สวัสดีสวีดัดคะทุกคน ทริปนี้เกิดจากความชอบเที่ยวของนางทั้ง2 เอ้ย! นางสาวสิถึงจะถูก คนนึงพี่คนนึงน้อง ที่คนนึงเบื่องานอีกคนเบื่อเรียน และก็ได้เกิดคำชักชวนของพี่ว่า 'ไปปีนังกัน' ไปถ่ายรูปชิคๆคูลๆชิลๆ ว่าแล้วน้องก็ไม่คิดไรมาก ตอบไปเลยว่า 'ไปๆๆๆๆๆ' จึงบังเกิดทริปนี้ขึ้นมา ว่าแล้วก็วางแผนกันเลย
Day 1 : วันแรกของการเดินทาง
ออกเดินทางจาก สนามบินดอนเมือง --> หาดใหญ่ --> ปีนัง
เรานัดเจอกับพี่ที่สนามบินดอนเมืองเวลาแล้วแต่จะถึงเพราะต้องนั่งเครื่องจากขอนแก่นไปดอนเมืองก่อน เครื่องออกจากขอนแก่นเวลา 08.35 ถึงดอนเมือง 09.30 ตามเวลาตารางบิน คิดว่า เห้ย! คงทันแหละ ต่อเครื่อง10.40 น. ไปหาดใหญ่ แต่!!! 10.00น. ข้าพเจ้ายังอยู่บนเครื่องที่มาจากขอนแก่นอยู่เลยจ้าาา พอลงเครื่องได้ก็วิ่งสิคะรออะไร ในใจนี่คิดว่า ต้องทันดิวะ ต้องทัน! ต้องทัน! วิ่งไปลุ้นไปกระเป๋าหนักก็หนัก พอไปถึงพี่ก็มายืนรออยู่ละ พอเจอหน้าพี่เท่านั้นแหละ วิ่งต่อไปเล๊ยยยย จ้าาา สุดท้ายคือ 'ทันคะ' 10.20 น. พอดีเป๊ะ! ก่อน boarding pass ดีนะ check in ล่วงหน้าในแอพมา หึหึ
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม 25 นาที และแล้วก็ถึงสนามบินหาดใหญ่ 12.05 น.
อันดับแรกที่ทำคือ โทรหาบริษัทรถตู้ที่เราจองมาล่วงหน้าแล้ว เพื่อให้ทันกับรถตู้ที่จะออกรอบ12.30 น. กระโดดขึ้น Taxi และโทรหาพี่คนขับรถตู้ ให้เค้านัดแนะสถานที่กันเอง หนูไม่รู้ทางงงง แหะๆ
*เราจองกับบริษัท KST (Tel : 081-6907253) ราคา 450 บาท/เที่ยว ถ้า ไป-กลับ ราคา 800 บาท (เราจองไป-กลับเลย)
รอบรถตู้ที่ไปปีนัง
ขาไป 09.30 | 12.30 | 15.30
ขากลับ 05.00 | 08.00 | 12.00 | 16.00
ขึ้นรถมาก็มาเจอเพื่อนร่วมทางคนไทยคะ พี่เตยและพี่ดรีม จะไปปีนังเหมือนกัน พี่เตยข้อมูลแน่นมากกกกกก! พิกัดละเอียดยิบ ร้านไหนดีร้านไหนเด็ดพี่แกรู้หมด นี่ก็ว่านีวิวมาระดับนึงละนะ มาเจอพี่เตยนี่ขอ 'ซูฮก' เลยคะ น้องยอม ระหว่างทางก็เม้ามอยกันยาวๆไป พี่เตยจะไปอิโปห์กับกัวลาลัมเปอร์ต่อ ส่วนเรามีเวลาน้อย ขอแค่ปีนังก่อนก็พอ
19.30น. ร่วม 7 ชม. กับการเดินทางโดยรถตู้ นั่งก็แล้ว เม้าท์มอยก็แล้ว นอนก็แล้ว ในที่สุดก็มาถึงสักทีคะ เห้อออ~~~ ข้ามสะพานPenang Bridge เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความยาว 13.5km เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะปีนังและ butterworth
เราให้พี่คนขับไปส่งแถวถนน Lovelane เพื่อหาที่พัก พอมาถึงเราก็ walk in หาที่พักก่อนเป็นลำดับแรก เดินวนอยู่นาน ตามหาที่พักที่รีวิวมา สุดท้ายก็มาจบที่ Old Penang Guesthouse ราคา700บาท/คืน ก็ถือว่าเป็นราคาที่พอรับได้ เป็นห้องพักแบบ Private room ห้องน้ำรวม จัดการจองไปเลย 2 คืน
