เมื่อเอ่ยถึงประเทศเพื่อนบ้านเรา กัมพูชาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวนะครับ อาจจะด้วยการเดินทางที่สะดวกสบาย ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก และด้วยความมีอารยธรรมขอมโบราณ ซึ่งจะเห็นได้จากศาสนสถานที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้เราจึงสนใจที่อยากจะเข้าไปลองสัมผัสกับประเทศนี้ดูบ้าง การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาการเดินทางช่วงวันหยุด 22-24 ตุลาคม 2559 เป็นการเดินทางระหว่างเพื่อนที่ชอบการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจทั้ง 2 คน มีการคุยกันประมาณ 1 อาทิตย์ก็ทำการจองที่พักและแลกเงินดอลลาร์เพื่อใช้ในทริปนี้ (ทริปนี้เราใช้เงินสกุลดอลลาร์นะครับในการใช้จ่ายเนื่องจากคำนวณแล้วคุ้มกว่าการใช้เงินไทยหรือเงินเรียลของกัมพูชา)
เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งเราเดินทางกันในศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2559 นะครับ โดยจะไปนอนพักที่บ้านญาติที่อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว 1 คืน แล้วตอนเช้าเราจะออกเดินทางไปยังด่านปอยเปต ซึ่งเป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
เช้าวันที่ 22 ตุลาคม 2559 เวลา 08.00 น. เราได้มุ่งหน้าเข้าสู่ด่านปอยเปต ที่อ.อรัญประเทศกัน ใช้เวลาเดินทางจาก อ.วังน้ำเย็น ประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะข้ามด่าน เราก็เลยเดินช้อปปิ้งกันที่ตลาดโรงเกลือกันก่อนนะครับ ด้วยความที่เราทั้งสองเป็นขาช้อปอยู่แล้ว กว่าจะได้ข้ามด่านไปก็เกือบจะเที่ยงวันพอดี เราก็เลยเก็บของและนำรถไปฝากไว้บริเวณที่จอดรถด้านในของตลาดโรงเกลือซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับธนาคารไทยพานิชย์นะครับ ค่าบริการรับฝากรถ 150 บาทต่อวัน พอฝากรถเสร็จแล้วจะมีบริการรถรับ-ส่งฟรีนะครับ เราไม่ต้องเดินไปถึงหน้าด่านเอง พวกเราก็ใช้บริการนั้นด้วยนะครับ
ลงจากบริการรถรับ-ส่งแล้วก็เดินตรงไปยังด่าน ตม. ไทยกันเลย
หลังจากผ่าน ตม. ทั้งไทยและกัมพูชาแล้ว ก็จะมีคนมาเดินถามว่าจะไปไหน ใช้บริการ Taxi ของเค้าไหม เราก็ตกลงด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลานาน ค่า Taxi 1,300 บาทสำหรับ 2 คน เราก็ถือว่าไม่แพงนะแลกกับความรวดเร็วในการเดินทางและไม่ต้องเดินทางร่วมกับคนอื่น ๆ เนื่องจากสภาพ Taxi หากโดยสารกัน 4 คน เราว่าน่าจะไม่ค่อยสะดวกนะครับ
สภาพภายในรถ Taxi ที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้
บรรยากาศระหว่างทาง
เราใช้เวลาเดินทางจากด่านปอยเปตถึงตัวเมืองเสียมเรียบประมาณ 2.30 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 152 กิโลเมตร ก็มาถึงยังตัวเมืองเสียมเรียบกันแล้ว ตอนแรกตกลงกับรถ Taxi ว่าให้ไปส่งที่พักที่เราจองไว้เลยนะครับ คนที่คอยจัดหารถให้เราก็บอกว่าได้เลย แต่พอมาถึงจริง ๆ คนขับพาเรามาส่งอีกที่หนึ่งนะครับ เหมือนเป็นจุดสำหรับคนขับสามล้อหรือตุ้ก ๆ ไว้คอยรับนักท่องเที่ยวอะครับ คนที่มารับช่วงต่อจะบอกเราว่า ไปส่งฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พอขับไปได้สักระยะก็จะหยุดรถและเจรจากับเราเพื่อให้เราซื้อแพคเกจการท่องเที่ยวกับเค้า ราคาก็ขึ้นอยู่กับที่ตกลงกันนะครับ พวกเราได้ราคามา 1 วัน 1,000 บาทสำหรับ 2 คน รวมการพาไปซื้อ Angkor Pass ในเย็นวันนี้ด้วยนะครับ ก็ถือว่าเพื่อความสะดวกสบายสำหรับเราทั้ง 2 คนเนอะ
เราเข้าพักกันที่ Rithy Rine Angkor Residence ราคาพร้อมอาหารเช้าสำหรับ 2 คน จำนวน 2 คืน อยู่ที่ 60 ดอลลาร์ครับ หลังจากเช็คอินแล้วพวกเราก็หาสถานที่สำหรับรับประทานอาหารกลางวันกัน เพราะหิวกันมากมาย ..
