น้ำตกสายรุ้งละอองดาว เป็นชื่อที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูไม่เคยได้ยิน น้ำตกนี้อยู่ในเขตป่าสงวน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จ.ระนอง น้ำตกนี้พึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมความงามกันอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 59 ที่ผ่านมานี้เอง ทำให้ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปมากนัก ช่วงเวลาที่เหมาสมกับการไปเที่ยวที่นี่มากที่สุดคือช่วงหน้าฝน สิงหาคม - ตุลาคม นั่นเอง ผมติดต่อไปที่"หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา"เพื่อขออนุญาตและ ติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง รถกระบะ รวมถึงเรื่องอาหารต่างๆ

ทริปนี้เรามาเที่ยวกันในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เลยต้องอาศัยการนอนบนรถเพื่อนทุ่นเวลาเสีย 2 คืน การเดินทาง พวกเราทั้งหมด 5 คนนั่งรถทัวร์ของ บขส.999 สายกรุงเทพ-กะเปอร์ ขึ้นจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ มาลงสุดสายที่ ตลาดบน อ.กะเปอร์ พอมาถึงก็มีเจ้าหน้าที่จากเขตฯขับกระบะมารออยู่แล้ว พวกเราก็เอาสัมภาระ ที่แบกมาไว้ท้ายกระบะแล้วเดินไปหามื้อเช้ากินในตลาด โดยมีเจ้าหน้าที่อาสาเฝ้าของให้



ตลาดนี้มีร้านกับข้าวที่นั่งกินได้อยู่ร้านเดียว ข้างๆกับ 7-11 เป็นร้านข้าวแกง กินกัน 5 คนกับข้าว 5 อย่าง(ชามโตๆๆ) ราคาเบ็ดเสร็จที่ 300 บาท แถมเหลืออีก (กับข้าวเยอะจริงๆ)

หลังกินข้าวเช้าเสร็จพวกเราก็ตามหาสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเข้าป่าครั้งนี้ นั่นคือ รองเท้า แล้วก็หาข้าวเที่ยงติดตัวไปด้วยคนละห่อ ตอนโทรคุยกับหัวหน้าหน่วยฯ เขาบอกให้ใส่แตะมาแล้วมาหาซื้อรองเท้าเดินป่าที่ตลาดนี่แค่คู่ละ 60-70 บาท หรือต้องใช้รองเท้าที่มีปุ่มยางกันลื่น สำคัญมากๆๆ


http://pdamobiz.com/forum/forum_posts.asp?TID=888376&PN=1


ได้ของครบพี่ๆเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเรามาพักจัดของเตรียมตัวที่บ้าน พี่เล็ก (เจ้าหน้าที่ฯ) พอมาถึงพี่เล็กก็ออกมาคุยด้วยอธิบายการเตรียมตัว ภรรยาพี่แกก็เอาน้ำ-ขนม-ผลไม้ออกมาต้อนรับ พี่ๆดูแลพวกเราดีมากๆๆๆ

วันที่พวกผมจะขึ้นก็มีนักท่องเที่ยวจะขึ้นอีก 2 กลุ่ม เลยต้องมีเจ้าหน้าที่มาเตรียมพร้อมรอเยอะหน่อย เพราะกลุ่มนึงอย่างกลุ่มของพวกผม 5 คน จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ประกบดูแล 3 คน (ตอนได้ยินครั้งแรกก็ตกใจ เอ๊ะนี่เรามาเที่ยวหรือมาเสี่ยงตาย)


สำหรับสัมภาระที่ไม่จำเป็นทั้งหมดก็ฝากไว้ที่บ้านพี่เล็กก่อน เพราะเราเข้าป่าที่นี่ไม่มีลูกหาบ มีแต่เจ้าหน้าที่คอยดูแล ดังนั้นสัมภาระทั้งหมดที่ขนมาต้องแบกเอง อะไรไม่จำเป็นฝากได้ก็ฝากไว้ก่อน พอเตรียมพร้อมกันแล้วก็ถึงเวลาลุย


เรานั่งรถกระบะมาจากบ้านพี่เล็กอีกแป๊ปเดียวก็ถึงทางเข้าป่า ก็ต้องแวะถ่ายรูปในสภาพที่ดูดีที่สุดไว้ก่อน เอาไว้เทียบกับตอนออกมา 555 จุดเริ่มเดินเป็นเขื่อนกั้นน้ำขนาดเล็ก (ไม่รู้เรียกเขื่อน ฝาย หรือ อะไรก็แล้วแต่) เห็นทุกกระทู้ที่โพสถึงที่นี่มาถ่ายรูปกับตรงนี้ แล้วเราจะไม่ถ่ายบ้างได้อย่างไร


