พักกายเพียงพอแล้ว ก็ถึงเวลาเดินป่าพักใจอีกครั้ง

จุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้ คือ " ดอยม่อนจอง "


จุดเริ่มต้น

ผมกับแฟน เรากำลังติดลมกับการเดินป่า like เพจจัดทัวร์เดินป่าไว้เพียบ

แล้ววันนึงเลื่อนไปเลื่อนมาก็เจอ ดินแดนม้าเทวดา ม่อนจอง ทริปแรก (ป่ายังสด)

วันที่ 4 - 6 พฤศจิกายน 2559 ในเพจของพี่น้ำจันทร์ คนหลงป่า

ซึ่งม่อนจอง เป็น 1 ใน 12 เส้นทางเดินป่าที่เราตั้งใจจะไปให้ครบ

จังหวะดีขนาดนี้ อารมณ์นี้ รออะไร จองเลยครับผม

ทริปนี้เราไปกัน แก๊งค์เรามี 3 คนคือ ผม แฟนผม และ น้องนุ่น หนึ่งในสมาชิกจาก

++ ทริปเสาร์อาทิตย์ - ดอยหลวงตาก - ด้วยงบ 1500 ++ ครั้งที่แล้วนั่นเอง


คืนวันศุกร์

พวกเราเดินทางกันคืนวันที่ 4 ทริปนี้มีรถตู้ 2 คัน รวมสมาชิกทั้งหมด 20 คน

เรานัดเจอกันที่ ปตท. สนามเป้า ตอน 19:30 น.

สมาชิกมาครบ ประมาณ 20:00 น. ก็ได้เวลาเดินทาง

เมื่อล้อหมุน เราก็ได้เวลางีบเอาแรง เปิดวาร์ป เจอกันอีกทีตอนเช้านะครับ


เช้าวันเสาร์

หลับๆ ตื่นๆ โค้งซ้าย โค้งขวา ยังกะไปแม่ฮ่องสอน พันกว่าโค้ง (ไม่ได้นับหรอกครับ หลับอยู่)

และแล้วเราก็ถึง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ตอนประมาณ 7 โมงกว่าๆ

เรามาแวะกันที่ 7-11 หน้าที่ว่าการอำเภอ ก่อนเข้าไปในศูนย์บริการท่องเที่ยว

เลยลงไปหากาแฟจิบสักหน่อย แล้วก็ซื้อของใช้นิดหน่อย



อ๋อ ลืมบอกครับ ... เดินเลยมาอีกนิดนึงจะมีตลาดสด และร้านขายของชำนะครับ เผื่อใครอยากซื้อของเพิ่ม



ซื้อของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ อีกประมาณ 30 กม.

จุดหมายต่อไป คือ ศูนย์บริการท่องเที่ยว เพื่อที่จะไปเตรียมตัวกันที่นั่น



นั่งรถตู้มาต่อ ประมาณ 2 ชม. เราก็มาถึงศูนย์ฯ กินข้าวเช้ากัน

ใครอยากอาบน้ำก่อน ที่นี่มีห้องน้ำให้บริการ 5 ห้อง

แต่พวกผม 3 คนประหยัดชุด ประหยัดน้ำ ช่วยโลก ก็ไม่อาบน้ำ ตามระเบียบ



การเดินทางต่อ เราต้องนั่งรถ 4x4 เพื่อไปยังจุดเดินเท้า อีกประมาณ 1 ชม.

จะมีพี่ๆ น้องๆ ลูกหาบมาเตรียมของส่วนกลางใส่เข่งเพื่อแบกขึ้นไปให้เรา

ศูนย์ฯ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านของชาวเขามูเซอ ลูกหาบทั้งหลาย ก็เป็นชาวเขาที่นี่เองแหละครับ

ส่วนพวกเราก็เตรียมกระเป๋า อุปกรณต่างๆ ขึ้นท้ายรถ แล้วเตรียมตัวไปโยกกันเลย



ระหว่างรอขนของ เราก็เดินมาดูจุดต่างบนดอยม่อนจองกันนิดนึง



เริ่มการผจญภัย ด้วยการย่อ?