บรรยากาศที่พักของเรา ที่นี่มีสระว่ายน้ำ มีร้านอาหารไว้บริการด้วยนะครับ
บรรยากาศภายในห้องพักของเรานะ เรียบง่าย สะอาดตา มีผลไม้ เช่น เงาะ ลองกอง กล้วย ไว้บริการด้วยนะครับ
และสถานที่สำหรับทานข้าวมื้อกลางวันนี้ก็อยู่ใกล้ ๆ กับที่พักของเรานั้นระครับ เนื่องจากความหิวบังคับให้เราต้องเลือกร้านนี้ ดูบรรยากาศเหมือนบ่าร์กลางคืนเล็ก ๆ นะครับ แต่อาหารที่นี่ราคาไม่แพงครับ อร่อยด้วย พวกเราแนะนำครับ
ทานมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นมาพักผ่อนกันก่อนนะครับ เนื่องจากว่านัดกับตุ๊กตุ๊กไว้ตอน 16.30 น.(เวลาที่ไทยกับกัมพูชาเป็นเวลาเดียวกันนะครับ) เพื่อไปซื้อ Angkor Pass กันครับ
เวลา 16.30 น. พี่คนขับตุ๊กตุ๊กก็มารอรับด้านล่างแล้วนะครับ (คนที่นี่ผมว่าเค้าตรงเวลานะ จะมารอก่อนล่วงหน้า 30 นาทีทุกครั้ง เท่าที่ผมสังเกต) แล้วพวกเราก็เดินทางกันเพื่อไปซื้อ Angkor Pass กันได้เลย
นี่คือเพื่อนที่ไปไหนก็จะมีเราและเรากัน 2 คน (เอิ่ม !! คือว่า เราทั้งสองมีไลฟ์สไตล์ที่เหมือนกันเดะ ชิลล์ สบาย ๆ แค่ขอให้ได้เที่ยวก็พอ อิอิ)
Angkor Pass คือ บัตรผ่านสำหรับการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของกัมพูชา จะมี 3 แบบ คือ 1 วัน ราคา 20 ดอลลาร์ , 3 วัน ราคา 40 ดอลลาร์ และ 7 วัน ราคา 60 ดอลลาร์ พวกเราซื้อแบบ 1 วันนะครับ เนื่องจากเรามีเวลากันน้อย ซึ่งการซื้อแบบ 1 วัน เค้าจะเปิดขายตอน 17.00 น.เป็นต้นไปนะครับ วันที่เราไปคนเยอะ จึงช้าหน่อย
พอดีพี่ตุ๊กตุ๊กขอแวะเติมน้ำมันข้างทาง ผมก็เลยแอบมาถ่ายรูปกับน้ำมันที่เค้าขายด้วย
หลังจากซื้อเสร็จพวกเราจึงรีบให้พี่ตุ๊กตุ๊กเค้าพาไป ปราสาทพนมบาเค็ง สำหรับการชมพระอาทิตย์ตกครั้งแรกที่ กัมพูชา ปราสาทพนมบาเค็ง เป็นศาสนสถานที่ตั้งอยู่บนยอดเขา นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่นี่กันครับ
ระหว่างทางเดินขึ้น ปราสาทพนมบาเค็ง
ถึงแล้วครับ ปราสาทพนมบาเค็ง
พอดีเรามาถึงกันตอนฟ้าใกล้จะมืดแล้วนะครับ เลยไม่ทันได้เห็นพระอาทิตย์ตกกันพอดี แต่ก็เก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ มาฝาก
บรรยากาศโดยรอบ
สวยงามแปลกตาไปอีกแบบครับ
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเป่านกหวีดเป็นเสียงเตือนบอกว่าหมดเวลาแล้ว ให้ทุกคนเตรียมลงจาก ปราสาทพนมบาเค็งได้แล้ว พวกเราก็เลยรีบลงและก็ได้ภาพช่วงท้ายก่อนลงเขามาฝากอีกนิดหน่อย (ภาพแบบว่าเบลอว่ารักแถบที่เดียว 555+)
พวกเราก็รีบมาอาบน้ำและแต่งตัวเตรียมท่องเที่ยวกันต่อกับปาร์ตี้ไนท์คืนนี้ที่ Pub Street
