เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีเรื่องราวดีๆ จะมาเล่าสู่กันฟัง ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาบ้านเราห้ามโน้น ห้ามนี้ ห้ามนั้น ห้ามเยอะมาก ก็เลยคิดว่า เฮ้ย!!! กูไปตามเส้นทางในฝันของกูดีกว่า และแล้วมันก็เกิดทริปนี้ขึ้นมา เริ่มแรกเลยตอนแรกกะว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์จากไทยขึ้นไป แต่พอศึกษาลึกๆ แล้วมันต้องเตรียมเอกสารเยอะแยะมากมายและที่สำคัญคือ ไปคันเดียวไม่ได้ "มันจบตรงที่ไปคันเดียวไม่ได้นี้ละ" แล้วอีกอย่างถ้าขี่มอเตอร์ไซค์ไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 วันในการขี่ไป-กลับ ซึ่งเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย ก็ตัดสินใจแบกเป้ไปนี้ละ

เอาละ เดี๋ยวมาบอกวิธีการเดินทางไปเส้นทางในฝันของใครหลายๆ คน ในรูปแบบง่ายๆ กันดีกว่า ก่อนอื่นเลยผมต้องบอกว่า ผมพูดภาษาจีนไม่ได้และผมก็ไม่ง้อหนังสือต่างๆ นาๆ ด้วย ข้อมูลส่วนใหญ่หาจากเพื่อนๆ ที่เคยรีวินี้แหละครับ

ก่อนอื่นเลยทำการโหลดแอพพลิเคชั่นที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในประเทศจีนก่อนเลยครับ

1. VPN

เพื่อใช้ในการติดต่อค้นคว้าหาข้อมูลระหว่างการเดินทางหรือเล่นโซเชียล เพื่ออัพเรื่องราวหรือรูปภาพให้เพื่อนๆ อิจเล่น เราแนะนำใช้ตัวนี้ ExpressVPN ให้เราใช้ฟรีถึง 8 วัน (ตัวนี้ไวสุดละ)

2. Wechat

เพราะเราต้องใช้ wechat นี้แหละในการสื่อสารกับคนจีน แอพนี้ช่วยชีวิตมาหลายครั้งละ เพราะว่ามันสามารถแปลภาษาได้ด้วย เราก็พิมพ์อังกฤษไปแล้วเดี๋ยวเขากดแปลเป็นภาษาจีน เขาก็พิมพ์จีนมาแล้วเราก็แปลเป็นอังกฤษ สะดวกจะตายยังไงก็รู้เรื่อง มันอาจจะใช้เวลาหน่อยแต่เข้าใจทั้งสองฝ่าย ถือว่าผ่านนนนนน

3. Map me

เราต้องทำการปักหมุดไว้ก่อนเลย เราจะไปไหนบ้างก็ปักไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ไทยนี้ละ แล้วอีกอย่างชื่อสถานที่มันมีภาษาจีนอยู่ด้วยเว้ย เราก็สามารถยื่นให้คนจีนดูได้ว่าเราจะไปไหน สะดวกสุดๆ

เพียงแค่ 3 แอพพลิเคชั่น เราก็สามารถเที่ยวจีนได้อย่างสบายคลายความกังวล เอาละจากที่แนะนำแอพพลิเคชั่นเพื่อการดำรงชีพในจีนแล้วต่อไปเราจะบอกแผนคร่าวๆ ของทริปนี้ก่อนละกัน แผนของเราก็จะตามรูปด้านล่างนี้เลย

Plane

Day 1: 08 Apr 17 :: BKK --> Kunming --> Shangri-la

Day 2: 09 Apr 17:: Shangri-la all day

Day 3: 10 Apr 17:: Shangri-la --> Daocheng(稻城)

Day 4: 11 Apr 17:: ทะเลสาบน้ำนม (牛奶海หนิวหน่ายไฮ่)+ ทะเลสาบห้าสี (五色海อู่เซ่อไห่)

Day 5: 12 Apr 17:: ทะเลสาบไข่มุก (珍珠海เจินจูไห่) (Zhuoma La Lake)

Day 6: 13 Apr 17:: Daocheng(稻城) --> Shangri-la

Day 7: 14 Apr 17:: Shangri-la --> Lijiang

Day 8: 15 Apr 17:: หุบเขามังกรหยก+bluemoon valley --> Shenzhen

Day 9: 16 Apr 17:: Shenzhen --> BKK

จากแผนของเราในวันที่ 15 Apr 17 ต้องทำเวลาพอสมควรเพราะต้องขึ้นเครื่องต่อไปยังเมืองเซินเจิ้นในช่วงหัวค่ำ ตอนนี้ก็ถึงเวลาอันเหมาะแหม๋งเหมาะแหม๋งแล้วละ......

