ขณะที่กำลังเหนื่อยและหอบกับการพาตัวเองขึ้นมาถึงยอดโมโกจู เสียงเจ้าหน้าที่ก็เรียกเราและยื่นสิ่งของบางอย่างให้ มันคือริสแบนด์ ผู้พิชิตโมโกจู ที่ทางอุทยานทำให้เป็นปีแรก วินาทีนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันและวิเศษมาก เราอาจไม่ได้รู้สึกพิเศษกับหินเรือใบมากเท่าไหร่ แต่การพิชิตยอดนี้ได้มันทำให้เรานึกถึงเรื่องราวสุดแสนประทับใจและมิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ที่มันจะกลายเป็นความทรงจำดีๆที่จะอยู่ในใจตลอดไป
โมโกจู คงเป็นสุดปลายฝันของนักเดินทางหลายๆคน เพราะความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และระยะเวลาเดินทางที่ใช้เวลาถึง 5 วัน มันช่างเย้ายวนท้าทายให้นักเดินทาง สายเดินป่า พวกชอบเสพติดความลำบาก (อยู่บ้านดีๆไม่ชอบ 55) ได้เข้ามาสัมผัสซะจริงๆ สิ่งที่ยากไม่แพ้การพิชิตยอดโมโกจูคงเป็นการจองทริป คงไม่ต้องกล่าวว่ายากขนาดไหน ฮ่าๆๆ แต่ยิ่งยากและจำกัดคนมากเท่าไหร่ถือเป็นผลดีต่อธรรมชาติ จะได้ไม่รบกวนธรรมชาติมากเกินไป
รูปงามๆจากพี่ร่วมทริป
จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้เริ่มที่เพจอุทยานฯแม่วงก์ พี่หัวหน้าทริปของเราได้โพสหาเพื่อนร่วมทางเพิ่มเติม ผมนี่ไม่รอช้ารีบอินบ็อกไปหาทันทีตอนนั้นตัดสินใจไปคนเดียวไม่ชวนใครแล้ว ไปหาเพื่อนใหม่เอาข้างหน้าเลย
และแล้วก็รวมทีมกันได้ครบ 12 คนและผ่านด่านสุดโหดของการจองทริปมาได้ Trip1 19-23 พ.ย. 59 คือการเดินทางของเรา เป็นทริปเปิดป่ากันเลยทีเดียว รู้สึกแปลกและตื่นเต้นดีเหมือนกันที่เราจะได้ใช้ชีวิตในป่ากับคนที่ไม่รู้จักถึง 5 วัน
ทีมงานของเรา
เรามีเวลาเตรียมการทำความรู้จักกัน 1 เดือน มีการเปลี่ยนแปลงผู้เดินทางนิดหน่อย ทริปเรามีน้องอายุ 11 ขวบ มาร่วมเดินทางด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องตื่นเต้นและน่าเป็นห่วงมากในตอนนั้น แต่น้องก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี
สิ่งที่เราต้องวางแผนเตรียมกันก็คือเรื่องสเบียงอาหาร 12 มื้อ สำหรับสมาชิกในทีม เผื่อพี่ลูกหาบและเจ้าหน้าที่ด้วย ข้าวของเครื่องใช้ส่วนกลางและส่วนตัว การเตรียมร่างกายและจิตใจสำคัญที่สุด
ข้าวของส่วนตัวที่ควรเตรียมให้พร้อม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- เต๊นท์หรือเปลนอน แล้วแต่ความชอบ (เปลเบาดี)
- ฟลายชีทคลุมเปล
- ถุงนอน
- กระเป๋าเดินป่ามี cover ซัก 40L ขึ้น (กระเป๋าดีเซฟไหล่ไปในตัว)
- รองเท้าเดินป่า มีดอกยางเยอะหน่อยบางช่วงชันมากๆ แต่เน้นใส่สบายด้วย
- ถุงเท้าหนาๆ
- ชุดใส่เดิน 1 ชุด ชุดนอน 1 ชุด ชุดสำรอง 1 ชุด