ที่นี่รถจักรยานยนต์และตุ๊กตุ๊กเยอะพอ ๆ กับรถยนต์เลยนะครับ
พร้อม นี่คือบรรยากาศถนนหน้าที่พักนะครับ เอะ !! เหมือนเมื่อตอนกลางวันมันจะเงียบกริบ แต่ตอนนี้เริ่มคึกคักและพวกเราก็เริ่มที่จะสนุกขึ้นมาระสิครับทีนี้
เดินจากที่พักมาไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงแล้วระครับ Pub Street ที่เที่ยวยามราตรีของนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ รวมถึงพวกเราทั้ง 2 คน
มื้อเย็นของเราวันนี้เราเลือกฝากท้องไว้ที่ Japanese Restaurant Bar ANJI อาหารก็เป็น หมูกระทะกัมพูชา กับ Anchor Beer Draft รสชาติลงตัวเข้ากั้นเข้ากันนะครับ
ทานเสร็จก็เดินย่อยกันสักนิดครับ ที่ Night Market ซึ่งก็อยู่ใกล้ ๆ กับ Pub Street แหละครับ
ย่อยระก็มาจัดกันต่อที่ Cheer Club นะครับ ชั้นล่างเต็มนะครับ เลยต้องขึ้นมาชั้น 2 เพลงที่เปิดส่วนใหญ่เน้นเพลงแนวแดนซ์นะครับ เป็นแดนซ์แนว ๆ อีสานของบ้านเรานะครับ คนเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนกัมพูชานะครับ มีชาวต่างชาติบ้าง แต่ส่วนน้อยครับ แต่ผมกลับชอบนะ เหมือนได้เที่ยวผับบ้านเราเอง รู้สึกสนุกสนานและเป็นกันเองดีครับ
อยู่ที่นี่ถึง 23.00 น. ก็กลับห้องเพื่อพักผ่อนก่อนนะครับ วันแรกชิลล์ ๆ ไป
ตื่นเช้ามาก็ออกกันตอน 08.00 น. นะครับ ไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอกครับ ออกไปเที่ยวเรื่อย ๆ ดีกว่าครับ เน้นมาเที่ยวแบบสบาย ๆ มาเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศโดยทั่ว ๆ ไปบ้าง ถือเป็นการพักผ่อนอีกแบบนะครับ เพราะโดยทั่วไปเวลาไปเที่ยว ส่วนใหญ่จะเน้นเที่ยวให้ได้มากที่สุด ถ้ามีแรงพอและเวลาพอก็โอเครครับ แต่พวกเราเน้นเที่ยวแบบสบาย ๆ ร่างกายไม่เหนื่อยมากพอ เวลากลับไปจะได้รู้สึกแบบว่า เรามาพักผ่อนจริง ๆ นะครับ
เริ่มกันที่ ปราสาทตาพรม
ความเข้าใจแรกนึกว่า ปราสาทตาพรมจะมีจุดที่ถ่ายภาพกับต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมศาสนสถานแค่จุดเดียว ที่ไหนได้พอเข้าไปชมด้านใน มีอีกหลายจุดนะครับ ปราสาทตาพรมเป็นปราสาทที่มีลักษณะเด่นที่มีต้นไม้ปกคลุมตัวปราสาทในหลาย ๆ จุด จนทำให้มีภาพยนตร์มาถ่ายทำที่ปราสาทตาพรมหลายเรื่อง ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวสถานที่แห่งนี้เป็นลำดับแรก ๆ
ดูสวยแปลกตาและน่าค้นหาดีครับ
ไม่ได้มีแค่ต้นไม้ปกคลุมปราสาทเท่านั้นนะครับ ยังมีกำแพงที่มีสีสันสวยงามอีกนะครับ
หลังเดินชมภายในปราสาททตาพรมแล้ว เราก็จะมาออกอีกฝั่งหนึ่งนะครับ
