คำเตือน : รูปเยอะมากกกกกก แนะนำให้ใช้ Wifi ในการรับชม แต่ถ้าใครเน็ตเหลือ ก็ตามอัธยาศัยครับ

จุดเริ่มต้น


เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มมาจากการคุยกันของผมกับเพื่อนเนี่ยแหละครับ

เพื่อน : นาย ว่าจะไป ...เขาหลวงสุโขทัย... ไปกันช่วงเดือนสิงหา ( แล้วก็ส่งลิ้งค์มาให้ เป็นลิ้งค์รีวิวเที่ยวเขาหลวง )

ผม : ไปดิ มีใครไปบ้างอ่ะ แต่ผมลงชื่อ 2 คนนะครับ

เพื่อน : ตอนนี้ก็มีประมาณ 7-8 คน

ผม : แล้วแพลนเป็นยังไงบ้างอ่า

เพื่อน : เดินทางคืนพฤหัส นอนค้างข้างบน 2 คืน แล้วก็กลับวันอาทิตย์

ผม : โอเค ตามนั้น

แล้วต่อจากนั้นก็มีการคุยเพื่อเตรียมตัวกันเรื่อยๆ สมาชิกจาก 7-8 คน ก็เหลือกันแค่ 6 คนรวมทั้งผมและก็แฟนผมด้วย

จากที่อ่านหลายๆ รีวิว ก็ได้บทสรุปของการเดินทาง

ทริปนี้ จะนั่งรถวินทัวร์สุโขทัยไป ลง ขบส. แล้วไปต่อรถแถวๆ นั้นเข้าอุทยานอีกที

ที่เลือกของบริษัทนี้ เพราะเค้าบอกว่า นี่ดีสุด แต่เอาตรงๆ ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นนะครับ

แต่สุดท้าย ก็จ่ายค่าตั๋วกันไปในคนละ 310 บาท

ความตื่นเต้นอยู่ที่ เราจะไปจองขากลับที่ บขส. สุโขทัยเอา

แล้วก็เหลือแค่รอเวลา ........... " ออกเดินทาง "


วันเดินทาง


หลังจากที่เลิกงานกันแล้ว ก็กลับไปเตรียมตัว เตรียมของ

เราต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิต ตอน 22:30 น.

ก่อนที่จะไปขึ้นรถก็ทำธุระส่วนตัวกันให้เสร็จเรียบร้อย พอใกล้เวลาก็ไปรอที่ชานชลา

พอ 22.35 น. รถก็เคลื่อนตัวออกจากหมอชิต ส่วนคนก็จะได้พักผ่อนเอาแรง เจอกันอีกทีตอนเช้าครับ


เช้านี้ที่สุโขทัย


เรามาถึงที่ บขส.สุโขทัยกันตอนประมาณ 05.00 น.

ทุกอย่างเงียบสงบ มีแค่รถโดยสาร กับวินมอเตอร์ไซต์ที่มารอรับลูกค้า

เค้าเตอร์ซื้อตั๋วรถทัวร์ขากลับก็ยังไม่เปิด ก็นั่งรอกันไปครับ

ระหว่างนั้นพวกเราก็ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันกัน

เวลาล่วงเลยมาได้สักพัก ก็เริ่มมีพี่ๆ รถโดยสารเข้ามาถามว่าจะไปไหนกัน เหมารถได้

แต่พอตกลงราคากันไม่ได้ ก็เลยนั่งแอ๊คท่าไปอีกสักพัก เผื่อได้ลดราคา

และแล้วก็มีรถสามล้อเล็กๆ คันนึงเข้ามาจอด เพื่อนผมเลยเข้าไปถาม ได้มา 500 บาท

ราคาตามรีวิวเป๊ะ พวกเราก็เลยตกลงกันทันที

เราเหมาจากบขส.ไปที่อุทยานแห่งชาติเลยนะครับ

แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับ เพราะขี้เกียจรอ จะได้เดินขึ้นชิวๆ มีเวลาเยอะๆ


ก่อนจะเข้าไปอุทยาน ลุงเค้าก็พาเราไปซื้อของที่ตลาดกันก่อน

ก็ไปซื้อพวกของสด ของใช้ ไปทำกับข้าวกินกันข้างบนแหละครับ

บรรยากาศยามเช้า ของเมืองเงียบๆ แต่รวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน



ถึงเวลาเชฟหมีของเรา เลือกหมูขึ้นไปทำกับข้าวข้างบนกัน

พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ น่ารักมาก ลดนี่ แถมโน่น สรุปก็ได้มาเพียบ




ซื้อของเสร็จ ก็ออกมากินข้าวเช้ากัน แนะนำร้านคุณยายคนนี้เลย

เสียดาย จำชื่อร้านไม่ได้ แต่อยู่ตรงข้ามกับตลาดเลยครับ มองหาง่าย

ข้าวต้ม ราดหมูกรอบ กุญเชียง แบบ full option อร่อยมาก และถูกมากคนต้องขอเบิ้ลกันเลยทีเดียว



กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางกันต่อ นั่งรถยิงยาวจากตลาดไปที่อุทยานเลยนะครับ

สองข้างทางมีธรรมชาติให้เราได้ชื่นชมกันอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนาสีเขียว หรือว่าอาคารบ้านช่องต่างๆ

ทางก็เป็นทางลาดยาง ผ่านหลายๆ หมู่บ้าน

แต่พอพ้นทางลาดยาง ก็จะพบกับทางลูกรัง ฝุ่นเยอะมาก

ช่วงนี้เลยไม่มีรูปเลย เพราะฝุ่นเยอะ หัวแดง ผมแข็งไปหมดเลย



เปิดวาร์ปมาตรงทางเข้าอุทยานเลยครับ ก่อนที่จะเข้าไปข้างในก็ต้องเสียค่าผ่านทางก่อน 555 ค่าเข้าอุทยานหน่ะครับ

เสร็จเรียบร้อยก็ต้องนั่งเข้าไปยังที่ทำการอุทยานอีกทีครับ



พอถึงข้างในจอดรถเสร็จก็ขนของลงจากรถ ก่อนลุงจะไป เราได้คุยกับลุงเรื่องรถของแก

ลุงเขาพูดคุยอย่างภูมิใจในรถของแกมาก ทั้งแต่งเครื่องใหม่ ทั้งทำไฟ

คนเราทำอะไรด้วยความรักในสิ่งที่ทำ ก็ดีทั้งนั้นหละ ใช่ไหมครับ

แล้วก็โบกมือลาคุณลุงที่ขับรถมาส่งพวกเรา



รวบรวมของเสร็จก็เรียกลูกหาบเลยครับ เพราะทริปนี้เราจะเอาแต่ตัวขึ้นไป ส่วนของเนี่ยยกให้ลูกหาบเค้าเลย

ส่วนเรื่องที่พัก เราก็เข้าไปติดต่อที่ที่ทำการอุทยาน

พวกเราเช่าทั้งเต๊นท์และเครื่องนอนเลย เพราะไม่ได้เตรียมมาเลย

ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็พร้อมที่จะลุยกันแล้ว

อ๋อ ..... 2 คนนี้คือบอกว่าอยากจะแบกของขึ้นเอง เยรดดดดด !!!

แต่ยังไม่ทันได้เดินก็มีคนนึงถอดใจ ยกกระเป๋าให้ลูกหาบแบกซะงั้น 5555 เดากันดูครับว่าใคร ใบ้ให้ว่าไม่ใช่ผู้ชาย



เขาหลวง สุโขทัยแห่งนี้ ใช้เวลาเดินเฉลี่ยก็ประมาณ 4 ชั่วโมง



ก่อนขึ้นก็แวะไหว้พระ ขอพรให้การเดินทางของพวกเราปลอดภัยกันก่อน



ว่าแล้วก็อย่าให้เสียเวลา หาไม้เท้าแถวๆนั้น แล้วออกเดินเท้ากันเลย ลุย !!!