หลังจากเก็บของเสร็จ พักพอหายเหนื่อยสักแป๊ป เราก็รีบออกไปหาไรกินด้วยความหิวโหย เดินออกมาหน้าปากซอยประมาณ 100เมตร คุณก็จะพบกับ ร้านอาหารประหนึ่ง Street food เรียงรายให้เลือกกินได้ตามสบายยย มีนักท่องทั้งไทยและเทศเยอะพอสมควร ว่าแล้วก็ไปหาอะไรกินกัน
เมนูที่ 1 : Wan Tan Mee หรือบะหมี่กึ่งแห้งกึ่งน้ำบ้านเราดีดีนี่เอง จะแห้งก็ไม่แห้ง จะน้ำก็ไม่น้ำ แต่รับรองได้ว่าเด็ด ! (หรือเป็นเพราะหิวหว่า555) Price : 3 RM ประมาณ 30 บาท
เมนูที่ 2 : Lok Lok เรากับพี่พากันอ่านว่า 'ลวกลวก' เพราะมันจะเป็นไม้เสียบๆให้เราเลือกแล้วก็เอาไปลวกๆในหม้อละก็จิ้มน้ำจิ้ม พอกินเสร็จก็เอาไม้รวมกันไปจ่ายตัง โดยคิดเงินจากสีตรงปลายไม้จะแยกเป็นเรทราคาต่างกัน ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คิดว่าน่าจะเป็น signature ของที่นี่เลย บอกเลยว่าเด็ดตรงน้ำจิ้ม และได้ฟีลในการยืนกิน หรืออาจจะเป็นเพราะมีเพื่อนมายืนกินด้วยกันหลายคนเหมือนได้แย่งกันกิน 555
**คำเตือน** ระวังจะกินจนเพลินโดยไม่รู้ตัว
Price : กินเพลินเลย จำราคาไม่ได้ละ 555 คิดว่าน่าจะหมดไปประมาณ 200 บาทได้
เมนูที่ 3 : กินคาวไม่กินหวานก็คงจะไม่ใช่สำหรับเรา มาต่อกันที่ร้านกาแฟในละแวกเดียวกัน มาอัพชาเขียวเข้าเส้นเลือดกันสักหน่อย ร้านตกแต่งด้วยล้อรถ ที่สอดคล้องกับชื่อร้าน
ร้าน Wheeler's coffee
นั่งวางแพลนสำหรับวันพรุ่งนี้กัน ได้น้องๆบาริสต้าที่ร้านช่วยแนะนำเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมด้วย ขอบคุณมากๆนะคะ (ปล. เราสามารถขอแผนที่ได้กับที่พักแล้วก็ร้านกาแฟเลยนะคะ เค้าจะมีบริการให้นักท่องเที่ยวเกือบทุกที่เลย)
จากนั้นก็ไปเดินเล่นชมเมืองกันสักพัก
Day 2 : Street art - Penang hill
วันนี้เราตั้งใจว่าจะไป Penang hill เดินตามหารูปวาดที่ Street art กัน
เริ่มออกเดินทางตอน 08.00น. เนื่องจากที่พักเราอยู่ไม่ไกลจาก street art มากนัก เราก็เลยเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆ ตามเก็บภาพวาดและเหล็กดัดที่อยู่ตามซอกและซอยต่างๆ
ประมาณ 10.00 เก็บภาพได้พอประมาณ (ช่วงเย็นจะมาเก็บต่อ) ถึงเวลาต้องไปต่อ
เราเดินไปยังแถวๆ jetty เพื่อหานั่งรถบัสต่อไปยังปีนังฮิล Jetty คือ ท่าเรือที่ข้ามมาจากฝั่ง butterworth โดยแถวนี้จะเป็นเหมือนอู่รถ คือเป็นจุดเริ่มต้นของรถเมล์ทุกสาย จะไปไหนมาเริ่มที่นี่ได้หมด
ราคาตั๋วไป Penang hill คนละ 2 RM ประมาณ 20 บาท นั่งรถประมาณ 1 ชม.
