ทริปนี้เกิดขึ้นก่อนวันมาแค่ 2 วัน เพราะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินคือรถเพื่อนถูกชน ทริปที่จะไปเลยต้องยกเลิก ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน และต้อคิดทริปขึ้นมาว่าจะไปไหนแทน ภายใน 1 คืน (เพราะยังไงก็ขอหยุดงานกันมา 5 วันละ ต้องได้เที่ยวสิแกร ) และผลสรุปที่ได้คือ ไปกาญจนบุรีกันมั้ยละ (ถึงชั้นจะไปมา 2 รอบแล้วก็เหอะ ) เมื่อเพื่อนบอกโอเค ไป ก็ ปะ ! เก็บกระเป๋ากัน เห้ย ! ง่ายๆแบบนี้เลย เอาแบบนี้แหละ คิดเยอะก็ไม่ได้ไปกันพอดี อ้อ! เนื่องจากความกะทันหัน ทริปนี้จึงโนแพลนจริงจัง มีแค่แพลนคร่าวๆที่คาดว่าจะไปหาข้างหน้าเท่านั้นค่ะ

กาญจนบุรี : เป็นอีกจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติและเรื่องราวของประวัติศาสตร์มากมาย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ได้มา คาดว่ามาครั้งนี้จะเก็บสถานที่ที่ยังไม่ไปให้ครบสักที เริ่มกันเลย . . .

Day 0-1 : เริ่มต้นทริปที่ขอนแก่น ด้วยความเลิกงานตอนเย็น เราก็นั่งรถทัวร์จาก ขอนแก่น ไป กทม (ราคาตั๋ว 487฿ ) เดินทางเวลา 23.15 น. ถึง กทม ประมาณ ตี 5 เกือบ 6 โมงเช้า จากนั้นต่อรถตู้ที่หมอชิต ไปกาญจนบุรี ด้วยตั๋วราคา 120฿ นั่งรถตู้ประมาณ 2 ชม. ก็ถึงกาญจนบุรีประมาณ 08.00 น.


พอถึงปุ๊ป เราลงที่ บขส หารถต่อไปหาที่พัก ที่พึ่งเสิร์ชหาจากเว็บตอนอยู่บนรถตู้ จับจูด (ภาษาอีสาน แปลว่า ไม่ได้เตรียมตัวเลยหาทางแก้พอให้ผ่านๆไป) มากบอกเลย ณ จุดนี้ 555 เราเอาที่พักที่เสิร์ชได้ให้พี่คนขับดูว่า ไปที่นี่อะค่ะ พี่เค้าก็พาไปโลดดดด ค่าสองแถวเหมาไปที่พัก 100 ฿ ถึงปุ๊ปก็ติดต่อที่พัก Warmwell hostel ยังมีห้องว่างอยู่ คืนละ 690฿ ซึ่งพี่เค้าก็ใจดีไปอีกลดให้ เหลือ 650฿ นี่ยังไม่ได้ต่อเลยนะ ขอบคุณนะคะ 🙏🏻


จากนั้นได้ที่พักละ ก็หาเช่ารถ ได้มาในราคา วันละ1000฿ มัดจำ 3000฿ ค่าน้ำมันต่างหาก พอได้รถแล้วก็โลดแล่นได้ค่าาา (แต่จะบอกว่าถ้าจะเช่ารถควรโทรติดต่อร้านโดยตรงจะได้ราคาถูกกว่า ไม่ควรให้รถสองแถวพาไป เค้าจะคิดเพิ่มนะจ๊ะ นี่โดนมา!! แต่ต่อราคาพี่เค้าให้เหลือ 1000฿ (จากราคา1100฿) ถ้าโทรติดต่อเองจะได้ในราคา 900 ฿ แหละ)

Let's go . . .

