จุดเริ่มต้น ลุยเดี่ยว in Japan
ที่จริงทริปประเทศญี่ปุ่นนี้ ไม่ได้ตั้งใจไปแต่แรก แต่มันเกิดจากการเก็บเครดิตการบินไว้ตั้งแต่มีโควิด ซึ่งตอนนั้นมีแพลนจะไปเกาหลีกับที่ทำงาน แต่พอพ้นโควิด เพื่อนๆ ที่ทำงานไม่มีใครไปเที่ยวแล้ว เราก็เลยตัดสินใจใช้เครดิตในครั้งนี้ไปญี่ปุ่นคนเดียวซะเลย
มาวางแผนกันเถอะ
หลังจากที่ตัดสินใจไปคนเดียว เลยเราจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปี เพราะเราต้องการเก็บเงินไปเที่ยวในงบประมาณที่ตัวเองตั้งไว้ โดยระยะเวลาที่เราเลือกจะไปเที่ยว คือ 5 วัน 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 67 - 15 พ.ค. 67 ซึ่งในช่วง 2 เดือนสุดท้าย จะเป็นการวางแผนจริงจัง อะไรที่จองล่วงหน้าได้ก่อนก็จองเลยค่ะ โดยสิ่งที่เราจองล่วงหน้ามีดังนี้ค่ะ
- จองสถานที่พักผ่าน Agoda (ราคา 12,708 เยน = 3,1601 บาท)
- จองตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner ทั้งขาไปและขากลับผ่าน Klook (ราคา 1,082 บาท)
- จองตั๋ว Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมงผ่าน Klook (ราคา 351 บาท)
- จองตั๋วสำหรับนิทรรศการ Junji Ito Exhibition Enchantment ผ่านเว็บไซต์ https://jhorrorpj.exhibit.jp/j... (ราคา 1,000 เยน = 240 บาท)
- จองตั๋ว Tokyo Tower แบบดูทั้ง Main Deck และ Top Deck Tour ผ่านเว็บไซต์ https://tdt.tokyotower.co.jp/t... (ราคา 2,800 เยน = 673 บาท)
- จองตั๋วรถบัสไป Kawaguchiko ทั้งขาไปและขากลับ ผ่านเว็บไซต์ https://highway-buses.jp/thai/...(ราคา 4,400 เยน = 1,057 บาท)
- จองตั๋ว Warner Bros. Studio Tour Tokyo: The Making of Harry Potter ผ่านเว็บไซต์ https://www.wbstudiotour.jp/en... (ราคา 6,500 เยน = 1,561 บาท)
- ซื้อประกันภัยการเดินทางของ Sompo (ราคา 588 บาท)
- ซื้อ Roaming ของเครือข่าย Ture (ราคา 399 บาท)
Day 1 : 11 พฤษภาคม 2567
ไปลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่นกันเถอะ
ด้วยความที่ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินนานมาก ครั้งล่าสุดคือ ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด และไม่เคยซื้อน้ำหนักกระเป๋า เพราะปกติจะ Carry on ขึ้นเครื่องตลอด บวกกับความตื่นเต้นเพราะไม่เคยขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เลยไปเร็วตั้งแต่ 6 โมงเย็น สรุปคือไปเดินหลงที่สุวรรณภูมิ ทั้งเดินหลงหาเซเว่น ทั้งเดินหลงหาเคาน์เตอร์แอร์เอเชีย แต่อย่างน้อยไม่ตกเครื่องก็ดีแล้วเนอะ อีกอย่างคือเป็นครั้งแรกที่ขึ้นเครื่องดึก แน่นอนว่าความง่วงก็เข้าจู่โจมทันทีเมื่อนั่งเก้าอี้เรียบร้อย แต่สิ่งที่ไม่รู้เรื่องเลยว่ามีการเสิร์ฟอาหารบนเครื่องตอนตี 4 ซึ่งเทียบเท่ากับ 6 โมงเช้าของญี่ปุ่น ถึงแม้เราจะไม่ได้สั่งอาหาร แต่ในเมื่อเปิดไฟทั้งลำ เราก็ตื่นอัตโนมัติ และแน่นอนพอตื่นแล้ว ก็ไม่มีทางหลับลงแล้วจ้า ก็เลยอยากแนะนำคนที่จะไปญี่ปุ่นครั้งแรก ถ้าเลือกเวลาได้ ให้เลือกเดินทางตอนกลางวัน ถึงตอนเย็นดีกว่า มันเหมือนจะเสียเวลาไปวันหนึ่ง แต่มันได้พักผ่อนแน่นอนค่ะ
Day 2 : 12 พฤษภาคม 2567
กระเป๋าแตกครั้งแรกในชีวิต!!!
หลังจากที่ลงมาจากเครื่องบิน ทำการผ่าน ตม. มาอย่างเรียบร้อย (แนะนำให้ลง Visit Japan นะคะ สะดวกรวดเร็วกว่าเยอะ โดยเฉพาะตรงด่านตรวจศุลกากร แทบจะไม่ต้องต่อแถวเลยค่ะ เพราะว่าจะมีทางพิเศษสำหรับคนลง Visit Japan เพื่อใช้ QR code ในการสแกนได้เลยค่ะ) เราก็เดินไปรับกระเป๋า (ตรงนี้อยากให้ทุกคนเผื่อเวลาไว้ด้วยค่ะ ค่อนข้างนานเลยตอนรับกระเป๋า) เพราะเนื่องด้วยไม่เคยไปเที่ยวเกิน 2 คืน กระเป๋าก็เลย Carry on ขึ้นเครื่องตลอด แต่ครั้งนี้จะไปค้าง 3 คืน บวกกับคิดว่ากระเป๋าน่าจะเกิน 7 กิโลกรัม ก็เลยโหลดดีกว่า และแน่นอนจ้า กระเป๋าแตก แต่เป็นเฉพาะภายนอก และด้วยเนื่องจากศึกษามาว่าถ้าจะเคลมกระเป๋า ต้องมีใบรับรองความเสียหาย เราจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์รับกระเป๋า ที่ดีที่เจอเจ้าหน้าที่คนไทย ก็เลยทำเรื่องได้ง่ายและไม่ช้า
อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น
หลังจากที่เสร็จเรื่องเสร็จราวเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง เราก็จะเตรียมตัวไปขึ้นรถไฟเพื่อเข้าเมือง ระหว่างทางเจอร้าน 7-Eleven พอดี บวกกับไม่ได้ดื่มน้ำตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน ก็เลยขอหาน้ำดื่มก่อน แต่พลันสายตาก็ไปเห็นมาม่าญี่ปุ่น และอกไก่ ก็เลยขอสอยมานั่งกินด้วย อยากจะบอกว่าจุดเติมน้ำร้อนบ้านเราใช้ง่ายกว่าบ้านเค้าอีก เพราะบ้านเค้าเป็นกระติกน้ำร้อนที่เป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่มีภาษาอังกฤษเลย เราก็ไปยืนงงอยู่หน้ากระติกน้ำ ที่ดีที่เจอพี่สาวคนญี่ปุ่นใจดี ช่วยกดน้ำร้อนให้ ก็เลยได้ซดน้ำร้อนๆ จากม่ามา ส่วนอกไก่ทางร้านจะไม่อุ่นให้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องขอให้อุ่นถึงจะได้รึเปล่า แต่เราไม่ซิเรียสก็เลยกินแบบเย็นๆ แบบนั้นแหละ
เข้าเมืองกันเถอะ!!!