Day 1: 08 Apr 17 :: BKK --> Kunming --> Shangri-la

เราไปถึงสนามบินคุนหมิงประมาณ 11.40 น. ถ้าใครอยากเล่นเนตก็หาซิมจีนซื้อมาใส่ได้เลยนะ เมื่อเราเดินขึ้นมาแล้วให้เราออกทางออกที่ 2

เพื่อไปซื้อตั๋วรถ Shuttle Bus ในราคา 25 RMB เพื่อไปสถานีขนส่งสายตกวันตก พอออกไปเราก็จะเจอตู้ลักษณะแบบนี้

ให้บอกเขาว่าไป Western bus terminal (昆明西部汽车客运站) แล้วเอารูปให้เขาดู

เมื่อเราไปถึงสถานีขนส่ง เราก็เดินเข้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าช่องไหนก็ได้ ซื้อตั๋วบอกเค้าว่าไป Shangri-la (Deqen (迪庆藏族 自治州)) ให้จองรอบ 20.30 น. เพราะว่าถ้าไวกว่านี้เราจะถึงเช้าเกิน และถ้าช้ากว่านี้ก็ไม่มีรถแล้ว ฮ่าๆ พอเราซื้อตั๋วเสร็จแล้วเราก็ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีขนส่งแหละค่าฝากใบละ 10 RMB (ตอนนั้นเราเจอพี่คนไทย 2 คนที่บินมาไฟท์เดียวกะเรา เราก็เลยเข้าไปคุยด้วยแผนการเที่ยวก็คล้ายๆ กัน ก็เลยกะว่าจะไปเจอกันที่แซงกรีล่าแล้วเที่ยวด้วยกัน (ตอนนั้นได้แค่ให้เบอร์โทรศัพท์ ประเด็นคือเบอร์ไทยด้วยฮ่าๆ พี่แกยังไม่มี wechat หรืออะไรที่สามารถเปิดใช้งานได้เลย)

พอเราฝากกระเป๋าเสร็จเราก็ไปขึ้นรถบัสสาย 89 ที่มุมฝั่งตรงข้าม เพื่อไปเดินเล่นแถวถนน Guanghua street เป็นเหมือนจตุจักรบ้านเราเลย ^_^

เป็นไงปลายังมีลาย I love U เลย ฮ่าๆ

แล้วเราก็เดินมาที่วัด Yuantong Temple

พอเข้าไปถึงพวกเราก็ขอพรให้การเดินทางนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆ

พอชมวัดเสร็จก็เดินมาฝั่'ตรงข้ามเพื่อนั่งรถเมย์สาย 92 ไปย่าน shopping แถวถนน Zhengyi ในราคา 1 หยวน

ประมาณบ่าย 3 เราก็กลับมาที่สถานีขนส่ง ตอนนี้แหละที่ map me และ google map เรามีประโยชน์มาก เพียงเรากดจากจุดที่เราอยู่ไปยังจุดปลายทาง มันก็จะขึ้นสายรถเมย์มาให้เรา เพียงเท่านี้เราก็เดินทางโดยรถเมย์ได้ง่ายๆ ที่สำคัญค่าโดยสาร 1 หยวนตลอดสายจ้า

แล้วก็รอเวลาขึ้นรถนอนและนี้ก็สภาพรถนอนของเรา ^_^ หลับสบายพร้อมกลิ่นหอมชื่นใจ ถถถถถถ

วันแรกมีเพียง 3 step ง่ายๆ สำหรับการปรับตัวให้เข้ากับเมืองจีน

1. ออกทางออกที่ 2 เพื่อซื้อตั๋ว Shuttle Bus ไป Western busterminal (昆明西部汽车客运站)

2. พอถึงสถานีให้ซื้อตั๋วไป Shangri-la (Deqen (迪庆藏族 自治州)) รอบ 20.30 น เพื่อจะได้ถึงเช้า

3. เวลาที่เหลือก็หาที่เที่ยวในตัวคุนหมิงโดยนั่งบัสสาย 89 นั่งไปประมาณ 7-8 สถานีก็ถึงแล้ว ขากลับก็มาขึ้นที่เดิมหรือถ้าใครเดินไปไกลจนจำไม่ได้ก็ใช้ google map ปักจุดหมายปลาย แล้วค้นหาโดยรถเมย์ ก็ได้เช่นกัน

Day 2: 09 Apr 17:: Shangri-la all day

แสงแดดเริ่มแยงตาเราก็ตื่นมา แล้วบ่นว่า กูถึงไหนแล้ววะเนี้ยเลยยังว่ะ!!!

เรามาถึง สถานีขนส่งที่ Shangri la ประมาณ 8.00 น. จากนั้นก็ให้เดินไปฝั่งตรงข้ามของขนส่ง เพื่อนั่งรถเมย์สาย 3, 7 เพื่อเข้าไปยังเมืองเก่าค่าโดยสาร 1 หยวนเหมือนเดิม (ไม่มีเงินทอนนะ ฮ่าๆ เตรียมมาให้พอดี)

ประตูเมืองเก่าจะอยู่ทางด้านขวามือสังเกตุให้ดีตามรูปด้านล่างนี้นะ เห็นแล้วก็ลงเลย

พอมาถึงเมืองเก่าก็หาที่พักกันตามใจชอบเลย เรามาตามรีวิว ฮ่าๆ เดินไกลพอสมควร (แนะนำเรื่องที่พักนิดนึงก็คือว่า ไปหาเอาข้างหน้าดีกว่าบอกที่ ที่พวกเรารีวิวมันก็ไม่ได้ดีตามนั้น เราว่าความต้องการ การพักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไปดูกับตาตัวเองเลย) พอเราได้ที่พักแล้วเราก็พักผ่อนเก็บข้าวเก็บของหาข้าวกิน แล้วก็กลับไปสถานีรถบัสอีกครั้งนึงเพื่อที่จะซื้อตั๋วไป Daocheng(稻城) ซึ่งจะมีวันละ 1 รอบเท่านั้น พอเราจะซื้อตั๋วเท่านั้นแหละ คนขายบอกว่า วันถัดไปคือวันที่ 10 Apr 17 ตั๋วเต็มแล้ว เราก็เลยต้องทำใจ จังหวะนั้นเองเราก็... (เหมือนหัวใจถูกย้ำยีและกระถืบซ้ำอย่างหนักหน่วง T_T) ระหว่างยืนรอบัสเพื่อ กลับไปเดินที่เมืองก็มีพวกรถรับเหมาพาเที่ยวมายื่นข้อเสนอโน้นนี้นั้นมากมาย เราก็เลยถามดูว่าไป ย่าติง 4 วันคิดเท่าไรโดยใช้ Wechat นั้นแหละ บางคนเสนอมา 3200 RMB ซึ่งแพงมาก จนแล้วจนเล่ามีลุงคนนึงเสนอมาที่ 3000 RMB (ถ้าหารกันก็ตกคนละ 1000 RMB) เราเลยบอกแกว่าเดี๋ยวคอนเฟริมอีกที แล้วเราก็ขึ้นรถสาย 3 กลับมาที่เมืองเก่าเพื่อเดินไปวัด Guishan (วัดต้าฟ้อ)