- ไฟแช็ค ไฟฉาย ถ่านสำรอง
- รองเท้าแตะ
- เสื้อกันฝน
- ยาแก้แพ้ พารา ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาดม อุปกรณ์ทำแผลนิดหน่อย
- ขนมให้พลังงาน
- ทิชชู่เปียก,แห้ง
ค่าใช้จ่ายหลักๆสำหรับทริปนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.ค่าใช้จ่ายอุทยาน 13500/กลุ่ม
2.ค่าใช้จ่ายลูกหาบ 3 คน + 8250
3.ค่าเสบียงอาหารสำหรับ 5 วัน
และแล้วก็ถึงวันที่เราเริ่มเดินทาง ใครจะไปรู้จากคนที่เพิ่งรู้จักกัน ต่างวัย ต่างอาชีพ มือใหม่บ้างมีประสบการณ์บ้างจะกลายมาเป็นมิตรภาพที่น่าจดจำไปตลอดกาล
ก่อนเดินทางก็ต้องมีการรับฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่พี่วีระ เกี่ยวกับผืนป่าแม่วงก์ ความสำคัญและความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
พี่วีระบอกว่าการเปิดทริปถือเป็นการเพิ่มประชากรเหยื่อให้เสือโคร่ง ฮ่าๆๆ
เริ่มมีการจัดของกันใหม่ คัดออกบางส่วน เพื่อลดน้ำหนัก
ทุกอย่างพร้อมก็เริ่มเดิน
ยอดโมโกจูอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1964 m เหนือระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 5 วัน 4 คืน รวมระยะทาง 62 km
วันแรก ที่ทำการอุทยาน ---> แคมป์แม่กระสา 16 km
วันที่สอง แคมป์แม่กระสา ---> แคมป์แม่เรวา 4 km
แคมป์แม่เรวา ---> นำตกแม่รีวา ไปกลับ 6 km
วันที่สาม แคมป์แม่เรวา ---> แคมป์ตีนดอย 8 km* ชันสุดๆ
วันที่สี่ แคมป์ตีนดอย ---> แคมป์แม่กระสา 12km
วันที่ห้า แคมป์แม่กระสา ---> ที่ทำการอุทยาน 16 km
การทดสอบขีดจำกัดร่างกายได้เริ่มขึ้นแล้ว
วันที่1 เดินทางสู่แคมป์แม่กระสา
ยืมรูปจากพี่ในทริปอีกเช่นเคย วันแรกร้อน จขกท ขี้เกียจหยิบกล้อง 55
วันแรก 16 km กับน้ำหนักกระเป๋า 14 kg ทางจะเป็นถนนลูกรังข้างทางมีทั้งป่าหญ้า ป่าไผ่ ดงหมามุ่ย ค่อนข้างร้อน เพราะยังไม่ได้เข้าป่าลึกมากเท่าไหร่ ลุยน้ำข้ามลำธารเยอะพอสมควร มีเนินชันมาตัดกำลังอยู่เรื่อยๆ จุดทดสอบแรกคือมอขี้แตก เป็นเนินชันยาวๆที่ตัดกำลังอย่างมาก ผ่านจุดนี้ไปเค้าว่าเดินสบายๆ แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันก็หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะกว่าจะถึงแคมป์
มอขี้แตก เนินชันและยาวต่อเนื่องที่เป็นจุดทดสอบแรก
การเดินวันแรกจะต้องเดินลุยผ่านลำธารหลายสายเหมือนกัน
ยังเข้าไม่ลึกมากแต่ก็ถือว่ามีต้นไม้ใหญ่เยอะพอสมควร ข้างในคงสมบูรณ์สุดๆ
เนินแล้ว เนินเล่า ไม่ถึงแคมป์ซักที วันแรกก็หมดแรงแล้ว
มาถึงแล้ว แคมป์แม่กระสา
