ดอยหลวงเชียงดาวเมื่อคราวก่อน
เพราะความเป็นเมืองมันมากเกินไป ทำให้ต้องออกไปตามใจความรู้สึกของตัวเอง และก็ได้เเต่แอบหวังว่าความหนาวจะยังไม่หายไป ...
เหตุเกิดจากต้องเปิดหาไฟล์งานในคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า data (D:) ถูกไล่เปิดทีละ folder จนมาสะดุดกับโฟร์เดอร์หนึ่ง ใครจะรู้ว่าเพียงคลิกขวา open สิ่งที่ได้พบเห็นจะพรั่งพรูกลิ่นของดินเปียก ความชื้นของหญ้า และลมเย็น ๆ เหมือนพาเรากำลังอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง และได้แต่คิดว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับที่แห่งนี้ไว้เลยนอกจากภาพถ่าย “คำว่าสายน่าจะเป็นเพียงแค่แสงแดดของช่วงวัน” คงไม่ช้าเกินไปที่จะรำลึกถึง ยอดเขาอันดับสามแห่งสยามประเทศ เรื่องของเขา กับอารมณ์เหงา ๆ ของวันวาน…
1.บัตรเชิญ
พ.ศ. 2559 หลังจากได้รับการทาบทามเชิญชวนเข้าทริปด่วน ตั๋วที่นั่งใบสุดท้ายทำให้เราเอ่ยปากตอบรับการเดินทางครั้งนี้แบบไม่ต้องคิดอะไร ไม่รู้ซ้ำด้วยซ้ำว่าระหว่างทางจะเป็นแบบไหน ปลายทางนั้นจะสวยงามหรือแสนเบื่อหน่ายหรือไม่ การไปร่วมทริปกับเพื่อนสมาชิกใหม่ที่เราก็ไม่เคยไปกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ช่างปะไรนั่นมันเป็นแค่เรื่องของอนาคต ค่อยไปคิดตอนไปถึงก่อนก็แล้วกัน …
2.จั่วหัว
เหล่าสัมภาระ (ภาระ) ถูกบรรจุลงกระเป๋าแบบง่าย ๆ สไตล์กานต์เดินทางเหมือนทุกครั้ง (จริง ๆ มีของอยู่เท่านี้แหละ) เปิดหัวเรื่องแหวกม่านเปิดตัวบทละครนี้ด้วยการไปขึ้นรถผิดที่...เอาตั้งแต่เริ่มเลยเหรอนี่ ฤกษ์งามยามอาภัพ เราดันไปที่อู่จอดรถไม่ใช่ท่าขึ้นรถ ซ้อมเหนื่อยเดินเท้ากันไปต่ออีกเกือบกิโลเมตร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แรงมันเหลือเฟือ
เราเดินทางด้วยรถนครชัยแอร์ (ซ้อมหนาวแอร์เย็นมาก) กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จุดหมายเชียงใหม่ ไปตามถนนคอนกรีต (ที่ไม่ใช่คอ-นก-รีด) และเราก็พบความแปลกใหม่กับเทคโนโลยีบนรถ (ในปี2559) รู้สึกว่าตัวเองแอบบ้านนอกนิด ๆ สารวนอยู่กับจอทีวีขนาดเล็กสำหรับดูหนังฟังเพลงที่มีให้ที่นั่งละเครื่องอย่างสนุกสนาน เด็กน้อยเพลิดเพลินไปในไม่ช้า หนังตาก็พาเข้าสู่ความดำมืดในห้วงราตรี
3.เมืองเก่ากับคนใหม่
ที่นี่เจียงใหม่ (เราไม่ได้พิมพ์ผิดเราตั้งใจ) สภาพบ้านเมืองนั้นค่อนข้างเปลี่ยนไปมากพอสมควรหลังจากผ่านมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน พี่ในกลุ่มที่เป็นเเม่งานจัดแจงเหมารถเเดงไว้แล้ว ค่ารถไปกลับครั้งนี้ราว 2,000 บาท รถกระบะแบบสองแถวพาเราท่องทะยานไต่ไปตามความชันของถนนบนเขา เขาว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ถ้าทำท่าหาวหูที่อื้ออยู่จะค่อย ๆ บรรเทา (นั่นกำลังลองทำท่าหาวอยู่ชิมิ) สายหมอกหนาทึบค่อย ๆ เข้าปกคลุมถนน อากาศค่อย ๆ เย็นขึ้น โค้งแล้วโค้งเล่าทำเอาเหล่าสมาชิกของเราโคลงเคลงไปตามแรงเหวียงของรถ และในไม่ใช้ก็มีสมาชิกขอเจิมพสุธาด้วยการปล่อยอาหารเช้าเป็นทางยาวไปตามถนน