เส้นทางเขาหลวง ค่อนข้างชัน และไม่มีทางราบให้ได้พักขาสักเท่าไหร่นัก

แต่จะมีจุดแวะพัก มีแคร่ให้นั่ง และมีท่อน้ำดื่มที่กรอกดื่มได้

แต่วันที่พวกเราไป เพิ่งมีไฟป่า ทำให้เราไม่มีน้ำเติมระหว่างทาง

จึงต้องเตรียมน้ำจากข้างล่าง แล้วแบกขึ้นไปเอง



เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เริ่มหมดสภาพจากความชันที่ไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงเลย

พวกเราเดินกันไม่อึดมาก อาศัยพักถี่ๆ เอา ดีที่ว่าที่นี่มีเส้นทางเดินที่ชัดเจน ไม่ต้องกลัวหลง

ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มานำทาง เราสามารถเดินตามความเร็วของเราได้

และแล้วเราก็เดินมาถึงจุดชมวิว ซึ่งประมาณได้ว่า นี่คือครึ่งทางแล้ว

เอาเป็นว่าแค่ครึ่งทาง วิวก็สวยแล้ว แทบรอไม่ไหวที่จะขึ้นไปถึงข้างบน

แต่ด้วยความเหนื่อย และความชันที่มากขึ้นอีก เราก็ยังพักกันถี่เหมือนเดิม ต่อให้ใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม



ที่นี่ ธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ด้วยความที่เพิ่งเกิดไฟป่าไป

ทำให้ตลอดเส้นทาง ยังหลงเหลือรอยไหม้จากไฟป่าอยู่ตลอด




และเมื่อคืนก็มีฝนตกหนัก ทำให้มีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่

ด้วยที่ว่า เราเป็นกรุ๊ปแรกของวัน พี่เชฟหมีของผม ก็ชักมีดขึ้นมาฟันต้นไม้เองเลย

มันช่างได้ฟีลลิ่งผจญภัยจริงๆ



พวกเรา เดินๆ พักๆ ไปเรื่อย มาถึงจุดพักที่เรียกว่า ไทรงาม

เผลอแปบเดียว ลุงลูกหาบก็ตามเราทัน OMG !!! ขาลุงนี่ มีแต่กล้ามล้วนๆ

ลุงก็ส่งยิ้มให้พวกเราที่นั่งหอบกันอยู่ แล้วก็เดินนำไปอย่างชิวๆ

แต่พวกเราขอนั่งพักเหนื่อยกันก่อน แต่นั่งนานก็ไม่ได้ เพราะยุงโคตรเยอะเลย ใครที่จะมาอย่าลืมพกยากันยุงติดตัวมาด้วยนะ



เราเดินกันต่อ อีกไม่นาน ก็ถึงจุดที่เรียกว่า " ปล่องนางนาค " นั่นหมายความว่าเราใกล้จะถึงกันแล้ว




ในที่สุดก็ถึงแล้ว กับการพิชิตเส้นทาง 3.7 กม. เราก็ถึงจุดกางเต๊นท์ ด้วยเวลา 4 ชม.ตามมาตรฐาน

แต่หิวมากกกกกกก ที่จริงเราซื้อไก่ทอดมาเผื่อกินตอนกลางวันระหว่างทาง

แต่ด้วยความเหนื่อย เราเลยไม่ได้แวะกินกันเลย เลยเอามากินข้างบนแทน

เรานั่งกินไก่กัน พร้อมด้วยโค้กเย็นๆ จากร้านค้าเล็กของที่ทำการฯ เอง ฟิน~~~

ขนาดราคากระป่องละ 35 บาท ก็ยังซื้อกินทุกมื้ออาหาร ( ก็มันอยาก )



เรากางเต๊นท์ เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จ ก็ออกมาก่อไฟช่วยกันทำข้าวเย็นกัน



แต่ไฟยังไม่ทันติดดี ฝนก็กระหน่ำลงมา เราต้องหลบเข้าไปในเต๊นท์

ฝนหนักพอสมควรเลย ทำให้เต๊นท์ของผม ที่กางในจุดที่ไม่ค่อยดี

น้ำซึมใต้เต๊นท์ นอนไม่ได้เลย ต้องย้ายจุดกางใหม่ ขึ้นไปบนศาลาเลย



ย้ายเสร็จ ก็มาก่อไฟกันใหม่ แต่ก็อีกนั่นหละ ไม่ทันจะมีอะไรสุก

ฝนก็ตกมาอีกรอบ สรุปวันแรก เราไม่สามารถก่อไฟได้

สุดท้ายต้องไปขอใช้เตาไฟของ จนท. ทำข้าวกัน

มื้อนี้ก็กินอะไรง่ายๆ ครับ จะเรียกมันว่า ต้มมาม่าใส่ผัก หมู ไข่ หรือจะเรียกว่า สุกี้ หมู ไข่ ใส่เส้นมาม่า ดีล่ะครับ