เดินเล่นพิธภัณฑ์

เล่นกะหมาตัวนี้ เดินดูนี้ ชมดูนั้น จังหวะนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์เข้าพอดีปรากฏว่าเป็นพี่ 2 คนที่เราเจอกันที่คุนหมิงก็เลยชวนพี่เขามาหารด้วยฮ่าๆ พี่แกก็โอเค เพราะว่าตั๋วมันเต็มยังไงก็ต้องเหมารถไป ดังนั้นเราเลยเฟริมลุงแกไปว่า โอเค เราไปย่าติงในวันรุ่งขึ้นสรุปได้มาในราคา 3000 RMB 4 วัน ก็ตกวันละ 750 RMB ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากพอสู้ไหว

เดินเล่นไม่ทันไรก็ค่ำแล้วแต่ฟ้ายังไม่มืดเลย แต่เราก็ต้องหาข้าวกินกันแล้ว นี้คือมื้อค่ำของพวกเรา


หลังจากการกินแล้วเราก็เดินเล่นในตัวเมืองเก่า ไปดูเขาเต้นรำกันที่ลานหน้าวัดต้าฝ้อ พอหลังจากการเต้นรำเสร็จ บรรยากาศช่างเงียบเหงาเหลือเกิน ฮ่าๆ


วันที่สอง ชิลๆ เดินไปถ่ายรูปไป ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

1. ลงรถบัสมาให้จองตั๋วไปย่าติงในวันถัดไปก่อนเลย (ถ้ามีแผนว่าจะไป)

2. เดินมาฝั่งตรงข้ามสถานี แล้วขึ้นรถเมย์สาย 3 หรือ 7 ก็ได้ พอถึงหน้าประตูเมืองเก่าก็ลง แล้วเดินหาที่พัก

3. ทำการสำรวจเมือง Shangri-la อย่างเต็มอัตราสูบ

- วัด Guishan (วัดต้าฟ้อ), วัด Songzanlin, วัดไก่ถ้าแรงเหลือ, ร้านกาแฟ, ร้านโปสการ์ด

4. แนะนำว่าการไป Yadding ถ้าไปกัน 5 คนควรเหมารถไป เพราะจะสะดวกและประหยัดเวลา กว่านั่งบัสไปเต้าเฉินก่อนแน่นอน

Day 3: 10 Apr 17:: Shangri-la --> Daocheng(稻城)

จากแผนเดิมที่เราต้องนั่งบัสไปแต่ต้องเปลี่ยนเป็นเหมารถไปแทน จาก Shangri-la --> Yadding เลย ใช้เวลาประมาณ 6 hr. ซึ่งประหยัดเวลาไปมากเกือบวันและไม่ต้องเสียค่าที่พักที่ Daocheng ด้วย ถือว่าคุ้ม

คันนี้คือรถที่จะพาพวกเราไป Yadding เสียงเครื่องยนต์นิ่ง เงียบ แถมนั่งสบายก็รถญุ่นอีก ฮ่าๆ ไปดูวิวข้างทางกันดีกว่า



ไม่นานประมาณช่วงเวลา 16.00 เราก็มาถึงจุดขายตั๋วเข้าอุทยานแห่งชาติย่าติง(亚丁自然保护区) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชม. รวมรอถนนเปิดด้วย ๖บางช่วงก็มีการปิดซ่อมถนน


ก็ให้เราเข้าไปซื้อตั๋วรถบัสและตั๋วเข้าอุทยานในราคา 270 RMB เขาจะออกมาให้เราพร้อมกันเลย เดินเข้าไปแล้วหันขวา

เสร็จแล้วเราก็ไปขึ้นรถบัสเพื่อไปหาที่พักที่หมู่บ้านย่าติง(亚丁村)

จะเป็นจุดจอดจุดแรกเลย (ต่อจากจุดชมวิว) ถ้าเห็นวิวหมู่บ้านประมาณนี้ก็เตรียมลงเลย แล้วก็ถ้าเห็นลานกว้างๆ ลักษณะนี้ก็ลงเลยจ้า พอลงมาแล้วก็ให้เลือกที่พักตามชอบเลย แต่เราแนะนำที่พักทางนี้น่ะ(รูปด้านล่างเดินเข้ามาทางนี้) เพราะจะได้เห็นวิวสวยๆ จากห้องนอนเราได้เลย แต่จะบอกว่าที่นี้ไม่มีฮีทเตอร์นะ ฮี่ๆ