ต้องบอกเลยว่า ขึ้นดอยม่อนจอง ไม่ได้เมื้อยแค่ขาจากการเดิน

แต่ยังเมื้อยแขน จากการโหนรถ 4x4 ครับ ทางนี่แบบสุดยอดจริงๆ

แล้วไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ เลย ใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ

บางช่วงแรกๆ ก็มีถนนซีเมนต์ขนาดกว้างกว่าล้อรถหน่อยนึง

แต่หลังๆ ไปนี่ดินล้วนๆ เลยครับ โยกกันมันเลยทีเดียว ทั้งขึ้นเนิน ทั้งติดหล่ม

ใครสายย่อนี่เหมาะเลยครับ โยกทุกทิศทางยังกะอยู่ในผับ

ข้าวของที่ตอนแรกเรียงกันไว้อย่างดี พอไปได้นิดเดียว ไหลมากองรวมกันซะงั้น ต้องเกาะดีๆ เลย



เส้นทางนี้ ชาวบ้าน เป็นคนช่วยกันทำ เพื่อให้รถได้เข้าถึงจุดเดินเท้าได้สะดวกขึ้น




มาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าอุ้มหลอง ก็คิดซะว่ามาถึงครึ่งทางรถแล้วกัน เพราะมันยังไม่หมดแค่นี้

ต้องนั่งต่อไปอีก ระยะทางอันแสนยาวไกล รอช้าอยู่ทำไม ไปโยกกันต่อเลยครับพี่น้อง



บรรยากาศข้างทาง เป็นป่าสนครับ สวยงามทีเดียว แต่ไม่ค่อยมีเวลาดื่มต่ำเท่าไหร่ ก็มัวแต่โยกกันนี่แหละครับ




แล้วก็มาเจออุปสรรคครับ นี่คือมายืนรอให้กำลังในรถอีกคันนึงครับ รถขึ้นเนินไม่ไหว ลื่นดินเลน



ดูน้องลูกหาบสิครับ รู้งานดีเชียว แต่ดูคนที่อยู่ในรถสิ สนุกสนานกันใหญ่เลย " มันส์กว่านี้มีอีกมั้ยเพ่ " 555



พอขับต่อมาได้อีกแปป ก็เจออุปสรรคที่สองแล้วครับ คราวนี้เป็นที่รถคันของผมเอง

มีท่อนไม้เข้าไปติดใต้ท้องรถ ต้องช่วยกันเอาออกครับ วุ่นวายกันพอสมควร



ก่อนถึงจุดจอดรถติดหล่ม สายย่อทั้งหลายก็ขย่มรถกันอีกรอบ



ถึงจุดเดินเท้า

มาถึงแล้วครับ จุดสิ้นสุดของทางรถ ต่อจากนี้ไปก็ต้องเดินเท้ากันต่อไป

ก่อนไปก็ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อย จากนั้นก็ลุยกันเลยครับ



เริ่มต้นการเดินก็ขึ้นเนินเลย ไม่มีการวอร์มอะไรทั้งนั้น

แรกๆ ยังพอมีแรง ถ่ายรูปเยอะหน่อย เดี๋ยวหลังๆ หมดแรง ไม่มีรูป ฮ่าๆ



เดินๆ ไป " น้องทาก " ก็ออกมาทักทายพวกเรา ทริปแรกของม่อนจอง

คืออ่านรีวิวมาเยอะนะ ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่ามีทากด้วย

แล้วยิ่งเดินไปลึก ยิ่งเจอญาติๆ ของน้องเค้าเพียบ ยิ่งตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บรึ๋ยยยยย

น้องทากที่นี่ มีสีเขียวสดใส ถึงจะดูน่าขนลุก แต่มันเป็นดัชนีวัดความสมบูรณ์ของป่า

ที่พูดมานี่ ผมใส่กางเกงขาสั้นครับ ล่อเป้าสุดๆ แต่ก็ไม่โดนกัดนะ แค่มันมาเกาะก็รู้สึกแล้ว

แต่แฟนผมกับน้องนุ่นนี่สิ เช็คขากันตลอดทาง ทั้งๆ ที่ใส่กางเกงขายาว ใส่เสื้อทับใน เอาถุงเท้าทับขากางเกง

แถมถ้าเจอเกาะขา ก็เป็นผมนี่หละ เอาออกให้ เอะอะก็ยกเท้าให้ผมอย่างเดียวเลย 5 5 5 +



จริงๆ แล้วถ้าเราสังเกตดีๆ จะมีดอกไม้สวยๆ อยู่ระหว่างทางเต็มไปหมด ผีเสื้อก็เยอะ

และที่สำคัญคือ ขี้วัว สดๆ อย่าไปเดินเยียบหละ

ส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่ที่นี่ ชาวเขา จะเลี้ยงวัว เลี้ยงควายด้วยการปล่อยมันกินหญ้าตามดอย

