สวัสดีอีกครั้งนะคะ หลังจากไปเที่ยวประเทศใน AEC มา 3 ประเทศแล้ว คราวนี้ถึงตาของ ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์

ทริปเดียวเก็บได้ 2 ประเทศ ถือว่าคุ้มมาก (เราเคยไปมาเลเซียมารอบนึงแล้วค่ะ ตอนต้นปี แต่ไปแค่ปีนัง คราวนี้เราจะมา

เก็บมาเลเซียยาวๆอีกรอบ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาอีก) ทริปนี้เป็นทริปแรกที่เดินทางคนเดียว ไม่เค้ยไม่เคยมาก่อน

เป็นทริปที่ขัดใจคนที่บ้าน ขัดใจเพื่อน ขัดใจทุกคนที่รู้ว่าเราจะไป ทำให้เกือบถอดใจ เททริปหลายรอบแล้วไปที่อื่นแทน

แต่สุดท้าย ไปก็ไป ถ้าอยากรู้ว่าเที่ยวคนเดียวเป็นยังไง ต้องลองซักที !! เป็นการฉลองปิดเทอมแรกของปี 4 ก่อนไปฝึกงาน

จะได้รู้ว่า เราจะเอาตัวรอดได้แค่ไหน เวลาต่างถิ่น ต่างภาษา



แพลน 8 วัน 7 คืนของเรา



Day 1



ตอนแรกเราจะไปมาเลด้วยรถไฟจากหัวลำโพง แต่คุยกับที่บ้านยังไง



ก็ไม่ยอม จากข่าวของรถไฟหลายข่าว ทำให้เค้าเป็นห่วงมาก เราก็เลยไปหาดใหญ่ก็ได้



เรื่องตื่นเต้นของทริปคือ เราจำเวลา boarding time ผิดไปหนึ่งชั่วโมง เราถึง bts หมอชิตตอน 7 โมงนิดๆ



พี่วินมอไซต์คือที่พึ่ง โดนไป 300 บาท แต่ก็แลกมากับการถึงสนามบินใน 15 นาที เข้าไปแล้วรีบวิ่งเลยค่ะ



มาถึงเกตทันเวลาพอดีเด๊ะ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนสะเพร่าแค่ไหน ปกติไปกับเพื่อนไม่เคยพลาด



ไปคนเดียวรู้เรื่องเลย



พาน้องแกะมาขึ้นเครื่องครั้งแรก



เราถึงหาดใหญ่ตอน 8.50 ตามเวลาเป๊ะ ทีนี้ก็หารถเข้าขนส่งหาดใหญ่ เพื่อต่อรถไปปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซีย



เพราะว่าเราจองรถไฟจากปาดัง ไป อิโปห์ รอบ 16.15



เราจองออนไลน์ไปก่อนค่ะ เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา รถไฟมาเลเต็มไวมาก



เวลามาเลเซียเร็วกว่าประเทศเรา 1 ชม.ค่ะ เท่ากับว่า 16.15 มาเลเซียคือ 15.15 เวลาไทย



คำนวณเวลาให้ดีนะคะ



ถึงขนส่งที่หาดใหญ่ ถามได้เลยค่ะว่า รถไปปาดังคันไหน มีแค่เจ้าเดียว



หาง่ายไม่หลง รถออกทุก 20 หรือ 30 นาทีไม่แน่ใจเหมือนกัน



คนขับจะจอดหน้าด่านปาดัง ให้เราเข้าไปเองนะคะ เดินตามทาง ผ่านตม.ทั้งไทยและมาเลเซีย



เมื่อผ่านตม.มาเล ก็ถามต่อค่ะว่า รถไฟไปทางไหน ใกล้ๆ ถ้าเจอสะพานนี้แสดงว่าถูกทางแล้ว



มันเป็นคล้ายๆสะพานลอยต่อเข้าไปในสถานี



ระหว่างรอเจอมุมถ่ายภาพสวยๆเยอะมาก แต่ว่าอากาศก็ร้อนมากๆเหมือนกัน ไม่สู้



ประมาณ 4 โมงรถไฟเปิดให้เข้าแล้ว ตอนเข้าไปในรถไฟถือว่าประทับใจมาก



อยากให้รถไฟบ้านเราเป็นแบบนี้



ตอนนั่งรอก็มีคิดนะคะ ว่าจะเหมือนในเรื่อง before sunrise หรือเปล่าที่จะเจอคนคล้ายๆกัน



มาเที่ยวแนวเดียวกัน และไปเที่ยวต่อ แต่หนังก็คือหนัง ข้างๆ ข้างหน้า ข้างหลัง คนจีนค่าา



คุยกันข้ามหัวเราตลอด เสียงดังมาก เดินไปมา เตะเก้าอี้



เราพยายามจะใจเย็น เข้าใจในวัฒนธรรมเค้า แต่ก็มีบ้างที่หงุดหงิด



พาน้องแกะมานั่งรถไฟ



รถไฟในมาเล ตรงตามเวลาเป๊ะมาก มากจนอดเทียบกับประเทศไทยไม่ได้



พอไปถึงอย่างแรกที่ทำคือ หาทางไป hostel ค่ะ การเดินทางคนเดียวทำให้รู้ว่า



เราพลาดที่ไม่ได้แคปแผนที่ไปโรงแรมมา มีแค่ชื่อถนน ตอนนั้นไม่มีเน็ตด้วย



เราเลยเดินถามทางไปเรื่อยๆ คนมาเลเซียพูดภาษาอังกฤษได้แทบทุกคน



นี่คือที่พักเราค่ะ เราจองผ่าน booking มาก่อน ประทับใจกับที่พักที่นี่มาก



ทางลงจากชั้น 2 เป็นสไลด์เดอร์ที่ ไม่ค่อยลื่น หรือเพราะเราตัวหนักก็ไม่รู้



เราชอบพักแบบ box หรือว่า แคปซูลมากค่ะ มีความฝันด้วยว่าอนาคตอยากเปิดแบบนี้



box เล็กๆ แต่สบายมาก ดูเป็นส่วนตัวมากกว่าโฮสเทลแบบเตียงไม่มีอะไรปิด



จบไปแล้วหนึ่งวันที่แสนยาวนาน ถือว่าเริ่มต้นได้ดี



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตั๋วเครื่องบิน ดอนเมือง - หาดใหญ่ 943.50 บาท



ค่ารถตู้จากหาดใหญ่ไปปาดัง 50 บาท



ตั๋วรถไฟ ktmb จากปาดังเบซาร์ - อิโปห์ 476 บาท



ค่าห้องพัก 42 ริงกิต = 336 บาท



รวม 1,805.50 บาท



( เราเทียบ 1 ริงกิต = 8 บาท )

Day 2

เช้านี้เราอยู่ที่ Ipoh อิโปห์เป็นเมืองชิค ชิค ถ้าใครชอบแนวปีนัง

แน่นอนว่าคุณจะหลงรักอิโปห์ เพราะคนวาด street art เป็นคนเดียวกัน

ส่วนตัวแล้วเราเคยไปทั้งปีนัง และ อิโปห์ เราเทคะแนนให้อิโปห์มากกว่า

อิโปห์เป็นเมืองเล็กๆ คนใจดีมาก เป็นเมืองที่เดินเล่นได้รอบเมือง

ส่วนแพลนวันนี้ ไม่มีค่ะ ทำอะไรตามใจคืออิฉันเอง

ตื่นเช้ามา เดินเล่นรอบเมืองเก่า (อิโปห์แบ่งเป็น old town กับ new town)



old town white coffee กาแฟชื่อดัง เปิดสาขาแรกที่นี่



สายหน่อย เราเริ่มเดินหาร้านขายซิมการ์ด และจะหาทางไปวัด Sam Poh Tong



หลังจากงมแผนที่นาน ทนไม่ไหว หันไปเห็นกลุ่มนี้ นั่งพักอยู่



นางน่ารักกันมาก เปิด map ไล่สายรถเมล์ให้



หลังจากซื้อซิมเสร็จ (คนขายก็น่ารักมากอีกแล้ว เค้าให้เบอร์ติดต่อเราบอกว่าถ้ามีเรื่องฉุกเฉินหรือเกิดปัญหา