สำหรับจุดขึ้นรถไฟที่เชื่อมกับสนามบิน จะอยู่บริเวณชั้น B1 ค่ะ สำหรับใครที่จองตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner ผ่าน Klook สามารถรับตั๋วได้ที่ตู้อัตโนมัติ เลือกวัน เลือกเวลา และที่นั่งได้ตามต้องการ ผ่านการสแกน QR code ซึ่งสามารถรับได้ทั้งขาไปและขากลับ ส่วนเรารับเฉพาะแค่ขาไป เพราะตั๋วมีขนาดเล็กมาก เรากลัวทำตั๋วขากลับหาย โดยสถานีรถไฟที่สามารถเลือกลงได้มีสถานีนิปโปริ (Nippori Sta.) และสถานีอูเอโนะ (Ueno Sta.) ส่วนเราเลือกสถานีอูเอโนะ เพราะว่าเป็นสถานีที่เราจะต้องไปเอาตั๋ว Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมง ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro Line และสาย Toei Line อีกอย่างคือเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดกับย่านอะกิฮะบาระ ซึ่งเป็นย่านที่พักโรงแรมของเราเองค่ะ
หลังจากเดินทางมาถึงสถานีอูเอโนะ และรับตั๋ว Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมง เราก็ใช้ตั๋วดังกล่าวเดินทางเพื่อไปสถานีรถไฟอะกิฮะบะระ (Akihabara Sta.) โดยใช้สาย Hibaya Line (Tokyo Metro Line) สำหรับใครที่ยังงงๆ กับสายรถไฟในญี่ปุ่น ไม่ต้องตกใจนะ สามารถดูชื่อสาย เวลา และราคาใน Google Map ได้เลย ค่อนข้างตรงอยู่ค่ะ บวกกับสามารถสอบถามเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีก็ได้ เพราะเจ้าหน้าแทบจะทุกคนคือใจดีมาก ถึงบางคนจะไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษแต่เค้าจะพยายามช่วยเหลือเรา ซึ่งอันนี้เราประทับใจมาก และขอขอบคุณเจ้าที่ประจำสถานีมากค่ะ โดยทั้งนี้ที่เราไปย่านอะกิฮะบะระก่อน เพราะเราจะไปฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนค่ะ
รีวิวโรงแรมกันหน่อย
สำหรับโรงแรมที่เราพักชื่อว่า Akihabara Bay Hotel เป็นโรงแรมแคปซูลเฉพาะผู้หญิงค่ะ ใครที่เป็นผู้หญิงแล้วเดินทางมาญี่ปุ่นคนเดียว ไม่ได้เน้นหรูอยู่สบาย และต้องการความปลอดภัย เราแนะนำที่นี่เลย เพราะทั้งโรงแรมมีแต่ผู้หญิง ถึงโรงแรมจะมีขนาดเล็กแต่มีทั้งหมด 6 ชั้น โดยชั้น F จะเป็นเลานจ์สำหรับไว้ทานอาหาร และนั่งเล่นดูทีวี ชั้น 1 จะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับตอนรับ และเป็นพื้นที่ห้องน้ำรวม ซึ่งห้องน้ำรวมจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบครัน ได้แก่ พื้นที่สำหรับแต่งหน้า ไดร์ฟเป่าลม ครีมอาบน้ำ ยาสระผม ครีมนวด ครีมทาตัว ถือได้ว่าเป็นเซ็ตที่เหมาะสมสำหรับหญิงสาวเลยค่ะ ชั้น 2 - 5 จะเป็นส่วนที่พักอาศัย โดยจะมีห้องสุขารวมในแต่ละชั้น สำหรับแคปซูลจะแบ่งเป็นที่นอนชั้นบนกับชั้นล่าง ค่อนข้างมีขนาดใหญ่อยู่ค่ะ สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ ได้แก่ ผ้าเช็ดตัว 1 ผืน ผ้าเช็ดหน้า 2 ผืน ชุดนอน 1 ชุด โดยทั้งหมดนี้จะใส่ไว้ในถุงผ้าแล้วแขวนไว้ในตู้เก็บกระเป๋า (สามารถทำการเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า และชุดนอนได้ทุกวัน โดยการเอาทั้งหมดไปหย่อนไว้ที่ถังผ้าที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ตรงบริเวณห้องน้ำรวมในทุกๆ เช้าหลังเราใช้เสร็จ พอกลับมาถึงที่พักในช่วงเย็น ก็จะมีกระเป๋าเซ็ตใหม่ที่พร้อมไปด้วยผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวและชุดนอนใหม่แขวนไว้ในห้องแคปซูลของเราค่ะ) สำหรับตู้เก็บกระเป๋าทุกคนจะได้กุญแจตู้ตามหมายเลขเดียวกับแคปซูล โดยขนาดช่องตู้เก็บกระเป๋าไม่ค่อยใหญ่มากนัก ดังนั้น ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่มากก็ต้องวางไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์บริการค่ะ นอกจากนี้ยังมีตู้เก็บรองเท้า และมีสลีปเปอร์ไว้ให้เปลี่ยนด้วยค่ะ รวมทั้งมี Wifi ไว้ให้ใช้ฟรี สำหรับใครที่กลัวว่าตัวเองเป็นคนสูง แล้วเวลานอนเท้าจะเลยออกมาจากแคปซูล ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เพราะเราสูง 172 เซนติเมตร เท้ายังไม่โผล่ออกมาเลย นอนได้สบายๆ แต่ข้อเสียคือ ไม่ค่อยเก็บเสียง ใครที่ตั้งนาฬิกาปลุกเสียงดัง ก็คือได้ยินหมดทั่วทั้งโซนเลยค่ะ
Junji Ito Exhibition Enchantment
หลังจากที่เราเก็บกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องออกไปผจญภัยกันแล้วแหละ ซึ่งสถานที่แรกที่เราจะไปคือ การเดินชมนิทรรศการของอาจารย์ Junji Ito นักเขียนการ์ตูนชื่อดังอย่างตัวละครโทมิเอะ หญิงสาวประหลาดที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย แถมแตกตัวออกมาเป็นอีกหลายๆ ร่างไปอีก สำหรับใครที่เป็นสาวกอาจารย์ แล้วอยากไปดูนิทรรศการ สามารถดูได้จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2024 ค่ะ ณ พิพิธภัณฑ์วรรณกรรมเซตากายะ (Setagaya Literature Museum) สามารถซื้อบัตรได้ที่หน้างานหรือจะจองบัตรล่วงหน้าก็ได้ ตามเว็บไซต์ที่เราให้ไว้ข้างต้นเลยค่ะ
สำหรับวิธีเดินทางไปพิพิธภัณฑ์วรรณกรรมเซตากายะ (Setagaya Literature Museum) โดยของเราจะเริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟอิวะโมโตโจ (Iwamotocho Sta.) เพื่อที่จะไปสถานีชินจูกุ (Shinjuku Sta.) ซึ่งเป็นสาย Shinjuku Line (Toei Line) และแน่นอนเดินงงในดงชินจูกุมีอยู่จริง แต่อย่างที่บอกค่ะถ้าหลงให้ถามเจ้าหน้าที่ โดยสถานีที่เราต้องต่อสายไปอีก คือ สถานีโรคะ-โคเอ็น (Roka-kōen Sta.) ซึ่งเป็นสาย Keiō Line ดังนั้น เราจะไม่สามารถใช้ตั๋ว Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมงได้ค่ะ จึงจำเป็นต้องซื้อตั๋วใหม่ โดยเราไปซื้อที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ไม่ได้ใช้ยากเลยค่ะ เนื่องจากเราสามารถกดเลือกให้เป็นภาษาไทยได้ แต่ถ้าใครมีตั๋ว IC card ก็จะยิ่งสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นค่ะ แต่เผอิญเราไม่ไ้ด้ซื้อค่ะ เราก็เลยต้องซื้อผ่านตู้อัตโนมัติ ถือว่าเป็นประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งค่ะ และพอมาถึงสถานีดังกล่าว เราก็ต้องเดินเท้าเข้าไปพิพิธภัณฑ์อีกประมาณ 450 เมตร
