ทริปลำปาง - ดอยขุนตาล เป็นทริปในช่วงเวลา 31 พ.ค. - 3 มิ.ย. 2567 ซึ่งเกิดจากที่ต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งงานพี่รหัส ก็เลยไม่อยากให้เสียเที่ยว คิดว่าต้องมีแพลนทริปเล็ก ๆ ไปด้วยจะได้รู้สึกคุ้มค่า และสิ่งนั่นก็คือ การเที่ยวในตัวเมืองลำปาง และดอยขุนตาลนั่นเอง
มาแพลนทริปกันเถอะ
หลังจากที่รู้วัน เวลา และสถานที่ของงานแต่งงาน ก็ได้เวลาแพลนทริปเที่ยวกันแล้ว โดยเราเริ่มจากการจองตั๋วสำหรับการเดินทางไปกลับ โดยขาไปเราจะโดยสารผ่านรถทัวร์สมบัติทัวร์ ขึ้นจากหมอชิตไปลงที่สถานีขนส่งลำปาง สามารถจองตั๋วรถสมบัติทัวร์ผ่านเว็บไซต์ https://www.sombattour.com/th/... ได้เลยค่ะ ส่วนขากลับเราวางแพลนว่าจะเดินทางกลับโดยรถไฟจากสถานีขุนตานถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยถ้าใครสนใจที่จะลองนั่งรถไฟฉึกฉักก็สามารถจองผ่านแอปพลิเคชัน d-ticket หรือเว็บไซต์ https://dticket.railway.co.th/... ได้เลยค่ะ โดยเราขอแนะนำให้จองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนสำหรับตู้นอน เพราะเราจองก่อนไปล่วงหน้าแค่ 1 สัปดาห์ ได้ชั้น 3 ต้องนั่งทนหลังขดหลังแข็งกันเลยทีเดียว สำหรับโรงแรมเราเลือกจอง Hop Inn เราจองผ่านอโกด้าค่ะ โดยเราจองสาขาที่ติดกับสถานีขนส่งลำปางเลยค่ะ เพราะเราคิดว่าน่าจะมีความสะดวกเรื่องการเดินทาง โดยเฉพาะการเรียก Grab ค่ะ
สำหรับดอยขุนตาล เราอยากให้ทุกคนตรวจสอบวันเปิด - ปิดของอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาลก่อนนะคะ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านการประกาศเพจเฟสบุค "อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล" (https://www.facebook.com/DoiKh...) โดยในปี 2567 ประกาศเปิดอุทยานวันที่ 1 มิถุนายน เราเลยกะว่าจะไปวันที่ 2 มิถุนายน โดยจองคิวเข้าอุทยานผ่านแอป QueQ ค่ะ ส่วนสำหรับที่นอนบนอุทยานเราจองเป็นบ้านพักอุทยาน เนื่องจากเราไปคนเดียว แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงเปิดอุทยานใหม่ ๆ เราคิดว่าคนน่าจะไปน้อย กลัวจะได้ไปนอนวิเวกคนเดียวท่ามกลางป่าไม้อันมืดมิด เราก็เลยคิดว่าน่าจะต้องจองบ้านพักอุทยาน ซึ่งน่าจะสะดวกสำหรับเราค่ะ โดยสามารถทำการจองบ้านพักอุทยาน หรือเต็นท์ ผ่านระบบออนไลน์บนเว็บไซต์ของอุทยานแห่งชาติได้เลยค่ะ (https://nps.dnp.go.th/index.ph...)