เนี้ยๆ พอเราลงมาแล้วก็เดินเข้าไปทางนั้น นิ้วชี้ให้ดูเดินไปทางรถสีขาวนั้น

อันนี้ก็วิวหน้าที่พัก ห้องเราก็สามารถมองเห็นวิวนี้ได้เลย ^_^

แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาซะยาวเชียวฮ่าๆ คืนแรกเราไม่ได้พักที่นี้แต่เราพักที่นี้ ในราคาคืนละ 80 หยวน/ 1 ห้อง เราก็อยู่กัน 3 คนเลย

อันนี้เป็นห้องรวมอุ่นมาก แต่พอเดินไปห้องตัวเองงง ซั๊ซซซซซซซซซซซซซ ไม่มีไฟฟฟฟฟ แม้แต่แสงสว่างยังไม่มีเลย นี้มันโรงแรมเถื่อนชัดๆ ฮ่าๆ พออีกวันก็เปลี่ยนที่พักอย่างไวไปพักไอ้ที่บอกข้างบนอะ

วันนี้เราก็พักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมอาหารมื้อเที่ยงสำหรับวันพรุ่งนี้ให้พร้อม (มันจะมีข้าวกล่องขายที่ร้านชำสามารถอุ่นโดยเทน้ำใส่ถุงอุ่นพร้อมกินได้เลย) แล้วเราจะไปสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติกันในวันถัดไป

วันที่สาม เดินทางง่ายกว่าในกรุงเทพ

1. ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวเดินทางไป Yadding เตรียมของกินบนรถให้พร้อม

2. เมื่อมาถึงจุดขายตั๋วให้ซื้อบัตรรถบัส+ค่าเข้าอุทยานในราคา 270 RMB ต่อด้วยนั่งบัสเข้าไปในอุทยานเพื่อไปลงหมู่บ้าน ย่าติง(亚丁村)

3. จุดแรกที่รถจอดจะเป็นจุดชมวิว จุดที่สองจะเป็นลานกว้างๆ โต๊ะวางขายพวกกำไรข้อมือ อยู่ด้านด้านซ้ายมือ พอรถจอดก็ลงเลย

4. ให้หาที่พักคือละ 100 หยวนเลยจะสะดวกแล้วหลับสนิท+สบาย จะได้มีแรงเดินในวันรุ่งขึ้นด้วย

5. พักผ่อนให้เยอะๆ เดิมน้ำให้มากๆ แล้วอาการแพ้ความสูงจะไม่รบกวน


Day 4: 11 Apr 17:: ทะเลสาบน้ำนม (牛奶海หนิวหน่ายไฮ่)+ ทะเลสาบห้าสี (五色海อู่เซ่อไห่)

เช้ามาก็หาข้าวทานให้เสร็จสับ แล้วไปรอรถบัสที่บริเวณข้างทางตรงลานกว้างๆ (ตอนที่เราลงรถมาเมื่อวาน) ให้รอฝั่งที่ลงมาเมื่อวานนะ พอมีรถบัสมาปุ๊บเราก็โบรกรถแล้วก็โดดขึ้นรถเลยจ้า(รถจะลงเขานะ) จะลงอีกทีคือเขาจอดครั้งที่ 2 ก็คือ จาก้วนเปิง(扎灌崩) (คนอื่นๆ เขาก็ลงกันหมด ฮ่าๆ เราก็ต้องลงด้วย) พอเราลงมาปุ๊บให้หันหน้าเข้าหาห้องน้ำแล้วหันขวา มันจะเป็นทางเดินขึ้นเนินชันๆ นั้นแหละทางนั้นแหละเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เลยจ้า จะบอกว่าแมร่งชันมากจริงๆ

พอเดินขึ้นมาเรื่อยจนหอบแฮรกๆ ก็จะเจอกับจุดขายตั๋วรถกอล์ฟเราก็เข้าไปซื้อเลยครับ (เดินตามเขาเอาฮ่าๆ) พอได้ขึ้นรถกอล์ฟแล้วเราก็จะนั่งรถกอล์ฟไปอีกประมาณ 20-30 นาทีนี้แหละก็จะถึงจุดเริ่มเดินไปทะเลสาบน้ำนม

พอรถจอดปุ๊บกระคลานลงจะรถปั๊บ เดินลงมาอีกหน่อยก็เจอวิวสวยๆ แบบนี้เลย

(ทะเลสาบน้ำนมกับทะเลสาบห้าสีมันอยู่ใกล้ๆ กันเลย) ดูรูปกันยาวๆ เลย

ไม่นานเราก็เดินมาถึงทะเลสาบน้ำนมแล้ว เย้!!!! เราใช้เวลาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมงที่เดินช้าเพราะร่างกายไม่อำนวยบวกกับอาการแพ้ความสูงยังมีอยู่

เอาล่ะ เรานั่งพักกันสักแปปเสพทะเลสาบน้ำนมให้เต็มที่ ก็เตรียมตัวเดินขึ้นเขาไปอีก 1 ลูกก็จะถึงทะเลสาบห้า สีแล้ว เดินขึ้นไปประมาณ 10 นาทีได้ก็ถึงทะเลสาบห้าสีแล้วพ้นเนินปุ๊บก็เห็นเลย

เดินขึ้นไปทางซ้ายนะ พ้นเนินก็ถึงแล้ว


เดินขึ้นมาก็จะเห็นวิวทั้ง 2 ทะสาบเลย ภาพด้าบนทะเลสาบน้ำนม ภาพด้านล่างทะเลสาบห้าสี



เราเสพความสวยงามของทะเลสาบ 5 สีได้ไม่นาน ก็ต้องรีบเดินกลับกันแล้วเพราะ ณ ตอนนั้นประมาณ 15.10 น. ได้เราต้องรีบเดินกลับเพราะรถรอบสุดท้ายจากจุดลงจะหมดประมาณ 16.30 พวกเราก็ต้องรีบจ้วงอย่างหาที่สุดไม่ได้ ฮ่าๆ

พอเราอยู่ทะเลสาบห้าสีแล้วเราก็ไม่ต้องลงเดินทางเดิมละมันอ้อมมากพวกเราก็เลยตัดสินใจค่อยๆ ลงทางที่เขาไม่ลงกันแม่มเพื่อประหยัดเวลา

ไม่นานเราก็มาทันรถรอบสุดท้ายที่จะกลับไปยังหมู่บ้านย่าติงพอ 18.30 น.