สำหรับนิทรรศการ Junji Ito Exhibition Enchantment โดยรวมจะมีทั้งหมด 2 ชั้นที่เกี่ยวข้อง โดยชั้น 1 จะเป็นชั้นเคาน์เตอร์ซื้อตั๋ว และร้ายขายของที่ระลึก ส่วนชั้น 2 จะเป็นชั้นที่ทำการจัดแสดงผลงานของอาจารย์ โดยจะมีผลงานอะไรบ้างตามไปดูเลยค่ะ
เราใช้เวลาเดินดูประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็สามารถเดินดูผลงานครบแล้วค่ะ ส่วนเรื่องของที่ระลึกที่จริงเราอยากซื้อเสื้อลายโทมิเอะให้ตัวเอง แต่เนื่องจากโซนของฝากคนเยอะมากเลย คิวต่อแถวยาวมาก คนเบียดเสียดกันอีก แม้กระทั่งอยากจะเข้าไปถ่ายภาพว่ามีของที่ระลึกอะไรบ้าง เรายังไม่สามารถเข้าไปได้เลย เราเลยขอยอมแพ้ค่ะ
ระหว่างทางที่จะเดินกลับไปที่สถานี เราพบว่าย่านบริเวณพิพิธภัณฑ์เป็นย่านที่พักอาศัยที่เราใฝ่ฝันมาก ถ้ามีโอกาสได้มาอยู่ก็อยากมาอยู่ย่านในลักษณะแบบนี้มากเพราะทั้งเงียบสงบ บรรยากาศดี และสะอาดมาก ระหว่างทางมีทั้งพรรณไม้ดอกสีสันสดใส ไม้ยืนต้นให้ร่มเงาเต็มไปหมด เดินผ่านแล้วรู้สึกดีมาก ๆ เราก็เลยเดินช้ากว่าปกติเพราะอยากซึมซับบรรยากาศแบบนี้ให้เต็มที่ไปเลยค่ะ
สำหรับสถานที่ถัดไปที่เราจะไปเยือน ได้แก่ โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) แลนด์มาร์กที่สำคัญของโตเกียวที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วกว่า 60 ปี ดังนั้น จึงเป็นสถานที่ที่เราแพลนไว้แต่แรกว่ายังไงเราก็จะต้องมาให้ได้ โดยเราสามารถจองตั๋วล่วงหน้าแบบเข้ารับชมทั้งบริวณ Main Deck และ Top Deck Tour ผ่านเว็บไซต์ของโตเกียวทาวเวอร์ได้ค่ะ โดยสามารถเลือกจองวันและเวลาตามที่ต้องการได้ค่ะ สำหรับเรา เราเลือกดู Top Deck Tour ในเวลา 18.30 น. โดยวิธีเดินทางไปโตเกียวทาวเวอร์จากสถานีโรคะ-โคเอ็น ก็คือ เราจะต้องนั่งย้อนกลับไปที่สถานีชินจูกุ แล้วถึงไปลงที่สถานีอาคาบาเนะบาชิ (Akabanebashi Sta.) ซึ่งเป็นสาย Oedo Line (Toei Line) และแน่นอนที่เลือกลงสถานีนี้เพราะเราต้องการใช้ Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมงนั่นเองจ้า และจากสถานีอาคาบาเนะบาชิสามารถเดินไปที่โตเกียวทาวเวอร์ได้ จะใช้เวลาโดยประมาณ 10 นาทีจ้า ระหว่างทางที่เดินไปเราก็จะสามารถเห็นโตเกียวทาวเวอร์และผู้คนมากมายที่มุ่งหน้าไปสถานที่ที่เดียวกันกับเรา ดังนั้นไม่ต้องกลัวหลงทางเลยค่ะ
พอเดินเข้ามาถึงโตเกียวทาวเวอร์แล้ว เราสามารถเดินขึ้นไปชม Main Deck ได้เลยค่ะ ส่วน Top Deck Tour อาจจะต้องรอเวลาตามที่เราได้จองไว้ถึงจะสามารถเข้าชมได้ ดังนั้น เราเลยกะว่าจะหาอะไรกินก่อน แล้วถึงค่อยขึ้นไปดูทีเดียว ซึ่งโตเกียวทาวเวอร์จะประกอบไป 3 จุดหลัก ได้แก่ Foot Town, Main Deck และ Top Deck โดยชั้น Foot Town จะประกอบไปด้วยอีก 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1F ซึ่งเป็นชั้นจำหน่ายตั๋ว ใครที่ไม่ได้ซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์มาก็สามารถซื้อตั๋วได้ที่ชั้นนี้ค่ะ แต่แนะนำว่าถ้าใครจะชมชั้น Top Deck ให้ซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์จะดีกว่าค่ะ เพราะว่าราคาที่ได้จะถูกกว่า จากราคา 3,000 เยน ก็จะเหลือ 2,800 เยน (ราคาผู้ใหญ่) ส่วนราคา Main Deck (สำหรับคนไม่รับชม Top Deck) ก็จะอยู่ที 1,200 เยน (ราคาผู้ใหญ่) ในส่วนชั้นที่ 2F จะเป็นโซนร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนม และของฝากที่ระลึกมากมาย ชั้น 3F เป็นชั้นขายของฝากที่ระลึก Tokyo Tower Official Shop Galaxy ส่วนใหญ่จะขายของฝากที่เกี่ยวกับโตเกียวทาวเวอร์ค่ะ เช่น พวงกุญแจ แก้ว เสื้อผ้าที่เป็นรูปโตเกียวทาวเวอร์หลากหลายไปหมด แล้วก็มีจำพวกขนมด้วยนะคะ ส่วนชั้นที่ 4F และ 5F เป็นโซนที่เราไม่ได้ไปค่ะ แต่จากการหาข้อมูลพบว่าเป็นโซนสวนสนุกที่เรียกว่า Red Tokyo Tower ใครที่เป็นสาวกเกม E-Sport หรือจำพวกบอร์ดเกม อาจจะต้องไปเยือนโซนนี้กันสักหน่อยนะคะ
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Main Deck กับ Top Deck น่าจะอยู่ที่ระดับความสูงกับกิจกรรมภายในชั้น โดย Main Deck จะมีร้านขายของที่ระลึก และจะมีโซนให้เราถ่ายรูปอย่างหลากหลาย ซึ่งชั้นนี้คนเยอะมาก เยอะขนาดที่เราไม่สามารถเข้าไปร้านขายของที่ระลึกได้อีกแล้ว มันเบียดเสียดกันเกินไปจริงๆ ค่ะ ส่วนชั้น Top Deck จะแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ ส่วนที่ 1 จะเป็นชั้นสำหรับการต่อลิฟต์เพื่อจะขึ้นไปอีก ซึ่งชั้นนี้จะมี Welcome Drink ให้เราดื่มแบบเล็กๆ น้อยๆ แบบกรุ่มกริ้ม พร้อมกับบริการถ่ายรูปฟรีให้เราด้วยค่ะ ซึ่งหลังจากที่เราดูวิวเสร็จแล้วก็สามารถไปรับรูปได้ที่ชั้น 3F ซึ่งสามารถรับได้แค่วันเดียวกับวันที่เราไปชมโตเกียวทาวเวอร์ค่ะ แต่เราลืมไปรับค่ะ ลืมแบบลืมไปเลย กว่าจะนึกขึ้นได้คือเดินมาถึงสถานีอาคาบาเนะบาชิเรียบร้อยแล้ว สรุปคือของฝากก็ไม่ได้ซื้อ ภาพถ่ายก็ลืมอีก เราก็เลยคิดซะว่าให้ทางโตเกียวทาวเวอร์เก็บภาพเราไว้เป็นที่ระลึกแทนแล้วกันเนอะ
สำหรับวิธีเดินทางกลับจากสถานีอาคาบาเนะบาชิไปย่านอากิฮะบาระ เราจะเลือกใช้สาย Oedo Line (Toei Line) เพื่อไปลงที่สถานีไดมอน (Damon Sta.) แน่นอนว่าเพราะต้องการใช้ Tokyo Subway Ticket 72 ชั่วโมง แต่ แต่ แต่!!!!!เราทำตั๋วหายจ้า ถึงขั้นต้องรื้อค้นกระเป๋าตรงข้างทางกันเลยทีเดียว แต่ แต่ แต่!!! ก็ยังหาไม่เจอจ้า สรุปคือของฝากก็ไม่ได้ ภาพถ่ายก็ลืม ตั๋วก็หายไปอีก ไม่มีอะไรจะนอยด์ไปกว่านี้แล้ว แต่ถึงจะนอยด์ตัวเองยังไง ที่นอนหมอนมุ้งก็เป็นสิ่งสำคัญ ก็เลยต้องซื้อตั๋วจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติไปโดยปริยาย หลังจากที่เรามาลงที่สถานีไดมอน เดินไปอีกประมาณ 5 นาที เราก็จะถึงสถานีฮามามัตสึโช (Hamamatsuchō Sta.) ซึ่งเป็นสาย JY Line โดยเราจะไปลงที่สถานีอะกิฮะบะระนั่นเอง ระหว่างทางที่เดินกลับที่พักก็ไม่ลืมที่จะแวะ 7-Eleven เพื่อที่จะซื้อน้ำและของใช้บางส่วน และสิ่งที่ทำให้หายนอยด์เพราะเรื่องตั๋วหายก็คือ สตรอบอรี่ลูกโต รสชาติหวานฉ่ำละมุนลิ้น ฟินจนลืมเรื่องตั๋วหายไปเลยจ้า