โทรหาเค้าเลยนะ และเค้าก็แนะนำเราให้หลายเรื่อง) เราก็ไปท่ารถประจำทาง เพื่อไปวัด Sam Poh Tong



ไม่แน่ใจว่านี่คือวัด Ling Sen Tong หรือเปล่า เริ่มลืมเลือน ต้องขออภัย แต่ละแวกนั้นมี 3 วัดด้วยกันคือ Ling Sen Tong , Tokong Nam Thean Tong และ Sam Poh Tong



เนื่องจากอากาศที่ร้อนมาก เราไม่สู้ เลยตัดสินใจกลับที่พัก ค่อยออกมาตอนเย็น



ร้อนกว่ากรุงเทพ ก็ อิโปห์ไง



ตอนเย็น ๆ เราออกมาเดินเล่นอีกรอบ เพื่อดูพระอาทิตย์ตกหลังสถานีรถไฟ แพลนพรุ่งนี้ของเรา



เราจะไป cameron highlands แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เราเปลี่ยนใจ อยู่ที่นี่อีกวัน



แล้วก็เราเปิดเจอกระทู้ ปุตราจายา ที่ กัวลาลัมเปอร์ ถ้าเราไปคาเมร่อน เราคงถึง kl บ่ายๆ



เวลาไม่พอแน่ๆ



ก็อิโปห์เป็นเมืองน่ารัก ทำให้เราหลงรัก อยู่อีกคืนจะเป็นอะไรไป (:



ค่าใช่จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ค่าที่พัก 42 ริงกิต = 161.6 บาท (ที่พักวันนี้เราจองคืนเมื่อวาน รู้สึกพลาดที่คืนก่อนจองไว้นาน เพราะถูกกว่าเยอะมาก)



ค่ารถไปวัด 1.50x2 ริงกิต = 24 บาท



ค่าอาหาร 139 บาท



รวม 324.6 บาท

Day 3

ฝนตกค่ะ ตก ๆ หยุด ๆ ทั้งวัน ทำเอาแพลนวันนี้ที่จะเดินเล่นรอบเมืองล่ม (รึเปล่า ไหนบอกไม่มีแพลน)

เราเริ่มต้นวันจากการเข้าไปสถานีรถไฟ ถามถึงรอบรถไป kl พรุ่งนี้ ผลจากความใจเย็นของเราคือ ตั๋วเหลือ2 รอบให้เลือก

คือ 5.00 am กับ 4.00 pm เรานี่ไม่มีทางเลือกเลย ต้องไปตี 5 (ตี 4 เวลาไทย ) ใครจะไปอย่าชะล่าใจแบบเรานะ

เพราะตั๋วเต็มไวมาก

รอบรถไฟ พอรู้รอบแล้ว วันนี้เราไม่อยากไปเที่ยวไหนเลย พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาก



ในเมื่อมาถึงอิโปห์ เมืองขึ้นชื่อเรื่องอาหารทั้งที เมื่อวานก็เอาแต่เที่ยวจนลืมหิว วันนี้ไม่พลาดแน่



ร้านไหนใครบอกอร่อย เราจะไม่พลาด ดังนั้นแผนวันนี้คือ กิน กิน กิน นอน กิน กิน กิน เย่ !!



1. ข้าวมันไก่ : อยู่ในย่าน Night Bazaar เปิด google map แล้วเดินตาม ซึ่งมีอยู่สองร้านที่เค้าว่ากันว่าเด็ด ร้านแรกคือ Lou Wong



ร้านที่อยู่ตรงข้ามคือ Ong Kee ตอนแรกเราจะลองทั้งสองร้าน แต่กระเพาะเต็มก่อน เลยได้แค่ร้านเดียว



กินไปคำแรกก็อร่อยแล้ว ปกติเราไม่ค่อยกินข้าวมันไก่ แต่นี่มันสุดยอด กินไปน้ำตาจะไหล นั่งปริ่มตื้นตันใจอยู่คนเดียว



มีความสุขจังเลย ย ตอนเรียกคิดเงิน ราคาก็ไม่แพงรวมน้ำ แค่ 5.50 ริงกิต (44 บาท)



2. ทาร์ตไข่



เค้าว่ากันว่า อิโปห์ดังเรื่องทาร์ตไข่ เราเลยจัดมาหนึ่งร้าน จำชื่อไม่ได้ แต่ก็อร่อยดี



3. ข้าวราดแกง



อยู่มาเลทั้งที ถ้าไม่ลองอาหารมาเล ถือว่ามาไม่ถึง ถูกมั้ย ?? ที่นี่เป็นเหมือนโรงอาหารกลาง อยู่แถวศาลาว่าการ



มีให้เลือกหลายร้านมาก เราเดินไปด้วยความแน่วแน่ ถามว่าคือไก่ใช่ไหม พนักงานขายบอก yes yes



เราก็เชื่อไง สั่งไป กินคำแรกปุ๊ป น้ำตาจะไหล มะเขือยาว (เรียกงี้หรือเปล่า) กับ ไข่ ฮือออ กินแทบไม่ได้



กลิ่นเครื่องเทศแรงมาก แต่ว่าที่นี่มีขนมให้ด้วยนะ ถ้วยเล็กๆ เป็นของปลอบใจ



4. โรตี ไก่



หลังจากไม่ประสบความสำเร็จกับการทานอาหารมาเล เราไม่ยอมแพ้ เดินเข้าร้านอาหารมาเลเซีย



ด้วยแววตามุ่งมั่นเหมือนเคย ขอกินเนื้อเถอะ ไม่ไหวแล้ว คิดถึงไก่ จะไปร้านข้าวมันไก่ก็เดินไกลเหลือเกิน



ร้านนี้แหละมีไก่สีดูเผ็ดด้วย สั่งไปแบบไม่คิดอะไร พอกินเข้าไปคำแรก จะร้องไห้ ไก่น้ำเชื่อมหรือเปล่า



หวานแบบหวานมากกกก หวานๆ เลี่ยน ๆ แต่โรตีกับแกงก็พอกินได้นะ เจ็บใจสุดคือ มื้อนี้แพงมาก



ประมาณ 9 ริงกิต (72 บาท)



5. old town white coffee



อย่างที่บอกไป ipoh คือต้นกำเนิดของร้านกาแฟชื่อดัง ในเมืองนี้มีหลายร้าน แต่ร้านสาขาตอนเราไปมันปิด



เราเดินไปสองวันก็ปิด เราเลยไปอีกสาขาแทน สาขานี้อยู่แถว ๆ สถานีรถไฟ ศาลากลาง ข้างๆสนามบอล



ร้านตกแต่งต้อนรับเทศกาล christmas



ชอบบรรยากาศร้านแบบนี้ ดูอบอุ่น ในร้านไม่ได้เปิดแอร์ แต่ก็สบายๆ



เราเรียกมันว่าน้ำแข็งใส ต่างจากไทย เหมือนเค้าใส่ถั่ว มีกลิ่นงา ๆ อร่อยย



ขนมปังเนยถั่วที่หน้าตาแตกต่างจากรูปมาก กินแล้วเลี่ยน เราเลยไปใส่ในน้ำแข็งใส



กินแบบปังเย็น 55555



ไอศกรีมลาวา กับ white coffee อร่อยมากกก อยากกลับไปอิโปห์อีกเพราะเหตุผลนี้



ที่พัก



เราพักที่เดิม แต่ box เดียวเต็ม เราเลยนอนเตียงคู่ ซึ่ง box ใหญ่ มีหมอน 4 ใบ



ฟินเลย วิวก็ดี



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตั๋วไป kl 35 ริงกิต = 280 บาท



ข้าวมันไก่ 5.50 ริงกิต = 44 บาท



ทาร์ตไข่ 2.50 ริงกิต = 20 บาท



ข้าวราดแกง 5.5 ริงกิต = 44 บาท



โรตี ไก่ 9 ริงกิต = 72 บาท



old town 20.7 ริงกิต = 165.6 บาท



ที่พัก 540 บาท



รวม 1,165.6 บาท

Day 4

เราตื่นเช้ามาก อย่าเรียกว่านอนเลย เรียกว่าพักสายตา แต่เพื่อไปให้ทันรถไฟ เช้าแค่ไหนก็ตื่นได้