สิ่งของที่เราเตรียมไปส่วนใหญ่สำหรับการขึ้นดอยขุนตาล มีดังนี้ 1) ไฟฉายขนาดเล็ก เพราะที่ดอยขุนตาล ไฟฟ้าส่องทางน่าจะอยู่ในโซนบ้านพัก ร้านค้า ที่เหลือคือมืดมิดมาก จนมองไม่เห็นทางเลยทีเดียว 2) ยากันยุงชนิดน้ำ พกพาสะดวกสบาย ใช้ไล่ยุงก็ได้ ใช้ไล่ทากก็ดี 3) พาวเวอร์แบงค์ สำหรับเราพกไว้เพื่อชาร์ตไฟฉายล้วน ๆ 4) เสื้อกันฝน เพราะเราไปช่วงหน้าฝนพอดี ฝนตกตลอดเหมือนเป็นลูกรักพระพิรุณกันเลยทีเดียว
Day 1 : 30/05/2567
เนื่องจากเรามาถึงก่อนเวลารถทัวร์ออกเป็นชั่วโมง (เวลารถออก 3 ทุ่ม) เราเลยเดินไปรอที่ศูนย์บริการสำหรับลูกค้าของสมบัติทัวร์ โดยจะอยู่บริเวณด้านหน้าหมอชิตค่ะ เป็นห้องกระจกมีแอร์ มีน้ำเปล่าดื่มฟรีด้วยค่ะ รวมถึงสามารถออกตั๋วสำหรับคนจองออนไลน์ได้ที่นี่เลย โดยจะมีเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติให้เราดำเนินการเองได้เลยค่ะ ข้าง ๆ ศูนย์บริการก็จะมีเซเว่น สามารถซื้อของกินจากเซเว่นแล้วมานั่งกินในห้องดังกล่าวได้คะ แต่ต้องเก็บทำความสะอาดทิ้งถังขยะให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
Day 2: 31/05/2567
จากหมอชิต 2 รถออกเวลา 3 ทุ่ม ถึงสถานีขนส่งลำปางเวลาเกือบจะ 6 โมงเช้า เราเลยเดินไปเช็คอินโรงแรม Hop Inn ซึ่งอยู่ติดกับสถานีขนส่งลำปาง เดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ถือว่าสะดวกมาก ๆ เหมาะสำหรับคนที่มีที่นอนไว้เพื่อนอนอย่างเดียวค่ะ
เนื่องจากเรามาถึงเช้ามา แล้วก็รู้สึกยังไม่ได้ง่วงนอน ก็เลยคิดว่าจะเดินสำรวจเมือง เพื่อหาอะไรกินตอนเช้า แล้วการเดินสำรวจเมืองครั้งนี้ทำให้รู้ว่า "เมืองลำปาง" สโลว์ไลฟ์มาก เงียบมาก ร้านอาหารตอนเช้าหายากมาก เราเดินไป เดินมาจนเดินมาถึงสถานีรถไฟนครลำปาง ที่จริงตรงสถานีรถไฟมีร้านอาหาร แต่เราอยากเก็บไว้กินวันที่เราเดินทางไปขุนตาน เพราะร้านนี้ก็ถือได้ว่าเป็นร้านแนะนำของลำปางเลยทีเดียว สุดท้ายเราเลยได้หมูปิ้งกับข้าวเหนียวมากินรองท้องก่อน ก่อนที่จะเดิน เดิน และเดินต่อไป จนไปเจอร้านอาหารที่ชื่อว่า "โจ๊ก 75 เฮง เฮง" เป็นร้านอาหารเช้าที่มีอาหารหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นโจ๊ก ติ๋มซำ ข้าวต้มปลา ต้มเลือดหมู ข้าวมันไก่ เป็นต้น ซึ่งอาหารรสชาติค่อนข้างธรรมดา แต่ราคาถือว่าเป็นมิตร สามารถฝากท้องตอนเช้าให้หายหิวได้ค่ะ
พอหลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็เดินต่อไปโดยจุดหมายของเรา คือ การจะไปนั่งรถม้าลำปาง กับไปวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่เราคิดว่ามันเช้าเกินไป บริการรถม้าอาจจะยังไม่เปิด วัดพระธาตุคนก็น่าจะยังไม่มี เราก็เลยเดินเล่น โดยใช้กูเกิ้ลแมพในการหาพิกัดจุดนู้นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ เริ่มจากเดินไปห้าแยกหอนาฬิกา ผ่านวัดเชียงราย เดินไปถึงกาดกองต้าที่ยังไม่มีถนนคนเดิน ผ่านสะพานรัษฎาภิเศก (สะพานขาว) เดินไปสถานีตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง เพราะเห็นมีตู้ ATM ของกรุงไทย ก่อนที่จะขอนั่งพักที่ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ แถวนั้นที่ชื่อว่าร้าน "Wan Sook Coffee (วันสุขกาแฟ)" โดยการคำนวณจากกูเกิ้ลแมพ จากโรงแรมจนมาถึงร้านคาเฟ่แห่งนี้ เราเดินไปถึงประมาณ 6 กิโลเมตร ทำไปได้ไงเนี้ย!! แต่ถือซะว่าเป็นการออกกำลังกายก่อนไปเดินดอยขุนตาลแล้วกัน
หลังจากที่พักหายเหนื่อย แล้วได้เติมพลังจากคาเฟอีน ทำให้เรามีแรงเดินไปต่อ จนในที่สุดก็เจอ "รถม้าลำปาง" เสียที (ภายหลังได้ลองมาดูกูเกิ้ลแมพจะเรียกว่า "สถานีรถม้า" ซึ่งถ้าใครสนใจแล้วอยากมานั่งรถม้าลำปาง สามารถเสิร์ชคำดังกล่าวได้เลยค่ะ) สำหรับค่าบริการ ได้แก่ รอบเล็ก 300 บาท ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร รอบใหญ่ 400 บาท ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร และอัตราเหมาชั่วโมงละ 500 บาท โดยเราเลือกรอบใหญ่ เพราะว่าอยากนั่งบ้าง ไม่มีแรงจะเดินแล้ว โดยรอบใหญ่ของเราเหมือนจะวนเข้าไปที่ "ชุมชนท่ามะโอ" แวะจุด "บ้านหลุยส์" ก่อนที่จะวนบริเวณห้าแยกหอนาฬิกา และกลับมายังสถานีรถม้าเหมือนเดิม คาดว่าใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้ค่ะ
ในช่วงเวลาที่นั่งรถม้า เผอิญได้ผ่าน "ศาลหลักเมือง" และ "มิวเซียมลำปาง" เราเลยคิดว่าหลังจากนั่งรถม้าเสร็จจะแวะเวียนไปที่สถานที่ดังกล่าว โดยเราไปไหว้ศาลหลักเมืองก่อน แล้วจึงค่อยแวะเข้ามิวเซียมลำปาง โดยที่ไม่เสียค่าเข้าชมเลยสักบาท (เข้าชมฟรี) ดังนั้น ถ้าใครแวะมาลำปาง เราแนะนำมิวเซียมลำปางค่ะ ค่อนข้างทำออกมาได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ใกล้ ๆ ศาลหลักเมือง ยังมี "วัดบุญวาทย์วิหารพระอารามหลวง" ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกของจังหวัดลำปาง ให้เราสามารถเข้าไปสักการะบูชาได้ด้วยค่ะ
หลังจากที่เสร็จภารกิจเป้าหมายแรก (นั่งรถม้าลำปาง) เป้าหมายต่อไปคือการไป "วัดพระธาตุลำปางหลวง" แลนด์มาร์กทางศาสนาชื่อดังของจังหวัด ถือได้ว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปางที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี (ประมาณ 1,400 ปี) แต่ถ้าในทางประวัติศาสตร์ของลำปาง พึ่งมีประวัติเมื่อประมาณเกือบ 300 ปีก่อน ซึ่งถือได้ว่ายาวนานมากค่ะ ส่วนใครที่เป็นสายมูเตลู โดยเฉพาะคนเกิดปีฉลู ก็ยิ่งต้องมีโอกาสมาสักการะสักครั้ง เพราะวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นวัดประจำปีเกิดปีฉลูค่ะ ส่วนเรามีน้องสาวที่เกิดปีฉลูพอดี ก็เลยจะไปสักการะขอพรให้น้องสาวค่ะ
