น่านไงล่ะ เป็นจังหวัดที่อยากไปนานมากแล้วค่ะ ชวนเพื่อนไปก็ไม่มีใครว่างซักที วันดีคืนดีเหงาๆ นอนโง่ๆในห้อง เปิดดูตั๋วเครื่อง

บิน ตอนไม่โปรด้วยนะจ๊ะ แต่ใจเรียกร้องอยากไป จัดซะเลย!

พอจองตั๋วเครื่องบิน ก็ต่อด้วยที่พักโดยวางแพลนในหัวคร่าวๆก่อนว่าจะไป ปัว เพื่อไปดูทุ่งนาเขียวขจี ไฮไลท์ของอำเภอปัว

เลย และวันที่สองไป อุ่นไอมาง ณ สปัน วันที่สามและวันสุดท้ายเก็บตกเที่ยวในเมือง และค่อยบินกลับกรุงเทพรวมทั้งหมด

4 วัน 3 คืน

วันแรกไป ปัว ดูนาข้าว สีเขียวจ๋าพี่มาแล้ว

เราเดินทาง ศุกร์ที่ 30 กันยายน ขึ้นเครื่องตอนประมาณ 7 โมงกว่าๆ เรียกพี่แท็กซี่ไปถึงก่อนเวลาเกือบชั่วโมงก็นั่งรอใน gate พอ

ถึงเวลาก็บินโลดดดด

ตอนขึ้นเครื่องก็แอบตื่นเต้นเพราะเดินทางคนเดียวจะเหงาไหมหว่า แต่ก็นะเริ่มต้นแล้วต้องไปต่อ! ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที

ก็ถึงจังหวัดน่านแล้ว ตอนนั่งบนเครื่องใกล้ลงเห็นวิวแบบดีต่อใจ คือมันเขียว และ ไม่มีตึกสูง ความตื่นเต้นสูบฉีดไปอีก (แอบ

เสียดายไม่ได้ถ่ายมา)

มาถึงจังหวัดน่านแล้วจ้า เราเดินมาถามพี่ information ว่าจะไปสองแถวตรงไหนที่จะไปปัว คือเราหาข้อมูลมาเหมือนกันว่าให้

เดินไปข้างหน้าสนามบินและข้ามถนนรอรถสองแถวสีฟ้า สายน่าน ปัว แต่ดูห่างไกลเหลือเกิน 555

เราเลยตัดสินใจให้สองแถวหน้าในสนามบินไปส่งท่ารถ ซึ่งมันคือการอ้อมจ้า555 ถือว่าเที่ยวในตัวเมืองไปก่อนละกัน ดูนั่นนี่ โดนไป 60 บาท 555555 แต่ก็ได้แวะกินข้าวก่อนตรงท่ารถ และก็นั่งรถสองแถวสายน่าน-ปัว 50 บาท ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง

อ่อ! ตอนเราไป เค้าทำทางด้วยนะไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ พกมาสก์ปิดปากไปด้วยก็จะดี

นั่งมาซักพักเริ่มเห็นทุ่งนาแล้ว ในใจมันแบบเห้ยฟินอ่ะ ที่อยากมาเพราะสิ่งนี้ และก็ได้มา นี่ขนาดยังไม่ถึงตัวอำเภอปัว

แบบเต็มๆนะ ถ้าได้ไปดูที่ไฮไลท์จะฟินขนาดไหน



ทุ่งนาที่เราเห็นก่อนเข้าปัว ฟินไหมมมม ฟิน!!!

พอถึงอ.ปัว คุณพี่สองแถวจอดให้เราลงตรงแยกสุเกียว ใกล้กับที่พักด้วย เราพักที่ กรีนฮิลล์รีสอร์ท

เพราะว่าสะดวกใกล้กับท่ารถสองแถวที่จะไป อุ่นไอมาง สปัน

เรานอนพักเอาแรงก่อนงีบหนึ่ง พอซักประมาณบ่ายโมงก็ออกแว๊น (ไม่ได้แว๊นเอง จ้างพี่วินฯไปส่งตามที่เราอยากไป)

เริ่มที่แรกเลย.... วัดภูเก็ต ไฮไลท์ของอำเภอปัว ทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา สวยแบบในภาพไหมต้องไปดู

ทำไมหนูเขียวแบบนี้ล่ะลูก!!!