เรานั่งเล่นจนประมาณตี 4 ครึ่ง เจ้าหน้าที่เริ่มมาเปิดเคาร์เตอร์ คนมาเยอะแล้วนะ แทบไม่มีที่นั่ง

ตี 4.45 รถไฟเปิดให้เข้า เราตื่นเต้นนะ ที่วันนี้จะไป kl แล้ว จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

แสตนบาย ตั้งแต่ตี 4 เช้าเว่อร์ ๆ



โชว์ตั๋ว ดูที่วงไว้ ตี 5 น้ำตาจะไหล



ระหว่างทางที่นั่ง ข้างๆคือคุณพี่นักกีฬาเซปักตะกร้อ ไม่แน่ใจทีมชาติมั้ย แต่คุณพี่โชว์รูปไปแข่งต่างประเทศเต็มไปหมด



เค้าบอกว่าจะมาเที่ยวกรุงเทพปีหน้า เราก็คุยแลกเปลี่ยนความคิดเต็มไปหมด คุณพี่แกไม่ยอมเลิกคุยซักที



เราหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอตื่นมา ฮีบอกว่าดูยู sleepy นะ เราก็ขำ เค้าบอกว่าไป kl ให้ช๊อปปิ้ง มีห้างเยอะมาก



แต่เราไม่ใช่สายช๊อป เราก็ถามเค้าต่อว่า มีอะไรแนะนำเรามั้ย เวลามืด ๆ อันตรายหรือเปล่า เราได้ยินว่าที่ kl ขโมยเยอะ



เค้าตอบมาประโยคนึง ที่เราประทับใจมาก ประมาณว่า คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครเป็นคนไม่ดี คนไม่ดีมีอยู่ทั่วไป กรุงเทพมีมั้ย สิงคโปร์มีมั้ย



ทุกที่ก็มีหมดนั่นแหละ แต่คุณแค่ต้องระวังตัวไม่ไปซอยเปลี่ยว ๆ มืด ๆ คนเดียว เท่านั้นเอง (ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่า คุยภาษาอิ้งได้ยังไง ตอนอยู่ไทยคือ โง่มากกกก )



เมื่อถึง KL Sentral เราแทบช๊อค สยามเวลาเร่งด่วนยังยอม ทำไมสถานีใหญ่ขนาดนี้ งงไปหมด



แต่คุณพี่เมื่อกี้บอกว่า การเดินทางใน kl ง่ายมาก ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่พออยู่จริงแล้ว เชื่อเถอะค่ะ



การเดินทางง่ายจริง ๆ พอไปถึงเราต้องเอาของไปเก็บที่พักก่อน จุดหมายคือ ปุตราจายา และ หาตั๋วรถไปมะละกา



คราวนี้เราไม่พลาดซ้ำสอง เรามีเน็ต ที่พักหรอ หาง่ายจะตาย แค่เดินตาม google map



map transit



แนะนำให้โหลดแอพ นี้ สะดวกมาก จะไปไหนมาไหน กดดูทาง ที่พักเราอยู่ Bukit Bintang



สายสีเขียว เท่ากับว่าเราต้องไปต่อ monorail line จาก kl sentral เดินทะลุห้าง แปปเดียวเจอ



แลกเหรียญควรมีแบงค์เล็ก ๆ ติดตัว เพราะแต่ละสถานีไม่แพง



ปัญหาเราคราวนี้ไม่ใช่การเดินทาง แต่ คือการหา hostel ที่จองไป เราเดินวนไปวนมาที่เดิม เป็นชั่วโมง



กับการหาที่พัก จนสุดท้ายจะถอดใจเรียก taxi แต่ว่า เท่าที่เห็นดูไม่น่าไว้ใจ ในความคิดเรานะ คือมันแพงมาก



เราก็ถามไปเรื่อย จนเจอ ทำเอาเสียเวลาไปนานเหมือนกัน พอเก็บของที่พักเสร็จ เราจะไปปุตราจายาเป็นเมืองใหม่ของมาเลเซีย



เพราะอยากดูมัสยิดสีชมพูมากก เราจะกลับไป sentral เพื่อใช้ KlIA Transit



รอบรถมาตรงมาก รอบนึงห่างกันประมาณ 20 นาที



แต่ระหว่างทางไป เราจะนั่งผ่านสถานีขนส่ง คล้ายๆ หมอชิตบ้านเรา เรียกว่า TBS



ความตัวเองที่เก่งเรื่องการหลงทางมาก เราเลยตัดสินใจลงไป TBS หาตั๋วไปมะละกาก่อน (ถึงแม้ว่าหลายๆรีวิวจะบอกว่า



ซื้อวันไปเลยก็ได้ แต่เพื่อความชัวร์ คงลงไปไม่นานเท่าไหร)



ออกจากสถานีจะมีทางเชื่อมเดินไปต่อได้เลยค่ะ สะดวกมาก



ขนส่งค่อนข้างดีทีเดียว



พอเข้าไปค่อนข้างตกใจ คนเยอะมากกกก มองไปแถวนั้น คิดในใจไม่ใช่หรอก เราคงไม่ได้ไปต่อตรงนั้นมั้ง



เดินไปถาม information ว่าจะซื้อตั๋วไปมะละกาที่ไหน นางชี้ไปตรงนั้นเลยจ้าาาาา ช๊อคมากกก



เห้ยย นี่ต้องต่อจริงๆหรอ (จริงสิ โกหกเพื่อ) แล้วก็เดินไปต่อ ไม่มีทางเลือก



ไหนรีวิวบอกคนน้อยไง ฮือออ คิดในใจว่าจะได้ไปปุตราจายามั้ย ตอนต่อประมาณเที่ยงกว่าๆ



หลายชั่วโมงแน่ ๆ ทุกแถวคนเยอะเหมือนกันหมด ลืมบอกไปว่า ไม่ว่าจะซื้อตั๋วไปที่ไหน ต้องต่อเหมือนกันหมด



เพราะเคาร์เตอร์ขาย ตั๋วไปทุกที่ ทีนี้เราก็นึกใจว่า มีตั๋วออนไลน์หนิ เราก็จอง แต่ !! หันไปทางตู้ปริ้นตั๋วออนไลน์



คนพอ ๆ กันเลย ยังไงต้องได้ตั๋วไปมะละกา นานแค่ไหนก็ต้องรอ



เกือบ 2 ชั่วโมงของการรอคอย ลุ้นแทบแย่ว่าเค้าจะปิดเคาร์เตอร์ตอนเราต่อแถวมั้ย ใครที่จะไปแนะนำออนไลน์ก่อนเลยค่ะ



เพื่อความสะดวกและไม่พลาดแบบเรา



สีหน้าของคนได้ตั๋ว กลับมายิ้มอีกครั้ง ได้ไปปุตราจายาแล้ว เย่



พอไปถึง เราไม่เจอพวกทัวร์ 1 ริงกิตหรือกี่ริงกิตที่ กระทู้รีวิวหลาย ๆ อันบอก



เราเลยไปรอรถบัส สายนี้ค่ะ รอนานมาก ระหว่างรอฝนก็ตกหนักมากเช่นกัน



ถ่ายเวลาบัสมาให้ดู จะได้กะเวลาได้



ใช้เวลาไม่นานถึงปุตราจายา ขึ้นไปบอกคนขับไว้เลยค่ะว่า เราจะไปที่นี่นะ ถึงแล้วบอกด้วย



ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เพราะมัสยิสใหญ่มาก เห็นมาแต่ไกล และบัสคันนี้แหละ ทำให้เรา



ได้เพื่อนร่วมทางมาอีก 2 คน เป็นหนุ่มชาวอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเราโชคดีมากมากที่เจอพวกเขา



แต่โชคไม่ดีเท่าไหร ตอนเราไปถึง ประมาณ 4 โมง มัสยิสปิดแล้ว ให้เราเข้าถ่ายรูปได้แค่นั้น