สำหรับการเดินทาง เราเรียกแกร๊ปคาร์ค่ะ ซึ่งถ้าเรียกจากในตัวเมืองค่อนข้างสะดวก แต่ในของส่วนขากลับเราดีลกับพี่แกร๊ปว่าให้รอเราค่ะ เพราะเรากลัวเรียกแกร๊ปจากตรงนี้ไม่ได้ ซึ่งพี่แกร๊ปก็ใจดีมากให้เราใช้เวลาให้นานเท่าที่ต้องการเลย จากจุดที่เราเรียกไปถึงวัดพระธาตุลำปางหลวงใช้เวลาประมาณ 25 - 30 นาทีค่ะ ซึ่งถือว่าไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ใครที่แวะมาลำปางก็อย่าลืมแวะสักการะวัดคู่บ้านคู่เมืองประจำจังหวัดลำปาง เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเราด้วยนะคะ
ในที่สุดเราก็สามารถทำภารกิจเป้าหมายที่สองเสร็จแล้ว ดังนั้น ตลอดช่วงบ่ายเราเลยนอนพักผ่อน ในส่วนของตอนเย็นเราได้ไปลองร้านชาบูที่ชื่อว่า "เวียงชาบู" โดยเป็นร้านที่เราสามารถเดินไปได้ค่ะ ประมาณ 650 เมตร อยู่ติดกับแม็คโครลำปาง ต้องขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามถนนใหญ่ค่ะ สำหรับเราร้านเวียงชาบู เป็นร้านที่สะอาด อาหารสะอาดและหลากหลาย น้อง ๆ บริกรบริการดีมาก สุภาพและน่ารักมาก ประทับใจเลยทีเดียวค่ะ
Day 3: 01/06/2567
สำหรับช่วงเช้าเรามีภารกิจไปงานแต่งค่ะ ดังนั้น กิจกรรมในวันนี้ที่ตั้งไว้ คือ การไป "กาดกองต้า" ในช่วงเวลาเย็น เพราะว่าวันนี้ตรงกับวันเสาร์ จะมีถนนคนเดิน ส่วนช่วงบ่ายเรามีแวะไปกินข้าวร้านอาหารตามสั่งข้างโรงแรมมานิดหน่อยค่ะ ชื่อว่าร้าน "กิ๋นดี กิ๋นลำ" อาหารค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ชาพะยอม เหมาะสมสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการสถานีขนส่งลำปาง ที่กลัวหิวเวลาเดินทาง ต้องแวะกินข้าวก่อนขึ้นรถ เราแนะนำร้านนี้เลยค่ะ เพราะร้านให้อาหารเยอะมากจนเราก็ยังกินไม่หมดเลยค่ะ
สำหรับกาดกองต้า มีประวัติความเป็นมาจากการเคยเป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองในอดีตของลำปาง โดยกาดกองต้าจะเปฺิดเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ ในช่วงเวลา 17.00 - 22.00 น. และแน่นอนว่าที่นี่คือแลนด์มาร์กทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของลำปาง และก็ถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ได้มีโอกาสมาช่วงเวลาที่มีถนนคนเดินกาดกองต้าพอดีค่ะ
Day 4: 02/06/2567
แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะได้ไปผจญภัยที่ดอยขุนตาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเดินป่าคนเดียวครั้งแรกในชีวิต แค่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ตื่นเต้นแล้ว สำหรับการเดินทางไปสถานีขุนตานจากลำปางก็ไม่ได้ยากเลย เราเลือกที่จะไปรถไฟค่ะ ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องรู้เพื่อจะนำมาตรวจสอบตารางเวลาเดินรถไฟ คือ ชื่อสถานีต้นทางและปลายทาง รู้ข้อมูลเพียงเท่านี้เราก็สามารถนำมาตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ https://www.railway.co.th/Stat... และเราก็จะสามารถรู้เวลาเดินรถของรถไฟได้แล้วค่ะ อย่างเช่น ตัวเราพอได้ตรวจสอบแล้ว เราจะเลือกขึ้นเวลาประมาณ 10.00 น. เราก็แค่ต้องไปก่อนตามเวลาที่เราต้องการเพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟก็แค่นั่นเองค่ะ
โดยในตอนเช้าหลังจากเช็คเอาท์โรงแรมแล้ว เราเรียกแกร๊ปให้ไปส่งที่สถานีรถไฟนครลำปาง พอไปถึงเราก็ไปซื้อตั๋วก่อน ราคาจากสถานีรถไฟนครลำปางไปสถานีขุนตานอยู่ที่ 9 บาทเองค่ะ และแน่นอนว่าเรามาถึงก่อนเวลาเกือบชั่วโมง เพราะเราเผื่อเวลาสำหรับหาข้าวเช้ากิน โดยร้านที่เราจะไป ก็เป็นร้านที่เราตามมาจากรีวิวค่ะ ชื่อว่าร้าน "ป้อก๋วยจั๊บ" อยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปางเลยค่ะ อยากจะบอกว่าคนเยอะมาก ก๋วยจั๊บอร่อยมาก โดยเฉพาะน้ำซุป เราซดจนหมดจาน หมูกรอบก็ให้มาเยอะ โดยรวมแล้วเป็นอาหารเช้าที่ดีต่อใจมากจนกินหมดจานเลย
เวลา 11.00 น. รถไฟก็ถึงที่สถานีขุนตาน พร้อมกับบรรยากาศที่ท้องฟ้าสดใสได้แค่แป๊ปเดียว ก่อนที่จะมีฝนตกแบบน้อย ๆ ให้เราพอได้ชุ่มชื่นหัวใจ แน่นอนว่าพอมาถึงสถานีขุนตานสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องไปทำ คือ การถ่ายรูปกับอุโมงค์ขุนตานไว้เป็นที่ระลึกกันซะหน่อย ใกล้ ๆ กับอุโมงค์ขุนตานจะมีศาลเจ้าพ่อขุนตาน เราขอแนะนำให้ทุกคนไปไหว้สักการะ ขอพรให้อำนวยความปลอดภัยก่อนที่จะขึ้นดอยขุนตาลนะคะ โดยเฉพาะขอให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ สัตว์อันตรายมีพิษ และสิิ่งลี้ลับ โดยเฉพาะอย่างหลังเราขออย่างหนักแน่นมากเลยค่ะ
สิ่งแรกที่ทุกคนควรรู้ก่อนมาเดินดอยขุนตาล คือ ที่นี่ไม่มีลูกหาบค่ะ ข้าวของที่ทุกคนพกมาต้องแบกขึ้นไปเองค่ะ อย่างต่อมา คือ ข้างบนมีร้านค้าสวัสดิการเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น ที่จะเปิดทำการแค่เวลา 8.00 - 17.00 น. ส่วนราคาอาหารตามสั่งจะอยู่ที่ 40 - 50 บาท เหมือนกับราคาข้างล่างเลยค่ะ สำหรับใครที่มียานพาหนะมาเอง สามารถนำยานพาหนะขึ้นไปได้ เพราะมีเส้นทางสำหรับยานพาหนะ ถือได้ว่าสะดวกมากเลย แต่ส่วนเรานั่นต้องเดินและเดินอย่างเดียวค่ะ