เริ่มเดินเข้าป่ากันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เริ่มลุยน้ำกันแล้ว อ้อผมลืมอธิบายไปตอนแรกการเดินทางเข้าไปหาน้ำตกสายรุ้งละอองดาวคือเดินตามลำธารไปเรื่อยๆ ดังนั้นทางที่ง่ายและเร็วที่สุดคือ "เดินในน้ำ" แต่น้ำบางจุดค่อนข้างลึกเลยต้องมาเดินริมฝั่งกันบ้าง แล้วรูปที่ถ่ายได้คือช่วงทางเดินที่ง่ายพอจะมีมือหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปได้


แต่ใครว่าเดินบนบกง่ายกว่าในน้ำ บอกได้เลยว่าคิดผิด เพราะป่าเเห่งนี้คือป่าฝน ทั้งทางแคบ ดินลื่น ต้นไม้หนาม สาระพัดความสนุกที่เกิดขึ้น แล้วไอ้ที่ว่าทางแคบคือ เดินได้คนเดียว ถ้าสวนกันนี่อีกคนกลิ้งลงตลิ่งแน่นอน แล้วด้วยความลื่นเดินไปก็ต้องคอยจับต้นไม้ เถาวัลย์ ไปด้วย แต่ก่อนจับอะไรต้องดูให้ดีก่อนเพราะต้นไม้ในป่านี้หนามทั้งนั้น -*-


แล้วนอกจากครึ่งล่างจะเปียกเพราะเดินลุยน้ำแล้ว ครึ่งบนนี่เปียกเพราะฝนเลยจริงๆ ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วภาคใต้เรานี่ ฝนแปดแดดสี่ แต่สำหรับวันนี้ไม่ใช่ฝนแปดเดือนนะครับ แปดนาที -*- วันที่พวกเราเข้าป่ากันนี่ฝน ตก-หยุด-ตก-หยุด ทั้งวัน งั้นเรื่องกลัวเปียกลืมไปได้เลย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่านี่ดีแล้วนะครับ เพราะถ้าฝนตกหนักทั้งวันพี่เขาจะไม่ให้เข้าป่าเพื่อความปลอดภัย แล้วถ้าฝนตกมากๆต้องเดินเลาะป่าซึ่งจะใช้เวลานานมากๆ


ทางเดินบางจุดก็ต้องพึงอุปกรณ์ช่วยกันบ้างเพื่อทุนเวลา-ระยะทาง


บางทีวิธีขึ้นจากน้ำก็ลำบากนิดหน่อยนะ


งานนี้ต้องขอบคุณทางเดินพิเศษที่ช่วยให้ข้ามน้ำเชี่ยวได้เร็ว ไม่อย่างนั้นตรงแอ่งนี้ก็อ้อมกันนานพอสมควรเลยหละ


พวกเราเริ่มเดินกันตอน 9 โมงเช้า ถึงจุดพักแรมกันตอน บ่าย 2 ก็ไม่นานเท่าไรนัก ตอนแรกผมถามเจ้าหน้าที่ว่าพักกันตรงไหน เขาบอกว่าจริงๆอยากพักตรงไหนก็ได้ไม่ต่างกัน อยากไปพักหน้าน้ำตกเลยก็ได้แต่ทางเดินไปมันลำบาก ถ้ายิ่งขนของไปด้วยยิ่งลำบากมาก ปกติเลยจะให้พักก่อนทางเริ่มเดินไปตัวน้ำตกเพื่อสละสำภาระ (เอ๊ะ ทางเดินเข้ามานี่ยังไม่ลำบากพออีกเหรอ มันยังจะมีอะไรหนักกว่านี้อีกหรอ)


พอถึงที่พัก พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็จัดการขึงฟรายชีท จัดข้าวของ ที่จุดพักแรมติดลำธาร น้ำใสมาก มีปลาว่ายกันเต็มไปหมด เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่ามันคือ ปลาพลวง ตรงนี้นี่เป็นสปาปลาอย่างดีเลยทีเดียว เดินมาเมื่อยๆนั่งเอาเท้าแช่น้ำก็เพลินๆดีนะ