รถจะจอดถึงหน้าปีนังฮิลเลย ประหนึ่งว่าสุดสายพอดี ขากลับก็มาขึ้นรถที่เดิม รถจะจอดที่เดิม มีรถตลอดจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. เลย โดยรวมแล้วการเดินทางง่าย สะดวกสบาย รถสะอาด แอร์เย็น ให้ผ่านคะ!
ถึงปุ๊ปเราก็เดินเข้าไปซื้อตั๋ว ราคา 30 RM /คน หรือประมาณ 300 บาท จากนั้นก็ต่อคิวเพื่อรอขึ้นรถรางไฟฟ้า วันที่ไปคนเยอะพอสมควร อาจเพราะเป็นวันหยุดด้วย เราต่อแถวไปประมาณ 1ชม. พอรถมาทุกคนก็กรูกันขึ้นรถแน่นทุกตู้โบกี้คะ พอขึ้นรถปุ๊ปก็จับจองที่ยืนและหาที่จับให้มั่น พร้อมแล้วก็ไปกันเล๊ยยย
ปีนังฮิลล์ : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30 น. - 23.00 น. (แต่เคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋วจะปิดเวลา 22.30น.)
ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ขึ้นมาถึง และคุณก็จะได้พบกับ วิวหลักล้าน เห็นเมืองปีนังได้ทั้งเมือง แบบพาโนราม่าวิว แต่แดดที่ร้อนนี่ให้หลักร้อยล้านเลย คือร้อนมากจริงๆ ร้อนจนแสบผิว แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นน่าจะดีกว่า
และตามแพลนที่วางไว้คือเราจะกินข้าวเที่ยงกันบนนี้จ้าา ด้วยความที่หิวมากๆ สิ่งแรกที่หาคือร้านอาหารคะ ข้างบนนี้จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟอยู่ ใครที่อยากมาดื่มด่ำบรรยากาศแบบดินเนอร์ตอนเย็นอะไรแบบนี้ คิดว่าน่าจะฟินทีเดียว แต่ราคาก็แอบแรงอยู่ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องธรรมดาอะเนอะ ขึ้นมากินสูง ราคาก็เลยสูงตาม (เกี่ยวมั้ย?)
ข้าวมื้อนี้ เราสั่งมาเป็นชุด ชุดละ 32RM ประมาณ 320 บาท ในเซ็ตจะมีน้ำมาให้ด้วยเลย
หลังจากกินเสร็จอิ่มท้อง เราก็ถ่ายรูปกันต่อสักพัก
ทีแรกพวกเราตั้งใจว่าจะไปหาดบาร์ตูเฟอร์ริงกิ เพราะว่าเห้ย มาถึงนี่ละไปดูทะเลบ้านเค้าเมืองเค้าหน่อยเป็นไง เก็บให้ครบ แต่!! ด้วยความแดดร้อน บวกกับความเหนื่อยล้า เรากับพี่มองหน้ากัน อื้มมม ! เราไม่ต้องไปหรอกเนาะ 55555 เราจึงขอกลับไปพักใจที่ Street art ตามเก็บรูป เดินชมเมือง นั่งจิบกาแฟชิวๆ ละกัน แต่ถ้าใครอยากจะไปหาดบาร์ตูเฟอร์ริงกิ สามารถนั่งรถบัส สาย 101 ไปได้ ในราคา 2.7 RM หรือ 27 บาท ระยะเวลาประมาณ 1 ชม
ขากลับเราขึ้นรถที่เดิมและมาลงที่ตึก Comtar (ตึก Comtar เป็นห้าสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุด ตัวตึกจะสูงเด่น หาง่าย เหมือนเป็นจุดศูนย์รวมอีกจุดหนึ่งเลยของเกาะปีนัง) จากนั้นเราก็เดินกลับไปยัง Street art เดินอีกแล้วคะ เดิน เดิน เดิน และเดิน