เราเลยเดินมาอีกนิดนึงคือ เปอร์ดานาปูตรา หรือทำเนียบรัฐบาล



เราชอบเมืองนี้มาก รู้สึกสงบ ชอบที่สุดคงเป็นมัสยิสสีชมพู เมืองนี้มีที่เที่ยวอีกหลายที่



และมีมัสยิสอีก ที่เรายังไม่ได้ไป เพราะเรื่องของเวลา



เรื่องตลกคือ เพื่อนอินโด 2 คนบ้ากล้องมาก มาก มาก ยืนเก๊กถ่ายรูปกันเท่ห์ มีท่าแปลกๆตลอด



เราไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเอง แต่ฮี 2 คน ก็บังคับให้ถ่าย ทำท่านี้สิ ท่านี้เท่ห์ มุมนี้ดีนะยู เชื่อไอ



ตลกดี 5555555 รูปนี้ฮีก็ถ่ายให้ค่าาา จัดองค์ประกอบให้ด้วย



ขากลับ ถึงบอกว่าโชคดีที่เจอสองคนนี้ เพราะเราหาบัสกลับไม่เจอ ถามเจ้าหน้าที่เค้าก็ชี้กันมั่วไปหมด



พอไปถาม taxi เค้าก็คิดราคา 30 ริงกิต โอ้โหหห แพงเกินไป รับไม่ได้ ฮี 2 คนเลยกดเรียก grab taxi



เค้าคิด 7 ริงกิต ฮีก็ถามว่าโอเคมั้ย เราก็โอเคนะ ตกคนละ 2 ริงกิตนิด ๆ ไม่แพง รับได้



แต่พอลงรถ ฮีบอกว่าไม่ต้องหารไม่เป็นไร แต่ด้วยความเป็นชะนีไทย ไม่ได้ค่ะ จะจ่าย



ยูไม่หาร เราไม่โอเคนะ เรารู้สึกไม่ดี ขึ้นด้วยกันก็ต้องช่วยกันสิ นางเลยบอกเอามา 1 ริงกิตพอ



เราก็ไม่ ๆ ยูเอาไป 2 ริงกิตเถอะ เราสามคนก็นั่งกลับมา kl sentral เหมือนเดิม ก่อนแยกย้าย

พอกลับมา ที่ kl sentral เราก็นั่งไป ดูตึก Petronas Twin Towers

ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ายิ่งใหญ่มาก

ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กไปเลย เมื่อมองไปที่ตึก เราอยากอยู่จนมืด รอดูน้ำพุมีไฟ



รอดูแสงสี แต่หิวค่ะ หิวมาก หิวจนทนไม่ไหว เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลย



ความหิวชนะทุกอย่าง บายตึกแฝด ไว้เจอกันใหม่เมื่อมีโอกาสนะ



เรากลับไปห้างที่ เชื่อมกับ kl sentral ไปถ่ายรูปกับพวกต้นคริสต์มาส ตื่นเต้นประหนึ่งว่าที่ไทยไม่มี



เห็นแล้วก็ช้ำใจ ปีนี้ยังไม่ได้ไป CTW เลย พอกลับบ้านต้องไปฝึกงานต่อ



ปากบอกว่าหิวไม่ไหวแล้ว แต่ไปห้างก็ไม่ได้กินนะคะ รู้สึกแพง 5555 แถมไปช๊อปมา



ไม่อยากใช้เงินแล้ว ขอพึ่งมาม่าข้างที่พัก ถามคนขายว่ารสไหนเผ็ดสุด เค้าบอกอันนี้



พอกินไป อย่าคาดหวังกับคำว่าเผ็ดบ้านเค้า กับบ้านเรา มันต่างกันมาก ขนาดอยู่ไทย



เราไม่กินเผ็ดนะ



ที่พักคืนนี้ ที่นอนแคปซูล เราจะไปอวกาศกัน



นี่คือเหตุผลที่กินมาม่า 55555 เราติดใจหมีตัวนี้มาก ตั้งแต่ตอนเช้าที่เดินผ่านห้างไปขึ้น monorail



และนี่คือเหตุผลอีกที่ทำไมเราไม่หาอะไรกินแถวตึกแฝด แต่กลับมา kl โถววว ก็หน้าตามันดูซื่อ ๆ



เห็นแล้วนึกถึงตัวเอง เลยพามาเที่ยวด้วยกัน เป็นตุ๊กตาตัวแรกที่ซื้อ



ตั้งชื่อด้วยนะว่า บุบบิบ หลังจากนี้จะไม่พูดคนเดียวแล้ว 555555 (สาบานว่าอายุ 21 ปี)



แคปซูลก็ดีงามค่ะ มีทีวีในนั้น มีหูฟังให้ ปรับแสงได้เป็นไฟปกติหรือ black light แต่ข้อเสียคือ



ขยับแต่ละทีเสียงดังมาก กับห้องน้ำแคบ ราคาที่พักน่าจะได้โฮสเทลดีกว่านี้ แต่รวมๆโอเค



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บัสไปมะละกา 13.40 ริงกิต = 107.2 บาท



ค่ารถไปที่ต่าง ๆ 21 ริงกิต = 168 บาท



ค่ารถไป-กลับ TBS ปุตราจายา Kl 30 ริงกิต = 240 บาท



ค่าที่พัก Sim Hotel Bukit Bintang Kuala Lumpur 363 บาท



ค่าฟุ่มเฟือย 40 ริงกิต = 320 บาท



ค่าอาหาร 10 ริงกิต = 80 บาท



รวม 1,278.2 บาท

Day 5

รอบรถเราคือ 10.30 am. ด้วยความรีบ เรามาถึงขนส่งประมาณ 9 โมง จะลงไป Gate (อย่างกับเครื่องบิน)



ก็ลงไม่ได้ เค้าให้มารอที่ Gate ตอน 10 โมง



ทีนี้ว่าง เดินเล่นเลยค่ะ หาข้าวกิน อยากกินไก่มาก อยากกินตั้งแต่วันที่อยู่อิโปห์ รู้สึกร่างกายขาดโปรตีน เดินเข้า KFC เรื่องไก่ไว้ใจร้านนี้มาก



สั่งเมนูโปรดตอนอยู่ไทย twister คิดในใจ ไก่ไก่ไก่ ไก่ชิ้นใหญ่ ๆ ตอนเค้าหยิบให้ก็ตกใจความชิ้นเล็ก



แต่ไม่เป็นไร น้องโอเค ขอแค่ไก่



พอกัดไป อย่างที่เห็นในรูป ใจสบาย ไข่มาเต็มกว่าไข่ไปอีกกกก เหมือนโดนหักอก ปวดใจ



10 โมง gate เปิดให้รอละค่าา



ที่นั่งสบายมาก เบาะใหญ่ นุ่ม แอร์เย็น ฟินน (ปัญหาวันนี้คือไม่น่าซื้อบุบบิบมาเลย รู้สึกภาระมาก ๆ 555 )



เราถึงมะละกาประมาณ บ่ายโมง เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ตื่นมาแบบงง ๆ อ่าวถึงแล้วหรอ



จำเวลาผิดคิดว่าถึงบ่ายสาม 5555 เกือบไม่ลงจากรถ พอมาถึงสิ่งแรกที่ทำคือ หาตั๋วไปสิงคโปร์



มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้วคือ เราไปเคาร์เตอร์แรก เค้าบอกว่าพรุ่งนี้ตั๋วหมด ไปเคาร์เตอร์สองหมด



จนมาเคาร์เตอร์ของบัสบริษัทนี้ ตอนยืนต่อคิวใจเต้นแรง จะมีบัสไปมั้ย สุดท้ายก็มี เย่



ไอติม Mac ที่ติดป้ายว่า ทำมาจาก chocolate hershey กินไปแล้วเฉยๆไม่ต่างกับบ้านเรา



แพงกว่าด้วย



เรารอบัสสาย 17 เพื่อเข้าเมือง ระหว่างรอฝนตก คนเยอะมาก เราได้ขึ้นคันที่ 2 มันไม่มีความเป็นแถว



ไม่เป็นระเบียบ พอรถมาทุกคนพยายามเบียดตัวเองขึ้นไป แซงคิวสารพัด เพื่อให้ได้ขึ้น เราเกือบไม่ได้ขึ้นแล้ว