ด้วยความร้อนกับระยะทาง วันแรกก็หมดแรงแล้วสิ แถมเท้าพองด้วย แต่ยังนิ่งนอนใจคิดว่าเดินนานก็งี้แล่ะ พองนิดหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา หารู้ไม่ว่านี่จะเป็นปัญหาใหญ่ในวันถัดไป
แคมป์แม่กระสา คงเป็นสวรรค์ในทริปนี้เลย เนื่องจากเป็นฐานของเจ้าหน้าที่ด้วย ตรงนี้เลยมีห้องน้ำให้ใช้ ถือว่าสะดวกสบายสุดๆ รอบๆแคมป์เป็นลานโล่งมีเพิง มีโต๊ะพร้อมสำหรับทำอาหาร ติดลำน้ำแม่กระสา เดินมาเหนื่อยๆ ได้ลงไปแช่นี่ฟินสุดๆ
เรื่องน้ำดื่ม ตลอดทริปเรากรอกน้ำจากลำธารกินเลย สะอาด เย็นสดชื่น ปลอดภัยหายห่วง
บริเวณแคมป์
หลังจากตั้งแคมป์พักผ่อนอาบน้ำ กินข้าวแล้วเราก็ต้องวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ เราต้องทิ้งสัมภาระบางอย่างไว้ที่นี่ ทิ้งเสบียงสำหรับวันกลับไว้ 3 มื้อ หลังจากแบกน้ำหนักกันมาพอสมควรเริ่มมีการลดน้ำหนักกันนิดหน่อย
ความอบอุ่นภายในกลุ่มเราได้เริ่มขึ้นแล้วในทริปนี้
วันที่2 เดินสบายๆสู่แคมป์แม่เรวา
บรรยากาศยามเช้าในป่ามันสดชื่นจริงๆ
น้ำต้มจากกระบอกไม้ไผ่ของพี่ลูกหาบ (ภาพจากพี่ในทีมที่ตื่นมาแต่เช้า)
การเดินทางวันนี้ไม่ยากเส้นทางสู่แคมป์แม่ราวา 4 km ผ่านป่ารกข้ามสะพานไม่ไผ่ ลุยข้ามลำธาร วันนี้จะถือเป็นการเดินป่าของจริงๆ เพราะป่าค่อนข้างรกและทึบกว่าวันแรกพอสมควร
ออกจากแคมป์ผ่านป่าทึบมาไม่ไกลก็จะเจอสะพานไม้ข้ามลาธาร
ลำธารที่เราต้องเดินลุย
ช็อตลุยข้ามลำธารนี้เองที่ทำให้ จขกท เริ่มเจ็บอย่างจริงจัง ทันทีที่ก้าวเท้าลงไปในน้ำ แผลพองที่ฝ่าเท้าก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที แทบทรุดกลางลำธาร เดินพ้นมาได้ต้องถอดรองเท้าเจาะถุงน้ำที่พองแล้วพันแผลให้กระชับแล้วฝืนเดินไปก่อน อีกไม่ไกลก็ถึงแคมป์
ถึงแคมป์แม่เรวาก็จัดการตั้งเต็นท์ ผูกเปล ทำกับข้าวกินข้าวกันก่อนจะเดินไปน้ำตกต่อ ตัวแคมป์อยู่ติดกับลำน้ำแม่เรวา มีน้ำเย็นๆให้ใช้กันอีกเช่นเคย
ภายในแคมป์
ผูกเปลนอนสบายๆ
ลำน้ำแม่เรวา ข้างๆแคมป์
พี่หัวหน้าทริปเราทำหน้าที่แม่ครัวใหญ่ตลอดทริป เรื่องอาหารการกินเราเลยเหมือนภัตตาคารกลางป่ากันเลยทีเดียว กินอิ่มและอร่อยทุกมื้อ
กระเพาหมูกรอบเด็ดๆกลางป่า
ได้เวลาเดินไปเที่ยวน้ำตก ระยะทางไปกลับ 6 km เดินตัวเปล่าไม่ต้องแบกเป้ สบายมาก ระหว่างทางผ่านทั้งป่าทั้งข้ามลำธารเริ่มพบรอยเท้าสัตว์มากขึ้น ที่เห็นเด่นชัดก็ไม่พ้นช้างกับหมูป่า
รอยเท้าช้างพี่เปิ่มแห่งป่า
รอยเท้าหมูป่า
บางครั้งถ้าหากเรารีบเดินไปสู่เป้าหมายโดยไม่สนใจรอบข้างเลย ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร มีโอกาสเข้ามาในป่าแบบนี้ต้องสังเกตสิ่งรอบตัว เพื่อสัมผัสและรับรู้ว่าสัตว์ป่าเหล่านี้มันมีอยู่จริง ไม่ได้เหลือแต่เพียงรูปถ่าย สัมผัสว่าเรายังมีผืนป่าที่ยังอุดมสมบูรณอยู่มาก