พี่เขาถามว่าจะเข้าน้ำตกวันนี้เลยหรือ จะไปพรุ่งนี้ เขาบอกว่า ถ้าเข้าวันนี้จะเห็นพระอาทิตย์อยู่หลังน้ำตก แต่ถ้าไปพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์จะอยู่ตรงข้ามน้ำตกแสงจะส่องมาที่น้ำตกทำให้เห็นเป็นสายรุ้ง แล้วเห็นละอองน้ำฟุ้ง ที่เป็นที่มาของชื่อเรียกน้ำตก แต่ถ้าไปพรุ่งนี้ต้องรีบพอสมควรเพราะเข้าไปหาตัวนน้ำตกใช้เวลา 1.5 ชม. เป็นอย่างต่ำ แต่พวกผมจองรถขากลับไว้เลยไม่อยากให้ขากลับเวลากระชั้นชิดมาก เลยเลือกที่จะขึ้นไปเลย พวกเราพักผ่อนอยู่ที่จุดพักแรมประมาณ 1 ชม.ก่อนเริ่มเดินไปหาน้ำตก



ทางเดินไปหาน้ำตก พวกเราไม่สามารถถ่ายรูปมาโชว์ได้จริงๆ ความสามารถไม่ถึง เพราะทางเดินไปเป็นทางขึ้นเขาที่ชันมากพอควร แล้วที่หนักที่สุด คือ ในเมื่อเรามีทางเดินขึ้นเขาที่ชันมากแล้วตอนเดินไปหาน้ำตก แน่นอนมันคือทางลงที่ชันกว่าขาขึ้น ชันถึงขนาดต้องมีเชือกไว้ให้ค่อยๆไต่ลงไปที่น้ำตก



นี่คือจุดเริ่มต้นของทางเดินที่น่ารัก มีปัญญาถ่ายมาได้แค่ตอนเริ่มเดินจริงๆ

ตรงนี้พี่หรั่ง(เจ้าหน้าที่)ทั้งสอนวิธีเดินทั้งย้ำมากมาย เพราะทางชันและอันตรายมาก พี่เขาบอกว่าเพื่อความปลอดภัย เวลาเดินให้อยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร แล้วเวลาใครทำอะไรให้เกิดหินหล่นแม้แต่ก้อนเล็กๆ ต้องตะโกนให้ทุกคนรู้ เพื่อให้คนข้างล่างหลบได้ (นี่เรามาทำอะไรที่นี่เนี่ยยย -*- ) ทางเดินที่ว่านี่แค่ 100 เมตร แต่เป็น 100 เมตรที่ใช้เวลานานมาก



แต่พอลงมาถึงปุ๊บ จากทุกคนที่หน้าแสดงออกถึงความปวด เมื่อย เหนื่อย ล้า ก็ยิ้มขึ้นมาทันที มันคือสวรรค์ สวรรค์ในผืนป่าใหญ่ น้ำตกสายรุ้งละอองดาว มันสวยมาก สวยจริงๆสวยจนอยากนั่งมองทั้งวัน แล้วที่น้ำตกก็ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา จะได้ความรู้สึกที่ว่า ~น้ำตกเป็นของฉัน ป่าเป็นของฉัน~


อยู่ที่ตัวน้ำตกได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับไปจุดพักแรม เพราะเรามาน้ำตกกันตอนเย็น เดี่ยวมืดแล้วการเดินทางจะลำบากมากขึ้น ยิ่งทางเดินลำบากๆอยู่ด้วย ขอบบอกเลยว่าการมีไฟฉายคาดหัวช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นมาก ทำให้มีมือไว้จับกิ่งไม้ เถาวัลย์



พอกลับมาถึงที่พักก็มีพี่เจ้าหน้าที่อีกคนที่ไม่ได้เดินไปน้ำตกด้วยกันเตรียมอาหารไว้รอแล้ว อาบน้ำกันเสร็จก็มาล้อมวงกินข้าวกัน แหมมันสบายจริงๆ

กับข้าวมื้อนี้พี่จง (พ่อครัว) จัดชุดใหญ่จริงๆ กับข้าว 7 อย่าง มีทั้ง ผักเหลียงผัดไข่ กะเพราไก่ แกงกะทิผักเหลียง หญ้าช้องชุบแป้งทอด น้ำพริกกะปิ แต่ละอย่างอร่อยๆทั้งนั้น (นี่ทำในป่าจริงปะเนี่ย) ไม่ใช่เพราะหิวเลยอร่อยนะ แต่อร่อยจริงๆ อยากจะพกพ่อครัวกลับกรุงเทพด้วยจริงๆ