นั่งรถไฟไปน้ำตก : ใครๆก็นั่งรถไฟฟรีไปกาญ เค้าว่าวิวดี อะไรดี เราก็อยากจะไปมั่ง แต่จะให้นั่งไปจากกรุงเทพเลยก็เกรงว่าจะเสียเวลาเพราะต้องหาที่พักด้วย เราก็เลยไปขึ้นรถไฟที่กาญซะเลย วิวก็น่าจะได้เหมือนกัน ใช้เวลาประมาณ 2 ชมกว่าๆ ถึงสถานีน้ำตก(สถานีปลายทาง)ก็ถือว่าโอเคเลย ที่สำคัญ คือ ตั๋วฟรี!! เพียงแสดงบัตรประชาชนจ้า












พอถึงสถานีถ้ำกระแซ ทุกคนก็กรูกันไปถ่ายรูป จุดที่เรียกว่า 'มาเพื่อสิ่งนี้' ก็สวยงามตามท้องเรื่องมีความอิงประวัติศาสตร์กันไป นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะลงสถานีนี้กัน แต่เราจะไปลงสถานีน้ำตก ซึ่งก็คือปลายทางค่ะ เวลากลับก็จะมีรถบัสบริการ รึไม่ก็รอกลับรถไฟก็ได้ (รอบสุดท้ายคือ ออกจากสถานีน้ำตก 15.30 น.)

นี่คืออาหารมื้อแรก เมนูที่สั่งมาก็จะหน้าตาประมาณนี้ ผักหวานผัด ยำรวมมิตร ปลากล้วยทอด น้ำมะนาวโซดาให้ชื่นใจดับร้อนสักหน่อย มื้อนี้ก็หมดไป 500 บาท โดยรวมแล้วก็ถือว่าโอเค


กินข้าวเสร็จก็เที่ยวต่อ เหมารถไปช่องเขาขาดในราคาไป-กลับ 600 ฿ ทีแรกก็กะจะไม่ไปละ เราว่าราคามันค่อนข้างแรงอยู่สำหรับการมา 2 คน แต่ในเมื่อมาแล้วก็เอาให้สุดคะ ไปคะ เอาก็เอาวะ ! พอขึ้นรถเท่านั้นแหละ ฝนก็เริ่มตกลงมาทันที เอิ่มมม . . . คิดถูกรึคิดผิดเนี่ยเช่ารถมา 600฿ เลยนะ ใครก็ได้ปักตะไคร้ที please !!

ใช้เวลาประมาณ 30นาที ก็มาถึงคะ ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ให้ชมด้วย เข้าชมฟรี !! เดินลงไปตามทางเดินประมาณ 400 เมตรก็จะถึงบริเวณช่องเขาขาด ระหว่างทางก็ถ่ายรูปกันไปพลางๆ แนะนำว่าควรใส่รองเท้าผ้าใบมาเพราะบริเวณทางเดินข้างล่างจะเป็นหินซะส่วนใหญ่ ถ้าใส่รองเท้าแตะน่าจะเดินลำบากนะคะ ถึงระยะทางจะ 400 เมตรก็เหอะ ขาไปก็ไม่เท่าไร ขากลับนี่สิ ถึงจะไม่ไกลมาก แต่ทำไมเหนื่อยอะ(รึว่าแก่แล้ว?) รู้เลยว่าเก้าอี้ระหว่างทางนี้มันมีเพื่ออะไร นั่งพักแปป !!




พอเราเดินเสร็จก็ขึ้นมาชมพิพิธภัณฑ์ต่อสักพัก พอออกมากำลังจะกลับ ฝนตกซะงั้น !! โชคดีที่ก่อนมาคุณลุงพาเราไปเปลี่ยนรถเป็นรถเก๋งก่อนเพราะคิดว่าฝนน่าจะตก ถ้าเรานั่งกระบะมาคงเปียกแน่ๆ จากนั้นคุณลุงก็มาส่งเราขึ้นรถที่ป้ายรถบัสหน้าน้ำตกไทรโยคน้อย (ปล.เราไม่ได้แวะน้ำตกไทรโยคน้อยนะคะ เค้าบอกน้ำไม่มี แต่ถ้าจะมาจากสถานีรถไฟน้ำตก จะมีรถบริการค่ารถคนละ 20฿) เพื่อรอขึ้นรถบัสสีแดงกลับเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี รอประมาณ 30 นาที รถก็มาน่าจะรอบสุดท้ายพอดี ประมาณ 16.30 น. เรานั่งรถบัสมาลงหน้าสถานีรถไฟที่จอดรถไว้ จากนั้นกลับที่พักคะ ร่างกายต้องการการนอนหลับ Z z z

