ้มผางไว้ เผื่อแกจะต่อยอดทำเป็นทริปพานักท่องเที่ยวคนอื่นๆไปได้ อีกอย่างที่มะโอโค๊ะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ถ้าโทรไม่ติดจริงๆพี่เค้ายังพอเข้าไปติดต่อล่วงหน้าให้ได้ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงไปหาคนนำเองข้างหน้า เพราะมีโอกาสชวดสูง (เหมือนเราไง กินแห้วไปรอบนึง) อีกอย่างเมื่อมีนักท่องเที่ยวเริ่มสนใจที่จะเดินทางไป จะได้เป็นการกระจายรายได้ให้ชาวบ้านในชุมชนด้วย
ตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาจัดการเป็นเรื่องเป็นราวนะ ใครคิดจะไปก็ยังขึ้นได้ง่ายหน่อย
• ก้าวแรกเล็กๆของเรา มักยิ่งใหญ่ที่สุดในใจเวอร์ๆ บวกกับความ Error เสมอ •
ขอบคุณที่อ่านกันค่ะ
Oil . Wanderer Error
https://www.facebook.com/WandererError/
ปล.ถ้ารูปมันดูซ้ำกันขออภัยนะคะ ไม่รู้จะถ่ายยังไง ขาวไปหมด
Wanderer Error
วันพฤหัสที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.00 น.