Day 3 : 13 พฤษภาคม 2567
คาวากูชิโกะ ดินแดนของคุณลุงฟูจิ
คาวากูชิโกะ เป็นอีกแพลนหนึ่งที่เราวางแผนไว้ว่าจะต้องมาให้ได้ เพราะเราอยากไปหาคุณลุงฟูจิ แลนมาร์กที่สำคัญและโด่งดังของประเทศญี่ปุ่น ที่จริงเราได้ดูสภาพอากาศล่วงหน้ามาแล้วแหละ ซึ่งในเว็บไซต์บอกว่าวันที่ 13 พ.ค. จะมีฝนตกทั้งในโตเกียวและคาวากูชิโกะ แต่เราก็คิดว่าก็น่าจะมีฝนตกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเหมือนบ้านเรา เราก็เลยยังคงวางแพลนที่จะไปคาวากูชิโกะเหมือนเดิม เราต้องไปเจอคุณลุงฟูจิให้ได้
แต่แล้วความคิดนั้นก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเปิดประตูโรงแรมแล้วพบว่าฝนตกหนักมาก หนักชนิดว่าผมที่ยาวสลวยสวยเก๋ที่พึ่งผ่านการสระ การไดร์ฟมาอย่างดีของเรานั้น สามารถกลับมาพันได้กันเพียงแค่ลมฝนพัดผ่าน และหนักชนิดที่ว่ารู้สึกเหมือนทั้งตัวชื้นไปหมด โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบที่ตอนนี้เรียกได้ว่าแฉะกันเลยทีเดียว นี่ขนาดยังไม่ถึงคาวากูชิโกะยังขนาดนี้ ถ้าไปถึงแล้วเจอสภาพคาวากูชิโกะที่ฝนตกตลอดเช่นกัน ไม่อยากนึกสภาพตัวเองเลย
สำหรับวิธีการเดินทางไปคาวากูชิโกะ เราเลือกที่จะไปโดยรถบัสค่ะ โดยเราจองรถบัสผ่านเว็บไซต์ที่เราได้ให้ไว้ข้างบน วิธีการจองไม่ได้ยุ่งยากเลย เพราะระบบบนเว็บไซต์มีภาษาไทยให้เราเลือกดำเนินการค่ะ แค่เราคลิ๊กและกรอกข้อมูลเพียงเท่านั้นค่ะ สำหรับขาไปเราเลือกขึ้นที่ Shinjuku Expressway Bus Terminal เวลา 07.15 น. (อย่ามาสายนะคะ รถออกตรงเวลามาก อย่างเราเกือบมาสายค่ะ น่าจะมาถึงประมาณ 07.10 น. ก็คือมาถึงปุ๊ปได้ตรวจตั๋วแล้วขึ้นไปนั่งเลยค่ะ) และลงที่สถานีคาวากูชิโกะ (Kawaguchiko Sta.) โดยระยะเวลาในการเดินทางจะอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หรือมากกว่านั้นตามสภาพปริมาณการจราจรค่ะ อย่างของเรารถบัสถึงที่สถานีคาวากูชิโกะประมาณ 9 โมงเช้าค่ะ สำหรับคนที่จองออนไลน์แบบเรา สามารถใช้ตั๋วออนไลน์ในการตรวจตั๋วได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปแลกที่เคาน์เตอร์ค่ะ
สำหรับวิธีการเดินทางไป Shinjuku Expressway Bus Terminal จากย่านอะกิฮะบะระ ซึ่งตอนแรกเราฝ่าฝนตกไปที่สถานีรถไฟใต้ดินอะกิฮะบะระ จากการหาข้อมูลใน Google Map เหมือนต้องขึ้นสาย JB Line แต่เราพยายามหาแล้วว่าสาย JB Line อยู่ตรงไหน เจอแต่สาย Hibaya Line ด้วยความที่กลัวว่าจะไปขึ้นรถบัสไม่ทัน เราก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากสถานีอะกิฮะบะระ ฝ่าฝนอีกรอบเพื่อเดินไปที่สถานีอิวะโมโตโจ และต่อไปถึงสถานีชินจูกุ ระหว่างทางจะมีป้ายบอกตลอดทางเพื่อไปที่ Shinjuku Expressway Bus Terminal หรือถ้าทุกคนยังกลัวหลงพยายามมองหาป้ายที่บอกถึงทางออกทิศใต้ หรือ South Exit ไว้ค่ะ พอออกมาถึงแล้ว จะต้องทางข้ามทางม้าลายเพื่อเข้าอาคาร Shinjuku Expressway Bus Terminal โดยสถานที่ที่เราต้องขึ้นรถบัสจะอยู่ชั้น 4 ของอาคารค่ะ โดยจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 5-7 นาที ดังนั้นถ้าใครรีบแบบเรา สับเท้าได้สับเลยค่ะ
ระหว่างที่เรานั่งรถทัวร์ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะลงผิดป้ายค่ะ ด้านหน้าบริเวณคนขับจะมีหน้าจอในการแสดงชื่อป้ายจุดที่จะลงตลอดระยะเวลาในการเดินทาง ที่สำคัญอย่าลืมพกเสื้อกันความหนาวไปด้วยนะคะ บนรถบัสแอร์หนาวมาก ผสมกับมีฝนตกตลอดเวลา ท่าทีในการหยุดตกก็ไม่มีเลย บวกกับที่ตอนนี้ในใจเราเริ่มหดหู่เพราะคิดว่าวันนี้คงไม่ได้เจอคุณลุงฟูจิแล้ว ก็ยิ่งหนาวเหน็บผสมกับความเนื้อน้อยต่ำใจก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ที่ดีที่ระหว่างทางได้เจอวิวสวยๆ ข้างทางเต็มไปหมด ก็เลยรู้สึกชุ่มชื้นหัวใจขึ้นมาบ้าง
เมื่อถึงเวลา 09.00 น. โดยประมาณ เราก็เดินทางมาถึงที่สถานีคาวากูชิโกะ โดยยังคงมีฝนพร่ำอยู่เนืองๆ เราก็เลยคิดว่าจะหาอะไรกินเป็นอาหารเช้าก่อน เผื่อว่าเวลาที่ผ่านไปกับอาหารเช้าจะช่วยให้ฝนหยุดตกได้ โดยอาหารเช้าที่เรากิน เราก็อาศัยคาเฟ่ในสถานีเลยค่ะ โดยทั้งนี้ทั้งหมดของอาคารจะเรียกว่า Gateway Fujiyama เป็นแหล่งซื้อของกินของฝากของสถานีคาวากูชิโกะ แถมร้านของฝากยังเป็นแบบ Tax-Free Shop ด้วยค่ะ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ นั่งเล่นมือถืออีก 10 นาที ฝนก็ยังคงมีท่าทีที่ยังไม่หยุดตก ร่มที่เราพกมาก็เหมือนจะเอาไม่อยู่เวลาเจอลมแรงจากฝน บวกกับเราเห็นคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้ร่มใส เราก็เลยอยากได้บ้าง ก็เลยเดินไปที่ 7 - Eleven ที่อยู่ใกล้ๆ สถานีเพื่อที่จะซื้อร่มใส และขนมขบเคี้ยว และต่อให้แม้ซื้อของจาก 7 - Eleven เสร็จ ฝนก็ยังคงไม่หยุดตกต่อไป แพลนที่เราวางไว้ก็เริ่มคิดหนัก ไม่ว่าจะเป็นสวนโออิชิปาร์ค (Oishi Park) หรือจะเป็น Kawaguchiko Music Forest ที่ทุกอย่างสวยและมีเสน่ห์เพราะมีคุณลุงฟูจิเป็น Background ตอนนั้นเราก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปแล้ว แต่จะเดินไปที่ทะเลสาบคาวากูชิโกะ และเดินเที่ยวชมบ้านชมเมืองบริเวณแถวนั้นแทน เพราะถ้าดูจากไหน Google map โดยที่แรกที่เราเจอคือ MT. Fuji Panoramic Ropeway หรือกระเช้าลอยฟ้าภูเขาไฟฟูจิ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าถ้าขึ้นไป ก็ไม่เจอคุณลุงฟูจิอยู่ดี แต่ก็ขอขึ้นไปหน่อยเพราะสถานที่มันอยู่ใกล้กับทะเลสาบคาวากูชิโกะ (แต่สถานที่อื่นที่แพลนไว้ก็ไม่ได้ไปเหมือนเดิมค่ะ)
สำหรับ MT. Fuji Panoramic Ropeway เปิดทำการมาได้กว่า 60 ปีแล้ว โดยเป็นการให้บริการเดินทางโดยกระเช้าลอยฟ้าบริเวณอุทยานเทนโจ-ยามะ มีชื่อเรียกทางการว่า "Lake Kawaguchi Mt. Tenjō Ropeway" ทั้งนี้สามารถซื้อตั๋วในการเข้าชมได้ที่บริเวณชั้น 2 อาคาร MT. Fuji Panoramic Ropeway