4.START
ที่ทำการเขตพืชพรรณฝั่งปางวัว เราเปลี่ยนจากรถแดงไปต่อกันด้วยรถกระบะแบบ 4x4 เพื่อไปยังทางขึ้นดอย ในไม่ช้าจุดเริ่มต้นของการเดินเท้าระยะทางกว่า 2,000 เมตร ก็กำลังจะเริ่มขึ้น เราไม่แน่ใจว่านิยามการพักผ่อนของแต่ละคนเหมือนกันแค่ไหน แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดที่ไหลเร็วกว่าทุกสรรพสิ่งมันบอกว่า “เรามาทำอะไรที่นี่”
แต่ป่วยการที่จะตั้งคำถามโง่ ๆ เพราะคนโง่อย่างเราได้เอาสองเท้าเหยียบบนพื้นดินตรงหน้านี้แล้ว ความท้าทาย การถูกยอมรับ หรืออะไรก็ช่าง เขาที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของสยามประเทศ สูงเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเขาหินปูน อะไรที่ได้มายากเขาว่ามักมีค่าเสมอ ไม่ว่าจะยังไงอย่างน้อยก็ได้เอามาโม้ในบทความนี้ที่ทุกท่านกำลังนั่งอ่าน หรือยืนอ่านอยู่นี้นั่นแหละ
5.หวานใจ
G-shock คู่ใจ บอกว่าตอนนี้เวลา 10:40 นาที เรายังเดินต่อไปบนทางดินตามเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า เเสงแดด สายลมพัดละอองเกสรหญ้าปลิวลอยละล่องในอากาศ เหล่าสมาชิกหยุดพักกันบ้างตามระยะทาง ลูกอมแบบหวาน และน้ำเปล่าที่ผสมเกลือแร่ช่วยให้เราฟื้นแรงได้อย่างดี และทันใดนั้นความเหนื่อยล้าเกือบจะจางหายไปเมื่อได้พบกับหญิงงามที่เราแอบรักมานานแสนนาน เจ้าพญาเสือโคร่ง (เเบบกากๆ ต้นนึง) เเต่เรากลับดีใจมาก ๆ เพราะเราไม่เคยเห็นต้นจริงๆ ของเขาเลยสักครั้ง คุ้มแล้วแก้วตาพี่มาเจอเจ้าที่นี่ เช่นเดียวกับผู้ร่วมชะตากรรมเดินเท้าที่ผ่านมาเจอกันโดยบังเอิญกับนักศึกษาแพทย์จาก ม.นเรศวร ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ และเรายังไม่รู้จักกัน : )
6.ดอยหลวงเชียงดาว
ไม่นานเกินวัน เราก็ถึงที่หมายในฝันเเบบเเถบขาดใจ เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง พาความเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้ามายังร่างกาย ขาสั่นริกริกตะคริวก้อนใหญ่คืบคลานไปที่ขาพอดีเมื่อถึงเส้นชัย บนที่แห่งนี้ไร้ซึ่งน้ำจืด ไร้ซึ่งไฟฟ้า รวมถึงห้องน้ำและสัญญาณโทรศัพท์ เเต่ก็นะเรามาที่นี่ก็หวังว่าจะพักและทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง “เส้นชัยเป็นเหมือนจุดที่บอกว่าเราสามารถหยุดพักได้สักครู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งนั้นจะจบสิ้นลง”