มาคนเดียวถ่ายเท้าตัวเอง แบบฮิปสเตอร์ 55

แต่งตัวให้เข้าธีม เสื้อลายสก็อต วางกล้องไว้ตรงทางเดิน 55

ทุ่งนาของหนู :P ฟินมาก :)

หลังจากที่เพลิดเพลินไปกับทุ่งข้าวซักพัก เราก็เรียกพี่วินให้ไปรับเราเพื่อไปต่อที่ บ้านกาแฟไทลื้อ

ใกล้ๆกันตรงด้านหน้าร้านขายกาแฟ จะขายผ้าทอ ชุดแนวชาวเขา ชุดละ 200 - 250 บาทถูกดีค่ะ

ส่วนตัวร้านกาแฟจะตกแต่งเป็นไม้ๆ มีที่ให้นั่งพักเป็นไม้ไผ่สาน มีเบาะนั่งสบายเชียว แต่เสียดาย =^= แบตกล้องหมด

มือถือก็ถ่ายไม่สวย เลยอดเลย (คราวหน้าต้องไปซ้ำ) สำหรับค่าเครื่องดื่มก็ไม่แพงค่ะ 40 - 50 บาท

เทียบกับรสชาติและวิวโดยรวม คุ้ม!!

เราให้พี่วินมารับจากกาแฟไทลื้อเพื่อไปที่พัก เนื่องจากฝนตั้งเค้ามาแล้ว เลยไม่ได้ไปฟาร์มเห็ดหัวน้ำต่อ สรุปค่าโดยสารคุณพี่คิดเราทั้งหมด 130 บาท ก็โอเคนะ เพราะระยะทาง 2 ที่มันค่อนข้างไกลกัน และ ไกลจากที่พักด้วย

ข้าวเย็นของเราวันนี้เลยโดน ไก่ย่างห้าดาว+ข้าวเหนียวไป 555555555 อิ่มอร่อยทั่วไทย และก็เข้านอน


วันที่ 2 Let's go to อุ่นไอมาง ณ สปัน

เราตื่นแต่เช้า ตี 5 ครึ่ง แต่ฝนตกจ้า 5555 คือแบบภาวนามากว่า หยุดตกเถิด หรือ ตกปรอยๆก็ได้

เพราะต้องเดินไปท่ารถไง ถ้าตกหนักเกินไปจะเดินออกไปไม่ไหว และฟ้าก็เหมือนเป็นใจให้เรา

ฝนเริ่มซาตอนประมาณ 6 โมง ประมาณ 6 โมงครึ่งเราออกมากินบุฟเฟ่ต์ พี่ๆที่เตรียมอยู่บอกทำไมออกเช้าจัง

เราตอบไปว่า กลัวไม่ทันรถเที่ยวแรก เพราะว่ารถปัว - บ่อเกลือ มีสองรอบชัวร์ๆ คือ 7.30 กับ 9 โมง คือถ้าหลังจากนี้ต้องเหมา

เราถึงท่ารถ 7 โมงเช้า ตัวท่ารถอยู่เลยสามแยก ก่อนถึงตลาดปัวค่ะ ฝั่งตรงข้ามท่ารถจะมีปั๊มน้ำมันอยู่ ไม่ต้องกลัวหลงเพราะมีศาลาท่ารถอยู่ ท่ารถปัว-น่าน (ตอนกลับตัวเมืองก็ขึ้นตรงนี้ค่ะ)

คุณพี่เจ้าของรถที่เราจะไปชื่อ พี่สมัคร เราตกลงราคาว่าจะไป อุ่นไอมาง ณ สปัน ซึ่งเลยบ่อเกลือไปอีก พี่เค้าคิดเรารวมเป็น 180

