ตะลอนเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของเราทั้งคู่ จุดหมายหลักของเราในทริปนี้คือ "หมู่บ้าน Shirakawa-go" เห็นจากภาพตามโซเชียลแล้วสวยมาก เลยอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง และอย่างที่บอกว่าพวกเราไม่เคยไปญี่ปุ่นกันเลย ตอนแรกคิดว่าเราซื้อทัวร์ไปกันดีมั้ย พวกเราก็ไปดูทัวร์กันตามงานท่องเที่ยวญี่ปุ่น แต่ตารางการเที่ยวก็ยังไม่ถูกใจเท่าไร เราเลยมาคิดกันว่าหรือพวกเราจะหาข้อมูลแล้วไปกันเอง หลังจากนั้นเราก็เข้าไปหาข้อมูลต่างๆ จึงได้มาเป็นแผนที่ลงตัวของเราทริปนี้
- ตั๋วเครื่องบิน Japan Airline (BKK - KIX)
เราได้ตั๋วในงานเที่ยวญี่ปุ่นที่พารากอน จองไปกลับ (17 -23 Jan 24 คนละ 19,900 บาท)
** Full sevice รวมน้ำหนักกระเป๋า 2 ใบ ใบละ 23 กิโลกรัม - Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass
ตั๋วรถไฟที่เราใช้ในทริปนี้ Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass เป็นตั๋วรถไฟที่ครอบคลุมเมืองหลักอย่าง Osaka Kyoto Kanazawa Takayama Nagoya สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 วันติดโดยไม่จำกัดเที่ยว ซึ่งรวมไปถึงบัสที่เข้าไปหมู่บ้าน Shirakawa-go บัตรนี้สามารถใช้เดินทางได้ตั้งแต่สนามบินด้วยนะ (ใบละ 4,762 บาท ซื้อจาก Klook) - บัตร Osaka Metro
บัตร Metro ใช้เดินทางใน Osaka เราซื้อเป็น 2 วัน (ใบละ 289 บาท ซื้อจาก Klook) - บัตรโดยสารรถไฟ Nankai Rapi:t Kansai Airport Express
บัตรรถไฟเดินทางจาก Osaka เข้าสนามบิน KIX (ใบละ 325 บาท ซื้อจาก Klook) - โรงแรม
เราจองที่พักทั้งหมดผ่าน Agoda โดยเลือกแบบที่ไปจ่ายวันที่เช็คอิน ส่วนการเลือกทำเลเราจะพยายามเลือกโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟ หรือเดินออกไปจากสถานีรถไฟไม่ไกลเท่าไร เพราะเราย้ายโรงแรมกันเกือบทุกวัน (ราคาที่พักก็ประมาณไม่เกิน คืนละ 2,000 บาท) - รถบัสเข้าหมู่บ้าน Shirakawa-go
เราได้จองรถบัสเพื่อเข้าไปยังหมู่บ้าน โดยการโทรไปจองกับ Nohi bus Reservation Center สำหรับเราที่ใช้พาสต้องโทรไปจองเท่านั้น สามารถจองล่วงหน้าได้ 30 วัน (9:00am~5:00pm) ตามเวลาญี่ปุ่น
- กดรหัสโทรต่างประเทศ > Ais 003, Dtac 004, Ture 006
- ตามด้วยรหัสประเทศญี่ปุ่น > 81
- ตามด้วยเบอร์ Nohi bus > 577321688
เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ ฟังเข้าในง่าย ก่อนโทรแนะนำเตรียมข้อมูลการวันที่จอง รอบเวลารถ ชื่อ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้หมายเลขการจอง 11 หลักมาให้เรา แล้วก็นำไปออกตั๋วจริงที่เค้าเตอร์ Nohi bus ในเมือง Kanazawa หรือ Takayama
Day 5 🚈 Kyoto
เช้าวันที่ 5 ตื่นกันแต่เช้า ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็ลงไป check-out และทำการฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน ที่โรงแรมนี้มีที่ฝากกระเป๋าแบบเป็นกิจลักษณะเลย มีตัวล็อคอย่างดี
จุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ " วัดน้ำใส " เราใช้วิธีเดินจากที่พักระยะทาง 2.5 km. ใจมันสู้จริงๆ แต่ก็ชอบนะ เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศระหว่างทางไปเรื่อยๆ อีกอย่างอากาศก็ดีเย็นสบาย แต่เดี๋ยวมาดูกันว่าจะไหวมั้ย เช้านี้มีฝนปรอยๆ
เดินมาเรื่อยๆ ชิวๆ จนกระทั่งใกล้ถึงวัด จากทางราบเดินสบายๆ เริ่มต้องเดินขึ้นเนินแล้ว เริ่มหายใจถี่ขึ้น ตานี่มองหาแท็กซี่กันละ แต่มันไปอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว ดีนะที่มีเพื่อนเดินเห็นคนญี่ปุ่นเดินกันเพียบเลย เอาวะสู้ดิสอง...ฮึบแล้วก็เดินกันต่อ
วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรืออีกชื่อ วัดน้ำใส สำหรับวัดนี้เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับนักท่องเที่ยวแบเรา มีสถาปัตยกรรมโบราณ เป็นวัดที่ใหญ่โตอลังการมาก ไฮไลท์ของที่นี่ก็น่าจะเป็นอาคารไม้ที่สร้างโดยที่ไม่มีการใช้ตะปู ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ จนได้ขึ้นเป็นมรดกโลก ที่มาของชื่อวัดน้ำใสมาจากที่มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเอง แล้วก็ยังมีจุดชมวิวสามารถมองเห็นเมืองเกียวโต และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