อาจจะแวะเข้ามาดูเดือนละครั้ง นอกนั้น ก็ปล่อยมันหากินไป



ภูหินช่อ

มาถึงอีกจุดนึงแล้วครับ เค้าเรียกกันว่า " ภูหินช่อ " เป็นแลนด์มาร์คหนึ่งของเส้นทางม่อนจอง

และเป็นจุดพักจุดใหญ่จุดหนึ่งให้พักชมวิวกัน



พักกาย พักใจดูวิวสักหน่อยแล้วกันแล้วค่อยเดินต่อครับ



ระหว่างทาง จะมีมอส ไลแคน และเห็ด ขึ้นเต็มไปหมด ดูเขียวฉอุ่มสบายตา



เดินมาได้สักพักใหญ่ ผมนี่เริ่มท้อเลย ไม่ถึงสักที ทั้งทางลื่น ชัน ทั้งหนาม เต็มไปหมด

ไหนจะน้องทากมาทักทายเป็นระยะๆ อีก เฮ้อ~~~



หอบอย่างหมา กับเนินหมาหอบ

มาถึงแล้ว " เนินหมาหอบ " เดินออกมาจากป่าก็เจอเลยครับ ออกมาเจอแบบนี้แล้วหายเหนื่อยเลยครับ

วิวสวยมาก เป็นเนินเขา มีหญ้าสีเขียวคลุม

แต่ชื่อนี้ ต้องมีที่มาแน่นอนครับ เดินขึ้นไปนี่ หอบอย่างหมาจริงๆ ครับ

ใช้เวลาเกือบครึ่ง ชม. กว่าจะถึงยอดเนิน ( เวอร์ไปนิด )

แต่พอเดินขึ้นไปแล้ว หันกลับมามองวิวข้างหลัง

พูดได้ว่า " โคตรคุ้ม " กับที่หอบสังขารขึ้นมาได้




สนามกอล์ฟช้าง

เดินต่อมาอีกหน่อย ก็มาถึง " สนามกอล์ฟช้าง " คนที่ตั้งชื่อก็เข้าใจตั้งนะ เป็นสนามกอล์ฟที่ใหญ่มากเลยครับ

แต่ก็ สนามกอล์ฟช้างไงครับ คนก็เดินหอบต่ออีกตามระเบียบ ยังดีนะที่ส่วนใหญ่เป็นทางราบ ไม่ค่อยมีเนินสูงเท่าไร



ผมมายืนหอบอยู่บนเนิน ลุงลูกหาบก็นั่งพักสูบยาเส้น ชมวิวหลักล้านอยู่



เดินต่ออีกหน่อยก็เจอ 3 แยกครับ เป็นแยกที่เลี้ยวซ้ายจะจุดตั้งแคมป์ เลี้ยวขวาไปหัวสิงห์

พวกเราไปที่จุดตั้งแคมป์กันก่อนครับ ไปช่วยกันตั้งแคมป์ เก็บของกันก่อน



ถึงแล้ว จุดกางเต๊นท์

เดินลงมาในหุบเขา ก็จะถึงจุดกางเต๊นท์ มีพื้นที่ราบพอที่จะกางเต๊นท์ มีลำธารให้กรอกน้ำกินได้