วันนี้โครตเหนื่อยเลย และเพลียมากด้วยพอไปถึงที่พักเราก็หลับกันยาวๆ จนเช้าอีกวันนึงเลย รูปก็ไม่ได้ถ่ายละ ฮ่าๆ วันแรกผ่านไป วันที่สอง วันที่สาม ค่อยๆ ผ่านไป

วันที่ 4 ไม่ได้มีขึ้นตอนอะไรยุ่งยากมากมาย

1. ตื่นมากินข้าวเช้าให้พร้อม เสร็จแล้วไปรอบัสที่จุดลงรถที่เรามาถึง

2. เตรียมข้าวกลางวันไปกินกลางทาง + น้ำเดิมให้เพียงพอ

3. เตรียมตัวและเตรียมใจทางแมร่งชันเอาเรื่องอยู่พอกะกะซำแฮกเลย ฮ่าๆ

4. พอขึ้นบัสมาแล้วก็ลงป้ายสุดท้ายเลย(ทุกคนจะลงกันหมดฮ่า)

5. หันหน้าเข้าหาห้องน้ำแล้วจะเห็นทางชันๆ เดินไปทางนั้นแหละ (คนเดินขึ้นไปกันทางนั้นเยอะๆ)

6. พอขึ้นไปจะเห็นอาคารไม้สีตาล เข้าไปต่อแถวซ้ำตั๋วรถกอล์ฟตรงนั้นแหละ + เป้นทางบังคับให้ไปขึ้นรถกอล์ฟเลย

7. ขึ้นรถกอล์ฟมา แล้วก็ลั่นล๊าาได้เลย ฮ่าๆ

8. รถกอล์ฟจะหมดประมาณ 16.30 น. รถบัสรอบสุดท้ายจะหมด 18.00 น. คำนวณเวลากันดีๆ (แต่เวลาบัสจริงๆ ก็ตามรูปนั้นแหละ ฮ่าๆ)

Day 5: 12 Apr 17:: ทะเลสาบไข่มุก (珍珠海เจินจูไห่) (Zhuoma La Lake)

วันนี้ก็เหมือนเดิมเลยแต่พอลงรถบัส บริเวณจุดที่ต้องเดินต่อ ลองเดินอีกทางนึงจะดีกว่า จะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ และไม่เดินขึ้นทางชันๆ แบบเมื่อวานด้วย ภาพด้านล่างเป็นจุดรถจอดสุดท้ายนะเห็นแบบนี้ก็ลงมาเลย

แต่เราจะเดินไปทางหลังอาคารหลังสุดท้ายมันจะมีทางเดินไปอย

มันก็มาเจอกันจุดเดิมเหมือนกัน คราวนี้ ให้เดินไปทางขวานะ จะเป็นทางไปทะเลสาบไข่มุก ให้เดินไปตามป้ายเลย (Zhuoma La Lake) จากจุดนี้เดินไปทะเลสาบไข่มุกใช้เวลาแปปเดียวไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว

(อธิบายภาพด้านบน:: โซนรั่วน้ำเงินและอาคารไม้สีน้ำตาล(ด้านซ้ายรูป)ทางนั้นจะไปทะเลสาบน้ำนม+ทะเลสาบห้าสี ส่วนทางนี้ไปทางขวาจะไปทะเสาบไข่มุก เดินไปตามทาง ด้านขวาของรูป)


พอมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางชันแล้วละ เดินขึ้นบรรไดมาหลายขั้นเลยฮ่าๆ ^_^ ถ่ายภาพหมูหน่อยๆ เรา 5 คนกับเส้นทางที่ฝันไว้

พอถึงทางสามแยกถ้าเลี้ยวขวาวิวก็จะเป็นแบบนี้ ^_^

ตอนแรกก็เหว๋อๆ อ้าวเชรี่ยยยน้ำแมร่งไปไหนหมดวะ ฮ่าๆ เลยเดินกลับไปทางเดิมแล้วไปอีกทางแทน เดินไปตามป้ายเลยไม่นานเราก็มาถึงแล้ว ทะเลสาบไข่มุกที่เขาล่ำลือกันว่ามันสวยมาก



เราอยู่ที่นี้ประมาณ 1 ชั่วโมงใช้เวลาอยู่นานกว่าทะเลสาบไข่มุกและทะเลสาบห้าสีรวมกันเสียอีกฮ่าๆ เพราะว่าที่นี้มันสวยกว่าเมื่อวานอกแถมเดินสบายกว่าด้วย ^_^ พอเราเสพที่นี้อย่างเต็มอิ่มเราก็กลับที่พักเพื่อนั่งรถบัสลงไปที่จุดซื้อตั๋วก่อนขึ้นมา เพื่อที่ว่าจะได้หาที่พักในเมือง yading นี่คือที่พักของเราก่อนกลับ Shangri la

เราถึงที่พักประมาณ 14.30 น. แล้วเราก็แยกย้ายกันพัก่ผ่อนแล้วนัดพี่อีก 2 คนมากินข้าวประมาณ 17.30 น. ก็ให้ลุงแกมาแจมด้วย