บาท คือปกติค่ารถ ปัว-บ่อเกลือ คิด 80 บาท แกคิดเพิ่มเราอีก 100 บาทค่ะ

ถึงเวลา 7.30 เป๊ะ รถก็ออกค่ะ เราได้นั่งหน้าเลยสบายหน่อย คุณพี่สมัครก็บริการดีมาก แวะให้เราถ่ายรูปนิดนึง แต่นานมากไม่ได้

เพราะไม่ได้เหมา ทางตลอดเส้นทางมันดีต่อใจมากเลย เจอทะเลหมอกด้วย อากาศดีมาก รักมาก เขียวตลอดเส้นทาง :)

เดินทางจากปัว - อุ่นไอมาง สปัน

ทะเลหมอก (หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้)

พอถึงบ่อเกลือคนก็เริ่มทยอยลง เหลือเราคนเดียว นั่งต่อไปอีก 8 กิโลก็ถึง สปันค่ะ ถ้าเลยไปอีกก็จะเจออำเภอเฉลิมพระเกียรติค่ะ

เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึง อุ่นไอมาง ณ สปัน แล้ว

วิวทำเรากรี๊ดในใจมาก คือแบบดีต่อใจสุดๆ คือเราชอบอารมณ์ที่ยอมนั่งรถมาไกล แต่ว่าปลายทางมันสวย คุ้มค่ากับที่มา


วิวจากที่เรานั่งทานข้าวเช้าค่ะ

เรามาถึงก็เจอกับป้าจิน ที่ดูแลบ้านอุ่นไอมางค่ะ ป้าจินชวนเราทานข้าวเช้าก่อน เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวสาว 2 คนก็กำลังจะทานและเช็คเอาท์พอดี เราเลยได้แจมด้วย

ข้าวเช้าที่ป้าจินลงมือทำคือ ข้าวต้มกุ้งแห้ง ปลาหมึก ไข่ดาว ไส้กรอกทอด และขนมหวาน

อร่อยดีแฮะ คือเหมือนมาเที่ยวบ้านญาติ และ ญาติทำข้าวต้มให้ทาน เราเลยจัดมาอย่างละนิด อย่างละหน่อย

เพราะไปถึงก็เริ่มแอบหิวนิดนึงเหมือนกันค่ะ

วิวทานข้าวเช้าที่หาไม่ได้ในกรุงเทพ :)

ขนมที่ไว้ต้อนรับแขกของอุ่นไอมาง ณ สปันค่ะ

ป้าจินให้เรานั่งเล่นไปก่อน เพราะป้ายังไม่ได้เคลีย์กระโจมที่พักของเรา เราเลยขอยืมจักรยานมาปั่นรอบๆ หมู่บ้าน แวะตรงวิวสะพาน ที่หลายคนถ้าไปต้องแวะถ่าย เราเลยขอซะหน่อย หยิบขาตั้งกล้องพร้อมถ่าย


เหล่าสมุนที่อุ่นไอมาง ตามเรามาด้วย

ในหมู่บ้านสปัน เป็นหมู่บ้านเล็กๆค่ะ ไม่มีอะไรมาก แต่วิวสวยมาก แค่เห็นภูเขา ก้อนเมฆชัดๆก็ฟินแล้ว

เรากลับมาที่พัก นั่งอ่านการ์ตูนชินจังที่เค้ามีวางไว้ จบไป 2 เล่ม ป้าจินก็ให้เราเข้าไปพักในกระโจมได้

ที่พักของเราเป็น กระโจมผ้าค่ะ 600 บาท/คืน นอนสบายมากเลยค่ะ ตอนแรกก็แอบกังวลเพราะไม่มีที่ล็อก

แต่ป้าจินบอกว่าไม่ต้องกลัว คนที่นี่น่ารัก ไม่มีคนอันตราย และป้าจินก็พักอยู่บ้านข้างๆนี่แหละ เราก็เลยขอตัวไปนอนหลับงีบนึง

