หากใครเคยได้ดูหนังเรื่อง Eat Pray Love คงจำกันได้ดีในพาร์ทของ 'Love' ที่ไปถ่ายบนเกาะบาหลี


หลังดูจบ..

เราจำได้แม่นว่ากลิ่นอายของนาขั้นบันไดและความเป็นบาหลีมันตลบอบอวลออกมาจากหนังจนเราอดเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันไปกับมันไม่ได้



และเมื่อ 3 ปีที่แล้วคือครั้งแรกที่เราได้ไปบาหลีและสถานที่อื่นๆในอินโดนีเซีย

เราจำตัวเองได้แม่นอีกว่ารู้สึกประหม่า ตื่นเต้น และสนุกไปกับการเดินทางประเทศแห่งเกาะ ถ้ำ อารยธรรมและภูเขาไฟ นั้นมากแค่ไหน



จากวันนั้นอินโดกลายเป็น 1 ในประเทศที่ครองอันดับอยู่ในใจ และเป็นประเทศที่สุดจะมีเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ที่เราคิดว่าต่อให้มาบ่อยๆอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันสำรวจได้ทั่ว

จนกระทั่งมาถึงวันนี้เราได้มีโอกาสกลับไปเยือนอินโดนีเซียอีกครั้ง ในเมืองและเกาะอื่นๆที่ไม่เคยไป


ยิ่งตอกย้ำความคิดของเราที่ว่า ที่นี่ยังมีอีกหลายสถานที่ทั้งเก่าและใหม่

รอพวกเราเหล่านักเดินทางที่ชอบความท้าทายและการผจญภัยกลับไปเยือนเสมอๆ



เราตื่นเต้นที่จะได้ไปอินโดเหมือนครั้งแรก

แต่ที่มันต่างออกไปคือ ทริปนี้กลายเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายของเรากับแฟนที่เดินทางด้วยกัน

คือมีปัญหากันตั้งแต่ก่อนมา แต่ตั๋วเอย โรงแรมเอย จองไว้หมดแล้ว

ไหนจะด้วยเรื่องงานอีก เลยตกลงว่าก็ไปด้วยกันนี่แหละ เอาเรื่องงานก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน

ย้อนหลังไปก่อนที่จะมีปัญหา


เคยคุยกันว่าจะไปรินจานีกัน แต่ดูจะเหนื่อยถ้าดิ่งไปปีนเขาต่อ

เลยกะว่างั้นก็พักสัก 2-3 วันอยู่แถวๆบาหลีถือว่าเป็นการพักร่างจากฝั่ง West-East Java

ระหว่างนี้ตานั่นก็หาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอที่เที่ยวใหม่ในเนตที่น่าสนใจ 2 ที่



คือ Hidden Canyon และเกาะเปอร์นิดา (Penida) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบาหลี

เลยตกลงกันว่าจะแวะไปดูที่นี่ก่อนไปรินจานี



ทริปนี้เริ่มต้นตั้งแต่ฝั่ง
Jakarta - Argapura


Bandung


Bromo


Madagaripura Waterfall


Kawah Ijen


รวมทั้งหมด 8 วัน แต่เป็นพาร์ทที่เราพาลูกค้าเที่ยว ซึ่งก็คงมีหลายๆคนได้เคยรีวิวไว้บ้างแล้ว


ต่อจากนั้น 10 วันที่เหลือ คือช่วงที่พวกเราเดินทางกันเอง



รายละเอียดที่เคยแพลนไว้คร่าวๆ จบทริปออกมาตามนี้ค่ะ

Hidden Canyon - Penida Island - Rinjani (Backpack version) - Gili Island

Day 1 : Bali - Hidden Canyon – Ubud

Day 2 : Ubud - Penida Island

Day 3 : Penida Island - Bali - Flight to Lombok – Senggigi

Day 4 : Senggigi แว๊นไป – Senaru (ไปถึงบ่ายมาก ต้องเลื่อนไปขึ้นรินจานีอีกวัน)

Day 5 : Senaru – Crater rim camp

Day 6 : Crater rim - Summit camp

Day 7 : Summit - Sembalun - Gili port - (ข้ามเกาะไม่ทัน เลยต้องนอนฝั่งนี้)

Day 8 : Gili Island - Snorkelling day tour (มัวแต่โอ้เอ้พลาดพระอาทิตย์ตก)

Day 9 : Gili island – Lombok

Day 10 : Lombok - KL - Bkk



ตลอด 8 วันของการเดินทางในพาร์ทแรก อินโดไม่เคยทำให้ผิดหวัง

บางที่เคยมาหลายครั้งแต่ก็ยังทำให้สนุกสนานตื่นเต้นกันไป

จนกระทั่งมาถึงวันจบงาน ดูทรงแล้วคิดว่า 10 วันที่เหลือถ้าจะแบคแพคเที่ยวด้วยกันต่อก็คงไม่ได้แย่อะไรนัก

ดีกว่าแยกกันตรงนี้เลย(มั้ง) ไหนๆก็มาด้วยกันขนาดนี้ อยู่ต่อจนจบทริปให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วกัน



เอาละ เข้าเรื่องซักที

หลังส่งลูกค้าที่สนามบินบาหลี ก็ไปหาเช่ามอเตอร์ไซค์แล้วแว๊นไปสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ปักหมุดไว้ที่แรก

ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดสุกาวตี ใครจะนึกว่าใกล้ๆแหล่งชุมชน ยังมีโตรกผาทอดยาวขนาบไปกับลำธารซ่อนตัวอยู่ที่นี่


Hidden Canyon คือโตรกผาที่เกิดจากการกัดกร่อนของธรรมชาติ


ลมและแม่น้ำที่ไหลผ่านเป็นเวลาเนิ่นนาน ได้กัดเซาะหน้าผาและก้อนหินให้มีรูปร่างแปลกตา สวยงาม น่าพิศวง