ต่อด้วยการเดินเล่นชมเมือง

เสร็จก็เข้าที่พัก

วันที่ 5 เดินชิลๆ ไปดูทะเลสาบไข่มุก ทำตัวคูลๆ ในเมือง Yadding ให้คนพื้นที่หันมามอง

1. ขึ้นบัสไปลงที่เดิม แต่ไปเดินทางที่เป็นตะแกรงแทน จะได้วิวที่แปลกใหม่และทางไม่ชัน

2. เมื่อเดินมาถึงที่เป็นทางแยกก็เดินไปทางวัดเพื่อไปทะเลสาบไข่มุก (เดินข้ามสะพานไม้ที่เป็นธงมนต์มา)

3. เดินไปเรื่อยก็ถึงทะเลสาบไข้มุกแล้ว ง่ายกว่าเมื่อวานเยอะ

4. เสร็จแล้วก็ไปเอากระเป๋าที่พักแล้วนั่งบัสกลับมาที่จุดขายตั๋ว แล้วไปหาที่พักในเมือง Yadding หรือใครไปเต้าเฉินก่อนก็เหมารถไปเลย

5. พักผ่อนให้เต็มที่ กินให้พุงแตก เพราะเรารู้ว่าคุณก็โหยเหมือนเรา ฮ่าๆ

Day 6: 13 Apr 17:: Daocheng(稻城) --> Shangri-la

วันนี้เราจะเดินทางกลับ Shangri-la เราออกกันประมาณ 9.00 น. พอออกมาจากตัวเมืองไม่นาน พวกเราก็เห็นสิ่งๆ หนึ่งแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า นี้หรอวะเส้นทางในฝัน Shangri la ที่เหล่าไบค์เกอร์ฝันว่าสักครั้งนึงต้องมาให้ได้ มันเป็นเส้นทางในฝันของเหล่าไบค์เกอร์ ที่จะพาตัวเองและมอเตอร์ไซค์คู่ใจขี่ไปบนถนนที่สวยๆ

พอไปต่อได้ไม่นานพวกเราก็เจอกลุ่มพี่ๆ คนไทยที่มอเตอร์ไซค์มาจริงๆ ด้วยโห๊วว เห็นแล้วอิจฮาแทนเลย ระหว่างทางก็มีปิดถนนเพราะหินถล่มบ้าง ซ่อมถนนบ้าง


กว่าจะถึง Shangri la ก็เกือบ 19.00 เลยครับ เราเสียเวลากับการปิดถนนไปเกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว

อย่าที่บอกที่พักที่แชงกรีล่าเยอะมากๆ เราก็เดินหาเอาถนนหน้าประตูเมือง เราไปได้ที่พักใกล้ๆ กับประตูเลย คืนนี้เราก็พักแถวหน้าประตูนี้ละ ไม่ไปพัก trav.. 47 ไรนั้นแหละ มันเดินไกลจากจุดที่เราต้องขึ้นบัสพอสมควร


ถ้าหันหน้าเข้าหาประตูเมืองเก่าจะอยู่ขวามือเรา ลองเดินหาดูนะ พอกลับมาแชงกรีล่าเราก็แยกกับพี่อีก 2 คนเลยเพราะว่าพี่เขาจะไปเที่ยวต่อ ส่วนเราพรุ่งนี้ต้องไปลี่เจียงต่อ ^_^ ปะหาไรกินกันดีกว่า ร้านอาหารก็เอาใกล้ๆ ที่พักนี้ละ ร้านอยู่ฝั่งเดียวกับที่พักเลย ห่างจากหน้าประตูเมืองเก่านิดเดียวเอง ไม่ถึง 50 เมตร

กินข้าวจนอิ่มหนำสำราญแล้วเราก็ไปเดินย่อยที่วัด Guishan Park เพื่อดูหลังคาโลกยามค่ำคืน ถึงแม้ว่าตอนนั้นเวลาสักประมาณ 5 ทุ่มก็ยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเยอะพอสมควร

วันที่ 6 ไวเหมือนโกหกวันนี้ไม่มีอะไรทียากเลย

1. ตื่นมานั่งรถกลับ Shagrila สบายๆ

2. หาที่พักแถวหน้าประตูเมืองเก่า+หาข้าวกิน เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นไปชมวิวหลังคาโลกที่วัด Guishan Park

3. กลับไปพักแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ลุยต่อ

Day 7: 14 Apr 17:: Shangri-la --> Lijiang

เช้านี้เรา มีแผนว่าจะต้องไปลี่เจียงช่วงบ่ายพอเราตื่นมาปุ๊บเนี้ยเราก็รีบนั่งแท็กซี่ไปสถานีขนส่งก่อนเลย เพื่อที่จะซื้อตั๋วไปลี่เจียงแต่เขาบอกเราว่าจะไปตอนไหนค่อยมาซื้อก็ได้ฮ่าๆ ดังนั้นเลยเหมาเท็กซี่ไปวัด Songzanlin เพื่อประหยัดเวลาให้มากที่สุด เขาคิด 20 หยวน ไป-กลับ

เราได้ตั๋วมาในราคา 100 RMB ได้มาจากที่พัก Travern47 ขึ้นบัสเพื่อขึ้นไปหน้าวัดอีกที แต่ก็สามารถนั่งรถเมย์สาย 3 จากหน้าเมืองเก่ามาได้เหมือนกัน แต่เราต้องทำเวลาเลยเหมาเลย 20 RMB เองถือว่าไม่แพง แล้วเดี๋ยวไปส่องวัด Songzanlin กันดีกว่า ว่าจะสวยสมราคามั้ย