เพราะเมื่อเช้าตื่นเช้ามาก

ภายในกระโจมที่เรานอนค่ะ สีสันสดใส หลับสบายมาก

พอตื่นมาก็เจอกับพี่ๆ นักท่องเที่ยวสาว 2 คน มาจากกรุงเทพเหมือนกัน เลยได้นั่งคุยกันว่ามาจากไหน

พี่เค้าตื่นเต้นกับเราใหญ่ที่เรามาคนเดียว 55555 จะว่าไปตั้งแต่มานี่หลายคนทักตลอด ทำไมมาคนเดียว ไม่มีเพื่อนหรอ

มีค่า!! แต่เพื่อนไม่ว่าง เลยมาคนเดียวซะเลย แต่เราก็ชอบนะ เพราะได้เจอคนดีๆตลอดทริปเลย แม้จะรู้จักแค่วันเดียว

แต่ต้องมาอยู่ในสถานที่ที่มีแค่ ฉัน กับ เธอ มันเลยทำให้คุยถูกคอไปโดยปริยาย

ก่อนจะได้ทานข้าวเย็นในตอนกลางคืน เรารีบไปอาบน้ำก่อน เพราะตอนกลางคืนต้องเย็นแน่ๆ

ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมค่ะ สะดวก มีที่เป่าผมให้ด้วย แต่ถ้าใครจองเป็นห้องพัก จะมีห้องน้ำส่วนตัวให้ค่ะ

ตอนกลางคืนป้าจินเอาข้าวเย็นมาให้ ป้าจินลงทุนไปเด็ดผักหวานสดๆมาทำกับข้าวให้เราเลย อร่อยมาก

เราตกหลุมรัก น้ำพริกปลาทูใส่มะแขว่นของป้าจินมากค่ะ ถ้าใครสนใจทานข้าวเย็นฝีมือป้าจิน ป้าคิดเพิ่มจากที่พักหัวละ 120 บาท

อาหารมื้อนี้มีผักหวานผัดน้ำมันหอย ไข่เจียว น้ำพริกปลาทูใส่มะแขว่น ผักสด ผักลวก ไข่ต้ม ไก่ทอด

หลังจากทานเสร็จก็ขอตัวนอนค่ะ เพราะพรุ่งนี้เรานัดพี่สมัครคนเดิม มารับเราตอน 8.30 ค่ะ

ตอนกลางคืนฝนตก ทำให้อากาศเย็นสบายมาก ไม่ต้องพึ่งแอร์เลย ลมธรรมชาติล้วนๆ

นอนหลับสบายแบบไม่มีฝัน เรียกได้ว่า หลับลึก Zzzzz


วันที่ 3 เข้าเมืองน่านกันเถอะ :)

เราตื่นเช้าเหมือนเดิมค่ะ ตื่นมาตอน 6 โมงเช้า ลงไปอาบน้ำ และขึ้นมาแต่งตัว เก็บของเตรียมไว้

เห็นป้าจินเตรียมอาหารเช้าอยู่ยังไม่เสร็จ เลยเดินไปตรงสะพานเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันฟินกว่าเดิมค่ะ

เพราะว่าหมอกหนามาก อยากเอาน้ำแดงไปราดตรงก้อนเมฆ 555

เดินกลับมาอีกที ป้าจินทำกับข้าวเสร็จพอดี เป็นข้าวต้มเหมือเมื่อวานเลยค่ะ และมีผัดผักกาดกรอบๆอร่อยให้ด้วย

ขนมไทยก็มีเหมือนเดิม เราเลยจัดไปซะอิ่มพุงกาง ป้าจินเอาเสาวรส สดๆมาให้เราทานด้วย อร่อยมาก หอมมากด้วยค่ะ