พี่จงหุงข้าวไว้ 2 หม้อสนาม เต็มๆหม้อ แต่ไอ้ที่เดินทางมาเหนื่อยๆหนะถึงจะอร่อยแค่ไหนมันก็กินได้ไม่ค่อยเยอะหรอก สรุปแล้วมื้อนี้ทั้งกับข้าวทั้งเหลือบานเลย แจกปลากินกันไป



กินเสร็จก็ถึงเวลานอน ถ้าเป็นที่อื่นอาจจะนอนในเต้นแต่ที่นี่ ไม่มีที่โล่งงพอให้กางเต้นได้ แล้วยังพักติดน้ำด้วย งั้นการนอนที่ปลอดภัยและง่ายที่สุดคือ เปล ครับ พี่ๆเขาผูกเปลเตรียมไว้ให้แล้ว เปลที่พี่ๆเขาเตรียมให้มีเปลมุ้งอยู่อันเดียว ที่เหลือก็เปลธรรมดาทั่วไปนี่แหละครับ เลยให้เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของเรานอนเปลมุ้ง ตอนแรกก็กลัวยุงอยู่เหมือนกัน แต่พี่หรั่งบอกว่ายุงจะมาเฉพาะช่วงหัวค่ำ ดึกๆไม่มีแล้ว ซึ่งตอนหัวค่ำยังกลับมาไม่ถึงที่พักเลย งั้นตอนนอนก็ไม่ต้องกลัวยุงหรอก แล้วก็เป็นจริงตามที่พี่เขาว่าครับไม่มียุงมากวนใจ ขนาดนอนติดน้ำเลยนะ

เห็นว่านอนเปลอย่างนี้แต่ด้วยความเหนื่อย หลับเป็นตายเลยครับ แต่ใครที่เคยนอนในป่าจะรู้ดีว่า ตอนดึกๆนี่ หนาวมาก ~ ~ต่อ



เช้าวันต่อมาพี่หรั่ง พี่เล็ก พี่จง ตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาเตรียมต้มน้ำ หุงข้าวไว้รอแล้วครับ สำหรับเมนูเช้าวันนี้ก็มี ไข่เจียว แกงลูกชิ้น น้ำพริกกะปิ กุ้งผัดกะหล่ำ (ผมยังยืนยันคำเดิม นี่อยู่ในป่าจริงๆใช่ไหมนี่) ตอนแรกผมนึกว่าพี่จงเขาเตรียมน้ำพริกกะปิมาจากบ้าน แต่เปล่าแกเข้ามาตำกันสดๆในป่าน่าแหละ เครื่องมือก็กระบอกไม้ไผ่ กับ กิ่งไม้ (O.o)

กินมื้อเช้ากันเสร็จก็พักผ่อนชมนกชมไม้กันไปเรื่อยรอ พี่ๆเขาเก็บของ จริงๆก็อยากจะช่วยนะแต่ไม่ไปเป็นภาระพี่เขาดีกว่า เลยไปถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ



ระหว่างนั่งเล่นถ่ายรูปกันไปเรื่อยก็เห็นพี่เล็กกำลังทำอะไรสักอย่าง

ไม้นวดขา พี่เล็กบอกว่าเห็นเมื่อวานเดินกันเยอะ เมื่อยกันมาก เลยอยากทำให้นวดก่อนเริ่มเดินกลับ ไม่ใช่แค่นวดกดธรรมดานะ มีอังไฟให้อุ่นๆด้วย อะไรจะสบายปานนั้น


เก็บของเสร็จเตรียมตัวเสร็จก็พร้อมเดินกลับ ก่อนไปก็ขอถ่ายรูปหมู่แบบครบๆคณะไว้สักรูป


พวกเราเดินกลับมาทางเก่าที่เดินมา เข้าทางไหนก็ออกทางนั้น ไม่มีทางลัดระหว่างกลับก็แวะพักเล่นน้ำไปเรื่อยๆตามหัวโค้งของลำธารที่น้ำนิ่งๆ แล้วก็มาถึงจุดพักจุดสุดท้ายก่อนออกจากป่า ตรงนี้เราแวะเล่นน้ำ กินข้าวเที่ยงกัน มื้อเที่ยงง่ายๆก็ต้องมาม่านี่แหละ อร่อย สะดวก รวดเร็ว แล้วตอนระหว่างต้มมาม่าอยู่ พี่หรั่งนั่งประดิษฐ์อะไรอีกแล้ว