จนมาพบกับตึกนี้คะ คือตึก George Town World Heritage Incorporated เห็นที่แรก เหยยย ตึกสวยดีวะ ดูมีอะไร ต้องถ่ายรูปแล้วละ ว่าแล้วก็จัดไปคะ! วิ่งข้ามถนนไปมาอยู่นาน ดีที่ไม่โดนรถเฉี่ยว 555 พอถ่ายรูปเสร็จก็เดินเข้าไปข้างใน คือ เราก็ได้ค้นพบว่า แกรรรร ! ชั้นควรจะมาที่นี่ก่อนสินะ ก่อนที่จะไปที่อื่นใด เพราะที่นี่เป็นเสมือนจุดบริการนักท่องเที่ยว มีพนักงานประจำเคาท์เตอร์ ที่เราสามารถสอบถามแหล่งท่องเที่ยว ข้อมูลการเดินทางได้หมด แถมยังมีแผนที่แจกแบบเยอะมาก ทั้งตำแหน่งที่ตั้งของภาพวาดตามถนน Street art สถานที่ต่างๆในตัวเมือง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ราชการ มัสยิด วัด เอเวอรี่ติงจิงกะเบลจริงๆ
พอได้แผนที่ลายแทงละ เราก็ไปตามล่าหาสมบัติ เอ้ย หารูปวาดกันต่อคะ โดยในรอบนี้เราตัดสินใจที่จะเช่าจักรยานคะ ไม่ไหวแล้วคะเดินทั้งวัน เราเช่าจักรยานมา 2 คัน คันละ 10RM ได้จักรยานละก็ไปกันเลย
ต่อจากนี้ไปขอลงรูปรัวๆเลยละกันนะคะ
หลังจากปฏิบัติภารกิจตามหารูปวาดจนทั่ว (แต่ไม่ครบนะ เยอะเกิน) ก็ถึงเวลาพักนั่งชิลจิบชาคะ เราก็เปิดดูรีวิวในinternet มา เค้าแนะนำให้มาร้านนี้ Coffee on the table เพราะที่นี่มี 3D art coffee จ้าาา
แทแด๊นนนนน . . . ตกเป็นทาสการตลาดของความมุ้งมิ้งจ้า ส่วนเรื่องรสชาติก็ถือว่าโอเคนะ ก็ช็อคโกแลตร้อนอะ 5555
มาต่อที่เมนูมื้อเย็นที่เราไปกินกันในวันนี้คือ
เมนูที่ 1 : Char Kuey Teow หรือผัดไทยบ้านเรานี่เอง ได้กุ้งประมาณ 3-4ตัว ราคาประมาณ 30บาท
เมนูที่ 2 : Lok Lok เจ้าเดิม ด้วยความติดใจอยากกินอีก วันนี้เลยมาจัดอีกซักรอบ
เมนูที่ 3 : Cendol เมนูของหวานที่เหมือนน้ำแข็งใส บ้านเรานี่เอง (สรุปนี่บ้านเราก็มีจะมีกันอะไรตั้งไกล 555 )
Day 3 : วันสุดท้ายก่อนกลับเรามีเวลาครึ่งวัน นัดรถตู้ให้มารับที่เดิมเวลา 12.00 น.
เราพากันตื่นแต่เช้า และหากยังจำได้ว่าวันแรกที่เราได้เคยไปถามทางน้องๆบาริสต้าที่ร้าน wheeler's coffee ที่วางแพลนเที่ยวในวันแรก วันนี้จ้า นางอาสาจะพาไปเที่ยวเว่ยยยยย แรกๆก็เกรงใจ แต่น้องอยากพาไป งั้นไม่ขัดศรัทธาคะ จัดไป นัดแนะเวลากันประมาณ 08.30 ที่หน้าร้าน น้องก็ขับรถมารับ พาไปวัด Kek lok si , กินข้าว , ท่าเรือ Jetty , แวะซื้อของฝากนิดหน่อยก่อนกลับ
16.00 น. รถตู้พาเรามาถึงหาดใหญ่ จากนั้นก็นั่งเครื่องจากหาดใหญ่ - กทม ถือว่าจบทริป เย้ !
ขอบคุณที่ติดตามคะ : Thank you 🙏🏻
www.wego
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.00 น.