ทำให้เราติดใจ ตามไปซื้อกินในห้างตั้งแต่กลับมากรุงเทพฯ 555

อ่อ ก่อนกลับเราเอาภาพระบายสีให้ป้าจินด้วยค่ะ เพราะทริปนี้เราตั้งใจว่าจะเอาสมุดระบายสีไปด้วย และระบายสี เขียนความในใจให้กับคนที่เราเจอในทริปนี้ ป้าจินดีใจใหญ่ เข้ามาหอมแก้ม และบอกว่าถ้าหนูกลับป้าต้องแอบเหงาแน่ๆ

เท่านั้นแหละ น้ำตาเรามาเลย 5555 คือแปลกใจนะที่รู้จักกันไม่เท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าป้าแกน่ารักมาก เหมือนญาติเราคนนึงเลย

ก่อนกลับเราเลยขอถ่ายรูปคู่กับแกซักภาพไว้เป็นความทรงจำค่ะ

แถมก่อนกลับแกยังรีบวิ่งไปตัดส้มโอที่บ้านแกมาปลอกให้เราทานบนรถ ไม่รักก็บ้าแล้ว :)

อาหารเช้าของป้าจิน

เสาวรสของป้าจิน

ระบายสีให้ป้าจิน

ป้าจินกับเราเอง

เราเดินทาง 2 ชั่วโมงเหมือนเดิมค่ะ ก็มาถึงปัว และก็ต่อจากปัวไปตัวเมืองน่าน ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง

มาจอดตรงศูนย์ท่องเที่ยวประจำจังหวัดน่าน ที่อยู่ตรงข้ามกับวัดภูมินทร์ค่ะ เราแวะซื้อชาเขียว และซื้อโปสการ์ดเป็นที่ระลึก

และข้ามไปที่ วัดภูมินทร์ แวะถ่ายรูป กระซิบรักบรรลือโลก ที่เป็นไฮไลท์ของน่าน เรียกว่าถ้าไม่ได้มาถ่ายเหมือนมาไม่ถึง




วัดภูมินทร์ กระซิบฮักเมืองน่าน

และเราก็เดินมาที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน แต่เสียดายเค้าปิดปรับปรุงค่ะ เลยได้ถ่ายแต่ด้านนอกอย่างเดียว

เราเจอนักท่องเที่ยวกรุงเทพอีกแล้ว เลยขอให้เค้าถ่ายรูปกับต้นไม้ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ให้ค่ะ

คนไทยใจดี อิอิ


มาคนเดียวเลยต้องขอคนใจดีช่วยถ่ายรูปให้

ท้องเริ่มหิว เราแวะทานข้าวซอย ร้านข้าวซอยต้นน้ำ สั่งข้าวซอยไก่ไป 1 ชาม อร่อยไม่แพง แถมเจ้าของร้านใจดีด้วยค่ะ

ข้าวซอย ดีต่อใจ

หลังจากทานเสร็จก็ โทรเรียกเจ้าของที่พักมารับค่ะ เราพักที่ ซันดาราเกสท์เฮาส์ ที่พักน่ารักมากออกแนวอาร์ทๆ มีประมาณ 5 ห้องพัก ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือ มีกระต่ายเต็มไปหมดเลยค่ะ เพราะพี่เจ้าของจบวิจิตรศิลป์ที่ มช. และทุกผลงานศิลปะจะมีกระต่ายเกี่ยวข้อง และมีจักรยานให้เช่าด้วยนะคะ



Sundara guest house

หลังจากถึงที่พักเราก็ของีบเอาแรง เช่นเคย 5555 ตื่นมาก็หิวพอดี แต่ฝนตกจ้า อดไปถนนคนเดิน

เลยต้องรอให้ฝนหยุด และปั่นจักรยานมาหาอะไรง่ายๆทาน อย่าง สเต็กเนื้อ (ง่ายตรงไหน 55555)

อิ่มท้องก็ปั่นจักรยานกลับที่พัก เตรียมระบายสีให้พี่เจ้าของ ที่จะให้เป็นของที่ระลึกในวันพรุ่งนี้ แต่คราวนี้ต้องโชว์ฝีมือหน่อย