วางสัมภาระหน้าเดินหน้าต่อสู่ จุดสูงสุดของที่แห่งนี้ หรือหลายคนเรียกจุดมหาชน ณ “ยอดธง” ที่ ๆ เราและสมาชิกจะขึ้นไปสะบัดธงชาติไทยให้ปลิวไสว พร้อมกับดื่มด่ำไปกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่กำลังตกลงให้สาสมใจ
7.ช้างเผือกบนยอดเขา
กระโจมน้อยของชาวแก๊งเราถูกสร้างขึ้นเรียบร้อยแล้ว วางผังเป็นตัวยูเข้าเนินผา หันหน้าเต็นท์เข้าหากัน ยิ่งพลบค่ำ อุณหภูมิยิ่งค่อยๆ ลดต่ำลง สายลมพัดหอบความเย็นยะเยือกเข้ามาเสิร์ฟเราถึงที่ พอจะได้ไออุ่นบ้างจากกองไฟตรงหน้าที่จุดขึ้นเพื่อประกอบอาหารจากพ่อครัวรุ่นพี่ของชาวคณะเราที่กำลังเริ่มบรรเลงฝีมือ ทุกคนพร้อมใจกันว่า ต้องกินมันให้หมดเพราะเราจะไม่แบกอะไรลงไปอีก เราตั้งชื่อภาระกิจนี้ว่า “รีเจ๊ก”
อิ่มหนำกับอาหารและเพลิดเพลินไปกับน้ำเข้าสังคมยี่ห้อแพงที่เอามาบรรจุมาในขวดพลาสติกดูแล้วหมดราคา พลัดกันจิบพลัดกันยกเป็นอรรถรสของการผจญภัยพอที่จะทำให้เราได้หัวเราะเห็นฟันขาวของแต่ละคนผ่านเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดจากปากคนแปลกหน้าที่กำลังคุ้นชิน ไฟฟ้าไม่มีโซเชียลจึงไม่สำคัญอีกต่อไป แหงนหน้ามองแผ่นฟ้าที่ยิ่งใหญ่เราเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอวกาศนี้แม้แต่แสงจากดวงดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าจะมีไหมน๊าที่ลอยอยู่เองเฉยๆ (ร้องต่ออยู่ใช่มะรู้นะ)
อย่ามัวแต่คำคมหรือรื่นรมย์จากขวดน้ำนั้นไป มาเขาแบบนี้ ฟ้าเปิดแบบนี้ เราต้องออกไปล่าช้างเผือกกันสิ แต่เดี่ยวนะนั่นหมายความว่าเราต้องปีนขึ้นไปบนยอดธงอีกครั้ง เอายังไงดี...ขากับใจมันไม่ตรงกัน...
8.อีกไม่นานก็เช้าอีกไม่นานก็วันใหม่…
หากคุณร้องเพลงท่อนหัวเรื่องนี้ได้แสดงว่าคุณไม่ใช่เด็กแล้วนะ…ค่ำคืนนี้ช่างแสนจะยาวนาน จากความเย็นที่โหยหาแต่ธรรมชาติดันเข้าใจผิดหยิบยื่นความหนาวเหน็บที่มากเกินไปมาให้ตลอดทั้งคืน ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะเช้าให้พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา say hi ทักทายและมอบความอุ่นให้บ้าง หลับๆ ตื่น ๆ จนนาฬิกาบอกเวลาว่าตี 4 กว่า ๆ แล้ว ได้เวลานัดทำภารกิจกันในยามเช้า ใจหนึ่งก็อยากจะนอนต่อไม่อยากลุกจากไปไหน เเต่เรามาไกลเกินกว่าจะเสียโอกาสดี ๆ เเล้ว หอบร่างที่แสนเมื่อยล้า กล้ามเนื้อขาคงตะโกนด่าเจ้าหัวใจ แกพอเถอะอยู่เฉย ๆ บ้าง แต่ใจเจ้ากรรมดันมีอิทธิพลมากเกินไปสั่งมือให้กวักไกว่หยิบเสื้อมาสวมเพิ่มเป็นสามตัว ผ้าพันคอเพิ่มความอุ่นและส่งกลิ่นหอมค่อยมีแรงกระปี้กระเป่าขึ้นหน่อย เอาหละนอนต่อดีไหมน๊า...