ซึ่งถ้าไปช่วงที่น้ำลดจะเห็นโตรกผาที่ว่าได้ชัดเจน ส่วนเราเองแนะนำให้ไปช่วงน้ำน้อยๆ เหตุผลหลักๆคือสิ่งที่กำลังจะเล่า มาตามอ่านพร้อมกันนะคะ



จากคูตาขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่า ตามกูเกิ้ลบอกทางมาเรื่อยๆ ทางเข้าไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ป้ายไม่ได้ใหญ่ชัดเจน แค่ต้องสังเกตดีๆ


หรือจะยิงพิกัดมาที่ Pura Dalem Guwang ก็ได้ เพราะทีนี่อยู่ติดกับวัด


ไปถึงด้านหน้าจ่ายค่าเข้าคนละ 10000 รูเปี๊ยะ มีล๊อกเกอร์ให้ฝากของด้วย มีไว้ให้ใช้ฟรีๆ

ดีที่ตอนนั้นเอาไปแค่กล้องกับกระเป๋าตังค์ ใส่รองเท้าแตะแบบพอมีดอกยาง และแต่งตัวไม่ได้รุ่มร่ามมาก

เดินไปสักพัก เห็นลุงจนท.เดินตามหลัง ตอนนั้นไม่มีเอะใจสักนิดว่าแกเดินตามมาทำไม?


Hidden Canyon Beji Guwang ซึ่งภาษาบาหลีคำว่า Beji หมายถึงแม่น้ำที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์


ทางช่วงแรกเดินลงตามขั้นบันได ผ่านไร่นาสบายๆ บรรยากาศดูร่มรื่น และเงียบสงัด



สักพักเริ่มเห็นแววความลำบาก ต้องเดินเลาะไปบนก้อนหินโขดหินที่ราบเรียบไม่มีรอยหยักให้เท้าได้จิกได้เกาะยึด

ตลอดทางมีลำธารไหลผ่าน แถมบางช่วงน้ำขุ่นมองไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน

ลุงคนเดิมยังเดินเท้าเปล่าตามมาห่างๆ อย่างห่วงๆ เป็นระยะ


จนมาถึงจุดวัดใจที่ 1 ... มองไปข้างหน้า ไม่มีทางให้เดินเลาะหินไปอีกแล้ว

มีแค่หินกลางน้ำก้อนใหญ่กับเชือกที่ไม่รู้ว่าแข็งแรงแค่ไหนยึดไว้ให้โหนข้ามไปอีกฝั่ง ..

ไอ่คนขายาวๆก็คงไม่ลำบากอะไร แต่เราขาสั้นไง ตั้งท่าจะโดดๆก็กลัวลื่นหัวทิ่ม


เลยเก้ๆกังๆ จะลงเดินข้ามน้ำก็ไม่รู้ว่าจะคุ้มเปียกมั้ย

หันไปเจอลุง แกทำท่าทางว่าให้โหนเชือกที่เค้าทำไว้แหละถูกแล้ว .. เอาเท้าแหย่ๆแล้วโดดฮึบ อีกมือโหนเชือกไว้กันร่วง


สภาพเลยดูตลกเหมือนลูกลิงที่เพิ่งจะเริ่มโหนต้นไม้ยังไงยังงั้น

ผ่านไปได้ด่านแรก เดินต่อไปได้สักพัก เจอจุดวัดใจที่ 2 .. ทางยากกว่าเดิมมากกก ต้องเกาะยึดไปตามโตรก


ถึงจะช่วงสั้นๆ แต่ขาเราไม่ถึงง่ะ

ยิ่งเห็นคนจีนที่ผ่านไปก่อนแล้วลื่นตกน้ำลึกพ้นเอวแล้วแบบไม่คุ้มให้กล้องเปียก

คือเอากระเป๋ากันน้ำมา แต่ไม่ได้เอาเข้ามาด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าที่นี่จะได้ใช้ TT

เห็นอยู่ว่าทางข้างหน้ามันยั่วยวนให้ลุยต่อ


แต่พอลองเอาเท้าแหย่ๆ นอกจากจะแตะได้หมิ่นเหม่แล้วก็ดูลื่นๆไม่รู้จะเกาะตรงไหนได้

จนปัญญา ให้ตาคนนั้นเค้าล่วงหน้าสำรวจไป ส่วนเรายอมยกธงขาวนั่งรออยู่ที่เดิม

ลุง .. หลังจากรอห่างๆมาได้พักใหญ่ แกคงคิดว่าได้เวลาเสนอตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวสักที


เดินดุ่มๆมาขอช่วยนำทางไป ตอนแรกเราบอกปัด เพราะกลัวกล้องเปียก

แต่แกทำท่าทางยืนยันหนักแน่น ว่าเชื่อใจพี่เดี๋ยวดีเอง ได้จ้ะ ไปก็ไป ไหนๆก็มาแล้ว



จากนั้นลุงก็เริ่มโชว์ลีลาตีนตุ๊กแก ทั้งฉุด ทั้งดึง

พร้อมกำกับว่าเราต้องเหยียบตรงไหน ยึดตรงไหน

ซึ่งถ้าไม่ได้แก เราร่วงน้ำชัวร์

พอข้ามมาได้ ก็อาสาถ่ายรูปให้ถี่ๆรัวๆ ชัดบ้าง เบลอบ้าง

จนเราว่าพอแล้วมั้งลุง อะไรจะเซอร์วิสดีขนาดนี้



พอผ่านที่จะต้องปีนยากๆ ก็เป็นเวลาชื่นชมความงามของสถานที่แห่งนี้


หน้าผาทั้งสองข้างสูงราวๆ 20-30 เมตร ก้อนหินแต่ละก้อนเว้าโค้งจรดด้านบนได้สัดส่วนสวยงามแตกต่างกันไป

แสงที่ทะลุร่มไม้จากด้านบนสาดลงมาให้ร่มเงาเป็นช่วงๆประกอบกับตะใคร้เขียวบนก้อนหินยิ่งทำให้ที่นี่ดูลึกลับขึ้นไปอีก