แต่มีคุณลุงกับคุณยายสองคนใจดีมาก กันให้เรา เพราะเห็นเรารอมานานแล้ว ระหว่างทาง รถติดมาก



เปิด google แดงตลอดทาง เชื่อมั้ย รวมเวลารอรถ เราใช้เวลา 2 ชั่วโมงไป dutch square จะลงเดินก็ไม่ได้



ฝนตก เป็นอะไรที่เพลียมาก พอไปถึงฝนซาแล้ว เราก้เปิด google map เดินไปตามที่พัก



เข้าไป check in โชคดีที่ฝนหยุด เราเลยออกมาหาไรกิน เพราะหิวมาก ไก่ไข่ KFC ไม่ช่วยอะไร



ตั้งใจจะไปร้านข้าวมันไก่ชื่อดัง ไปยืนต่อคิวแต่ มันหมดที่คนก่อนหน้าเราค่ะ !! เฟลมาก อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้



ระหว่างกำลังจะเปลี่ยนร้าน ฝนตกหนัก ไปไหนไม่ได้



หันไปเจอทาร์ตไข่ แต่ราคาแรงอยู่ ชิ้นละ 50 บาท จุดนั้นอะไรก็ฉุดไม่อยู่ จัดมาชิ้นนึง แก้หิว



อร่อยมาก อร่อยจะอยากกินอีก แต่ไม่มีเงินแล้ว กัดไปไส้ทะลักเข้าปาก หอมขึ้นจมูก



พอได้กินทาร์ตไข่ไป หิวกว่าเดิมอีก คราวนี้หิวจนมือสั่น เปิด google ใหญ่ว่ามีร้านข้าวมันไก่ที่ไหนบ้าง



หยิบเสื้อกันฝน (พกมาค่ะเป็นคนไปเที่ยวไหนฝนก็ตก หน้าร้อนมันยังตก) ตอนนั้นไม่สนอะไรทั้งนั้น



ใส่เสร็จวิ่งไปตาม google หาข้าวมันไก่กิน ผลคือเจอร้านนี้ ก็เข้าไปกินแบบเปียกๆ ไม่ยอมถอดเสื้อกันฝนด้วย ตลกตัวเอง



ร้านนี้ไม่มีแบบเป็นจาน ๆ มีให้สั่งไก่กับข้าวที่ปั้นเป็นลูกบอล อาหารขึ้นชื่อในมะละกา



อร่อยหรือเพราะหิวก็ไม่รู้ กินเสร็จก็เดินเล่นทั้งที่ฝนตกแหละค่ะ เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูป



เพื่อนแซวว่าเหมือนคลองแถวตลาดพลู



มะละกาเป็นเมืองมรดกโลก



เราไม่ค่อยชอบที่นี่ เพราะตอนที่ไป มันไม่สงบเลย รีเซปชั่นบอกว่าวันเสาร์ - อาทิตย์ คนเยอะมาก



รถติด ฝนตกเดินทีลื่นที เลยไม่ค่อยได้ไปไหน แต่ถ้าเราได้ไปวันธรรมดา ความรู้สึกคงเปลี่ยนไป



ที่พัก โฮสเทล เล็กๆ น่ารัก ตอนแรกคิดว่าจะไม่โอ แต่นอนไปก็ได้อยู่ หนาวดี 555



เพราะรูมเมทโอเคด้วยมั้ง เวลาทำอะไรจะทำเสียงเบา ๆ มีความเกรงใจ



หลากหลายชาติ นั่งคุยก่อนนอน สนุกดี



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รถไป TBS 6.50 ริงกิต = 52 บาท



KFC 7.90 ริงกิต = 63.2 บาท



ขนม 6 ริงกิต = 48 บาท



รถไปสิงคโปร์ 26 ริงกิต = 208 บาท



ข้าวมันไก่ 11.50 ริงกิต = 92 บาท



ทาร์ตไข่ 5.80 ริงกิต = 46.4 บาท



ค่ารถ 1.5 ริงกิต = 12 บาท



ที่พัก Olive Flashpackers - Hostel 259.27 บาท



รวม 780.87 บาท
ช่วงนี้คริสมาสต์ ฝึกงานยุ่งมาก อยากเขียนจะแย่แล้ว แต่ไม่ได้พักเลย รอนิดนึงนะคะ ~

Day 6

ทริปนี้ขอเรียกว่าทริปซอมบี้ นอนน้อยเหลือเกิน เราเริ่มวันตั้งแต่เช้ามาก จำได้ว่าออกจากที่พัก ประมาณ 6 โมงครึ่ง

เนื่องจากจองรถไว้ตอน 9 โมงเช้า ถ้ารถติดแบบเมื่อวาน ที่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง กลัวไปไม่ทัน ถึงจะถามรีเซฟชั่นแล้วก็เถอะว่า

ตอนเช้ารถติดมั้ย เค้าบอกไม่ติด แต่เพื่อความชัวร์ ตัดสินใจออกไปรอรถบัสสายเดิมไปขนส่ง แต่ตอนออกมาเนื่องจากเช้ามาก

ฟ้ายังไม่สว่าง เราก็เดินกดโทรศัพท์ดูแผนที่ ทีนี้มีอากงคนนึง เดินเข้ามาเตือนว่า ยูทำแบบนี้ไม่ปลอดภัยนะ ยูควรเก็บโทรศัพท์

นี่เปิดแผนที่จะไปไหน เราก็บอกไป ทีนี้อากงบอกว่าเป็นทางเดียวกัน เดี๋ยวเดินเป็นเพื่อน ระหว่างเดินเราบอกว่าเราจะไปขนส่งนะ

อากงพูดประโยคนึงที่ทำให้เราตกใจมาก คือ เวลานี้ไม่มีรถหรอก รอบแรกมา 7.30 เรานี่ช๊อคไปเลย ถ้า 7.30 แล้วติดแบบเมื่อวาน

เราไปไม่ทันแน่ๆ ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อหรอก แต่เราก็รอแล้วรอเล่ารอถึง 7 โมง ไม่มีบัสผ่านมาซักคัน เริ่มร้อนรน เปิด google map

ดูทางไปขนส่ง 3 เกือบ 4 กิโลเมตรมั้ง ตัดสินใจ เดินก็เดิน ถือว่าเดินชมเมืองด้วย มองโลกในแง่ดีมาก เดินตอนนี้ต่อให้เดินช้าแค่ไหน ไปทันแน่

แผนที่ค่ะ รู้สึกว่าตัวเองบ้ามาก ของก็หนัก ทางที่ google map พาไปเปลี่ยวมากค่ะ แทบไม่มีคน ไม่มีรถ เป็นทางที่ไม่ใช่สายหลัก



เราเดินเร็ว เพราะกลัว ถ้าหายไปคงไม่มีใครรู้ พอเราเดินไปได้เกือบ 3 กิโล google ก็พาเราออกไปตัวถนนใหญ่ แต่ด้วยความงง



เราคงยืนเอ๋อ ๆ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ มีคุณลุงใจดี จอดรถแล้วถามว่า หนูจะไปไหน เราก็บอกไปขนส่งค่ะ ทางไหนต่อคะ



ลุงบอกว่าไปทางเดียวกัน ขึ้นรถมาสิ วินาทีนั้น ลังเลมาก ว่าจะขึ้นดีมั้ย ปลอดภัยหรือเปล่า ระหว่างสมองกำลังคิด ร่างกายพาตัวเองขึ้นไปละค่ะ 5555



สารภาพว่า ขึ้นไปก็กลัวนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เราเช็คทางใน google มันอีกแค่ไม่ถึงกิโล



สุดท้ายเราพาตัวเองมาถึงจนส่งตอน 7.30 พอดีเด๊ะ เราขอบคุณแล้วขอบคุณอีก



พอถึงขนส่งขนมปังที่กินมาย่อยไปหมด ระหว่างรอ ตอนเช้าแทบไม่มีร้านอาหารธรรมดาไหนเปิด เลยจัด mcdonald ซะหน่อย



นี่คือรถบัสที่ไปสิงคโปร์ค่ะ หลักคือจำป้ายทะเบียนรถ หน้าคนขับ และเพื่อนร่วมทางให้ดี เพราะว่าเวลาออกตม.มาเลเซีย