เส้นทางช่วงแรกก่อนที่จะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นเส้นทางดินที่ค่อนข้างชัน และค่อนข้างมียุงชุมเยอะ พอผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะเป็นเส้นทางถนนลาดยางสำหรับยานพาหนะ ซึ่งเราก็จำเป็นต้องอาศัยเส้นทางนี้เพื่อไปให้ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวค่ะ สำหรับค่าธรรมเนียมในการเข้า คนไทยจะต้องเสีย 20 บาทสำหรับผู้ใหญ่ 10 บาทสำหรับเด็ก สำหรับชาวต่างชาติจะต้องเสีย 100 บาทสำหรับผู้ใหญ่ 50 บาทสำหรับเด็กค่ะ
พอไปถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทุกคนต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนนะคะ เพื่อที่ไปสอบถามเรื่องที่พักที่นอน อย่างเราก็ติดต่อเรื่องบ้านพักอุทยาน เพื่อที่จะต้องรับกุญแจบ้าน โดยบ้านพักของเรา เราเลือกนอนที่บ้านที่ชื่อว่า "ไอยเรศ" คืนละ 500 บาทเท่านั้นสำหรับวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนวันจันทร์ถึงพฤหัส จะมีส่วนลดของราคาบ้านพักค่ะ สำหรับเราบ้านพักค่อนข้างโอเคเลยค่ะ มีเตียง น้ำร้อน ผ้าขนหนู ให้เรา เราก็ดีใจสุด ๆ เพราะตอนช่วงที่เรามา ฝนตกบ่อยมาก อากาศค่อนข้างเย็น เราจึงต้องการน้ำร้อนมาก ๆ ค่ะ ดังนั้น พอรู้ว่าที่บ้านพักมีน้ำร้อนให้อาบ เราตื้นตันใจมากเลย ถือว่าค่อนข้างประทับใจทีเดียวค่ะ (เป็นห้องไม่มีแอร์นะคะ)
หลังจากที่เรามาถึงบ้านพักอุทยาน เก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้ว เราก็นั่งเล่นมือถือสักพักใหญ่จนถึงเวลาประมาณบ่าย 2 เราจึงมูฟตัวเองให้ออกเดินทางไปที่ร้านค้าสวัสดิการที่เราต้องเดินขึ้นไป โดยเส้นทางส่วนใหญ่ก็จะเป็นทางถนนลาดยางสำหรับยานพาหนะ ดังนั้น เวลาเดินเราต้องระมัดระวังยานพาหนะด้วยค่ะ สำหรับร้านค้าสวัสดิการด้านบน ก็จะมีอาหารตามสั่ง เช่น ข้าวผัดกะเพรา ข้าวผัด ข้าวผัดพริกแกง ข้าวไข่เจียว ข้าวไข่ดาว เป็นต้น รวมถึงขายเครื่องดื่ม มาม่าคัพ ขนมขบเคี้ยวก็มีค่ะ โดยราคายังคงเป็นราคาปกติเหมือนด้านล่าง แต่แถมวิวหลักล้านสวยสุด ๆ แค่นี้ก็ฟินสำหรับเราแล้ว
สำหรับวันนี้เราวางแพลนไว้แค่เท่านี้ค่ะ ส่วนแพลนเดินขึ้นเขาก็คือจะเริ่มพรุ่งนี้ตั้งแต่ตี 2.40 น. เนื่องจากเราอยู่โซนบ้านพักอุทยาน โซน 4 ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากโซนลานกางเต็นท์ ย.2 (จุด ย.2 เป็นจุดที่คนนิยมมานอนกางเต็นท์ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับจุด ย.4 อาจจะใช้เวลาเดินขึ้นเพียง 1 หรือ 1.30 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ) ดังนั้น เราจึงต้องออกเดินทางเพื่อไปให้ถึงที่ทำการอุทยานฯ ก่อนตี 3 ค่ะ เพื่อที่จะไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ
ซึ่งเวลาตี 2.40 น. เป็นเวลาที่เราออกมาจากห้อง ข้างนอกมืดสนิท มีเพียงไฟจากหลอดไฟหน้าบ้านพักและอาคารต่าง ๆ แต่พอเดินพ้นร้านค้าสวัสดิการก็คือมืดของแท้ เหลือเพียงแสงไฟจากไฟฉายเท่านั้นค่ะ แนะนำว่าถ้าใครกลัวความมืดและใจไม่แข็งพอที่จะมาเดินคนเดียว อย่ามาค่ะ ให้พาเพื่อนมาด้วย เพราะน่ากลัวจริง จินตนาการล้ำเลิศถึงสิ่งลี้ลับในหัวเรามาหมด แต่เราก็พยายามใจดีสู้เสือ ไม่หันซ้ายไม่หันขวามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวค่ะ
พอเวลาตี 3 เราก็ถึงที่ทำการอุทยานฯ ค่ะ ซึ่งทุกคนต้องลงชื่อและเวลาเดินขึ้น (เดินเสร็จแล้วก็ต้องลงเวลาออกด้วยนะคะ) ลงในสมุดปกแข็งที่หน้าทำการด้วยค่ะ แน่นอนว่าเราเป็นชื่อแรกของวันนั้น ระหว่างที่เรานั่งพัก มีน้อง 2 คน ที่เค้ามาเดินขึ้นเขาด้วย น้องก็เลยชวนเราไปเดินด้วย แล้วเราจะรออะไรล่ะ มีเพื่อนเดินทางย่อมอุ่นใจมากกว่า แต่ระหว่างทางเราเหนื่อยมาก เพราะน้องเดินเร็วกันมาก ๆ เราเลยขอนั่งพักแล้วให้น้อง ๆ เดินนำไปก่อน และแน่นอนเรานั่งพักท่ามกลางความมืดมิด ตอนนี้สิ่งลี้ลับไม่ค่อยกลัวเท่ากับกลัวว่าจะเจอสัตว์มีพิษค่ะ พอเราหายเหนื่อยเราก็เดินทางทันทีด้วยความเร็วที่คิดว่าอาจจะทันเจอน้อง ๆ ระหว่างทาง และในที่สุดเราก็เจอน้อง ๆ ค่ะ ได้ร่วมทางเดินกับน้อง ๆ จนไปถึงดูพระอาทิตย์ขึ้น โดยระยะทางการเดินจาก ย.1 ถึง ย.4 รวมเป็นระยะทางประมาณ 5.40 กิโลเมตร
สำหรับขาลงจากดอย เราเดินทางคนเดียว น้อง ๆ น่าจะกลับไปก่อนเราแล้ว ซึ่งขากลับนี่แหละค่ะที่จะทำให้เราเห็นเส้นทางว่าตอนขึ้นมาสภาพเส้นทางและบรรยากาศโดยรอบเป็นอย่างไร โดยเราจะไล่เป็นภาพตั้งแต่จุด ย.4 ลงไปนะคะ
ในที่สุดเราก็สามารถพิชิตดอยขุนตาลได้แล้วค่ะทุกคน อยากจะบอกว่าปวดขามาก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน ถึงแม้การไปเที่ยวครั้งนี้ของเราจะไปมาเมื่อกลางปีที่แล้ว (ช่วงมิถุนายน 2567) แต่เราก็หวังว่าเนื้อหาการเที่ยวในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังมีความสนใจในจังหวัดลำปางและอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาลค่ะ
สุดท้ายนี้ถ้าใครมีความสนใจที่จะไปเดินขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย เราขอฝากรีวิว "ภูกระดึงอีกนิดนึงก็ถึงแล้ว 2023" อันนี้ด้วยนะคะ https://th.readme.me/p/38190 หวังว่าทุกคนจะสนุกและเพลิดเพลินไปกับรีวิวของเราค่ะ ขอบพระคุณที่ติดตามและเข้ามาอ่านนะคะ
Natchayada Kantasit
วันพฤหัสที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 17.01 น.