โดยระหว่างที่เรานั่งบนกระเช้าขึ้นไป วิวทางด้านขวามือจะเป็นวิวเมือง ส่วนทางด้านซ้ายมือก็จะมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ขาขึ้นกระเช้า (อันนี้ขอนินทาหน่อยค่ะ) เราได้ร่วมเดินทางกับเหล่าแก๊งค์คุณลุง คุณป้าชาวจีน ซึ่งไม่ค่อยให้เกียรติสักเท่าไหร่ เหมือนตอนแรกจะปิดประตูกระเช้าไม่ให้เราขึ้น เราก็เงิบไปนิดหนึ่ง แต่น้องพนักงานที่ดูแลกระเช้าเค้าก็เปิดประตูให้เราเข้าไป ระหว่างทางที่ขึ้นไป ยิ่งรู้เลยว่าเค้าไม่อยากให้เราไปด้วย เราพยายามจะเดินไปยืนดูวิวเมือง เพราะคนไม่ได้เยอะขนาดที่ว่าแทรกไม่ได้ แต่เค้าก็กั้นไม่ให้เราเดิน เราก็เลยได้แต่ยืนตรงประตู และได้แค่แช่งชักหักกระดูกไว้ในใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง555
แน่นอนเป็นไปตามคาด วิวทุกบริเวณที่มองลงมาจากด้านบน มีแต่หมอกเต็มไปหมดเลย ฝนก็ยังไม่หยุดตก บริเวณทางที่เดินไปอุทยาน ก็เหมือนโดนกั้นไม่ให้ขึ้นไป เนื่องจากมีฝนตกตลอดเวลาแล้วทางมันอาจจะลื่นจนก่อเกิดอันตรายได้ เราก็เลยได้แต่ยืนดูบริเวณร้านค้า พร้อมกับกินอาหารที่สั่งมาจากร้าน Tanuki-Chaya โดยสิ่งที่เราสั่งมีน้ำพีช ขนมปังแกงกะหรี่ และดังโงะราดซอส นอกจากนี้ยังมีร้านของฝากที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณลุงฟูจิค่ะ ซึ่ง ณ จุดนี้เราเสียเงินไปเยอะมากเลย555 สำหรับขากลับลงจากกระเช้าได้ขึ้นร่วมกับคุณลุงและคุณป้าชาวเกาหลี รอบนี้ดีหน่อยที่คุณลุงและคุณป้าค่อนข้างยิ้มแย้มแจ่มใส แถมยังให้เรายืนฝั่งวิวเมือง ซึ่งขาลงจะเป็นทางฝั่งซ้ายมือนนะคะ
หลังจากที่ลงมาจากกระเช้าลอยฟ้า เราก็เลยตัดสินใจที่จะเดินรอบทะเลสาบ อยากจะบอกว่าถ้าไม่อึดจริง อย่าเดินค่ะ ไกลมาก ปวดขาสุด555 แต่ก็ได้วิวหมอกสวย ๆ เต็มไปหมดเลยค่ะ
ถึงแม้จะไม่ได้เห็นคุณลุงฟูจิ แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศในอีกรูปแบบหนึ่งของคาวากูชิโกะ ซึ่งสำหรับเรามันสวยมาก ถึงจะรู้สึกนอยด์แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังทั้งหมด หลังจากที่เดินเสร็จ ความรู้สึกปวดขาก็ซึมซาบเข้ามาแล้ว พร้อมกับความซึมแฉะของรองเท้าผ้าใบที่รู้สึกได้ อันที่จริงก็ให้ความรู้สึกว่าจากนักท่องเที่ยวกลายเป็นผู้ประสบภัยนิดหน่อย555 ก็เลยอยากเปลี่ยนรองเท้าและคิดว่าในร้านสะดวกซื้อน่าจะมี ซึ่งร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด ก็คือ Lawson พอเดินดูรอบร้านก็ไปเจอซุปมิโสะถ้วย แล้วรู้สึกอยากกินก็เลยขอฟาดและฝากท้องมื้อหลักเป็นมื้อสุดท้ายในวันนี้ที่ Lawson แห่งทะเลสาบคาวากูชิโกะ ก่อนที่จะเดินกลับมาที่สถานีคาวากูชิโกะ และนั่งรอรถบัสที่เราจองไว้รอบที่ 19.10 น. ซึ่งถือว่าเป็นรอบที่ว้าเหว่มาก เพราะยิ่งมืดคนรอรถก็ยิ่งน้อยลง ดังนั้นเราเลยอยากแนะนำว่าเวลาจองขากลับเป็นประมาณ 5-6 โมงเย็น ก็น่าจะกำลังดี
ในส่วนของสถานที่ขากลับ เราก็ลงที่เดิมคือ Shinjuku Expressway Bus Terminal มาถึงในเวลาเกือบจะ 3 ทุ่ม ตอนแรกกะว่าจะไปเดินย่านชินจูกุในยามค่ำคื่น แต่ว่าสภาพเราวันนี้มันไม่ได้เลย อีกอย่างคือฝนก็ยังไม่หยุดตกเลยค่ะ ก็เลยตัดสินใจที่จะกลับที่พัก โดยการเดินทางกลับเราได้ใช้วิธีเดียวกับขามาค่ะ คือขึ้นสถานีชินจูกุและลงที่สถานีอิวะโมโตโจ แล้วถึงเดินกลับที่พักเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า (โคตรๆ) ในวันนี้ค่ะ
Day 4 : 14 พฤษภาคม 2567
ตะลุยแดนเวทมนตร์ Harry Potter กันเถอะ
Warner Bros. Studio Tour Tokyo - The Making of Harry Potter เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เราไม่อยากพลาดด้วยความเป็นสาวกแฮรรี่ พอตเตอร์มาตั้งแต่ ป.5 นั่งดูภาพยนตร์ตั้งแต่ภาคแรกยันภาคสุดท้ายไปไม่รู้กี่รอบ ไหนจะสะสมหนังสือทั้งในพาร์ทภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แล้วเรื่องอะไรที่เราจะพลาดไม่เข้าไปเยี่ยมชมล่ะ ซึ่งทางสตูดิโอ Warner Bros. Studio Tour Tokyo - The Making of Harry Potter เปิดตัวให้บริการในปี 2023 บนพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ สำหรับราคาตั๋วจะแบ่งออกเป็นราคาดังต่อไปนี้ (ณ ปี 2024)
- ผู้ใหญ่อายุ 18+ อยุู่ที่ 6,500 เยน (1,500 - 1,600 บาท)
- ราคาเด็กอายุ 12 - 17 อยู่ที่ 5,400 เยน (1,200 - 1,300 บาท)
- ราคาเด็กอายุ 4 - 11 อยู่ที่ 3,900 เยน (900 - 1,000 บาท)
- ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี เข้าฟรีจ้า
นอกจากนี้ยังมีราคาแบบ Package อีกด้วย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ข้างต้นที่เราให้ไว้ได้เลยค่ะ
สำหรับวิธีการเดินทาง เราก็จะเริ่มจากการไปที่สถานีชินจูกุด้วยวิธีการเดิมของเรา นั่นก็คือเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจากสถานีอิวะโมโตโจจ้า พอถึงสถานีรถไฟชินจูกุ เราต้องไปต่อสายรถไฟ Oedo Line (Toei Line) เพื่อไปลงที่สถานีรถไฟโทชิเมน (Toshimaen Sta.) โดยการเดินทางครั้งนี้เราลองซื้อบัตรแบบ One Day Pass Metro Tokyo ในราคา 900 เยน สามารถเดินทางได้เฉพาะรถไฟใต้ดินเท่านั้น โดยภายในสถานีรถไฟโทชิเมนตลอดทางจะมีป้ายบอกถึงทางออกมาสู่สตูดิโอทัวร์ค่ะ พอมาถึงทางออกแล้วให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ อีกประมาณ 250 เมตร ก็จะเจอซอยทางซ้ายมือ ให้เดินเข้าไปเลยค่ะ