พอเราเดินเล่นที่วัดเสร็จแล้วเราก็ กลับไปเอากระเป๋าแล้วกลับมาที่สถานีรถบัสเพื่อขึ้นรถบัสไปลี่เจียง ราคาบัสคนละ 58 RMB เท่านั้น


4 ชั่วโมงผ่านไปหลับตลอดทาง ฮ่าๆ


สิ่งแรกที่เราต้องทำเลยคือ หารถเมย์ไปเมืองเก่า ให้เดินออกมาข้างหน้าสถานีรถบัสแล้วขึ้นรถเมย์สาย 11 เพื่อไปเมืองเก่า (ป้ายรถเมย์หน้าสถานีเลย)

นั่งไปประมาณ 7-8 ป้ายก็ลงเลย สังเกตุทางซ้ายมือไว้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตึกนี้

แล้วก็ลงเลยครับ แล้วเดินไปทางเดียวกันกับถนนก็จะเจอทางเข้าเมืองเก่าครับ ทางเข้าจะอยู่ขวามือ(มีป้ายบอกตลอดทางเลย) จากนั้นเราก็เดินหาที่พักที่เมืองเก่า ที่พักที่นี้เยอะมากเลย สามารถเดินเลือกหาได้ตามใจชอบเลย แต่พวกเราขี้เกียจเดินหามาก ฮ่าๆ เลยเจอปุ๊บก็เอาปั๊บเลย อยู่บริเวณเข้าเมืองเก่านิดเดียวเอง

พอเราพักจนหายเหนื่อย ก็ออกไปหารถ เพื่อที่จะไปหุบเขามังกรหยกในวันรุ่งขึ้น

พอเราได้รถแล้วเราก็ไปเดินเล่นที่ Black Dragon Pool ระหว่างทางที่เดินไปมันสวยมากเลย ดอกไม้กำลังออกดอกเป็นสีชมพูตลอด 2 ข้างทาง

พอเรากลับมาจาก Black Dragon Pool เราก็ไปเดินเล่นกันในเมืองเก่าเมืองมรดกโลกกันต่อและหามื้อค่ำกันที่เมืองเก่า ขอ บอกก่อนว่า เวลา 19.30 โดยประมาณนะเขาก็ไม่เก็บเงินค่าเข้าแล้วละ



ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ เมืองมรกดกโลกมีโคโยตี้ด้วย ฮ่าๆ

ประเด็นคือมีเยอะมาก ฮ่าๆ เมืองนักท่องเที่ยวจริงๆ พอเราจะเดินไปถ่ายรูปบนวัดแต่กลับต้องแห้ววัดดันปิดซะก่อน แต่ร้านอาหารแถวหน้าาทางเข้าวัดก็แพงมากเช่นกัน เลยได้มาแค่นี้ แบบเข้าไปในร้านเพื่อดูวิวก่อนพอถ่้ายเสร็จก็เดินออก

แล้วพวกเราก็เดินกลับที่พักเลยเพราะพรุ่งนี้นัดคุณลุงขับรถไว้เช้ามาก ^_^

วันที่ 7 วันเก็บตกแชงกรีล่า+นั่งรถมาลี่เจียง

1. ช่วงเช้าเราไปเที่ยววัด Songzanlin โดยการเหมารถในราคา 20 หยวน

2. ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นบัสมาลี่เจียงในราคา 58 หยวนใช้เวลา 4 hr. ในการเดินทาง

3. นั่งรถเมย์สาย 11 หน้า สถานีบัสเพื่อมาเมืองเก่าลี่เจียง นั่งประมาณ 7-8 ป้าย

4. หาที่พักในโซนเมืองเก่า แล้วต่อด้วยหารถเหมาไปเที่ยวหุบเขามังกรหยก (สามารถนั่งรถเมย์ไปได้เช่นกันขึ้นที่หน้าอนุเสาวรีท่านเหมา เดินไปทางBlack Dragon Pool)

5. เสร็จก็เดินไป Black Dragon Pool โดยใช้ map me นั้นแหละ

6. กลับมาทัวร์เมืองมรดกโลกอย่างลี่เจียงกันมันเด็ดจริงๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อตอนสุดท้ายครับ

Day 8: 15 Apr 17:: หุบเขามังกรหยก + bluemoon valley --> Shenzhen

แผนของเราวันนี้ก็คือรีบไปซื้อตั๋วให้เร็วที่สุดและต้องไปต่อแถวต่างๆ นาๆ เพื่อที่จะขึ้นไปหุบเขาหิมะมังกรหยก เรานัดคุณลุงไว้ประมาณ 7.00 ที่หน้าทางเข้าเมืองเก่า เราก็เตรียมอาหารเช้าให้พร้อม

เราไปถึงจุดขายตั๋วประมาณ 7.30 โอ๊วววโห๊วววไม่มีใครมาเลย ฮ่าๆ มีแค่เจ้าหน้าที่แล้วก็คนขายของนิดๆ หน่อยๆ เรารอถึงประมาณ 8.00 พนักงานก็เข้ามาที่จุดขาย ตัว เปิดเครื่องโน้นนี้นั้น เวลาประมาณ 8.30 ก็เริ่มขายตั๋ว ไกด์เยอะมาก ไกด์ก็ต้องมาต่อคิวซื้อให้ลูกทัวร์เหมือนกัน (จุดขายตั๋วจะเป็นจุดที่ถึงเป็นที่แรกเลยอยู่ทางซ้ายมือ)