ลุงบอกว่าจะมีวิวประมาณนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง ระยะทางร่วมๆ 500 เมตร

ระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะไปต่อดีหรือกลับดี เพราะมันก็เริ่มบ่ายคล้อยแล้ว

ไหนจะไม่ได้เตรียมตัวมาเปียกอีก ก็เจอต่างชาติคู่นึงเดินสวนออกมาจากข้างใน

สภาพเปียกทั้งตัว ไม่รู้ลงเล่นน้ำหรือตกน้ำมา

ได้คำตอบว่าข้างในเนี่ยสวยนะ แต่เซมๆ



เราเลยตัดสินใจกันง่ายๆที่จะไม่ไปต่อ ถ่ายรูปตรงนั้นกันสักพัก

แล้วเดินตัดขึ้นมาทางออกที่อยู่ข้างบน ซึ่งออกอีกทาง ไม่ได้กลับทางเดิม
เดินผ่านไร่นาไม่นาน ก็กลับมาถึงหน้าทางเข้า

ลุงบอกลา ส่วนพวกเราให้น้ำใจขอบคุณเล็กๆน้อยๆที่ช่วยดูแลสำหรับคนที่จะเดินทางมาที่นี่ แนะนำว่าให้แต่งตัวมาทะมัดทะแมงหน่อย พวกชุดเดรสกรุยกรายเดินทะเลเก็บไว้ใส่ทีหลัง

ควรใช้บริการลุงๆที่นั่งอยู่ด้านหน้าแลกกับการไม่ต้องเสี่ยงลื่นตกน้ำ

ยิ่งคนที่อยากเข้าไปให้ถึงข้างในสุดก็ถือว่าคุ้มอยู่

ที่นี่เดินทางมาง่าย ไม่ไกล อีกอย่างที่เที่ยวแบบนี้บนเกาะบาหลีมีไม่เยอะ


ถือว่าเป็นสถานที่เที่ยวใหม่ ที่ได้อารมณ์แตกต่างจากที่เที่ยวบนบาหลีทั่วไป

เพราะส่วนมากเป็นวัด ภูเขาไฟ กับนาขั้นบันไดซะมากกว่า

การเดินทาง : ก่อนถึงตลาดสุกาวตี จะมีแยกขวามือให้เลี้ยวเข้าไป สักพักจะเจอป้ายบอกทาง หรือจะหาพิกัดจากกูเกิ้ลก็ได้



พอกลับมาไปค้นดูรูปและข้อมูลในเนตเพิ่ม ถ้าเข้าไปข้างในต่อยังมีมุมสวยๆหลายจุดให้ถ่ายรูปดิบๆเก๋ๆอยู่เหมือนกัน

และด้วยความเงียบสงบที่นี่ยังเหมาะที่จะมานั่งสมาธิหรือทำโยคะอีก จะว่าไปก็แอบเสียดายนะเนี่ยที่เข้าไปไม่สุด

Hidden Canyon สำหรับเราคิดว่าที่นี่ สวย ดิบ นักท่องเที่ยวบางตา แถมได้อารมณ์แอดเวนเจอร์หน่อยๆ


ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมาช่วงน้ำน้อยๆ ก็เพราะจะเห็นส่วนที่เป็นโตรกได้เยอะกว่านี้

ที่สำคัญไม่ต้องห่วงว่าจะลื่นตกน้ำ เห็นว่าถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำ บางช่วงลึกถึง 5 เมตรเลยทีเดียว



ขนาดที่นี่มีมานาน แถมอยู่ใกล้ๆแต่ก็ยังเพิ่งจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้เอง



เห็นมั้ย อินโดยังมีอีกหลายๆที่ที่รอการสำรวจและค้นพบอีกมากมาย

เก็บไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตัวเลือก บนเกาะบาหลีอีกที่นึงนะคะ

แต่ยังไม่หมด นอกจาก Hidden Canyon แล้วยังมีเกาะเปอร์นิดา


เกาะที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน..

เกาะที่ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็น Passion ให้เราอยากกลับไปเยือนอีกครั้งได้มากขนาดนี้



บางสถานที่ ที่ไม่เคยคาดหวัง ก็ทำให้เราประทับใจไม่คาดฝันได้เสมอจากนั้นพวกเราไปแวะตลาดสุกาวตีเช็คตลาดกันสักหน่อย

ที่นี่เงียบไปเยอะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน

แต่กลายเป็นว่านักท่องเที่ยวไปกระจุกกันอยู่ที่ตลาดอูบุตแทน

เหตุผลที่มานอนอูบุตเพราะอยู่ไม่ไกลจากหาด Sanur ที่จะข้ามไปเกาะเปนิดากัน


หลังจากได้ราคาที่พักจนพอใจ เช็คอินเรียบร้อย

เย็นนี้อยากกินข้าวเย็นดูบรรยากาศทุ่งนา (แต่พอไปถึงลืมไปว่าไม่ใช่หน้า เลยอดเห็นเลย แฮ่)

ขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปถนนซอกเล็กๆใกล้ๆกับพระราชวังอูบุต


เจอร้านเล็กๆน่ารัก จอดรถ สั่งอาหารคนละจาน ละเมียดเบียร์บินตั่งกันเงียบๆ ปล่อยให้ความคิดลอยไปพร้อมกับควันจางๆอยู่ทางปลายนา



อีกวันเรามีแพลนที่เกาะเปอร์นิดา .. จะสวยสมกับที่มีคนบอกไว้ว่าเป็น Hidden gems เลยหรือเปล่า เดี๋ยวคงได้รู้กัน

เริ่มต้นจากอูบุต ออกจากโรงแรมตอน 6 โมงเช้า..