ลำธารระหว่างทางไปน้ำตก
ถึงแล้วน้ำตกแม่รีวา น้ำตกใหญ่กลางป่า เย็นสดชื่นมากๆ
เป็นน้ำตกที่ใหญ่และน้ำค่อนข้างเยอะ มีจุดให้ลงเล่นได้สบาย เราใช้เวลาเล่นน้ำ ถ่ายรูปอยู่ที่น้ำตกนานพอสมควรก่อนที่จะเดินกลับแคมป์
ระหว่างทางกลับ บังเอิญเจอเข้ากับฝูงหมูป่า ทันได้เห็นมันวิ่งหนีเพราะพวกเราผ่านมา เนื่องจากเราเป็นทริปแรกป่ายังค่อนข้างรก ขากลับมีเลี้ยวผิดเหมือนกันมองไม่เห็นรอยที่ทำไว้ขามา ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่พาเรากลับถึงแคมป์ได้ปลอดภัย
มื้อเย็นอันแสนอบอุ่นกลางป่า
ผักกูด เมนูจากพี่เจ้าหน้าที่
คืนนี้หลังจากทานข้าวอาบน้ำเรียบร้อย เราก็ต้องเตรียมกับข้าวไว้สำหรับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เราจะหุงข้าวอย่างเดียวเพื่อไม้ให้เสียเวลา ตั้งใจว่าจะออกให้เช้าที่สุดเพื่อที่จะไปถึงแคมป์ตีนดอยไวๆ และได้อยู่บนยอดนานๆ คืนนี้เราต้องพักผ่อนให้เต็มที่เพราะพรุ่งนี้ ความโหดของจริงรอเราอยู่
ห้องน้ำชั่วคราวที่แคมป์แม่เรวา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่3 มุ่งสู่แคมป์ตีนดอยและยอดโมโกจู
เป็นอีกวันที่เราลดสัมภาระวางไว้ที่แคมป์แม่เรวาแล้วค่อยมาแวะเก็บตอนลง เราตัดสินใจวางเต็นท์ เปลไว้ที่นี่ เอาไปแต่กราวด์ชีท ฟลายชีท นอนปลาทูกันที่แคมป์ตีนดอย เพือลดน้ำหนักที่จะต้องแบก อาการเจ็บแผลที่เท้าของ จขกท ยังไม่ทุเลา ทำใจแล้วว่ามันต้องเดินแล้วลุยน้ำอีกกว่าจะจบทริปไม่หายง่ายๆแน่ เอาวะ พันแผลแล้วเอาทิชชู่รองที่เท้าแล้วก็กัดฟันเดินไปทั้งแบบนี้แล่ะ เด๋วออกจากป่าค่อยไปหาหมอ ฮ่าๆ
สภาพป่าระหวางทางเดิน หยิบยืมรูปมาจากพี่ในทีม เพราะบางช่วงเหนื่อยจนไม่อยากหยิบกล้อง ฮ่าๆ
ทางเดินวันนี้จะพบร่องรอยสัตว์ป่าเยอะมาก บางรอยยังใหม่ๆอยู่ มีทั้งกระทิง สมเสร็จ หมูป่า ช้าง อยากจะเห็นรอยเสือแต่ก็ไม่ได้เห็นหรือไม่ทันสังเกตก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นเหนื่อยจนอยากล้ม ฮ่าๆ
วันนี้เราต้องเดิน 8km กับทางชัน ชันแล้วชันอีก ขึ้นๆๆ แล้วก็ขึ้น ไต่ระดับจนไปถึงยอด 1964m บอกได้เลยว่า นรกแตก หมดแรงสิครับ เหนื่อยจนแทบไม่มีแรงเดิน กล้ามเนื้อคงอยากจะร้องบอกว่าให้พอเถอะ แต่เราก็ต้องผ่านมันไปได้ อาจช้าหน่อยแต่ก็มาถึง จุดพักเติมน้ำระหว่างทางจะมีสองจุด คือ คลอง1 และ คลอง2 จากแคมป์แม่เรวามาคลอง1 ค่อนข้างไกลต้องกรอกตามมาให้เพียงพอ
คลอง 1
เราพักกินข้าวกันใกล้ๆจุดเติมน้ำ กว่าจะถึงจุดพักกินข้างนี่ก็หมดแรงแล้ว วันนี้ใช้พลังงานเยอะมากๆ น้ำหมดก่อนจะถึงคลอง 1 ด้วย น้ำจุดนี้ใสและสะอาดมาก อีกทั้งยังเย็นชื่นใจได้ดื่มทีนี่หายเหนื่อยเลย พักเสร็จแล้วก็ไปต่อ ทางก็จะเริ่มชันขึ้นไปอีก