ตื่นมาอีกทีก็ 20.30 น. ความหิวโหยของกระเพาะก็ทำงานทันที หาร้านอาหารด่วนๆค่ะ เสิร์ชหาร้านอาหารแถวๆที่พัก และก็ได้พิกัดมาคือร้าน Loft อยู่ริมแม่น้ำแควพอดี วิวน่าจะดีแน่ๆ ปักหมุด GPS แล้วไปเลยค่ะ อาหารที่สั่งก็ประมาณนี้ ฉู่ฉี่ปลาคัง ยำผักบุ้งกรอบ แล้วก็ไก่ผัดพริกไทยดำ ประมาณนี้ แต่ความจริงชื่อเมนูดูดีกว่านี้นะ แต่จำไม่ได้ แหะๆ




Day 2 : เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อวานพอควร เราจึงเริ่มทริปนี้ด้วยเวลา 09.30 น. 5555 จัดการ check out ละเดินทางต่อจ้า

ที่แรกที่จะไปวันนี้คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เนื่องจากไม่ไกลจากที่พัก ซึ่งเป็นการมารอบที่ 3 ของเราละ แต่เพื่อนยังไม่เคยมา ต้องพาเพื่อนแวะสักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง



ที่ต่อไปคือสุสานทหารสัมพันธมิตร อีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ตอนไปน่าจะเช้าอยู่เลยยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไร มีแค่เรา โล่งโปร่งสบาย เดินดูศึกษาประวัติศาสตร์กันไปสักเล็กน้อย


จากนั้นก็เดินทางไปต่อที่ หมู่บ้านกสิกรรม อำเภอด่านมะขามเตี้ย ที่ตั้งของต้นจามจุรียักษ์ ซึ่งเป็นอีกที่ที่อยากมามากๆ อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าจะใหญ่แค่ไหน ปักหมุดตาม GPS มา อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ถนนดี เดินทางได้สะดวก มีต้นไม้รายรอบตลอดทาง ประหนึ่งกำลังเข้าป่า เลยถือกำเนิดชื่อทริปขึ้น คือ 'ตำป่าตำดงแอทกาญจนบุรี' ต้นจามจุรียักษ์ถือเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของกาญจนบุรีเลยที่ควรมา เพราะมันใหญ่มากกกกกกกกกก(ก.ไก่ล้านตัว) จริงๆ เห็นแล้วถึงกับต้องอุทานว่า ขุ่นพระ !!! ใหญ่ไปอีกกกก !! ก็ถ่ายรูปกันไปยาวๆจนสาแก่ใจ 555




สถานีต่อไปค่ะ . . . คือ ร้านกาแฟ จากการหาข้อมูล ร้านกาแฟที่ใกล้เคียงกับที่ที่เราจะไปคือ "บ้านกาแฟ" ตั้งอยู่ถนนเส้นทางไปน้ำตกไทรโยคน้อย-สังขละบุรีพอดี


เมนูที่สั่งมีเครปเค้ก 1 ชิ้น ชาเขียว 1 แก้ว กาแฟ 1 แก้ว (ทั้งหมด200฿) บรรยากาศภายในร้านร่มรื่นมาก ต้นไม้เยอะดีคะ ชอบบบบ ~







ถัดจากร้านกาแฟเพียงไม่กี่เมตร ก็จะเจอกับเมืองมัลลิกา ร.ศ.124 สถานที่ที่ให้เราย้อนเวลาสู่อดีต ทั้งบรรยากาศและการแต่งตัว ไหนๆก็มาทั้งทีค่ะ ต้องแวะ!!


เราจัดการซื้อตั๋วและเช่าชุดในราคา 350฿/คน ตั๋วจะมีหลายแบบหลายราคาให้เลือก เราใช้เวลานานพอสมควรที่เมืองมัลลิกา เช่าชุดมาแล้วก็ต้องถ่ายให้คุ้มนิดนึงอะเนอะ และสถานที่ก็กว้างมากที่ถ่ายรูปเยอะจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่รักการถ่ายรูปมากๆคะ แต่ถ้าใครอยากจะได้บรรยากาศแบบ full option เค้าก็มีนะคะทั้งชมการแสดงโขน และรับประทานอาหารเย็นไปด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเยอะๆ อยากได้บรรยากาศไทยแบบเต็มๆ