กินกันเสร็จ ก็เข้าเต๊นท์นอนพักกัน



ตะลุยรอบเขาหลวง


อรุณสวัสดิ์เช้าวันแรกบนเขาหลวงครับ

จุดที่ผมกางเต็นท์ เป็นจุดที่ค่อนข้างสูงกว่าชาวบ้าน

เปิดเต็นท์มานี่ ได้ชมวิวหลักล้านกันหน้าเต๊นท์เลยทีเดียว ฟินๆ กันไปครับ

เช้ามาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หยิบกล้อง ออกไปดูวิวกันเลย


มาที่นี่ ไม่ต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่า เพราะที่นี่มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ สะดวก แยกชายหญิง ดีงามมากครับ



แล้วเราก็เดินขึ้นไปดูทะเลหมอกบน " ยอดเขานารายณ์ " เดินขึ้นไปจากจุดกางเต๊นท์ไม่ไกลครับ

เป็นครั้งแรก ที่เห็นทะเลหมอกแล้วขนลุก มันงามมาก

เป็นอะไรที่สุดยอดมาก อากาศดี วิวสวยๆ

แต่ระวังคนตัวเล็กๆนะครับ ลมแรงมากจริงๆ กลัวจะพลัดตกไป

แต่ก็ด้วยความงามนี้ ผมรู้สึกคุ้มแล้วที่ลำบากเดินขึ้นมา

ถ่ายรูปมายังไง ก็ไม่สวยเท่าตาเห็น จริงๆ

ปล. ถ่าย Timeplase มาหน่อยนึง แต่หาโปรแกรมแปลง gif ดีๆไม่ได้ เลยได้แค่นี้ครับ



คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ดูจากรูปก็น่าจะเข้าใจ

เราเดินต่อมาอีกหน่อย ถึงจุดเจดีย์ทอง เป็นจุดสักการะแห่งหนึ่งของบนยอดนี้



ดื่มด่ำบรรยากาศแล้ว ก็ลงมาดื่มกาแฟกัน

ผมเอาที่บดกาแฟ พร้อมแก้วดริปขึ้นไปด้วย ดื่มกาแฟดริปสดกันไป

แล้วก็ทำอาหารเช้ากันง่ายๆ เป็นโจ๊กใส่ไส้กรอก และแหนมทอด

แล้วก็หุงข้าวกินเพิ่ม พร้อมย่างหมูที่เตรียมมา และทำยำปลากระป๋อง

ระหว่างทำอาหาร จนท. ก็เดินมา พร้อมเอาเห็ดโคนมาให้

จนท. บอกว่า แถวนี้มีเยอะ เอาไปแบ่งๆ กันกิน เราเลยเอามาต้มยำกิน

แถวนั้นมีต้นพริกด้วย เราเลยไปเด็ดมาใส่ต้มยำของเรา เด็ดเลยทีเดียว



กินกันเสร็จ พักท้องอีกแปบ แล้วเราก็เดินเท้าไปจุดชมวิวต่างๆ บนเขา

เขาหลวงสุโขทัยมีจุดชมวิวอยู่ให้เราได้เดินกัน

ทริปนี้ เรานอนสองคืน ทำให้เรามีเวลาเดินเที่ยวกันวันนึง

เส้นทางเดินบนเขา จะเป็นเส้นทางวน เราสามารถเข้าอีกทาง

แล้วมาออกอีกทาง วนกลับมาจุดกางเต๊นท์ได้

เดินออกมาไม่ไกลนัก ก็เจอจุดแรกครับ " ยอดเขาเจดีย์ "