เอากระเป๋าขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาจากคูตาแล้วออกเดินทางไปท่าเรือ Sanur

จุดมุ่งหมายคือ Penida Island ที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะบาหลี

เกาะเปนิดา ชื่ออะไรไม่คุ้น ไม่เคยได้ยิน


หาข้อมูลในเนตก็บอกแค่ว่าอยู่ในเขตกลุงกุง เคยเป็นที่กักกันนักโทษในอดีต และมีจุดดำน้ำสวยๆหลายจุด

นอกจากรีวิวในทริปแอดไวเซอร์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เค้าว่าสวยนักหนา ก็หาข้อมูลเกี่ยวกับเกาะนี้ได้น้อยมาก

แต่สิบปากว่าไม่เท่าไปเห็นด้วยตา ไปดูของจริงกันดีกว่า



เช้าๆถนนโล่ง อากาศกำลังเย็นสบาย

ขี่มอเตอร์ไซค์ชิลๆ ให้หน้าปะทะไอหมอกยามเช้า ไม่นานนักเราก็มาถึงท่าเรือ

จะเรียกว่าท่าเรือก็ไม่เชิง เป็นหาดที่มีเรือจอดเทียบท่ามากกว่า


ที่นี่มีที่รับฝากรถมอเตอร์ไซค์ จะเอาข้ามไปใช้บนเกาะก็ได้

แต่จะต้องไปข้ามที่ท่าเรือ Padang Bai ซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่ไปอีก 40 โล

เกรงว่าวันกลับจะเอารถกลับไปคืนที่คูตาไม่ทันต่อเครื่องไปลอมบอก

เราเลยตัดสินใจขึ้นท่าเรือนี้โดยฝากมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไว้ แล้วค่อยไปหามอไซค์เช่าบนเกาะเอา ซ้ำซ้อนแต่อุ่นใจกว่า



ในเนตบอกว่าที่นี่ก็มี Public Boat ตอนแรกตั้งใจจะขึ้นอันนี้เพราะราคาถูกกว่ามาก แต่เดินยังไงก็หาไม่เจอ

ถามใครก็ชี้ไปที่สปีทโบ๊ท คนท้องถิ่นเองก็รอขึ้นสปีทโบ๊ท

ซึ่งแต่ละเจ้าราคาไม่หนีกันมาก แต่จะแบ่งเป็นราคานักท่องเที่ยวกับคนท้องถิ่น



ราคานักท่องเที่ยวตามนี้

1.ท่าเรือ Toyapekeh เป็นท่าเรือที่อยู่ในแหล่งอำนวยความสะดวก สามารถดำน้ำตื้นหน้าหาดได้เลย มีโรงแรม ตลาด และอยู่ใกล้จุดต่างๆที่น่าสนใจบนเกาะ มากกว่าท่าเรือ Sampalan

ค่าเรือ 175,000 รูเปี้ยะ ต่อเที่ยว มีเวลาเดินเรือ 2 รอบ คือ 7.00 และ 8.00 ส่วนขากลับ 7.00 และ 9.00



2.ท่าเรือ Sampalan มีเรือวิ่งอยู่เจ้าเดียวของ Mola-Mola express เป็นท่าเรือที่อยู่ห่างออกไปจาก Penida Beach 7-8 โล ที่พักน้อยกว่า แต่มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าราคา 60000 รูเปี้ยะ/วัน ถ้าอยากประหยัดอีกนิดหน่อย สามารถเช่ามอไซค์ที่นี่แล้วขี่เข้าไปพักแถวย่านหลักก็ได้ ถนนราดยางอย่างดีค่ะ

ค่าเรือ 125,000 รูเปี๊ยะ ต่อเที่ยว มีวันละรอบ ขาไป 8.30 ขากลับ 7.30



ซึ่งทั้ง 2 ท่าใช้เวลาเดินทางเท่ากัน ประมาณ 40 นาที



แน่นอนว่าเราเลือกลงที่ท่าเรือ Sampalan เพราะราคาถูกกว่า ประหยัดไปได้อีก เสียแค่ว่าต้องออกเช้าเพราะต้องเผื่อเวลาขี่มอเตอร์ไซค์จากที่พักด้วย

Penida อยู่ระหว่างเกาะบาหลี และลอมบอก โดยมีเกาะ Lembongan และ Ceningan เป็นเกาะบ้านใกล้เรือนเคียง


ที่นี่เป็นเกาะเล็กแสนสงบ ที่มีความหลากหลาย นอกจากจุดดำน้ำทั้งตื้นและลึกที่มีปะการังมากมาย

เห็นได้ทั้งปลากระเบน เต่าทะเล ปลาพระอาทิตย์หรือโมลาโมล่า

ยังมีจุดชมวิวสวยๆบนเขาอยู่หลายจุด ทั้งผู้คนไม่พลุกพล่าน คงความเป็นธรรมชาติ และการใช้ชีวิตของคนบนเกาะก็ยังเดิมๆ ดิบๆอยู่


แต่ด้วยเพราะตอนแรกเราไม่คิดว่าที่นี่จะสวยน่าเที่ยวอะไรมาก

คิดแค่ว่าอยู่เกาะบาหลี พักร่างจากโบรโม่ อีเจี้ยนแค่ 2 คืนก็พอ เลยจองตั๋วบินไปลอมบอกล่วงหน้าไว้

ทีนี้คือกว่าจะไปถึง กว่าจะหาห้อง กว่าจะเอากระเป๋าเก็บ กินข้าวเที่ยง ก็ปาไปเกือบเที่ยง


แต่เชื่อมั้ยว่าขนาดเรามีเวลาได้เที่ยวจริงๆแค่ครึ่งวัน ยังกรี๊ดแตกกับความเงียบสงบและธรรมชาติบนเกาะนี้

ถึงขนาดเกือบจะทิ้งตั๋วเครื่องบินแล้วอยู่ต่ออีก 2 คืน ให้สมใจอยาก

แต่ทำไม่ได้ไม่ได้มีงบเผื่ออะไรขนาดนั้น

เลยได้แต่ลั่นวาจาให้ท้องทะเลแห่งเกาะเปอร์นิดาเป็นพยานว่ายังไงก็ต้องกลับมาอีกให้ได้