ชันขนาดต้องมีเชือกไว้ช่วย กว่าจะผ่านแต่ละเนินกล้ามเนื้อนี่หมดเรี่ยงแรง
หลังจากเดินขึ้นเนินมาจนถึงยอดผ่านแนวป่าทึบออกมา เราก็จะได้เห็นวิวแบบนี้ ยอดโมโกจูเป้าหมายของเราใกล้มาแล้ว แต่.....ต้องลงและขึ้นเขาอีกลูกนึงเดินลงเขาลูกนี้ไปซักพักเราก็จะถึงคลอง2 จุดเติมน้ำสุดท้ายก่อนขึ้นแคมป์ตีนดอย ซึงเราต้องแบกน้ำขึ้นไปไว้ใช้งานจากคลอง 2
คลอง2 จุดที่เราต้องเตรียมน้ำ
แล้วก็แบกน้ำขึ้นทางชันอีกประมาณ 500 m แต่เป็น 500 m ที่เหนื่อยและหอบพอสมควร
และแล้วก็มาถึงแคมป์ตีนดอย
จัดการข้าวของ กางฟลายชีทเสร็จก็ได้เวลาเดินไปพิชิตยอด โมโกจู เป้าหมายของเรา จากแคมป์ไปยอดก็หอบพอสมควรแต่พอเราเดินพ้นแนวป่าได้เห็นวิวทิวทัศน์ ความเหนื่อยมันหายไปทันที วิวข้างบนนี้มันอลังการ สวยงามมากๆ
ระหว่างทางก่อนถึงยอด
พ้นแนวป่ามาก่อนถึงยอดก็ได้เจอไอหมอกแบบนี้
มองจากบนนี้รอบตัวมีแต่ป่า มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่ม ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นป่าที่สมบูรณ์แบบนี้ด้วยตาตัวเองครั้งแรก มันทำให้ลืมความเหนื่อยได้ทันที คงน่าเสียใจมากหากพื้นที่นี้ถูกนำไปสร้างเขื่อน ถึงยอดแล้วมีการมอบลิสแบรนด์ด้วย ทางอุทยานทำให้ปีนี้ปีแรก
เราใช้เวลาซึมซับบรรยากาศ ถ่ายรูปกันพอสมควร ระยะทางกว่าจะขึ้นมาถึงยอดสูงสุด 1964m ของผื่นป่าแม่วงก์ มันมอบอะไรหลายๆอย่างให้กับเรา ความเหนื่อยล้าความยากลำบาก การก้าวผ่านขีดจำกัดของร่างกาย การอยู่ร่วมกับธรรมชาติและเรียนรู้ที่จะอนุรักษ์มัน
สิ่งสำคุญที่สุดคือ มิตรภาพระหว่างพวกเรา เพราะลำบากด้วยกันเลยต้องช่วยเหลือกันมากขึ้น ต้องหยิบยื่นน้ำใจให้กันมากกว่าในชีวิตปกติ จากเพื่อนร่วมทริปกลายเป็นความผูกพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนครอบครัว
ขอบคุณ โมโกจู ทริป1 กลุ่ม1 ทีทำให้เกิดเรื่องราวสุดแสนประทับใจนี้ขึ้นมา
นี่เป็นรูปเช้าอีกวัน เลยมีหมอก
หินเรือใบกับบรรยากาศยามเย็น
วันที่4 ช่วงขาลงสู่แม่กระสา เห็นว่าทางลงอย่าชะล่าใจ
เช้านี้เราตื่นกันตี 4 เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปและรอดูพระอาทิตย์ขึ้น น้ำค้างลงจนหญ้าข้างทางเปียกและลื่นไปหมดเดินขึ้นมามืดๆต้องระมัดระวัง
เพราะบางช่วงทางเดินแคบ พลาดไปอาจตกไปข้างล่างได้เลย
พอได้รูปดาวมานิดหน่อย
พี่ในทีมถ่ายสวยมากจนต้องหยิบยืมมาให้ชม
พระอาทิตย์โผล่ออกมาแล้ว
ได้เห็นทะเลหมอกกับผืนป่าอันใหญ่โต อลังสุดๆ
ภาพงามๆจากพี่ในทีมอีกเช่นเคย
NO DAM!