พี่เค้าจบศิลป์มานี่เนาะ 55555


วันที่ 4 เก็บตกเมืองน่าน และ โบกมือลา

วันนี้เราตื่นสายได้เพราะไม่ต้องเร่งรีบอะไรมาก เราตื่นมาก็อาบน้ำ แต่งตัว ปั่นจักรยานไปตามทางเรื่อยๆ

ก็มาหยุดที่ร้าน Sweety 9 ขายอาหารเช้า และ เครื่องดื่ม

เลยจัด สลัดไส้อั่วไป 1 ที่ อร่อยอะ อร่อยแบบไส้อั่วดีงาม แต่!ยังไม่พอ ต้องไปต่อที่ข้าวซอยต้นน้ำอีก

รอบนี้จะจัด เกาเหลาซอยเนื้อ 55555


สลัดไส้อั่ว ร้าน Sweety 9

เกาเหลาซอยเนื้อ ข้าวซอยต้นน้ำ

หลังจากอิ่มคาวแล้วก็ปั่นจักรยานไปต่อที่ร้าน ขนมหวานป้านิ่ม แต่ว่าร้านเปิด 11 โมง ซึ่งตอนนั้นยัง 10 โมงอยู่เลย

เราเลยปั่นต่อไปเที่ยวในเมืองรอบๆก่อน ตัวเมืองเที่ยวง่ายมากค่ะ เพราะที่เที่ยวจะอยู่ใกล้กันสามารถปั่นจักรยาน หรือ เดินเที่ยวได้

เสาพระหลักเมืองน่าน

วัดศรีพันต้น (อยู่ตรงข้ามร้านขนมหวานป้านิ่ม)

เรามองนาฬิกาเห็นว่า 11 โมงแล้ว เลยปั่นจักรยานมุ่งไปที่ ร้านขนมหวานป้านิ่ม อย่างด่วน เพราะเดี๋ยวจะต้องเช็คเอาท์ตอนเที่ยง

มาถึงร้าน ป้าในร้านบอกว่า มีแต่บัวลอยกะทิสดที่เสร็จแล้ว ก็เลยจัดมา 1 ถ้วย 30 บาท อร่อย กะทิไม่หวานเกินไป

ตาเหลือบไปเห็นไอติมทำเองลูกละ 25 บาท จัดมาค่ะ รสหม่อน กับ รสมะไฟ

รสหม่อน เปรี้ยวอมหวาน แต่ รสมะไฟ แปล่งๆอะ คือมันฟาดๆบ๊วยๆ อธิบายไม่ถูก

กินไม่หมด 5555

กินเสร็จก็ปั่นกลับที่พักค่ะ เพราะใกล้เวลา Check out แล้ว อีกอย่างจะให้พี่เจ้าของพาไปส่งที่สนามบินด้วย

พี่เจ้าของก็ใจดี พาเราไปที่พระธาตุแช่แห้งก่อนไปส่งที่สนามบิน เราก็ไม่ลืมที่จะหยิบภาพระบายสี ที่สุดแสนจะตั้งใจ

มาให้พี่เค้าเป็นที่ระลึกก่อนจะยกมือไหว้บอกลากันที่สนามบิน

พระธาตุแช่แห้งสำหรับคนที่เกิดปีเถาะควรมาไหว้ค่ะ

รูปที่เราให้พี่เจ้าของ Sundara guest house


จากทั้งหมด 4 วัน 3คืน เป็นประสบการณ์เที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวครั้งแรกของเรา เรียกได้ว่า ประทับใจมาก

และคิดว่าจะต้องมีอีกหลายๆทริปแน่นอน และอาจจะกลับไปน่านอีกครั้ง เพราะรักทั้งเมืองน่าน บรรยากาศ และผู้คน

ไว้มีโอกาสก็ลองไปเที่ยวน่านกันดูซักครั้งสิ ดีงามจริงๆ









ความคิดเห็น