Penida Dive Resort คือที่พักของเรา ที่เห็นในอินเตอร์เนตแนะนำ


ซึ่งเราก็แนะนำสำหรับคนที่มาที่นี่แล้วมองหา Full Stop service



ที่นี่มีทัวร์ดำน้ำขายหลายแบบ ป้าเจ้าของใจดี มีร้านอาหารไว้บริการ รวมทั้งอุปกรณ์ดำน้ำให้เช่าราคาไม่แพง

ส่วนเราใช้แค่ห้องกับเช่าอุปกรณ์ ไม่เอาอาหารเช้า ราคาต่อรองได้

ซึ่งป้าแกก็ให้ข้อมูลแนะนำจุดท่องเที่ยวบนเกาะให้อย่างดี พร้อมบ่นว่าทำไมมีเวลาน้อยจัง ปกติเค้าพักกัน 2 คืนอย่างต่ำ

ก็อยากอยู่ต่อแหละ แต่เดี๋ยวไม่พอรินจานี
เราสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่นิยมพักเกาะ Lembongan แล้วค่อยนั่งเรือมาดำน้ำรอบเกาะเปอร์นิดา

คงเพราะที่นี่มีที่พักไม่มาก และมีลักษณะเป็นภูเขามากกว่า

เรายังไม่เคยไป Lembongan นะ แต่ก็รู้สึกถูกอกถูกใจกับเปอร์นิดามากๆ คนน้อยดี

หาดทรายเงียบสงบ ปะการังสวย ฟินแบบส่วนตัวมากๆตอนนั่งกินข้าวบริเวณหน้าหาดเปนิดา

ก็มีคนขับเรือมาถามจะนำเราดำน้ำอยู่นะ เอาจริงๆสนใจมากกก

แต่มากัน 2 คน ตัวหารมันน้อย เราเลยปฏิเสธไป

ซึ่งถ้ามากันสัก 5-6 คน ก็ไม่ต้องคิดเยอะเลย เพราะหลายๆจุด รถเข้าไม่ถึง ต้องนั่งเรือ


แต่ก็ยังมีที่ๆที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้เหมือนกัน

เราเลยตัดสินใจขอทัวร์เกาะตามเวลาที่มีครึ่งวันให้เต็มที่แล้วกัน .. เวลามันน้อยไปมั้ย เสียดายค่าเรือ 555



ปล.ร้านนี้ทำไก่ย่าง ปลาย่างอร่อยมากกหลังจากท้องอิ่มพร้อมลุยแล้ว ก็ไปที่แรกกันเลย

1.Cystal Bay


ห่างจาก Penida Beach 8 กิโล ลักษณะเป็นหาดเว้าไม่กว้างมาก มีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้าน


ที่นี่เค้าว่าเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวบนเกาะเยอะที่สุดแล้ว .. แต่จากที่เห็นมีไม่ถึง 30 คน สงบมากๆ

เราเอาของกองไว้บนชายหาด แล้วเดินออกไปที่ทะเล

น้ำใสมากๆ สมชื่อคริสตัลเบย์เลย แต่ในรูปอาจดูขุ่นๆเราใช้ Gopro 3 ถ่าย

ว่ายออกมาหน่อยนึงก้มหน้าลงไปก็เจอแนวปะการังเหยียดอลังการเต็มพื้นทะเลราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง..


เหล่าประชากรใต้น้ำหลากหลายต่าแหวกว่ายหากินเพลิดเพลิน หลายชนิดที่เราไม่รู้จัก

ถ้าเป็นเซียนปลาคงจะฟินไม่น้อย

ได้แต่ร้องโอ้โห ตื่นเต้น ไปกับปลาน้อยใหญ่หลากสี รวมทั้งปลาวัวตัวเบ่อเร่อ


เราสองคนลอยตัวดำน้ำกันอย่างเพลิดเพลิน เห็นบางกลุ่มบ้างก็มากันกับเรือแล้วลงดำน้ำเลย

บ้างก็มานั่งชิลๆริมทะเลอย่างหนุ่มๆแก๊งนี้ ไม่รู้มาจากไหน แต่ละคนนี่หื้มม

อยากจะซูมเข้าไปใกล้กว่านี้ แต่ไม่กล้า เลยได้แต่สาดกล้องไปทำทีถ่ายบรรยากาศโดยรอบ

ที่นี่ออกมาจากฝั่งไม่ถึง 100 เมตรก็ดำน้ำลึกได้แล้ว รู้ตัวอีกทีก็ออกมาไกลจนเห็นกลุ่มที่เค้าลงสกูบ้ากัน


เลยพากันว่ายกลับเข้าฝั่งก่อนที่จะโดนน้ำตีออกไปไกลกว่านี้

เดี๋ยวจะพาลลำบากหาเรือกันกลับเข้ามา เสื้อชูชีพก็ห้าวไม่ได้ใส่

กระแสน้ำบริเวณฝั่งบาหลี Lembongan หรือ Penida เป็นลักษณะร่องน้ำมีความแปรปรวนและรุนแรงมาก


มีคลื่นใต้น้ำอยู่บ่อยๆ มีข่าวคนดำน้ำลึกโดนน้ำพัดกันอยู่เนืองๆ ซึ่งควรต้องระมัดระวังและเชื่อฟัง Local dive guide อย่างเคร่งครัดค่ะ

2. Gamet Bay


อยู่ใกล้ๆกันกับ Cystal bay ห่างจาก Penida Beach ประมาณ 7 กิโล


ที่นี่ป้าบอกเราแล้วว่า same same แต่ด้วยเพราะอยากรู้อยากเห็นและไม่ไกล

ขับรถไปเรื่อยๆจนสุดทางถนน จอดรถเสร็จถามคนแถวนั้นเค้าบอกว่าเดินไปข้างในตามทางเรื่อยๆนี่แหละ


แต่เห้ย เราอยู่บนหน้าผา และชายหาดละอยู่ไหน อ้อ โน่นไง ข้างล่าง ลิบๆนั่น!!