เราช่วยกันตั้งแคมป์ ก่อไฟ ทำธุรส่วนตัว แล้วก็เก็บของเข้าเต๊นท์ให้เรียบร้อย

พวกเราใช้เวลาเดินจากจุดเดินเท้าจนถึงจุดกางเต๊นท์ ประมาณ 4 ชม. แบบพักถี่ๆ



หัวสิงห์ สูงสง่างาม

เมื่อกางเต็นท์ เก็บของใช้เสร็จแล้ว ก็หยิบกล้อง ออกเดินกันต่อ

เพื่อพิชิต " หัวสิงห์ " ยอดสูงสุดของดอยม่อนจอง

วันนี้เป็นวันที่มีเมฆหมอกเยอะพอสมควร แสงหยอดๆ กำลังสวยเลยทีเดียว

ผมนี่เดินไป ฟินไปกับวิวหลักล้านที่เราดั้นด้นขึ้นมา



เดินออกมาจากสนามกอล์ฟช้างนิดหน่อย ก็เจอหัวสิงห์อยู่ไกลๆ

ระหว่างเดินไป ก็ชื่นชมวิวไปเรื่อยๆ และคอยจับภาพจังหวะแสงแดดหยอดไปที่หัวสิงห์





ที่นี่มีต้นดอกกุหลาบพันปี แต่ยังไม่ถึงฤดูออกดอก

มีให้เห็นเหมือนต้นไม้แห้งๆ ทั่วไป



ถึงแล้ว สูงสุดดอยม่อนจอง

หลังจากเราหอบแล้วหอบอีก ก็เดินขึ้นมาถึงบนยอดหัวสิงห์

ในที่สุดเราก็พิชิตจุดสูงสุดของดอยม่อนจองได้สำเร็จ

แต่อยู่ข้างบนได้ไม่นาน น้องลูกหาบบอกว่า ฝนกำลังจะตก

เลยต้องรีบเดินกลับ เพราะถ้าฝนตกลงมาเวลาเดินกลับจะอันตรายมากครับ

ก็สองข้างทางเป็นหน้าผา สูงจากพื้นดินเกือบ กิโล



กองทัพเดินด้วยท้อง หล่อลื่นด้วยน้ำศิวิไล

เมื่อพระอาทิตย์ตก เป็นสัญญาณของอาหารเย็น

พี่น้ำจันทร์ และพี่ไข่ ผู้นำทริปนี้ และลูกทริปอีกสองสามคนที่ไม่ได้ขึ้นไปหัวสิงห์

ก็ช่วยกันทำอาหารเย็นให้พวกเรากินกัน รสชาติถือว่า ใช้ได้เลยทีเดียว



[18+] อากาศมันหนาว ก็ต้องจัด " ดาวลอย " แก้หนาวกันหน่อย

ดาวลอยเป็นเหล้าต้มของชาวบ้าน รสชาติ ก็เหล้าขาวนี่หละ แต่หอมกว่า

เพราะต้มจากข้าวโพด จะจัดมาได้ ต้องรู้แหล่งเท่านั้น

ผมจัดไปพอกรึ่มๆ หลับสบายหายหนาว



สองสามทุ่ม ก็ได้เวลาพักผ่อน เตรียมตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ใครยังฟิต ก็นั่งคุยกันต่อ

ผม ขอไปพักก่อนหละครับ



เช้าวันอาทิตย์

เช้ามา ขาผมเป็นตะคริว เลยพักขา อดไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเลย

ดูรูปของเพื่อนร่วมทริป สวยมาก รู้สึกเสียดาย เดี๋ยวค่อยมาซ้ำ

เช้านี้ ผมจัดกาแฟก่อนเลย แล้วเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ จุดกางเต็นท์



สักพักต่อมา เพื่อนร่วมทริปพร้อมพี่น้ำจันทร์ก็กลับมาจากที่ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

ก็เริ่มทำอาหารเช้ากัน เป็นข้าวผัด กับต้มผักกาดดอง ง่ายๆ แต่อร่อยๆ



กินข้าวเสร็จ เก็บของ ใครเสร็จก่อน ก็ขึ้นไปก่อน มาดูวิวตอนเช้าของสนามกอล์ฟช้าง

เห็นทะเลหมอก ยิ่งเสียดายแสงเช้าสุดๆ



เรายืนถ่ายรูปกันอยู่ มีพี่ Biker สามคนเดินขึ้นมา พร้อมธงชาติ

เป็นอะไรที่ ทำไมแมร่งเท่จังวะ เลยยืมเค้ามาถ่ายรูปบ้าง



พักนึง เราก็เริ่มเดินก่อน จะได้ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ พักกันไป