9.สุริยัน ณ กิ่วลม
เส้นทางเดินเท้า สองขาก้าวแต่ตางัวเงียไปตามเเสงไฟของคนข้างหน้า หูสดับฟังเสียงตามมาของคนข้างหลัง ขาเเต่ละก้าวหนักอึ้งด้วยความล้าและความหนาวเหน็บ มือเย็นเฉียบจนเริ่มชา บอกตัวเองอีกคราอดทนไว้ ๆ เพื่อแสงแรกของวันใหม่
บางทีก็เเปลกนะทำไมเราต้องมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกทุกครั้งเวลามาเที่ยว มันก็พระอาทิตย์ดวงเดียวกัน และคำตอบที่ได้ก็คือ ฉันก็มานั่งรอมันทุกครั้งที่ไปเที่ยวนั่นเเหละ ในขณะที่เราเฝ้ารออะไรบางอย่างอาจทำให้เราได้อะไรบางอย่าง เมื่อแสงส้มทองฉายแผดจ้าขยับแทรกเมฆาออกมา...และภาพตรงหน้าที่เห็นนั่นมันคือ ทะเลหมอกสีขาวนวลผืนมหึมาน่ากระโดดไปซุกตัวนอนต่ออีกสักตื่น ภาพเบื้องหน้านี้เหมือนหยุดทุกสิ่ง ปล่อยให้ผู้คนที่คลับคลั่งแสดงเป็นนายแบบนางแบบพร้อมกับเสียงลั่นชัตเตอร์โช๊ะแชะๆ กันไป ลมเเรง ๆ เเละกาเเฟอุ่น ๆ พอที่จะปลอบใจเราได้บ้าง แต่เห้ยลุงอย่ามาบังวิวผมสิ แสงกำลังดีเลย...
10.ซ่อม
มติสภาลงความเห็นว่าก่อนจะกลับเราจะกลับขึ้นไปซ่อมเขายอดธงอีกรอบเพราะเมื่อเย็นคนค่อนข้างเยอะ คิดในใจบ้าปะเนี่ย ความคิดก็คิดไปแต่ขานั้นก้าวไหลไปตามทางเดินแล้ว...แต่ว่าทุกอย่างมันมีจังหวะและเวลาของมัน บทจะคุ้มก็คุ้มเกินค่าเพราะภูผานี้มีเเค่เรา หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นจากกิ่วลมเราเลือกกลับขึ้นไปบนยอดธงอีกครั้ง ความสงบแบบนี้มันคือความสวยงามที่มากกว่าความสวยงามอย่างนี้นี่เอง
ช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้เราพอจะได้อยู่เงียบ ๆ นั่งสงบรับลมแรง ๆ ที่กระเเทกเข้าหน้าจนชา ไอเย็นไหลผ่านโพรงจมูกทำให้สมองปรอดโปร่ง มองออกไปยังทิวเขาที่สูงสุดยืนเด่นตระง่าที่อยู่ไกลโพ้น ภาพเบื้องหน้านี้เราอยากให้ใครหลายคนมาเห็นกับตาก็คงจะดี หากมองไปรอบๆ พื้นล่างเป็นทะเลหมอกที่เคลื่อนตัวตามเเรงลม ผืนเขียวสดของภูเขาตัดท้องฟ้าที่เป็นฟ้าจริงๆ ภาพนี้มันสุดเกินบรรยาย ว่าแต่เมื่อคืนตอนขากลับลงมาได้ยังไงเนี่ยทางมันชันขนาดนี้ไฟก็ไม่มี กางเกงยีนต์ที่ว่าหนากระเป๋าหลังยังขาดกระจาย เสียงหนึ่งแว่วแทรกมาขณะเดินลง "ก็เองเล่นสไลด์ลงไปแบบนั้นมันจะไม่ขาดได้ไง" พี่คนหนึ่งในกลุ่มได้บอกไว้
11.วาดงยชีเงวลหยอด
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ความสุขผ่านมาไม่นานก็ผ่านพ้นไป...ความทุกข์ที่อยู่ในใจก็เช่นเดียวกัน รู้อะไรก็ไม่เท่ารู้งี้...รู้จักอะไรก็ไม่เท่ารู้จักกัน ความสนุก มิตรภาพ เราได้แต่สตาร์ฟเรื่องราวเหล่านี้ไว้ผ่านภาพถ่าย เหลือร่องรอยไว้ในความทรงจำ แม้ร่างกายนั้นจะบอมช้ำแต่หัวใจเราได้เยียวยา “เหนื่อยกายใจทนเอา เกษตรเรายอมพลีตน ตรากตรำกรำแดดฝน ทนไป”
สวัสดี
-เสือซ่อนยิ้ม-
เสือซ่อนยิ้ม
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เวลา 23.10 น.