ก่อนอื่นต้องสวัสดีปีใหม่ก่อนเลย ปีใหม่นี้หลายคนได้ตั้งเป้าหมายในการเที่ยวไว้แล้ว และหลายคนคงเคยอ่านรีวิวภูกระดึงกันมาก็มากแล้ว และในครั้งนี้จะมาให้คำแนะนำทั้งก่อนและระหว่างอยู่บนภูกระดึงบ้าง ในช่วงเดือนธันวาคมในปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปพิชิตภูกระดึงเป็นครั้งแรก แต่ไม่เคยเลยรู้เลยว่าบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในป่าใน เขามันไม่น่าจะมีแต่มันก็ดันมี ฮ่าๆ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. เตรีมร่างกายมาให้พร้อม ก่อนเดินขึ้นสัก 1 อาทิตย์
เอาเข้าจริงไม่ต้องออกกำลังกายมาก็ได้นะ เพราะในการเดินขึ้นภูกระดึง จะมีที่ให้พักชมวิวหรือของกินเป็นระยะอยู่แล้วโดยมันเริ่มตั้งแต่ซำแฮกเลย ฮ่าๆ ยังไม่ทันไรที่ซำนี้มีของกินครบทุกอย่างเลย
ด้านข้างก็สามารถไปชมวิวเพื่อที่จะพักเหนื่อยก่อนก็ได้
พวกเราโชคดีได้เจอทะเลหมอกยามเช้าด้วย แนะนำให้ขึ้นช่วงเช้าๆ จะมีโอกาสเห็นทะเลหมอกได้ง่ายกว่าช่วงสายๆ
2. ยาประจำตัว เครื่องนุ่งห่มและของใช้ส่วนตัว
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรลืมเด็ดขาด ครวเตรียมเสื้อกันหนาวและหน้ากากมาด้วย เพราะข้างบนอากาศหนาวมากและฝุ่นก็เยอะเช่นกัน แต่ถ้าปลายฝนต้นหนาวก็เตรียมเสื้อกันฝนและถุงเท้ากันทากมาด้วย (ทากเยอะมาก) ตอนที่เราไปอากาศหนาวมาก ดังนั้นเตรียมเสื้อกันหนาวไปเหอะ มีให้ใช้ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มีใช้ หนาวกายไม่เท่ากับหนาวใจ ^_^ และสิ่งสำคัญที่สุดเลยคือไฟฉาย (ไฟฉายจากโทรศัพท์ก็ใช้ได้ครับ) เพราะข้างบนเราต้องใช้เวลาไปเดินดูพระอาทิตย์ขึ้นและหลังพระอาทิตย์ตกหรือแม้แต่การเดินไปห้องน้ำ
3. จองตั๋วรถทัวร์รอบประมาณ 22.00 น.
เหตุที่ให้จองเวลาประมาณนี้ก็เพราะว่า เพื่อที่จะให้มาถึงจุดจอดรถผานกเค้าตอนเช้าๆ (กทม. - เลย (ผานกเค้า)) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง ก็จะมาถึงจุดจอดประมาณ 05.00 น. มาถึงก็นั่งรถสองแถวเข้าอุทยานได้เลย ไม่ต้องรอนาน (ค่ารถสองแถวเข้าอุทยานราคา 30 บาท ถ้ามาถึงใครอยากเข้าห้องน้ำถ้าทนได้แนะนำให้มาเข้าที่อุทยาจะดีกว่าเยอะ) ตอนที่เราไปถึงประมาณตี 5 เพราะกว่าจะหลุด กทม ได้ก็หลายชั่วโมงแล้ว ^_^
4. ต้องเดินขึ้นยอดภูก่อนเวลา 13.00 น.
สาเหตุที่ต้องขึ้นก่อนเวลา 13.00 น. เพราะว่านักท่องเที่ยวบางส่วนใช้เวลาในการเดินขึ้นนาน เมื่อไปถึงข้างบนก็จะมืดก่อน ในเวลานั้นเองสัตว์ป่าก็เริ่มออกหากินแล้ว เราอาจจะได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าก็ได้
5. แบ่งคนจ่ายค่าธรรมเนียม
ถ้ามากันหลายคนแนะนำให้แบ่งหน้าที่กันจ่ายค่าธรรมเนียม เพราะคนเยอะมาก พอเราจ่ายเงินเสร็จแล้วเราก็จะได้เดินขึ้นก่อนเลย ความสนุกรอเราอยู่ข้างหน้า
- จ่ายค่าเข้าอุทยาน (ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท นักศึกษา 10 บาท)
- ค่าเช่าเต็นท์+เครื่องนอน (ถ้ามี)
- ของสำหรับลูกหาบ (ถ้ามี) ในส่วนของสัมภาระที่จะให้ลูกหาบแบกนั้น ต้องนำไปที่อาคารที่ 4 เป็นจุด รับ-ส่งสัมภาระ (จะอยู่ทางด้านขวามือ ก่อนทางเดินขึ้นเขา)
จะเป็นจุดรับ-ส่งสัมภาระ ให้นำไปชั่งกิโลที่ตรงนั้น ค่าแบกสัมภาระอยู่ที่ราคา กิโลกรัมละ 30 บาท ให้ไปจ่ายที่ยอดภู เก็บบัตรไว้ดีๆ ละ
สำหรับผมเองแล้วขอแบกขึ้นเองดีกว่าเพราะเสียดายเงิน เก็บเงินไว้กินหมูกระทะข้างบน ฮ่าๆ
6. เดินไปเลือกเต็นท์โซน S
เหตุใดข้อนี้จึงสำคัญ ที่มันสำคัญก็เพราะว่า เราคิดว่ามันเป็นทำเลทองที่สุดของจุดกางเต็นท์เลยก็ว่าได้ เพราะมันจะใกล้ห้องน้ำ(ใหม่) และร้านอาหาร แถมยังได้ร่มไม้อีกด้วย ตอนกลางวันถ้าไม่ไปไหนก็นอนชิลๆ อยู่ที่เต็นท์นั้นแหละ เปิดเพลงฟัง ดูหนังอะไรตามสบายเลย
7. เตรียมเงินมาเยอะๆ