ถ่ายรูปเสร็จก็ลงมากินข้าว เช้านี้เป็นเมนูผัดหมี่โคราช หมี่โคราชเสริฟถึงกลางป่าจะมีซักกี่คนที่ได้กินหมี่โคราชข้างบนนี้
เสร็จแล้วก็เก็บสัมภาระเพื่อลงไปแคมป์แม่กระสา โดยแวะพักกินข้าวที่แคมป์แม่เรวาเก็บของที่วางไว้แล้วเดินทางต่อ
ช่วงขาลงใช้เวลาค่อนข้างไว แต่ก็แลกด้วยอาการปวดเข่า ปวดข้อ ตามมา
พี่ลูกหาบสุดแกร่งของเรา
กลับมาแวะเติมน้ำที่คลอง1
บางช่วงเหนื่อยๆก็แวะถ่ายร่องรอยสัตว์ไปเรื่อย ได้พักไปในตัว
ถึงแคมป์แม่กระสา คืนสุดท้ายสำหรับทริปนี้ พักผ่อนนั่งคุยกันถึงเรื่องราว 4 วันที่ผ่านมา ใจหวิวๆเหมือนกันที่ทริปนี้กำลังจะจบลง
แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขและเรื่องราวประทับใจที่น่าจดจำไปตลอด
วันที่5 เดินทางกลับสู่ที่ทำการอุทยาน
ตลอดการเดินทางของเราพี่ลูกหาบจะถึงแคมป์ก่อนและก่อกองไฟ ปูกราวด์ชีท หุงข้าวรอเราไว้เรียบร้อย
ไปถึงเราสามารถทำกับข้าวกันได้เลย ต้องขอบพระคุณพี่ๆเป็นอย่างสูงที่ดูแลเราดีมากๆ
กองฟืน และกาต้มน้ำยามเช้า เห็นแล้วมันจากกลับไปแคมป์ซะจริงๆ
เช้าสุดท้ายกับการใช้ชีวิตในป่า
ขากลับเป็นการเดินที่ลำบากพอควรเนื่องจากทั้งเจ็บเท้าและอาการล้าสะสมมา 5 วัน บวกความร้อนของแดด ดูดพลังไปซะหมดเลย
เส้นทางเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความเหนื่อยล้า
ทันที่ที่เห็นราวกั้นนี้เหมือนเป็นเส้นชัยว่าเราทำสำเร็จแล้ว ร่างกายกำลังจะได้พักแล้ว
การเดินทางใช้ชีวิตในป่า 5 วัน ความยากลำบากในเส้นทางมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้เห็นป่าที่อุดมสมบูรณ์และรับรู้ถึงการมีอยู่ของสัตว์ป่า
"โมโกจูไม่ได้มีแค่หินเรือใบที่เอาไว้ถ่ายรูปสวยๆอย่างเดียว แต่เส้นทางนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวประทับใจมากมาย
ทั้งเรื่องมิตรภาพในการเดินทาง และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่เราทุกคนต้องช่วยกันปกป้องรักษา
วันที่คุณได้ยืนอยู่บนยอด คุณจะรับรู้ได้ว่าผืนป่าแห่งนี้มีค่ามากเพียงใด เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับเจ้าที่เพียง 100 กว่านาย
ที่ทำหน้าที่พิทักษ์ผืนป่านี้ หากเราไม่ช่วยกันอนุกรักษ์ผืนป่า ช่วยกันส่งเสริมทรรศนคติที่ดีต่อธรรมชาติ
อีกหน่อยเราคงไม่เหลือธรรมชาติอันงดงามให้ชื่นชม
แม่วงก์ผืนป่าแห่งความหวังของสัตว์ป่าและคนไทยทุกคน"
#ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่กลายมาเป็นครอบครัวใหม่ ที่ทำให้เกิดเรื่องราวดีๆระหว่างทาง
#ขอบคุณพี่ลูกหาบที่ช่วยเหลือดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง
#ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแล แนะนำการใช้ชีวิตในป่า และคอยปกป้องพิทักษ์ผืนป่าแห่งนี้แทนพวกเรา
I'm Passenger
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.02 น.