แม่เจ้า เดินลงมาจากหน้าผามาถึงหาดไม่ใช่ใกล้ๆ ขาลงไม่เท่าไหร่ แต่กลับขึ้นไปนี่สิ!!

เดินมาตามทางร่วมๆประมาณ 100 เมตร บางช่วงเป็นหิน เป็นต้นไม้ 2 ข้างทาง


ลักษณะบางช่วงเห็นทางได้ไม่ชัดเจน ได้แต่นึก ขาขึ้นจะขาสั่นมั้ย ลงดิ่งมาซะขนาดนี้

อ่าวเวิ้งว้างทรงครึ่งวงกลมที่มีชายหาดสีดำเต็มไปด้วยทรายละเอียดนุ่มเท้า (ส่วนตัวชอบมากกก นุ่มมม สวยดีด้วย)


อดแปลกใจว่าไม่เห็นมีนทท.สักคนเดียว

แต่พอก้าวขาลงน้ำได้ก็เจอคำตอบ เจอหินตลอดทั้งแนวยาว

ลองนึกภาพตามว่าน้ำลึกไม่ถึงเข่า แต่ถ้าใส่ฟินไปเลย กว่าจะเดินจนพ้นคลื่นแรงๆก็พยุงไม่ไหว


ล้มหัวทิ่มไปหลายตลบ หรือถ้าจะไปใส่ฟินตอนข้ามคลื่นไปแล้ว ก็ยิ่งยากใหญ่

หินไม่คมนะ เดินเท้าเปล่าแล้วนุ่มๆเหมือนเป็นสาหร่ายหุ้มอยู่

แต่ปัญหาคือคลื่นแต่ละลูกที่ซัดเข้ามา ลองอยู่หลายรอบทำเราล้มไปหลายรอบเช่นกัน

จนเข่าไปกระแทกกับหิน รู้ตัวว่าฝ่าคลื่นออกไปดำน้ำไม่ไหว เลยขอนั่งเล่นบนหาดทรายสีดำนุ่มละเอียดรอดีกว่า

ซึ่งทางฝั่งผู้ชายก็ล้มไม่เป็นท่า เราว่าเพราะมันเป็นอ่าวเว้าแคบเหมือนช่องลม คลื่นเลยแรงมาก


เห็นโดนคลื่นพัดม้วนอยู่หลายตลบ จนอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวจะจมน้ำตายซะก่อน

นี่ก็คิดนะว่าถ้าจมจริงๆ จะช่วยทันหรอ กว่าจะเดินผ่านแนวหิน+ต้านคลื่นออกไปได้

สรุปพี่เค้ากลับเข้ามาด้วยสภาพวิงเวียน บอกกินน้ำทะเลไปหลายอึกเกินไป

เอาเป็นว่า หาดนี้ปะการังสวย ถ้าจะดำน้ำแนะนำทางเรือจ้ะ คืออยู่หน้าหาดนั่นแหละ


หลังแนวคลื่น นอกแนวหิน ซึ่งสงบ เราเห็นเรือนทท.ลำหนึ่ง พากันมาดำน้ำเสร็จแล้วก็ล่องเรือไปต่อ



ถ้าจะมาทางเท้า เหมาะแค่มานั่งเล่นชิลๆ สงบส่วนตัวบนหาดทรายสีดำอย่างเดียว

ขากลับก็ต้องกลับทางเดิม เดินขึ้นไปสิ จากทะเลขึ้นไปบนหน้าผา



จากตรงนี้เราก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์กันยาวๆมาที่

3.Saren Cliff


สำหรับบางคนที่เคยไปหน้าผาวิวประมาณนี้มาแล้วคงเฉยๆ แต่เราอ่ะกรี๊ดหนักมาก


ร้องตะโกนแหกปากคนเดียวเหมือนคนบ้า คุ้มกับการขี่มอเตอร์ไซค์มาร่วม 1.30 ชั่วโมง

จากถนนใหญ่ จะมีป้ายบอกทางเล็กๆ ขับมาตามทางเรื่อยๆ จากถนนลาดยาง เป็นดินลูกรัง สักพักก็เป็นทางเล็กๆ ให้ขับเข้ามาเรื่อยๆค่ะ ก่อนถึง Saren cliff จะผ่าน Derek view hill ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก


จากตรงนี้ให้ไปต่ออีก 300 เมตร ทางช่วงสุดท้ายจะขรุขระต้องลงเดินนะคะ และเข้ามาได้เฉพาะมอเตอร์ไซค์

ทุ่งหญ้าบนหน้าผาสูง เบื้องล่างเป็นน้ำทะเลสีฟ้าเทอควอยซ์ มีฟองขาวของคลื่นม้วนตัวซัดซาอยู่เบื้องล่าง ฟ้าช่วงบ่ายก็ช่างเป็นใจ


สำหรับเรามันลงตัว สวยงาม อิสระ อากาศกำลังดี แสงกำลังเหมาะ

บรรยากาศน่ามากางเต๊นท์ แคมป์ปิ้ง ดูดาวมากๆเลย

คำเตือน : ตามช่วงรอยหยักของหน้าผาสามารถเดินเลาะไปได้ แต่ค่อนข้างรก ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่สำคัญไม่มีแผงกั้น ถ้าตกลงไป ไม่น่ารอด


ส่วนอันนี้เป็นวิวอีกฝั่งค่ะ สวยไม่แพ้กันเลย


แต่ถึงจะอยากอยู่ต่อแค่ไหน ก็ต้องตัดใจก้าวขาเดินขึ้นมอเตอร์ไซค์ แว้นแข่งกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ทำใจไปแล้วว่าเราคงไปได้อีกแค่ที่เดียว