จากรูกบนก็เดินไปทางด้านซ้ายน่ะ ซื้อช่อง 5, 6

ทั้งหมดเลยก็คนละ 200 RMB ครับ ค่าเข้าอุทยาน 180 RMB + 20 RMB ค่าบัสขึ้นไปนั่งกระเช้า

แล้วก็มีต่ออี๊กกกค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานคนละ 130 RMB สุดท้ายพอผ่านตรงนี้มาได้ก็ให้ ลุงรีบเหยียบเลยอย่าช้ารถเยอะมากกกสำหรับใครที่เหมารถมาให้เขามาส่งที่หน้าตึกนี้เลยนะ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการต่อแถวขึ้นบัส เดินเข้าไปในตึกเลยนะ


ไม่นานเขาก็ปล่อยให้เรามาขึ้นรถบัสแล้วจังหวะนี้ละเบียดได้เบียดเลยครับ ถ้าไม่เบียดคงไม่ได้ไป จากนั้นก็นั่งบัสไปไม่นานก็ต้องไปต่อแถวขึ้นกระเช้าต่ออีก

นิดนึงถ้าใครอยากเข้าห้องน้ำ ข้างในอาคารที่เรากำลังเดินเข้าไปก็มีนะก่อนขึ้นกระเช้าเลยไม่ต้องไปเข้าข้างนอกให้เสียเวลาต่อคิว ไม่นานเราก็ได้ขึ้นกระเช้าแล้ว


พอไปถึงเท่านั้นแหละ เชรี่ยยยยยย ปิดทางขึ้นไปยอดเขา เราก็อยู่ที่แค่ความสูง 4506 เท่านั้น

พอเราลงมาตรงทางออกก็จะมีป้ายเขียนว่าจุดขึ้นรถบัสไป Blue Moon Valley ต่อเลยเราก็ขึ้นบัสไปเลยครับ นั่งรถลงไปไม่นานก็มาถึงBlue Moon Valley แล้วครับ ก็จะมี 2 ทางเลือก 1. เดิน 2. ขึ้นรถกอล์ฟ เราเลือกที่จะเดินไปครับ เพราะมันไม่ไกลเลยซึ่งขึ้นรถกอ์ฟมันแพงมาก

ข้างบนจะเป็นจุดขึ้น-ลง บัสของอุทยาน เวลากลับก็มาขึ้นตรงนี้กลับ ส่วนทางที่จะเดินไปก็อยู่ฝั่งงซ้ายมีของภาพครับจะเป็นทางเดินเล็กให้เราเดินลง ส่วนรถกอล์ฟเราก็ไปซื้อตั๋วที่ตู้ตรงนั้นที่มีคนอยู่เยอะๆ แล้วเดินเข้าไปทางด้านซ้ายบนรูป


พอไปถึงก็เจอกับ Blue Moon Valley ตามท้องเรื่อง ที่เรียนจากรีวิวมา มันก็สวยไปอีกรอบแบบนึงนะแต่ไม่ถึงกับว้าว ฮ่าๆ

เราอยู่จุดชมวิวตรงนี้ไม่นานเท่าไรก็เดินกลับครับ แล้วก็นั่งรถบัสจุดเดิมที่ลงมากลับไปที่จุดขึ้นรถบัสที่แรก แล้วให้ลุงที่เราเหมารถมาไปส่งที่ blue sky เป็นจุดที่ขึ้นรถ Shuttle bus ไปสนามบินลี่เจียงในราคา 20 หยวน

ใช้เลาเดินทางประมาณ 45 นาทีก็มาถึงสนามบินลี่เจียงแล้วครับ

ได้เวลากลับบ้านแล้วครับ

วันที่ 8 วันสุดท้ายของการเข้าถึงแก่นแท้ของเส้นทาง Shangri-la

1. ตื่นแต่เช้านั่งรถไปจุดซื้อตั๋วซึ่งจะถึงเป็นที่แรกเลยอยู่ขวามือ ค่าตั๋ว 180 RMB+ค่าบัส 20RMB+ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 130 RMB = 330 RMB เตรียมไว้ให้เพื่อนเลย จะได้ไม่เสียเวลา

2. ซื้อตั๋วเสร็จให้รีบนั่งรถเข้าไปอาคารที่ขึ้นบัสไปขึ้นกระเช้าที่ตึกนั้น(ถ้าเหมารถไปให้เขาไปส่งที่นั้นเลยนะ ถ้าใครเดินไปมันจะอยู่หลังที่เขาแสดงโชว์) แล้วเดินเข้าไปในอาคารที่ 2 ข้างใน (เดินไปตามรูทที่เขามี)

3. ตอนขาลง เมื่อเดินมาถึงทางออกแล้วข้างหน้าแล้ว ขวามือจะเป็นจุดเข้าแถวเพื่อนั่งบัสไป Blue Moon Valley

4. แล้วก็กลับ ^_^ ส่วนใครมีแผนขึ้นเครื่องกลับแนะนำให้มาขึ้นที่ blue sky นะ เพราะมันมี Shuttle bus ไปได้


ขอบคุณทุกคนมากครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ได้ ฮ่ามันเยอะเกินไปป่าวว๊าาา ฮ่าๆ


ปล. รถไฟใต้ดินในเมืองคุนหมิงใกล้จะเสร็จแล้ว ถ้าใครมีแผนไปหลังประมาณเดือน 8-9 ก็ใช้รถไฟใต้ดินได้เลยนะจะสะดวกที่สุด













ความคิดเห็น