และเข้าตม.สิงคโปร์ เราจะกลับมารถคันเดิม ถ้าทัน ซึ่งออกตม.มาเลเซียชิวมาก คนขับรอทุกคน ไม่ต้องขนสัมภาระออกไป



แต่ตอนเข้าตม.สิงคโปร์ เราต้องเอาของออกจากรถ เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่าเราจะกลับมารถทันมั้ย รถจะรอประมาณ 20 นาที



ถ้าไม่ทัน กลับมาไม่เจอคันเดิม อย่าพึ่งตกใจค่ะ เก็บตั๋วไว้ให้ดี เราสามารถขึ้นรถของบริษัทเดิมได้ ตอนเราไปถือว่าโชคดีมาก



แถวตม.สิงคโปร์ที่เราต่อ น่าจะเป็นตอนเปลี่ยนกะพอดี เค้าปิดไม่รับคนเพิ่มที่เรา ตม.ดูรีบมาก ไม่ถามอะไรเลยซักอย่าง ปั้ม ๆ ๆ



ผ่านง่ายมาก ไม่ถึง 5 นาที เราก็ลงไปบัสได้แล้ว ในบัสมีผู้รอดจากตม.น้อยมากค่ะ ไม่ถึง 10 คน จากทั้งคัน



เราออกจากมะละกาตอน 9 โมงเช้า ถึงสิงคโปร์ตอนประมาณเกือบบ่าย 2 โมงค่ะ



// จบพาร์ทมาเลเซียแล้ว เยสส //

เมื่อถึงสิงคโปร์ สิ่งแรกๆ ที่คิดว่าทุกคนต้องทำคือซื้อบัตร EZ-Link

บัตรรถโดยสารทั้ง mrt lrt bus เรียกว่าบัตรเดียวครอบคลุมทุกการเดินทางด้วยรถสาธารณะ

บัตรนี้สามารถซื้อได้ที่สถานีรถไฟและร้านค้าสะดวกซื้อ ราคาของบัตรคือ 12 เหรียญ จะแบ่งเป็นค่ามัดจำบัตร 5 เหรียญ เราเงินในบัตรที่เรา



ใช้ได้ 7 เหรียญ มีอายุใช้งานได้ 5 ปี ถ้าซื้อที่ร้าน 7-11 จะมีราคาต่ำสุด 10 เหรียญ ใช้ได้ 5 เหรียญ การเติมเงินภายในบัตร สามารถเติมที่ตู้เติมเงิน



ในสถานี บังคับเติมขั้นต่ำ ครั้งละ 10 เหรียญ นอกจากนี้ยังมีบัตร Singapore Tourist Pass เป็นเหมาจ่าย



1 วัน 10 เหรียญ SGD 2 วัน 16 เหรียญ SGD 3 วัน 20 เหรียญ SGD



เราซื้อบัตรแบบปกติไป คือ 12 เหรียญแล้วเติมเงิน สำหรับเราไม่คุ้มค่ะ เพราะเราเติมทุกวัน วันละ 10 เหรียญ นั่งบัสออกนอกเมือง



สนุกสนาน แอบเสียดายทำไมไม่ซื้อ Tourist pass ไปเลย อันนี้แล้วแต่แพลนของแต่ละคนเลยนะคะ ว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่ากัน



ตอนไปถึง ยอมรับว่างงกับเส้นทางของรถ mrt มาก สายอะไรซับซ้อนไปหมด ที่ไทยมีแค่สองเส้นก็งงจะแย่แล้ว เราเอ๋อมาก



เดินถามคนนู้นทีคนนี้ที พออยู่ไปสักพักชิน สนุกมากค่ะ ระบบขนส่งของสิงคโปร์ดีมาก ครอบคลุมทุกอย่าง เดินทางสะดวก



ก่อนไปสิงคโปร์ เราบอกกับตัวเองว่า สิงคโปร์สำหรับเรา มันไม่ใช่ china town ไม่ใช่ถนน orchard ไม่ใช่สิงโตพ่นน้ำ



ไม่ใช่การ shopping นะ เราว่าสิงคโปร์มีอะไรมากกว่านั้น ดังนั้นที่ ๆ เราไปไม่ใช่พวกห้างเลยค่ะ



นี่คือพวกรีวิว ที่เราดู



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[CR]สิงคโปร์ ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ - 5ที่ธรรมชาติมุมเจ๋งๆที่เราอยากแนะนำ



http://pantip.com/topic/34990828



[SR]4 สถานที่ถ่ายรูป Instagram ลับ ที่คุณห้ามพลาดเมื่อมาสิงคโปร์ [Feat. Ecco Intrinsic – Part of my World]



http://pantip.com/topic/35006196



1.Fort Canning Park



การเดินทาง : Mrt Dhoby Ghaut เดินออกมาทางออก B ขึ้นบันไดเลื่อนออกมาจะเจอถนน ข้ามถนนไป



จะเห็น park mall เดินไปทางซ้าย จะเจอบ่อน้ำ เดินตามทางจะโผล่ออกมาเจออุโมงค์ต้นไม้แบบนี้



กำลังชื่นชมความงาม ถ่ายมาได้แค่รูปสองรูป เจอคู่รัก ยืนกดดัน รอถ่ายรูป pre wedding น้องไปก็ได้ค่ะ



2.The Green Corridor



จากกระทู้ วิ่งเทรลบนทางรถไฟสายเก่า The Green Corridor

http://www.adaymagazine.com/articles/run-11



ทำให้เราอยากไปเห็นกับตามากว่าเป็นยังไง การเดินทางตามในเว็บบอกเลยค่ะ



นั่ง บัสมาลงที่ Kampong Bahru Road ในย่าน Tanjong Pagar



ป้ายรถเมล์ที่อยู่หน้าอพาร์ตเมนต์เก่าสีขาวคาดเหลือง (ป้ายนี้ชื่อ Melati Block 2) จากกระทู้



เราควรหาทางเข้าไปในป่า แต่เราหาไม่เจอ หายังไงก็หาไม่เจอค่ะ ความเฟลนี้ 5555



ใครที่เคยไปช่วยแบ่งปันประสบการณ์และทางไปด้วยนะคะ ได้โปรด T^T



3.Henderson waves



หลังจากเฟลกับเทรลทางรถไฟไป เราตั้งใจจะไป southern ridges singapore ที่ต้องลงป้าย B14051



เราขึ้นบัส บอกคนขับว่าจะไปที่นี่นะ แต่ไม่รู้ทำไม คนขับถึงให้เราลงป้ายไหนก็ไม่รู้ เราอาจจะพูดไม่รู้เรื่อง 555



พอลงไปเคว้งมากค่ะ (ลืมบอกไปว่าไม่ได้ซื้อซิมที่สิงคโปร์) โผล่ไหนก็ไม่รู้ เราเลยเดินไปเรื่อย ๆ



จำได้ว่า นั่งบัสผ่านสะพานนี้มา น่าจะมีอะไร



และที่นี่ก็คือ Henderson waves



ภายใน Henderson waves ใหญ่มาก แต่เราเดินไม่หมดค่ะ เวลาน้อย



เราไปตอนเกือบ 6 โมงเย็น อากาศสบาย วิวสวย



ตึก ตึก ตึก เสียงหัวใจหรอ . . ไม่ใช่ (:



ชอบทางเดินลงไปป้ายรถบัสมาก สวย



หลังจากนั้นเรากลับไป china town เพื่อซื้อตั๋วเข้า universal studios singapore



กับ sea wheel travel ห้าง people park center



ที่พีคคือ เราไปเจอน้ำ ขวดใหญ่ 1.20 เหรียญ ปริ่มมากกกก



4.garden by the bay



ตอนค่ำ เราไปเดินเล่น ที่แถว garden by the bay แต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปนะคะ แค่เดินเล่นรอบนอก



ไม่รู้เรียกชื่อสถานที่ถูกมั้ย 555 วันนั้นเราเห็นสถานี Marina Bay เลยกะลองไปเดินเล่นดู แล้วก็โผล่มานี่ค่ะ



รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของแสงสี



มาสร้างแลนด์มาร์ค แล้วนะ



///////////////////////////



ที่พักใน สิงคโปร์ เราพักที่ 5footway.inn Project Boat Quay 2 คืนค่ะ



อยู่ในย่าน Clarke Quay เราชอบนะ ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ แต่สามารถหารูปได้จากหลายรีวิว



คนไทยพักเยอะ ราคาถูก ทำเลดี



ค่าใช้จ่าย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บัตร EZ-Link 12 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 300 บาท



ตั๋ว universal 62 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 1550 บาท



อาหาร 7 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 175 บาท



ที่พัก 2 คืน 938 บาท



รวม 2,963 บาท

Day 7

วันนี้เรามีแพลนไปตะลุย universal studios singapore แต่ก่อนไป ขอไปเก็บสถานที่ตามรีวิวก่อน

แต่จะปังหรือพัง รออ่านได้เลยค่า

ที่แรกที่ตั้งใจจะไปคือ ทางนอกอ่าว Marina Bay แบบในรีวิว แต่ !! หาไม่เจอค่ะ 555

เดินมั่วไปหมด ข้อดีของคนตื่นเช้าคือ เราจะเห็นสิงคโปร์ในมุมที่ไม่เคยเห็น ตอนเช้าเราเจอคนสิงคโปร์วิ่งออกกำลังกายเยอะมาก

แนะนำสาวๆและหนุ่ม ๆ แต่ละคนที่มาวิ่ง งานดีมากค่าาา หนุ่มๆนี่ถอดเสื้อวิ่งเป็นแถว สาวๆก็ดูสปอร์ต เท่ห์มาก

เรานี่แทบอยากหาซื้อรองเท้าไปวิ่งด้วย

ไม่มีรูปคนวิ่งประกอบนะคะ ไม่กล้าถ่าย 555 มีแต่วิว



บอกพิกัดได้ค่ะ เค้าวิ่งกันบริเวณสนามรอบ ๆ ที่แถวสะพาน DNA



ไปคนเดียวก็มีรูปเดี่ยวได้นะเออ ตั้งเองถ่ายเองเผลอเอง



เราไปต่อกันที่ Rochor Center



แฟลตรัฐบาล ที่สีสันสวยสดใสเขียว ฟ้า แดง ใกล้กับสถานนีรถไฟฟ้า Bugis



จุดที่เค้าถ่ายรูปกันคือชั้น 4 ชั้น 1-3 ของตึกนี้จะเป็นร้านอาหาร



เราไปถึงที่นี่ยังไม่ 9 โมงเช้า ไม่รู้เพราะแบบนี้หรือเปล่า สำหรับเราที่นี่ดูน่ากลัว



ยังไม่มีร้านไหนเปิด ระหว่างทางขึ้นไปแฟลตเจอเหมือนคนไร้บ้าน



มาทักเราก็กลัวๆนิดนึงแล้ว ตลอดทางที่เดินขึ้นบันไดเราได้กลิ่นปัสสาวะแรงมาก



พีคสุดคือหัวมุมบันไดชั้น 3 เราเจอฟูกนอน ข้าวของเครื่องใช้ตรงทางเดิน



และพวกคราบปัสสาวะ เรารีบวิ่งลงมา ไม่อยากถ่ายแล้วรูป มันไม่มีคนเลย



สำหรับเราความปลอดภัยต้องมาก่อน ถ้าใครจะไปที่นี่ อยากให้หาพวกรีวิวทางขึ้นไปดีดี



ไม่รู้ว่าเราไปผิดเวลา ผิดบันไดหรือเปล่า เลยเจอแบบนี้



ยืนถ่ายจากด้านล่าง นอกจากที่นี่แล้ว ยังมีแหล่งช๊อป ย่าน bugis อยู่ละแวกนี้ด้วยค่ะ



แต่ตอนเราไปคงเช้าไป ยังไม่มีร้านไหนเปิด



universal studio singapore



และเราก็มาถึงจุดที่เล่นสวนสนุกคนเดียวละค่ะ !!! เลเวลการอยู่คนเดียวขึ้นไหนแล้วเนี่ย วิธีเดินทางไป คือ



1.Sentosa Express : ขึ้นไปชั้น 3 ห้าง VivoCity เสียค่าเข้าเกาะเซ็นโตซ่า 3 เหรียญ ลงสถานีแรกของเกาะที่ชิ่อว่า

Waterfront Station



2) รถบัส Resort World Sentosa ที่หน้าห้าง VivoCity รถบัสสาย RWS8 เสียค่าเข้าเกาะ 2 เหรียญ



3) Boardwalk : เดินผ่านทางห้าง vivocity เราเลือกวิธีนี้ค่ะ เดินไปชมวิวไป เราเคยอ่านเจอว่าเสียค่าเข้า 1 เหรียญ แต่เราไม่เสียนะ



4) Cable Car : ราคาเที่ยวละ 24 เหรียญสำหรับผู้ใหญ่และ 14 เหรียญสำหรับเด็ก



สำหรับ universal studio singapore ก็ดีงามตามท้องเรื่อง เวลาเข้าไปในสวนสนุก เหมือนไม่มีช่องว่างของอายุ



มีความสุข สนุกสมชื่อ เราขอไม่รีวิวอะไรมากนะคะ อยากให้สัมผัสเอง 555 แต่ที่อยากมาเล่าคงเป็นเรื่องของช่วงเวลาที่ไป



ที่ตรงกับช่วงการจัด เทศกาลคริสต์มาส



เริ่มตั้งแต่ทางเข้า



ทุกอย่างภายในนั้นจัดให้เข้าธีมคริสต์มาส



มินเนี่ยน ><



ที่เราชอบมากคือ santa village ในนั้นจะจำลองเป็นหมู่บ้านของซานต้า



มีเพลงเปิดตลอด บางทีก็มีเหล่าภูต เอลฟ์ มาเต้น ๆ เด็กๆสนุกกันใหญ่



เอลฟ์จะแจก จดหมายให้เด็ก ๆ เพื่อให้เด็กๆ เอาไปให้ซานต้า น่ารักมาก



ในนั้นมีบ้านต่าง ๆ แต่ละบ้านจะมีกิจกรรมต่างกัน



มีอยู่รอบนึง เสียงกระดิ่งดังลั่น พวกภูตวิ่งถือกล่องของขวัญกล่องใหญ่ ให้ทุกคนในหมู่บ้าน



ช่วยกันส่งไปให้บ้านหลังนึง สนุกมาก อัดคลิปมาเต็มเลย อยากให้ทุกคนได้เห็น มันดีจริงๆน้าา



บรรยากาศภายนอกบ้าง ไม่ต้องห่วงนะคะว่ามาแล้วจะไม่มีรูป แต่ละจุดจะมีสตาฟยืนถ่ายรูปให้



เราแค่ต่อแถวแล้วยื่นกล้อง พวกนักแสดงจะมีเวลาบอกว่ามากี่โมงถึงกี่โมง ดูตารางให้ดีแล้วลุยโลด



มินเนียนเหมือนจะเป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากสุด แถวต่อถ่ายรูปยาวสุด เราถ่ายกับรูปปั้นก็ได้



และที่ตลกสำหรับเราคือ มีผู้ชายวัยรุ่นชาวเอเชียประมาณ 15 คนใส่เสื้อลายมินเนียนเหมือนกันหมด



น่ารักมาก เดินเป็นกลุ่มยืนล้อมถ่ายกับมินเนียน เอ็นดู 555 ว่าจะขอถ่ายรูปหน่อยแต่ก็เขิน



โชว์นี้สนุกค่ะ แนะนำ



อาหาร ของต่างๆ ในสวนสนุก แพงมากค่า เราซื้อขนมปังพกมากิน ตอนแรกว่าจะไม่ซื้ออะไรแต่สุดท้ายโดนจนได้



เจ้ามินเนียน !!