สำหรับเวลาเปิดและปิดทำการของสตูดิโอทัวร์ คือ 09.00 - 20.30 น. โดยแต่ละรอบในการจองของแต่ละวันและแต่ละเดือนจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นตรวจสอบจากเว็บไซต์ทางการจะดีกว่าค่ะ ส่วนเราจองรอบ 9 โมงเช้าเพราะเคยไปอ่านรีวิวว่าใช้เวลาในการเดินบวกกับการทำกิจกรรมอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เราก็เลยคิดว่าจองรอบเช้าดีกว่า จะได้มีเวลาเดินได้แบบไม่เร่งรีบค่ะ พอเราเดินมาถึงบริเวณทางเข้าที่เห็นรูปปั้นกวางสีน้ำเงิน ให้เดินตรงมาอีกค่ะจนกว่าเราจะเห็นตัวอาคารกระจกใสๆ และมีตัวอักษรคำว่า Harry Potter ที่เด่นชัดมาก พอมาถึงทางเข้าอาคาร เราต้องแสดงตั๋วที่ได้รับผ่านออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูก่อนนะคะ ใครมีขยะที่ต้องทิ้งสามารถทิ้งได้หน้าทางเข้าเลยจ้า เพราะข้างในหาถังขยะยากมากจนกว่าจะเจอจุดร้านขายอาหาร หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รอตรวจเช็คกระเป๋าของเราในจุดถัดไป พอเข้ามาถึงอาคารทางขวามือจะเป็นที่ฝากสัมภาระ ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นให้บริการเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่อยากเดินชมไปด้วยและฟังการบรรยายไปด้วย โดยเหมือนจะได้รับมาเป็นหูฟังในระบบภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษเป็นหลักค่ะ ส่วนภาษาอื่นๆ เราไม่แน่ใจ เพราะว่าเราไม่ได้ใช้บริการจากจุดนี้ค่ะ
พอเดินผ่านจุดให้บริการมาอีกสักนิดสักหน่อย เราก็จะเจอพื้นส่วนกลางที่อยู่ระหว่างทางขวามือจะเป็นร้านอาหารและร้านคาเฟ่ ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นจุดจำหน่ายของฝากและของที่ระลึก โดยเราได้เลือกไปทางขวามือก่อน เพราะว่าอยากจะลองไปกินอาหารของชาวเวทมนตร์ดูค่ะ
สำหรับโซนอาหารในจุดแรกจะแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ คือ The Food Hall และ Frog Cafe โดยเราเลือก The Food Hall ซึ่งตรงโซนนี้จะมีน้องๆ พนักงานยืนถือเมนูอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ เพื่อให้เราเลือกดูเมนูอาหารได้ก่อนเข้ามาสั่ง พอเราเลือกได้แล้วพนักงานถึงจะนำทางเราไปที่เคาน์เตอร์เพื่อชำระเงินค่าอาหาร โดยเราสามารถเลือกชำระเป็นเงินสดและบัตรเครดิตได้ค่ะ ส่วน Frog Cafe เราไม่ได้เข้าไปค่ะ แต่คิดว่าที่นั่งมองคนอื่นเข้าไปสั่ง วิธีการน่าจะไม่ต่างกันมากค่ะ พอเราสั่งเสร็จแล้ว พนักงานก็จะให้ที่เรียกคิวมา แต่ครั้งนี้เมื่อมันสั่นเราไม่ต้องเดินไปเอาอาหารเองนะคะ พนักงานจะเอามาเสิร์ฟให้ถึงตรงโต๊ะที่เรานั่งรอเลยค่ะ ส่วนพอรับประทานเสร็จก็สามารถเดินออกมาได้เลย เพราะมีพนักงานคอยเดินเก็บโต๊ะให้ค่ะ
หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว เราก็เลือกที่จะเดินไปที่ร้านขายของฝากและของที่ระลึก เป็นร้านที่ใหญ่มากค่ะ ถึงคนจะเยอะแต่ไม่เบียดกันค่ะ ภายในร้านมีของที่ระลึกประเภทต่างๆ ตั้งแต่ชิ้นเล็กยันชิ้นใหญ่เต็มไปหมด เช่น ปากกา สมุด พวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น แก้วน้ำ เครื่องประดับ ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า ขนม รวมไปถึงของที่ระลึกที่เราเคยเห็นมาจากภาพยนตร์ เช่น ชุดคลมพ่อมดแม่มด ไม้กายสิทธิ์ และอื่นๆ แบบละลานตาไปหมด สำหรับชุดคุลมพ่อมดแม่มด เราไม่แน่ใจว่าสามารถเช่าได้ไหม แต่ซื้อได้แน่นอนค่ะ พอซื้อเสร็จแล้วก็สามารถใส่ได้ทันทีพร้อมกับเข้าเดินชมภายในโซนจัดแสดง ยิ่งใครมีไม้กายสิทธิ์ก็จะได้อารมณ์ว่าเราเหมือนเป็นนักเรียนฮอกวอตส์เลยค่ะ (แต่เราไม่ได้ซื้อนะ555 เราไปซื้อเป็นของระลึกอย่างอื่นแทนค่ะ) แล้วจุดร้านขายของที่ระลึกแห่งนี้จะเป็นจุดที่พอเราเดินวนทั้งหมด ก็จะมาบรรจบที่ร้านนี้อีกครั้งหนึ่งค่ะ ถ้าใครไม่อยากแบกของหนัก ก็ค่อยกลับมาซื้อตอนสุดท้ายได้ค่ะ ส่วนเราลืมดูแผนผังตั้งแต่แรก ก็เลยซื้อของที่ระลึกไว้ก่อน แบกไปแบกมาปวดหลังมากค่ะ555
ถึงแม้เราจะจองรอบเวลา 9.00 น. แต่เอาเข้าจริงกว่าเราจะได้เข้าไปดูส่วนโซนการจัดแสดงและกิจกรรมก็เป็นเวลาเกือบจะ 10.30 น. และหลังจากนี้เราจะได้เริ่มการผจญภัยแล้วค่ะ ไปลุยกันเลย!!!
สำหรับโซนนี้เราขอเรียกว่าพื้นที่ต้อนรับแล้วกันค่ะ เพราะว่าเป็นพื้นที่แรกให้เราได้เยี่ยมชมก่อนที่จะเข้าไปเจอของจริงค่ะ ลืมบอกไป สำหรับการบรรยายจะเป็นการบรรยายภาษาญี่ปุ่นเป็นหลักค่ะ ซึ่งโซนที่ต้องบรรยายโดยคนพูดมีไม่เยอะค่ะ ที่เหลือก็คือให้เราได้เดินชมและทำกิจกรรมค่ะ โดยเราจะขอไล่เป็นโซนๆ ไปนะคะ ซึ่งทุกคนจะได้เดินผ่านทุกโซนแน่นอนค่ะ
The Great Hall : ห้องโถงใหญ่ของฮอกวอตส์
ถ้าใครได้ดูภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคแรกนั้น เราเชื่อว่าซีนที่แฮร์รี่และเหล่าผองเพื่อนกำลังเดินเข้าในห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความอลังการ หรือฉากที่เด็กๆ ปีหนึ่งต้องทำการคัดสรรบ้านผ่านหมวกคัดสรรภายในห้องโถงแห่งนี้ น่าจะยังคงเป็นฉากภาพยนตร์ที่ติดตราตรึงใจของใครหลายคนอยู่ และหนึ่งในนั้นก็คือเราเองค่ะ โดยภายในห้องโถงจะประกอบไปด้วยการแสดงตำแหน่งสัญลักษณ์และหุ่นจำลองชุดคลุมของแต่ละบ้าน ลักษณะของถ้วยจานชามช้อน โต๊ะ เก้าอี้ หรือกระทั่งเตาผิงที่ใช้ประกอบฉาก หุ่นรูปปั้นของเหล่าอาจารย์ประจำฮอกวอตส์ และรูปปั้นอาร์กัส ฟิลด์ อยากจะบอกว่าแค่โซนนี้ก็ทำเราตื่นตาตื่นใจแล้วค่ะ ถัดจากห้องโถงใหญ่ของฮอกวอตส์จะเป็นห้องที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบส่วนต่างๆ ของสถานที่ภายในฮอกวอตส์ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดการออกแบบประตู หน้าต่าง ฟาซาด ทั้งในรูปแบบภาพวาด ภาพถ่าย และโมเดลแบบจำลอง ทำให้เราผู้ซึ่งเรียนสายสถาปัตยกรรมมา ยิ่งตื่นตาตื่นใจไปอีก แล้วทำให้เรารู้เลยว่ากว่าจะออกมาเป็นภาพยนตร์แห่งโลกเวทมนตร์ที่โด่งดังและครองใจแฟนคลับได้ทั่วโลก นอกจากตัวนักแสดงที่ต้องสมบทบาทแล้ว งานทุกอย่าง ดีเทลทุกสิ่ง ต้องผ่านกระบวนการคิดและกระบวนการออกแบบมาอย่างหลากลายและอย่างดีจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านอย่างไรบ้าง
Marble Staircase : บันไดหินอ่อน (ห้องโถงกลาง) ของฮอกวอตส์