รอไปแป๊ปเดียวก็ได้อุปกรณ์การกินมา "ตะเกียบ" มื้อที่ผ่านๆมาเราใช้ช้อนกินข้าวอย่างเดียวไม่มีส้อม เข้าป่าก็พยายามพกของให้น้อยที่สุด แต่จะให้เอาช้อนมากินมาม่านี่คงไม่ไหวเหมือนกัน


แล้ววิธีกินมาม่าให้อร่อยที่สุดคือ ต้องแย่งกันกิน ทั้งสนุก ทั้งอร่อย นั่งริมน้ำตกแย่งกันจ้วงมาม่า ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว


พอกินเสร็จ เล่นน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาออกจากป่ากันแล้ว เดินออกมาอีกไม่เกิน 1 ชม. เราก็พ้นเขตป่า มาเจอกับทางที่ราบเรียบ กว้างใหญ่ ทางที่คนปกติเขาเดินกัน ไม่เหมือนตอนอยู่ในป่า ทั้งลื่น แคบ เสี่ยงตกผา (แล้วเราเข้าไปทำไมเนี่ย)


และแน่นอน ก่อนเข้าป่าถ่ายรูปกับเขื่อน ตอนออกมาก็ต้องถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย


พอออกจากป่ากันแล้วก็นั่งรถมา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่บ้านพี่เล็กอีกรอบ เพราะถ้ากลับไปทั้งที่พึ่งออกจากป่านี่รถทัวร์ไม่ให้ขึ้นแน่นอน อาบน้ำ เก็บของกับเสร็จพวกเราก็ลาพี่ๆเจ้าหน้าที่กลับ โดยมีรถกระบะของพี่เจ้าหน้าที่อีกคนไปส่งที่ จุดขึ้นรถ บขส. เพื่อเดินทางกับ กทม. ก่อนไปส่งขึ้นรถยังพาเราไปแวะกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารแถวๆนั้นอีกด้วย มื้อนี้พวกเราสั่งอาหารกันอย่างถล่มทลายสุดๆ ทริปนี้การกินเฟื่องฟูมากจริงๆ


ขอบคุณภาพสวยๆจาก Bambypix และ ผู้ร่วมทริปทุกคน






รวมค่าใช้จ่ายการเดินทางในครั้งนี้



บขส. กทม.-กะเปอร์. (ไป-กลับ) 914 บาท/คน

ข้าวเช้าที่ตลาดบน 60 บาท/คน

ข้าวเที่ยง 30 บาท/คน (ซื้อจากตลาดเข้าไปกินในป่า)

รองเท้าเดินป่า 70 บาท/คน

ค่าแรงเจ้าหน้าที่ + อาหาร 3 มื้อ + รถรับส่ง 7500 บาท/กลุ่ม (1500 บาท/คน)

มื้อเย็นก่อนกลับ กทม. 150 บาท/คน



รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,724 บาท/คน






การเตรียมตัว



- ถุงกันน้ำ (ไว้ใส่อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆนาๆ เพราะ เป้ธรรมดาเปียกแน่นอน)

- เอาเสื้อผ้าใส้ถุงพลาสติกก่อนใส่ในกระเป๋าเป้

-ไฟฉาย (แบบคาดหัวจะดีมาก)

- ถุงเท้าที่ยาวเกินขากางเกง (เอาไว้กันทาก)

- เสื้อผ้า แขน-ขา ยาว 1 ชุด (ใส่ไป-กลับ)

- ชุดลำลอง 1 ชุด (ใส่นอน + อยู่ที่จัดพัก)

- เปลนอน + ฟรายชีท (ไม่ควรเอาเต้นท์มา เพราะไม่มีที่กาง)

- รองเท้าเดินป่า

- ยาปฐมพยาบาลเบื้องต้น

- กล้องถ่ายรูป (ถ้ามีแบบกันน้ำจะดีมาก เพราะเปียกทั้งวัน)

- น้ำมันมวย (อันนี้นอกจากใช้นวดแล้ว ยังใช้กันทากได้ด้วย ทาทีเดียวจากที่เกาะอยู่แน่นๆ หลุดเลย)



Blogger : http://sirawichv.blogspot.com/

Byte Sirawich

 วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.11 น.

ความคิดเห็น