ช่วงแรกๆ ยังมีแรงกัน ถ่ายรูปกันหน่อย

จุดหมายของเราคือ จุดชมพระอาทิตย์ตก เขาภูกา

ระหว่างทาง เราก็ได้เห็นทะเลหมอกตลอดทาง

แต่บอกเลย ถึงอากาศจะเย็น แดดร้อนมากเช่นกัน

แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรค์ในการถ่ายรูปครับ



เรามาถึงจุดทางแยก เพื่อไปเขาภูกา

หลังจากคำนวนเวลาเดินกันแล้ว เหลือๆ ก็เดินทางกันต่อเลยครับ

ระหว่างทาง เราก็ถ่ายรูปไปพลาง พักไปพลาง



และแล้ว เราก็ถึง เขาภูกา แต่ไม่สามารถดูพระอาทิตย์ตกได้

เพราะหมอกลงจัดมาก แถมเราเห็นเมฆฝนไล่มาแต่ไกล

เลยตัดสินใจว่า ต้องรีบเดินกลับที่พักกัน เพราะถ้าฝนตกจะอันตราย



แต่สุปท้าย เราก็เดินไม่ทันฝน ฝนตกลงมาอีก

ผมเอาเสื้อกันฝนไป กล้องของผมรอด

แต่ของเพื่อนเสียหายกันพอสมควรเลยเพราะเก็บไม่ทัน

แต่ระหว่างเดินกลับ ฝนก็หยุดแล้วเราก็เลยแวะถ่ายรูปฟ้าหลังฝนกันตรงใกล้ๆ ยอดเขาเจดีย์กนต่ออีกนิดครับ




ลงมาก็กินข้าวเย็น นั่งเสวนากันพอตกดึกหน่อย ก็พักผ่อนกัน

ทริปนี้ ไม่ได้ถ่ายดาวเลย เพราะฟ้าปิดทั้งสองคืน

เช้า เราก็กินข้าวเช้ากัน เก็บของ แล้วรีบเดินลงกัน

เนื่องจากเรายังไม่ได้จองรถขากลับ เลยต้องรีบกันนิดนึง



ขาลงก็ใช้เวลา 4 ชม.เหมือนเดิม เพราะความชัน ทำให้ลงได้ช้า

พอมาถึงที่ทำการฯ ก็อาบน้ำกัน แล้วก็หารถออกไป

แต่จำลุงที่เข้ามาส่งพวกเราได้มั้ยครับ ที่จริงเราขอเบอร์ลุงมานะ แต่เพื่อนผมเมมแต่ชื่อลุง ไม่เมมเบอร์ครับ 5555

เลยต้องหาทางใหม่ พอดีมีพี่ตำรวจเข้ามาตรวจงานพอดี เลยขอติดรถออกไป บขส.

พี่เขาใจดีมาก พาเราออกมา แต่เขาขอแวะจุดเลือกตั้งก่อน

วันที่เราไป เป็นวันเลือกตั้ง และเราก็ยอมเสียสิทธิ์ เพื่อมาเดินขึ้นเขา

ที่จุดเลือกตั้ง ชาวบ้านก็เรียกให้เราไปกินข้าวกัน

แม้เป็นแค่กับข้าวธรรมดา แต่อร่อยมาก เห็นถึงความใจดีของชาวบ้าน กินอิ่มกันเลยทีเดียว



และแล้วพี่ตำรวจก็เข้ามาส่งถึงที่ บขส. ยังไม่ทันจะขอขอบคุณ พี่เขาก็ออกรถไป

ได้มาเพียบรูปถ่ายนี้ แทนคำขอบคุณ

แล้วเราก็รีบเข้ามาหารถกลับ พวกเราตกใจกันมาก

รถส่วนใหญ่เต็ม แต่โชคยังเข้าข้าง ยังมีรถของ พิษณุโลกยานยนต์ทัวร์ ที่ยังมีที่ว่าง

แต่ต้องแวะพิษณุโลกก่อน แต่เราก็โอเคหมด ขอกลับกรุงเทพได้พอ



เรากลับมาถึง กทม. ประมาณ แล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน เป็นอันจบทริปครับผม

ใครอยากไปพิสูจน์ ก็ลองไปดูครับ ไม่อันตราย

มีโอกาสพวกเราจะไปซ้ำ อย่างแน่นอน


ค่าใช้จ่าย

ค่ารถไป - กลับ สุโขทัย คนละ 310 บาท

ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท

ค่าเหมารถจาก บขส. ไปอุทยาน 500 บาท

ค่าอาหารการกิน 1400 บาท

ค่าลูกหาบไป - กลับ ประมาณ 2200 บาท (ราคาคิดเป็นกิโลนะครับ กิโลละ 25 บาท)

ค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องนอน ประมาณ 1200 บาท

ค่าใช้จ่ายต่อคนก็ตกคนละ 1500 บาท โดยประมาณครับ

เที่ยวแบบเรา : Once-a-month

 วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.00 น.

ความคิดเห็น