จุดต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ บายน ครับ ปราสาทบายนเป็นปราสาทที่อยู่ใจกลางนครธม ปราสาทแห่งนี้มีลักษณะเด่นตรงที่มีรูปสลักเป็นรูปหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 หน้าที่ประดิษฐานอยู่บนยอดปรางค์ ซึ่งเมื่อเราเดินไปบริเวณโดยรอบปราสาทบายนจะรู้สึกได้ถึงว่ามีคนกำลังจ้องมองดูเราอยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าที่คอยจ้องมองเราอยู่ตลอดเวลา
รูปปั้นนางอัปสรากำลังร่ายรำ
แถมด้วยภาพเจ้าถิ่นของที่นี่
และเราก็ไปยังสถานที่ต่อไป
ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้นะครับ คือ นครวัด
ทุกคนจะไปถ่ายภาพระอาทิตย์ขึ้นกันในตอนเช้านะครับ ถือเป็นจุดหลักสำหรับการมาเที่ยวชมนครวัดกัน แต่พวกเราขอเปลี่ยนแนวกันบ้าง โดยมาถ่ายกันในช่วงบ่าย ๆ และมาถ่ายกันอีกฝั่งของนครวัดนะครับ (ปกติเมื่อหันหน้าเข้านครวัด นักท่องเที่ยวมักจะถ่ายภาพกันบริเวณด้านซ้ายมือซึ่งจะมีสระน้ำอยู่ แต่ตอนนี้สระเริ่มแห้งขอด ขณะเดียวกันสระฝั่งขวาก็ยังมีน้ำอยู่ พวกเราเลยขอถ่ายภาพฝั่งนี้ดูบ้างครับ)
บรรยากาศภายใน นครวัด
นี่แค่ 3 ที่เองนะครับ หากมีเวลามากกว่านี้ คงต้องไปซ่อมที่กัมพูชาอีกสักครั้งนะครับ วันนี้พวกเราก็เลยขอเที่ยวแค่นี้นะครับ กลับที่พัก นอนสักตื่นระกะขอลั้ลลาค่ำคืนนี้ทิ้งท้ายก่อนที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของคนทำงานต่อไป
คืนนี้เรามาเริ่มกันที่ Pub Street เช่นเคยนะครับ คืนนี้ไป 2 ที่ รวมทั้ง Cheer Club ด้วยนะครับ เพราะติดใจเพลงไทยที่เปิด 555++ ดื่มด่ำกันเต็มที่แล้วก็ต้องรีบกลับมาพักผ่อนเพื่อการเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้เช้า ซึ่งเรานัดพี่ Taxi มารับที่ที่พัก เวลา 08.00 น.ตอนกลับเค้าลดค่า Taxi ให้ 200 บาทนะครับ จ่ายเพียง 1,100 บาทครับผม
เช้านี้ฝนตกเล็กน้อย พอทำให้จิตใจห่อเหี่ยวว่าจะต้องกลับไปเริ่มวันทำงานอีกแล้วเหรอนี่ แต่มันก็คงไม่เศร้าไปหรอก เพราะอย่างน้อยเราก็ได้มาเพิ่มพลังให้กับตัวเองเพื่อพร้อมที่จะไปสู้ต่อกับวันทำงานและสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตเราแล้วแหละครับ การท่องเที่ยวคือการ่ผ่อนคลายอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้สมองของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นะครับ เที่ยวใหม่เหมาะสมกับวัย เที่ยวให้เหมาะสมกับเวลาโดยไม่หักโหมจนเกินไป จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากหลาย ๆ ปัญหาได้เป็นอย่างดีนะครับ .. เอาใจช่วยทุกคนครับ ..
FreelyThailand
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.34 น.