พอถึงเนินหมาหอบ ก็เจอกลุ่มก่อนหน้าที่ออกเดินก่อน

แต่ละคนค่อยๆ หย่อนก้นลงกกับพื้น ผลัดกันลื่น ผลัดกันไถล เหนื่อยๆ สนุกสนานกันไป



เดินมาพักเดียว อ่าวเห้ย ถึงจุดกลางทาง ภูหินช่อ แล้ว ขาลงทำไมมันเร็วจริงๆ

ก็เลยแวะถ่ายรูปเล่น เช็คน้องทากที่ขากันหน่อย



ยิ่งมีเวลาเดินเยอะ ยิ่งได้เห็นความสมบูรณ์ของป่านี้

ถึงแม้เมื่อปีก่อนจะเกิดไฟป่า แต่ถ้าป่าไม่ได้ถูกทำลายโดยคน

และมีเวลาให้ป่าฟื้นตัว ไม่นาน ป่าก็จะสวยเหมือนเดิม




พอเรามาถึงจุดขึ้นรถ ก็ออกรถกันเลย จะได้มีเวลาอาบน้ำกันก่อน

มาทางไหน ก็กลับทางนั้น สายย่อมายังไง ก็ย่อกลับ ขย่มกันเมื้อยไปเลยจ้า



ชมหมู่บ้านมูเซอ

หลังจากขย่มกันอย่างเมามันเป็นเวลา 1 ชม. ก็กลับมาถึงศูนย์ฯ

อาบน้ำให้สบายตัว แล้วก็มากินข้าวกลางวัน มีร้านก๊วยเตี๋ยว ป้าเกี๋ยงคำ

จัดกันคนละชาม กับโค้กเย็นๆ เบียร์เย็นๆ ก็ฟินไปอีกแบบ

ปล. 089-956-3984 อันนี้เบอร์ของป้าเกี๋ยงคำ เผื่อใครอยากสั่งข้าวกล่อง ก็โทรมาหาป้าเค้าได้เลยครับ



เสร็จแล้ว ยังพอมีเวลา เราก็เดินเที่ยวหมู่บ้านดูวิถีชาวเขามูเซอกันสักหน่อย

มีความน่ารัก อบอุ่นของชาวบ้านที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว

เดินไปทางไหน ก็เจอชาวบ้านยิ้มแย้มให้พวกเรา



มูเซอ กับในหลวง

ได้คุยกับชาวบ้านคนหนึ่ง เขาพูดถึงพ่อหลวงของเรา

เขาบอกว่า เขาเคยได้เข้าไปในวัง เคยได้รับใช้อยากใกล้ชิด

แล้วเขาเล่าเรื่องพ่อหลวงว่า มีบุญคุณต่อชาวเขามูเซอขนาดไหน

เล่าไป พลางยกมือไหว้ไป ทำเอาจะร้องไห้ตาม

รู้สึกได้ถึงความรักต่อในหลวงของเราจากใจจริง



กลับสู่เมือง

ไม่นานนัก อีกกลุ่มนึง ก็ลงมา ทำธุระส่วนตัว กินข้าวเสร็จ เราก็เดินทางกลับกรุงเทพ

ถึงกรุงเทพประมาณ ตี 3 ก็รีบกลับบ้าน นอน เป็นอันจบทริป ....


จากที่ได้มาเดินดอยม่อนจอง ป่าแรก ทริปแรกของปี ได้เห็นความสมบูรณ์ของป่าอำเภออมก๋อย

ความงามของธรรมชาติ ที่ใช้เวลาเป็นปีๆ ที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมา

และความงามนี้ จากสีเขียว จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในอีกประมาณ กลางฤดูหนาว

ซึ่งคาดว่า พวกเราจะมาซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน

ถ้าจะพูดถึงความยากโดยรวมของทริปนี้

การเดิน ไม่ยากนัก พอให้ได้เหนื่อย ได้รู้สึกท้อกันพอหอมปากหอมคอ

แล้วลิ้มรสความสำเร็จบนยอด

ความลำบาก นอกจากที่เราเจอน้องทาก คือเราต้องทำอาหารเอง

จุดสำคัญมากของหลายๆ คนคือ ไม่มีห้องน้ำ ต้องสุขาพุ่มไม้ล้วนๆ


ค่าใช้จ่าย

สรุปค่าใช้จ่าย ทริปนี้ เราไปแจมกับทริปของพี่น้ำจันทร์ คนหลงป่า จ่ายกันไปคนละ 3000 บาท

ค่าเดินทางรถตู้ VIP จากจุดนัดพบ รวมอาหาร 5 มื้อ จนกลับมาถึงจุดส่งกทม.

ใครสนใจ ติดต่อไปได้ที่เพจ คนหลงป่า ได้เลยครับ

ความคิดเห็น