ห้องโถงกลางฮอกวอตส์เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกห้องหนึ่ง นอกจากจะมีแบบจำลองบันไดหินอ่อนที่สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์ ตรงบริเวณโซนนี้ยังมีกิจกรรมให้เราได้ทำภาพเคลื่อนไหวกับฉากต่างๆ ที่ทางสตูิโอเตรียมไว้ให้ ย่ำ!!นะคะว่าเป็นภาพเคลื่อนไหว เพราะว่าตอนแรกเรานึกว่าเป็นภาพนิ่ง ก็ไปยืนเฉยๆ ถ่ายกับฉาก พอรู้ตอนหลังว่าภาพที่เราถ่าย มันจะออกตรงบริเวณกรอบรูปทั่วห้องโถงก็แอบนอยด์นิดหนึ่ง555 อย่างที่บอกว่าพอถ่ายเสร็จภาพเคลื่อนไหวของเรามันจะไปโชว์ให้คนทั่วทั้งห้องโถงกลางได้เห็นค่ะ ซึ่งถ้าใครจะรอแชะถ่ายของตัวเองที่ไปโชว์บนกรอบรูปติดผนัง อาจต้องรอถึงประมาณ 30 นาทีค่ะ เราก็จะมีภาพเคลื่อนไหวเก๋ๆ เหมือนกับในภาพยนตร์ที่ว่าคนในกรอบรูปสามารถเคลื่อนไหวได้นอกจากนี้เรายังสามารถโหลดมาเก็บไว้ได้ตามเว็บไซต์ที่เราได้ลงทะเบียนไว้ก่อนทำกิจกรรมค่ะ
Living at Hogwarts : การใช้ชีวิตฉบับเด็กฮอกวอตส์
เป็นโซนจัดแสดงโดยการรวบรวมเอาห้องและพื้นที่ต่างๆ ภายในห้องฮอกวอตส์ มาจำลองและแสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนฮอกวอตส์เป็นอย่างไร เช่น ลักษณะหอพักและห้องนั่งเล่นของบ้านกริฟฟินดอร์และสลิธีริน กิจกรรมกีฬาควิชดิชที่มีการจำลองแล้วให้เราไปแสดงบทบาทสมมุติเป็นกองเชียร์สองฝ่าย ลักษณะห้องต้องประสงค์ พื้นที่ห้องทำงานของออาจารย์ใหญ่ดัมเบิลดอร์ เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นโซนจำลองการสัมผัสการใช้ชีวิตในฮอกวอตส์หนึ่งวันสำหรับเราเลย นอกจากนี้ยังมีโซนพื้นที่ขนาดเล็กที่จัดแสดงเกี่ยวชุดการแต่งกายของนักแสดงในภาพยนตร์และอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ รวมทั้งมีกิจกรรมให้ลองเล่นเกี่ยวกับการทำหน้ากากผู้เสพความตายที่เป็นเอกลักษณ์ฉบับของเราเอง
Learning at Hogwarts : พื้นที่เรียนรู้เวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์
เป็นโซนจัดแสดงพื้นที่การเรียนรู้เวทมนตร์ศาสตร์ โดยแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องเรียนวิชาปรุงยา ที่เต็มไปด้วยขวดยาสมุนไพร พื้นที่หม้อปรุงยาที่ให้เราสามารถไปแอคชั่นถ่ายภาพเก๋ๆ เหมือนกำลังใช้เวทมนตร์ในการปรุงยา รูปปั้นจำลองเหล่าอาจารย์ที่สำคัญของฮอกวอตส์ พื้นที่กระจกเงาแห่งแอริแซด ที่ต้องต่อแถวยาวเหยียดเพื่อที่จะได้ถ่ายภาพ พื้นที่ห้องทำงานของอาจารย์อัมบริดจ์ พื้นที่ห้องสมุดฮอกวอตส์ รวมถึงพื้นที่การแสดงที่ให้เรามีส่วนร่วมกับการร่ายเวทมนตร์เพื่อขับไล่ผู้เสพความตาย เป็นต้น
Forbidden Forest : ป่าต้องห้าม
โซนป่าต้องห้ามเป็นอีกโซนหนึ่งที่มีความน่าสนใจ ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่สร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัว ผนวกกับการออกแบบฉากด้วยการทำต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้เราดูตัวเล็กจ๋อยไปเลย ซึ่งภายในโซนนี้จะแสดงฉากที่เกี่ยวข้องกับป่าต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นฉากรูปปั้นแฮร์กริดที่ยืนเคียงข้างกับฮิปโปกริฟท์ที่สามารถขยับตัวได้ ฉากรถยนต์ที่แฮรรี่กับรอนขับจนไปโดนหวดด้วยต้นวิลโลว์จอมโหด แบบจำลองเซนเทอร์ลูกครึ่งมนุษย์และม้า รวมไปถึงไฮไลท์ของโซนคือการให้เราได้ถ่ายวิดีโอกับภาพเคลื่อนไหวของผู้คุมวิญญาน โดยที่เราต้องสวมบทบาทเป็นผู้ขับไล่สิ่งมีชีวิตต่ำทรามด้วยคาถาผู้พิทักษ์ ดังนั้น ใครที่ซื้อไม้กายสิทธิ์ อย่าพลาดโซนนี้โดยเด็ดขาดเลยจ้า
Hagrid’s Hut : กระท่อมแฮร์กริด
สำหรับโซนกระท่อมแฮร์กริดจะเป็นบริเวณด้านนอกอาคาร มีฉากหุ่นไล่กา และลูกฟักทองโต ๆ แต่เราจะไม่สามารถเข้าไปในกระท่อมได้นะคะ ถ่ายภาพได้แค่พื้นที่ภายนอกค่ะ ใกล้ๆ กับกระท่อมแฮร์กริดจะมีฉากรถยนต์ที่รอนกับแฮร์รี่แอบจิ๊กมาจากอาเธอร์ วีสลีย์ โดยเราสามารถเข้าไปนั่งถ่ายภาพภายในรถได้ค่ะ
Backlot Cafe & Butterbeer Bar : คาเฟ่แห่งแดนเวทมนตร์
สำหรับใครที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแต่เช้า การเดินมาถึงโซนคาเฟ่บริเวณแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐของกระเพาะอาหารค่ะ แต่สำหรับเราที่ยังคงอิ่มอยู่กับมื้อเช้าเราเลยไม่ได้ลองทานอะไรเลยในโซน Backlot Cafe แต่สำหรับโซน Butterbeer Bar เราขอไม่พลาดที่จะขอลิ้มรสเครื่องดื่มบัตเตอร์เบียร์ เครื่องดื่มที่ฮิตที่สุดในโลกแห่งเวทมนตร์ โดยพอเราดื่มบัตเตอร์เบียร์เสร็จแล้ว เราสามารถเอาแก้วกลับบ้านเป็นของที่ระลึกไ้ด้วยนะคะ ส่วนรสชาติบัตเตอร์เบียร์ก็จะออกหวานๆ มันๆ เรากินได้แค่ครึ่งแก้วก็ไม่ไหวแล้วค่ะ มันเลี่ยนมากเลยขอบอก555
House No. 4, Privet Drive : บ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต
บ้านเลขที่ 4 ซอยพรีเว็ต เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของเด็กชายผู้รอดชีวิต ที่ต้องพำนักอาศัยภายในโลกของมักเกิ้ล รวมทั้งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำที่เกือบจะเลวร้ายของแฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่หลายเหตุการณ์เลยก็ว่าได้นะ โดยภายในฉากจำลองของบ้านดังกล่าว ก็จะจำลองเหตุการณ์ตอนช่วงที่มีจดหมายเชิญจากโลกเวทมนตร์ที่พุ่งพรวดออกมาจากปล่องไฟหลายสิบฉบับ และฉากที่พีคที่สุด สะใจที่สุด ก็คือฉากป้ามาร์ช พี่สาวของลุงเวอร์นอน โดนเสกคาถาจากด๊อบบี้ เอลฟ์ที่แสนจะภักดีต่อแฮร์รี่ พอตเตอร์ เสกให้ตัวอ้วนตุ๊บป่องแล้วลอยละลิ่วออกจากนอกบ้านไป
สะพานฮอกวอตส์/หมากรุกพ่อมด/รถเมล์อัศวินราตรี : Hogwarts Bridge/Wizard Chess/Knight Bus
Platform Nine and Three-Quarters : ชานชาลา 9 3/4
หนึ่งในสถานที่ไฮไลท์ที่สำคัญแห่งโลกเวทมนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ ชานชาลาที่ 9 3/4 ซึ่งอยู่ในสถานีรถไฟคิงส์ครอส (King's Cross) เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยชานชาลาดังกล่าวเป็นเสมือนทางเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งเวทมนตร์กับโลกของมักเกิ้ล โดยภายใน Warner Bros. Studio Tour Tokyo ได้จำลองพื้นที่ชานชาลาขนาดใหญ่ ที่มีฉากรถไฟสายด่วนฮอกวอตส์ (The Hogwarts Express Railways) และหุ่นจำลองตัวละครที่อยู่ภายในรถไฟสายนี้ รวมถึงฉากจำลองสำคัญอย่างการที่มีรถเข็นสัมภาระที่อยู่ติดกับกำแพงให้เราได้ไปโพสท่าเสมือนว่าเราจับรถเข็นแล้วกำลังวิ่งทะลุผ่านกำแพง นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้เข้าไปจับจ่ายใช้สอยอีกด้วยค่ะ