4.Broken Bay


Broken bay และ Angel Billabong เป็นจุดชมวิวสวยแปลกทั้งคู่ แต่จาก Saren Cliff มาก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงพอกัน (ทางแย่กว่า ทั้งขรุขระ ถนนเละ เห็นฝรั่งเข่าแหกแล้วสงสารเลย)



แต่มาถึงบอกเลยว่าแหกปากด้วยความตื่นเต้นอีกแล้ว

Broken bay ถ้ามองจากมุมโดรนจะเห็นเป็นอ่างเก็บน้ำวงกลมสีฟ๊าฟ้าา

รูที่ว่าเนี่ยเกิดจากการที่บริเวณนั้นเกิดจากโดนน้ำทะเลซัดกร่อนมาชั่วนาตาปีจนเป็นถ้ำ เป็นรูโบ๋

จากนั้นเกิดหลุมยุบตามมากลายเป็นโพรงใหญ่ตรงกลาง จนลักษณะคล้ายเป็นห้องวงกลมขนาดใหญ่

ด้านล่างน้ำทะเลสีเทอควอยซ์สวยมากกกกก ใสจนเห็นปลาตัวเล็กๆว่ายอยู่ในน้ำ


คือปกติก็รักสีน้ำทะเลสีเทอควอยซ์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว พอมาเห็นแบบนี้เลยกรี๊ดหนักมาก

ยิ่งเวลาคลื่นซัดเข้ามาในโพรงเป็นฟองสีขาวด้วยแล้วยิ่งงามใหญ่

ชาวบ้านปล่อยวัวออกมาเล็มหญ้า มันก็เพลิน เราก็เพลิน ธรรมชาติไปอีก แถมวิวสวยโฮกอีกต่างหาก

เราสามารถเดินเล่นรอบๆวงกลมนี้ได้นะ หรือจะเอาหนังสือมานอนอ่านปูเสื่อบนหญ้าก็ได้


แต่ถ้าอยากลอดรูต้องมาทางเรือเท่านั้นนะจ้ะ ลงจากข้างบนไม่ได้



คือใจอยากนั่งชิลฟังเสียงคลื่นซัดซาตรงนี้มากก แต่เวลาไม่เอื้อเอาซะเลย เอาเถอะ แสงน้อยลงทุกที เลยเดินต่อไปที่



Angel Billabong


เดินไปตามทางแยกขวามือ ไม่มีป้ายอะไรแต่ให้สังเกตหมู่ธงแดงที่ปักตามหน้าผา


ตรงนี้ต้องใช้ความระมัดระวังนะคะ เพราะเป็นหินปะรังที่มีความแหลมคมมาก

อย่าว่าแต่จะล้มใส่ แค่เผลอก้าวไถลไปโดนก็น่าจะได้เลือดแล้วล่ะ

Angel Billabong เป็นช่องผาดูคล้ายๆสระน้ำเอ็กคลูซีฟติดริมทะเล น้ำในสระเป็นสีฟ้าอ่อน มีตะใคร่น้ำประปรายนุ่มเท้า


ดูสวยงามสงบนิ่ง ช่างเชิญชวนให้ลงไปเดินเล่นแหวกว่ายเสียนี่กระไร



ช่วงคลื่นลมสงบคงไม่ต้องกังวลอะไร แต่ชั่งใจในช่วงเวลาน้ำขึ้นนิดนึงค่ะ

ความน่ากลัวของมันอยู่ตรงที่ด้านหน้าเป็นทะเลมีคลื่น บางช่วงซัดกระหน่ำรุนแรงตลอดเวลา

ซึ่งพอคลื่นมันซัดเข้ามาในแอ่งที มันก็ดูดดดดเอาสิ่งที่อยู่ในแอ่งกลับคืนลงสู่ทะเลไปเช่นกัน

ซึ่งถ้าลงไปเดินเล่นคิดว่าตัวเองกำลังเพลิดเพลินอยู่ในสระอโนดาดไม่ทันระวังหาที่ยึดเกาะ ถ้าโดนดูดลงไป ไม่ได้กลับขึ้นมาแน่น๊อน (เสียงสูง)

เห็นว่าเคยมีนทท.เคยโดนคลื่นกวาดลงไป เอาง่ายๆว่าแค่ยืนดูอยู่ข้างบนยังขาสั่น พั่บๆๆ


ในแอ่งน้ำดูนิ่งๆแต่เวลาคลื่นซัดมาแต่ละทีนี่ ดังโครมคราม พลังงานมหาศาล

บางครั้งกระแทกผาสูงขึ้นมาถึง 2-3 เมตร แต่อยากได้ภาพเลยขอลงเอาเท้าไปแตะๆในแอ่งหน่อย ยั่วยวนเหลือเกิน (แต่สังเกต อีกมือยึดหิน พร้อมกระโดดหนีทุกเมื่อ ถ้าคลื่นซัดมา)

- Angel billabong by Patbom -
ขอบคุณรูปจากในเนต



ที่นี่เราว่าเหมาะมาช่วงที่น้ำกำลังลง รูปจากในเนตบางคนว่ายน้ำสบายใจเลย ดูคลื่นสงบมาก

แต่เรามาถึงคลื่นแรงและแสงก็ริบหรี่เต็มที เลยได้มาแค่นี้ค่ะ

แสงสุดท้ายหายไป ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ โชคดีที่เราออกมาถึงถนนใหญ่ทันพอดี ขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พักกันมืดๆพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่สุดแสนเสียดาย นี่ขนาดแค่ครึ่งวันที่ได้สัมผัส ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เราหลงรักได้อย่างรวดเร็วและประทับใจอะไรได้มากมายขนาดนี้**นอกจากนั้นยังมีที่น่าสนใจ (ที่เราไม่ได้ไป T_T)


- Manta point จุดดำน้ำที่เค้าโม้ว่าจะเห็นเหล่ากระเบนราหูได้ถึง 99 %

- Peguyangan Waterfall เป็นลักษณะน้ำตกริมน้ำผา ที่เราต้องเดินลงบันไดเยอะหน่อย แต่สามารถแช่พูลธรรมชาติริมผาดูวิวทะเลงามๆไปพร้อมๆกัน