เกาะเซนโตซ่า มีเมอร์ไลออนขนาดใหญ่และสูงที่สุดของสิงคโปร์อยู่ด้วยน้า และยังมีทะเลที่สถานีสุดท้าย



แต่เราเพลียแดดจากสวนสนุกมาก อยู่จนถึง 6 โมงเย็น พอแล้วเกาะนี้ ขอตัวลา



อยากขอบคุณขาทั้งสองข้างของตัวเองมาก ที่ไม่งอแง สามารถเดินได้ทั้งวัน



หลังกลับไปห้าง VivoCity จัดหนักมาก หิวสุดๆ



ติดใจอะไรกับทาร์ตไข่ไม่รู้ อยู่ไทยไม่เคยกิน



เติมพลังหลังเสียไปเยอะ



คืนนี้ เราไปเดินเล่นที่เดียวกับตอนเช้าค่ะ แถว marina bay



แต่เดินยังไงก็ไม่รู้ เดินไปไกลมาก



กินอีกแล้ว



ยามค่ำคืน



ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนถ่ายรูปนี้รู้สึกยังไง



เราชอบตรงนี้ที่สุด มีเก้าอี้นอนให้นอนเล่น ชมวิวสิงคโปร์ตอนกลางคืน เกือบเคลิ้มหลับ



คิดว่าอยู่นานกว่านี้หลับแน่ เลยกลั้นใจกลับที่พักไปนอนจริงจัง



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เติมบัตร บัตร ez link 10 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 250 บาท



ค่าอาหาร 20 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 500 บาท



รวม 750 บาท

Day 8

วันสุดท้ายแล้ว จะร้องไห้ ตื่นมาพร้อมความรู้สึกไม่อยากกลับ 555

เรามาเริ่มวันกันที่ botanic garden สวนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก(UNESCO World Heritage)

การเดินทาง ลงที่สถานีชื่อนี้เลยค่ะ ง่ายมาก ง่ายที่สุดแล้ว

ตั้งแต่ไปมา ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่มาก ตอนแรกเรากะใช้เวลากับที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง

แต่พอเดินจริง ทำไมใหญ่ขนาดนี้ !! อยู่ไป 2 ชั่วโมงได้ กับการเดินอย่างเดียว

ที่นี่เปิดตั้งแต่ตี 5 มั้งคะ เริ่มไม่แน่ใจ ปิดดึกมาก ตอนที่เราไปประมาณ 7 โมง



เจอคนออกกำลังกายเยอะมาก ประเทศนี้เค้ารักสุขภาพกันจริงๆ (รึเปล่า)



ร่มรื่นมาก จนลืมไปเลยว่าสวนนี้อยู่กลางเมือง



คุณลุงซานต้า



ที่อยากมาเพราะจุดนี้เลยค่ะ สวยมาก ชอบมาก แต่อยู่ได้แปปเดียว มีคนมารอถ่ายรูป



pre wedding อีกแล้วว เค้ายืนกดดัน เราขอยอมแพ้



และที่นี่ยังมี สวนกล้วยไม้แห่งชาติ(National Orchid Garden) แต่ต้องเสียค่าเข้า



เราไม่รู้ว่าเท่าไหร เสียดายที่รีบ ไม่งั้นเข้าแล้ว พอแดดเริ่มแรงขึ้น เราเลยออกจากสวน



เพื่อไปสถานที่ต่อไปนั่นคือ ห้าง ION ที่ตั้งอยู่บนถนน Orchard ลง mrt Orchard



เป้าหมายของเราคือต้องการขึ้นไป ION Art Gallery ชั้น 4 เพื่อขึ้นไปชมวิวสิงคโปร์ชั้น 55 ฟังดูซับซ้อนมั้ย 555



แต่เมื่อไปถึง เราต้องพบกับความผิดหวัง เล็กๆ คือ จุดที่ขึ้นไปชมวิวเปิดตอนบ่าย 3 ค่าา



ถ้ารอตกเครื่องแน่ๆ see you again next time นะคะ ไหนๆก็มาแล้ว ขอชื่นชม art gallery หน่อยละกัน



เป็นห้องภาพที่ไม่ใหญ่ เล็กๆ ใช้ได้อยู่



งานฮิปเตอร์ก็มา



พอเดินเล่นหอศิลป์เสร็จ ได้เวลาช๊อปของฝากค่ะ ถ้าใครสนใจซื้อ chocolate กลับไปเป็นของฝาก



เราขอแนะนำ mustafa centre นั่งรถ MRT ไปลงที่สถานี Ferrer Park เดินอีกนิดนึง



ในห้างนี้ขาย chocolate เยอะมาก ราคาเป็นมิตรด้วย



และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องโบกมือลา สิงคโปร์ ประเทศที่ไม่อยากไป แต่พอไปแล้วไม่อยากกลับ


สำหรับเราก่อนไป - หลังไป แตกต่างจากที่คิดมากมาก ก่อนไปคิดว่า 3 วัน 2 คืนพอแน่ๆ ไม่ใช่สายช๊อป แต่พอไปจริง เห้ยยย มีหลายที่ที่ไม่อยากเชื่อว่านี่คือสิงคโปร์ มี trail ธรรมชาติเยอะมาก นี่เหมือนยังมาไม่ถึงสิงแบบคนอื่นพวก ห้าง china town orchard ไม่ได้ไปเลย เราได้เห็นสิงคโปร์ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครเห็น มีหลายที่ ๆ อยากไปแต่ไปไม่ทัน ไว้เจอกันใหม่ ตั๋วก็ถูกพอๆกับบินในประเทศ ตอน check out reception แซวให้หาแฟนอยู่นี่เลย เลยตอบว่า i think so that sound great haha ขอกลับไปฝึกสกิลอิ้งเพิ่มก่อนนะ จะกลับมาพร้อมรองเท้าและชุดวิ่ง 5555



ค่าใช้จ่าย



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เติมบัตร ez link 10 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 250 บาท



ค่าอาหาร 15 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 375 บาท



ตั๋วเครื่องบินสิงคโปร์ - ดอนเมือง = 1,585 บาท



รวม 2,210 บาท



Mii me Talk

การเดินทางมันเปลี่ยนแปลงเราไปจริง ๆ นะ ถึงมันจะไม่ได้เปลี่ยนไป 100 % แต่ทุกครั้งที่ออกเดินทาง

เชื่อเถอะว่า เราจะได้อะไรกลับมาตลอด ไม่ว่าการเดินทางครั้งนั้นจะเหนื่อย จะท้อ เห้ยเรามาทำอะไรที่นี่

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้สึกดีใจที่ได้มา สำหรับเรานี่คือการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก มันท้าทายนะ

ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ถามว่าเหงามั้ย มันไม่เหงาค่ะ ยุ่งกับการหาทางไปต่อ จนไม่มีเวลาให้คิดถึงความเหงา 555

อีกทริคนึงคือ พกสมุดเล่มเล็กๆไปเล่มนึง ไว้เขียนเวลาเบื่อๆ คิดนู่นคิดนี่ก็จดไป เหมือนคุยกับตัวเอง

ทริปนี้สำหรับเรา มันได้อะไรกลับมาเยอะมาก ประสบการณ์ การเอาตัวรอด การรู้จักคนใหม่ ๆ ภาษาอังกฤษที่คิดมาตลอดว่า

เราจะสื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่องหรอ อยู่ในห้องโง่อิ้งจะตาย สุดท้าย เราทำได้ค่ะ และเชื่อว่าทุกคนก็สามารถทำได้เหมือนกัน

เชื่อในตัวเอง

' ถ้ามัวแต่กลัว แล้วเมื่อไหรจะกล้า '

นี่คือประโยคที่เราคิดขึ้นมากับตัวเองตอนไปเที่ยว (:

สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้าใครมีอะไรอยากถามเกี่ยวกับทริปนี้ หรือทริปที่ผ่านๆมา

ถามได้ค่า ยินดีตอบ แต่ช้านิดนึง ช่วงนี้กำลังเป็นเทรนนีน้อย ฝึกงานยุ่งมาก TT

ไม่ค่อยได้เล่นมือถือ เข้าพันทิปเลย

ถามเราได้ใน

FB : Miasmii Pn / IG : memiipn

เจอกันใหม่ทริปหน้า นะคะ ~~~

ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

1,805.50 + 324.6 + 1,165.6 + 1,278.2 + 780.87 + 2,963 +750 +2,210

= 11,277.77 บาท

เลขสวยดีจัง

ความคิดเห็น