สาเหตุที่ต้องเตรียมเงินมาเยอะก็เพราะว่า บนนี้มีทุกอย่างที่คุณต้องการ แม้แต่หมูกระทะหรือหมูจุ่มก็ยังมี แต่ราคาจะแพงถึงสองเท่าเชียวละ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือน้ำดื่มก็จะมีราคาที่แพงขึ้น ทริปนี้เราหมดเงินไปประมาณ 2500 บาท
8. วันแรกที่มาถึงก็เช่าจักรยานไปดูผาต่างๆ
เดินขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว แต่ถ้าใครมีแรงเหลือๆ ก็เช่าจักรยานไปดูผาต่างๆ ราคาเช่าจักรยานข้างบนก็วันละ 300 บาท (ยังไม่ต้องไปถึงผาหล่มสักก็ได้เก็บไว้วันต่อไป)
ทางข้างบนก็เป็นแบบนี้ละครับ ไม่ค่อยมีร่มไม้สักเท่าไร พกครีมกันแดดมาด้วยก็จะดีมากเลย ^_^
แล้วไปดูพระอาทิตย์ตกที่ ผาหมากดูก มีเพียงแค่เธอกับฉัน
แล้วเราก็ใช้เวลานั้น ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในสมองส่วนที่ลึกที่สุด เก็บภาพความประทับใจไว้ พร้อมกับแสงอาทิตย์ ลับขอบฟ้า
แล้วก็ได้เวลาเดินไปกินหมูกระทะร้อนๆ สักหนึ่งมื้อ พร้อมชาร์จแบตทุกสิ่งอย่างให้พร้อมสำหรับวันต่อไป (เกือบทุกร้านจะมีปลั๊กไฟให้เรา เอาไว้ชาร์จแบตทุกสิ่งอย่างได้ตลอดการนั่งกินหมูกระทะ (ชาร์จฟรี) ^_^ แต่ถ้าเอาไปฝากอุทยานชาร์จก็ได้เหมือนกันแต่เสียเงินนะ โทรศัพท์ 20 บาท พาวเวอร์แบงค์ 40 บาท
์
ปิดท้ายด้วยการนอนดูดาวชิคๆ จิบเบียร์คูลๆ สัมผัสอากาศเย็นชิลๆ
9. ควรตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ใครที่จะไปดูพระอาทติย์ขึ้น ควรตื่นมาก่อน 04.30 น. เพื่อที่จะมาดูทางช้างเผือกบริเวณลานหน้าที่ทำการก่อน เราคนนึงที่เป็นเหมือนโรคจิต เวลามาเที่ยวแล้วชอบล่าช้างเผือกกลับไปให้เพื่อนๆ ดูเพราะคนในเมืองไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นมันเลยและนี้คือทางช้างเผือก
แล้วเวลา 05.00 น. เจ้าหน้าที่จะพาเราเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น เดินไปไม่นานก็ถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
รอไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นมาต้อนรับวันใหม่แล้วครับ
หลังจากนั้นก็เดินกลับไปที่พัก กินอาหารเช้ากันดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ออกล่าตามหาใบเมเปิ้ลกัน
10. ไปทุกที่ ที่มีทางบนยอดภูกระดึง
มาภูกระดึงทั้งทีก็ต้องไปให้สุด ถ้ามาแล้วไปไม่ครบก็จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง เราควรเดินไปน้ำดูตกต่างๆ ให้หมดเลย มีอะไรเดินไปดูให้หมด ^_^
ตามหาใบเมเปิ้ล
ดูแสงสุดท้ายที่ผาหล่มสัก จากที่เราเดินมาเหนื่อยๆ ก็แนะนำให้เพื่อนทานข้าวที่ผาหล่มสักเลยนะ ที่ผาหล่มสักจะมีร้านอาหารอร่อยๆ เยอะเลย นั่งพักให้หายเหนื่อย ชาร์จแบตให้เต็ม และเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ตกกัน
จะว่าไปก็สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ เมืองเลย ก็ได้นะเออ
ไม่นานพระอาทิตย์ก็ตก จากเราไปทีนี้ก็เหลือแต่ความมืดมิดให้เราเดินกลับที่พักระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร
แต่ในระยะทางอันแสนยาวไกลนี้เราควรแวะดูความสวยงามของทางช้างเผือกระหว่างทางกลับ
ปิดท้ายด้วยการกินหมูกระทะและหมู่จุ่มปิดท้าย
***ข้อเสนอแนะ***
เอาเข้าจริงๆ แล้วภูกระดึงมีความสวยงามอีกมากมายที่เรามองข้ามไป และกิจกรรมอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะแนะนำก็คือ การซ้อมวิ่งเทรล ที่ภูกระดึงผมว่าเหมาะกับการซ้อมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางขึ้นหรือบนภูกระดึงเอง เพราะมีร้านอาหารอยู่เยอะมาก และจุดพักให้เติมน้ำก็มี (ก็เติมน้ำที่ร้านอาหารนั้นแหละ) สุดท้ายก็ขอให้ทุกคนเที่ยวอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณครับที่ติดตามกันมา
7NOVEMBER
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.45 น.