ที่นี่มีเก็บค่าเข้าด้วยนะ ขึ้นมาแล้วก็ไปซื้อบัตรกันก่อน ราคาก็คนละ 400¥
เข้ามาด้านในก็เจอกับคนเยอะมาก เราเดินเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องการไหว้ใดๆ พวกเราขอข้ามเลยนะไม่ถนัดเลย พวกเราเข้าไปก็เน้นถ่ายรูปกันซะส่วนใหญ่
ทางเดินตรงนี้ถ้ามาช่วงที่ดอกซากุระบานคงจะฟินไม่น้อย เพราะตลอดทางมีแต่ต้นซากุระ เราคุยกันว่ายังอยากมาอีกรอบนึงเลย
ตรงจุดนี้เราเดินตามทางมาเรื่อยๆ ก็จะมีป้ายบอกมีจุดที่สามารถถ่ายรูปวัดน้ำใสแบบพาโนรามาได้ แล้วก็ได้มาเป็นภาพนี้ บรรยากาศตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว มีหมอกบางๆ อยู่ด้านหลังตรงภูเขา
เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงจุดที่เป็นน้ำตก
ทางเดินกลับมองเห็นวิวเมืองเกียวโตด้วยนะ แล้วฟ้าก็เปิดตอนที่เรากลับ มีหมอกบนยอดเขาด้วย
ออกจากวัดน้ำใส เราก็เดินกลับไปทางเดิมแต่จะเลี้ยวไปกิน Starbucks กันสักหน่อย ซึ่งสาขานี้มีการนำโรงน้ำชามาบูรณะใหม่ให้กลมกลืนกับย่านเมืองเก่า ที่เรียกว่า Ninenzaka ในย่านนี้ก็จะมีทั้งอาหาร ของหวาน เครื่องประดับ เข้าของเครื่องใช้ขายตลอดทางเดิน
เดินต่อมาเรื่อยๆ เราก็มาเจอร้านกาแฟ ร้านน่ารักมาก The Unir coffee senes เข้ามาในร้านมีพี่บาริสต้าอยู่ 2 คนเฟลนลี่มากๆ บรรยากาศในร้านดีมาก
ออกจากร้านกาแฟก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับ "วัดคงโกจิ" เป็นวัดเล็กๆ ที่เข้ามาจะเจอกับลูกบอลผ้าหลากหลายสีสัน ใกล้ๆ กันจะเป็น "วัดโฮคันจิ" สามารถมองเห็นเจดีย์ยาซากะ จุดนี้นักท่องเที่ยวก็นิยมมาถ่ายรูปกันเยอะ
เราเดินกลับไปเดินสำรวจของกินตลาดใกล้ๆ โรงแรมกันดีกว่า ในตลาดมีของกินเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นปลา เนื้อ อาหารทะเล ขนมก็มี แล้วเค้าจัดของหน้าร้านได้แบบน่ากินมาก อยากจะกินทุกร้านเลย
ได้เวลาบอกลาเมืองเกียวโตแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ เดินทางไปยังโอซาก้า Osaka เรานอนที่โอซาก้ากันทั้งหมด 2 คืน แต่ก่อนจากเกียวโต ขอแวะเซลฟี่กับ Kyoto tower สักหน่อย
กว่าจะได้เซลฟี่กับ Kyoto tower เดินวนอยู่นั่นแหละ
🚃 Kyoto > Osaka
หลังจากนั้นเราก็นั่ง JR Thunderbird ไปยัง Osaka แล้วก็นั่งใต้ดินไปลงที่โรงแรม เราเอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่โรงแรมกันก่อนเลย โรงแรมของเราวันนี้ "Ark Hotel Osaka Shinsaibashi" ทำการเช็คอินเสร็จสรรพ ก็ขึ้นห้องไปนั่งพักขาให้หายเมื่อยกันสักแปป
มื้อเย็นวันนี้เราออกไปหาเนื้อ หาโปรตีนเข้าสู่ร่างกายกันสักหน่อยด้วย "Shabutei Shinsaibashi" ชาบูหม้อเดี่ยว เราทานแบบบุฟเฟต์เลือกเป็นเนื้อ (ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อ ก็มีหมูให้เลือกนะ) เนื้อสั่งได้เรื่อยๆ เลย แล้วที่นี่เค้าจะสไลด์เนื้อกันสดๆ จานต่อจาน เนื้อที่ได้มาแผ่นใหญ่มาก จริงๆ จานเดียวก็อิ่มแล้วแต่เดี๋ยวไม่คุ้มสั่งเพิ่มอีกสักจาน 55 ส่วนราคาเราเลือกเป็นราคา 4,980¥ ในเซตก็จะมีเนื้อ ผัก อุด้ง แล้วก็ไอศครีม มีเวลาทาน 1.30 ชั่วโมง
จุ่มเนื้อ จิ้มซอสเซซามิ อร่อยมากกกกก (น้ำจิ้มงาสูตรพิเศษของทานร้าน พิเศษจนมีเครื่องนวดงาอยู่ตรงทางเข้าร้าน)
อิ่มแล้วก็กลับไปนอนพักร่างกันก่อน เก็บแรงไว้เดินลุยโอซาก้าในวันพรุ่งนี้
#สรุปค่าใช้จ่าย day 5
- ค่าเข้าวัดน้ำใส = 800¥ (คนละ 400¥)
- Starbucks = 1,600¥
- The Unir coffee senes = 3,100¥
- เทมปุระ = 1,100¥
- รถไฟใต้ดินไปโรงแรม = 480¥ (คนละ 240¥)
- โรงแรม Ark Hotel Osaka Shinsaibashi = 11,520¥ (พัก 2 คืน)
- มื้อเย็น Shabutei Shinsaibashi = 9,960¥ (คนละ 4,980¥)
เที่ยวแบบเรา : Once-a-month
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 16.14 น.