เราออกจากเมืองมัลลิกาประมาณ 15.00 น. ขับรถต่อไปถนนเส้นน้ำตกไทรโยคน้อย จะมีทางแยกเลี้ยวขวาไปยัง อำเภอศรีสวัสดิ์ เพื่อไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ ระหว่างทางก็ขับไปฝนก็ตกไปหยุดไปแล้วแต่ช่วง เป็นช่วงแห่งการลุ้นมากว่าพอถึงเขื่อนจะตกมั้ย ทางเราได้แต่ภาวนาขออย่าให้ฝนตกตลอดทาง ประมาณ 4โมงเย็น ก็มาถึงบริเวณสันเขื่อนศรีนครินทร์ ฝนยังไม่ตกคะ แต่ที่หนักกว่าคือ แบตกล้องหมดค่ะ !!! หึหึ 😒 งานเข้าละ ทำไงละทีนี้ หาที่ชาร์จด่วนๆ เลยเราก็เลยไปขอชาร์จแบตกับคุณพี่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว คุณพี่ก็ใจดีให้ชาร์จ หาที่นั่งให้เสร็จสรรพ น่ารักมากค่ะ


ระหว่างนั่งรอฝนก็ลงเม็ดมาบ้างประปราย ชาร์จแบตไปเกือบๆชั่วโมง ก็ขอบคุณพี่เค้าละก็ออกมารับลมชมวิวเก็บภาพบรรยากาศดีดีไว้ในความทรงจำกันค่ะ (บริเวณสันเขื่อนจะปิดให้บริการ 18.00 น. เพื่อความปลอดภัยนะคะ เพราะระหว่างทางขึ้นมาต้องขึ้นเขานิดหน่อย แล้วก็ระหว่างทางขึ้นมาเลี้ยวซ้ายจะเป็นน้ำตกเอราวัณพอดี เนื่องจากไม่มีเวลาจึงไม่ได้แวะ



สุดท้ายของวันนี้ มุ่งหน้าสู่ที่พัก คือ The forest resort : ที่พักแพริมน้ำบรรยากาศดีสุดๆ ที่พักจะมีบริการเล่นน้ำล่องแพ เวลา 15.30 น. แต่ด้วยความที่เราไปถึงค่ำเลยอดเล่นน้ำค่ะ แต่ไม่เป็นไร ขอแค่เก็บรรยากาศก็โอละ ที่พักคืนละ 1000฿/คน/คืน มีอาหารให้เช้า+เย็น แบบบุฟเฟ่ บริเวณห้องพักไม่มี wifi จะมีแค่บริเวณเคาท์เตอร์ check in ห้องพักมีแอร์ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีฟิตเนส สระว่ายน้ำบริการ












Day 3 : วันสุดท้าย ตื่นเช้ามาพร้อมวิวดีๆ หมอกจางๆ แบบฟินๆ ไม่อยากกลับเลยยย ~ แค่คิดว่าจะต้องกลับไปทำงานก็เหนื่อยไว้รอละ 555 ก่อนกลับเรามาทานอาหารเช้าบุฟเฟ่ของทางรีสอร์ท จากนั้นจึง check out ละก็ออกเดินทางกลับสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี แต่ก่อนที่จะได้กลับ มีความงานเข้าคือ . . . แบตรถหมดจ้าาา สตาร์ทรถไม่ติด เพราะอะไร ?? เพราะเมื่อวานมาถึงค่ำ หิวข้าว หน้ามืด ตาลาย รีบมากจนลืมปิดไฟหน้ารถ แบตหมดเกลี้ยงเลย เลยได้ไปขอความช่วยเหลือพี่เจ้าของที่พัก ตามคนมาช่วยจั๊มแบตเตอรี่ (ขอบคุณมากๆนะคะ) เสียเวลาไปนิดหน่อย แต่ก็โอเคถือเป็นประสบการณ์ละกันนะ 5555


หลังจากขอบคุณพี่ๆใจดีที่มาช่วย เราก็ขับรถสู่ตัวเมืองกาญจนบุรีโดยบรรยากาศแบบแอร์ธรรมชาติ(เปิดหน้าต่าง) ดีนะที่ยังเช้าอยู่ เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่รถยนต์ และก็ห้ามดับเครื่องด้วยเพราะเดี๋ยวสตาร์ทไม่ติด ต้องให้แบตชาร์จไปสักระยะก่อน

จากนั้นก็จัดการคืนรถ แล้วก็ไป บขส เพื่อนั่งรถตู้กลับ กทม. โดยสวัสดิภาพ

จบทริปแบบงงๆ ละก็มาแบบงงๆเช่นกัน

ขอบคุณที่ติดตามนะฮะ 🙏🏻

สวัสดี . . .

บัย 👋🏻

ปล. งบตัวเองล้วนๆ ไม่มีสปอนเซอร์นะคะ

ความคิดเห็น