- Tembeling Banah cliff จุดชมวิวที่จะเห็นเกาะเล็กๆมีรู เหมือนโดนัทจมน้ำครึ่งนึงอยู่กลางทะเล

- กิจกรรมดำน้ำลึก เทรคกิ้ง ปั่นจักรยาน เรียนรู้วิถีชุมชน ดูนก

- หาดเล็กหาดน้อยรอบเกาะ และวัดถ้ำ บ่อน้ำธรรมชาติ

- Peguyangan by ikbalalex -


- Peguyangan by m_magetsari -
ขอบคุณรูปภาพจากในเนต



Note

- ที่พักแบบโฮมเตย์ ราคาถูกประมาณ 120000-150000 rp ก็มีนะ เราดูแต่จากภายนอกก็ดูโอเค แต่ไม่ได้ติดหาด ซึ่งก็ไม่ได้ไกลอะไรมาก เหมาะสำหรับคนที่เวลาหลายวัน ประหยัดดี

- แต่ถ้าใครไม่อยากยุ่งยาก ให้พยายามหาที่พักที่เค้ามีทุกอย่างพร้อม ค่าที่พักจะแพงหน่อย แต่ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปหาทัวร์หาอุปกรณ์ให้เหนื่อย

- และถ้าอยากพักโรงแรมดีๆ ก็เลือกพักที่ Lembongan แล้วค่อยมาเที่ยวที่ Penida ก็ได้

- คนบนเกาะส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ ยกเว้นตามแถวหน้าหาด

- ถนนเส้นหลักราดยางอย่างดี ยกเว้นเวลาเข้าไปในซอยเล็กตามจุดชมวิว ถนนจะเริ่มขรุขระ

- ส่วนมากเกือบทุกที่มักจะเสียค่าผ่านทางหรือค่าจอด ซึ่งราวๆ 2000-5000 รูเปี๊ยะ

- ถ้าไม่อยากซื้อทัวร์ บริเวณหน้าหาด จะมีคนเรือมาถามนำเที่ยว ราคาประมาณ... ลืมจด 555 เค้าขอโทษ ซึ่งเรามีกันแค่ 2 คน หารกันแล้วก็ว่าเกินงบ ประกอบพรุ่งนี้ต้องบินไปลอมบอกเลยปฎิเสธไป ซึ่งวิธีนี้เหมาะที่จะมีตัวหารหลายคน

- ตั๋วเรือขากลับ ไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า แต่ให้เช็คเวลาอัปเดตอีกครั้ง

- เหมาะกับคนรักความสงบ เพราะที่นี่ไม่มีแสงสีหรือความเจริญเท่า Lembongan

- มีทัวร์จากบาหลีมาที่นี่อยู่ลองหาดูค่ะ แต่ได้ยินว่าแพงอยู่เหมือนกัน



**ค่าใช้จ่ายฝั่งเปอร์นิดาคร่าวๆ (เงินอินโด)**

- เรือไป-กลับ 250000*2 = 500000

- เช่ามอไซค์ 1 วัน 60000

- ข้าวเที่ยง+ข้าวเย็น 100000

- ห้องพัก (ไม่เอาอาหารเช้า) 220000

- สน็อคเกิ้ล+ฟิน 75000*2 = 150000

- อื่นๆ 120000

ตีเป็นเงินไทยประมาณ 3000 บาทหน่อยๆ

ตอนเช้า เรายังอยากใช้เวลาบนเกาะนี้ให้คุ้มที่สุด เลยพากันออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Turtle point


ไม่เห็นเต่า แต่เห็นคนมาเดินหาหอย กับบ้านเก่าๆโทรมๆของชาวประมงอยู่กันง่ายๆริมทะเลอย่างสงบ



พระอาทิตย์เริ่มทอแสง พร้อมแผ่นเมฆค่อยๆกระจายตัวออก

เกลียวคลื่นซัดเบาๆเป็นฟองสีขาวราวกับกลัวเท้าเปลือยเปล่าจะเจ็บ

ช่วงเวลาที่อยู่บนเปนิดา ทำให้เราลืมลอกบอกไปอย่างสนิทใจ นึกขึ้นได้เมื่อเห็นยอดภูเขาไฟรินจานีโผล่พื้นริ้วเมฆลิบๆอยู่ข้างหน้า



ไม่รู้เสียงในหัวบอก หรือลอมบอก มีอะไรจะบอก...



"ถึงเปนิดาจะสวยน่าค้นหา แต่อย่าลืมว่าฉันมีรินจานี ราชินีแห่งภูเขาไฟอยู่ที่นี่นะ"



จริงด้วยสิ อีกไม่กี่วันเราคงได้ไปเห็นความสวยงาม น่าเกรงขาม หลังจากได้ยินชื่อเสียงของภูเขาไฟลูกนี้มาหลายปี

หนึ่งความฝันที่ปักหมุดไว้ ว่าสักวันจะได้ขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของยอดนั้น



แวะเดินเล่นถ่ายรูปตลาดสดท้องถิ่น ก่อนจะขึ้นเรือกลับไปบาหลี


หลังจากบอกเปนิดาว่าสักวันฉันจะกลับมาอีก ก็นึกขึ้นมาเล่นๆว่า



จะไปถึงยอดรินจานีเพื่อดึงเอาหมุดแห่งความฝันออก หรือจะกลายเป็นหมุดที่ต้องรอการถอนกลับมาซ่อมครั้งใหม่กันนะ



ตอนหน้าจะเป็นรีวิวฝั่งเกาะลอมบอก ปีนรินจานีฉบับไปหาลูกหาบเอาข้างหน้า

ระหว่างนี้ขอไปปั่นแพ่บ

ฝากกดไลค์เป็นกำลังใจเบาๆ https://www.facebook.com/WandererError/



ขอบคุณที่อ่านกันนะ

Oil / Wanderer Error

ความคิดเห็น