Ministry of Magic : กระทรวงเวทมนตร์
ก่อนที่จะเข้าไปโซนกระทรวงเวทมนตร์ เราจะเจอโซนที่จำลองรายละเอียดทางโครงสร้างในการออกแบบ เช่น การออกแบบประตู หน้าต่าง เสาของอาคาร หรือการออกแบบรายละเอียดโครงสร้างของกระทรวงเวทมนตร์ เป็นต้น หลังจากนั้นเราถึงจะได้เข้าไปสู่โซนจำลองกระทรวงเวทมนตร์ ซึ่งเป็นอีกโซนที่น่าตื่นตาใจเหล่าสาวกต้องห้ามพลาด ด้วยการออกแบบฉากที่น่าประทับใจไม่ว่าจะถ่ายภาพบริเวณใดก็ดูดีไปหมด รวมทั้งเป็นโซนที่มีกิจกรรมการเดินทางด้วยผงฟลูให้เราได้ลองเล่นกันด้วยแหละ แต่แน่นอนว่าคนเยอะมาก เราเลยขอผ่านไปจ้า
Broomstick Experience + Art of Sound : ห้ององค์ประกอบศิลป์
สำหรับโซนนี้จะเป็นโซนที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเบื้องหลังทางด้านเทคนิคในการจัดทำตัวละครเสริม อย่างเหล่าสัตว์ตัวน้อยๆ ทั้งหลาย รวมทั้งการแสดงเทคนิคทางด้านองค์ประกอบศิลป์แสง สี เสียง ว่ามีที่มาในการจัดทำอย่างไร เราแนะนำให้ทุกคนดูทุกวิดีโอที่ฉายเลยนะคะ มันเหมือนทำให้เราเข้าถึงและได้รู้จักโลกแห่งเวทมนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์มากยิ่งขึ้น
Diagon Alley & The Hogsmeade village : ตรอกไดแอกอน และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด
ตรอกไดแอกอน แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของเหล่าพ่อมดและแม่มดทั้งหลาย ใครที่ไปยังพื้นที่ดังกล่าว ก็ต้องไปเยือนร้านหม้อใหญ่รั่ว ทางเข้าลึกลับที่จะพาไปสู่ตรอกไดแอกอน หรือจะเดินทางด้วยผงฟลูก็ได้เช่นกัน โดยทั้งนี้สถานที่ดังกล่าวมีร้านค้ามากมาย อาทิเช่น ร้านหมอใหญ่รั่ว ที่จะจำหน่ายหม้อทองเหลือง ดีบุก ทอง เงิน ในขนาดต่างๆ กัน ร้านตัวบรรจงและหยดหมึก ร้านขายหนังสือเวทมนตร์ ที่เหล่านักเรียนร์ต้องมาจับจ่ายใช้สอย ร้านขายไม้กายสิทธิ์โอลลิแวนเดอร์ ที่มีอย่างยาวนาน ธนาคารกริงกอตส์ ที่มีนายธนาคารเป็นก๊อบลิน หรือแม้กระทั่งร้านเกมกลวิเศษวีสลีย์ของฝาแฝดเฟร็ดกับจอร์จ ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่จำลองแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้าบางส่วนที่หยิบยกมา แต่อยากจะบอกว่าเป็นตรอกไดแอกอนที่ดีงามมาก การจัดแสง สี เสียง และองค์ประกอบอื่นๆ มันชวนให้เราอยากจะกลับย้อนไปดูภาพยนตร์อีกครั้ง ใครที่เป็นสายถ่ายรูปแนะนำจุดนี้เลยค่ะ สำหรับหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เด็กๆ ฮอกวอร์ตมักจะเยือนยามที่ไปทัศนศึกษา โดยในสถานที่จำลองจะแสดงเป็นรายละเอียดดีเทลการออกแบบและแนวความคิดที่เป็นภาพสกรีนลงบนผนัง นอกจากยังมีรายละเอียดดีเทลเล็กๆ ให้เราเก็บภาพถ่ายไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ เช่น สมุดของนักเรียนฮอกวอร์ต การจ่าหน้าซองจดหมายจากฮอกวอร์ตถึงแฮร์รี่ แผนผังตระกูลแบล็ค ใบปลิวการประจับซิเรียส แผนที่ตัวกวน เป็นต้น ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เวลาเราเห็นในภาพยนตร์ เราจะเห็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น แต่พื้นที่จำลองแห่งนี้เอามาให้เราได้ดูกันแล้วค่ะ
The Hogwarts Castle Model : ปราสาทฮอกวอตส์
โซนสุดท้ายของการปิดจบทัวร์สตูดิโอคือ แบบจำลองโมเดลของปราสาทฮอกวอตส์ สถานที่ที่ได้ขึ้นชื่อว่าปลอดภัยที่สุดในโลก (แต่อย่างที่เรารู้กันว่าแท้จริงแล้ว โคตรอันตรายเลย แทบจะทุกภาคเกิดเหตุที่ปราสาทนี่ทั้งนั้น555) โดยแบบจำลองดังกล่าวเป็นการจำลองรายละเอียดทั้งหมดของปราสาท และพื้นที่รอบบริเวณปราสาท เราสามารถเดินวนดูการจำลองโมเดลนี้ได้อย่างใกล้ชิดและได้รายละเอียดดีเทลที่มากขึ้น
หลังจากพ้นผ่านโซนปราสาทมาได้ เราจะได้เดินวนออกมาที่ร้านขายของระลึกค่ะ แต่เราดันซื้อตั้งแต่ขาไปแล้ว เราเลยไม่ได้เสียเวลาเพิ่มเติมจากร้านขายของที่ระลึก และนี่คือการรีวิว Warner Bros. Studio Tour Tokyo - The Making of Harry Potter แบบพยายามจะทุกซอกทุกมุมเท่าที่เราทำได้ค่ะ เราอยากจะบอกว่าสำหรับเราเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก การเดิน 5 ชั่วโมงที่แสนเมื่อย ก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อนึกถึงความประทับใจ ความตื่นเต้น ใครที่เป็นสาวกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ควรค่าแก่การมาเยือนอย่างยิ่งจ้า
ตลาดอาเมโยโกะ & วัดเซนโซจิ
เราออกจาก Warner Bros. Studio Tour Tokyo - The Making of Harry Potter ในเวลาประมาณ 15.30 น. เห็นว่าเวลายังเหลืออีกมากก็เลยตัดสินใจจะไปวัดเซนโซจิ โดยเดินทางจากสถานีรถไฟโทชิเมน เพื่อที่จะไปลงที่สถานีรถไฟอิเกะบุคุโระ (Ikebukuro Sta.) ซึ่งเป็นสาย Tobu Line หลังจากพอมาถึงที่สถานีรถไฟอิเกะบุคุโระ เราก็ต้องต่อรถไฟสาย JY Yamanote Line เพื่อมาลงที่สถานีรถไฟอูเอโนะ เนื่องจากการเปลี่ยนสายรถไฟไม่มีสายที่เราสามารถใช้ One Day Pass Metro Tokyo ได้ ดังนั้น เราจะต้องซื้อบัตรใหม่ทุกรอบค่ะ
พอมาถึงสถานีอูเอโนะ ให้ทุกคนหาทางออกที่จะมาโผล่สวนสัตว์อูเอโนะ เดินเลี้ยวซ้ายไปจนถึงสัญญานไฟจราจรจะมีรถไฟใต้ดินให้เราสามารถไปต่อเพื่อไปวัดเซนโซจิได้ แต่ระหว่างทางเราดันเหลือบไปเห็นตลาดอาเมโยโกะโดยไม่ได้ตั้งใจ เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่อูเอโนะ ดังนั้น เราก็เลยอยากลองเดินเข้าไปดู ผลสรุปก็คือโดนละลายทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยจ้า
สำหรับตลาดอาเมโยโกะ เป็นตลาดที่มีความคล้ายกับเยาวราช ตลาดสำเพ็ง หรือตลาดวังหลัง มีร้านค้ามากมายทั้งร้านขายอาหาร ร้านขายขนม ร้านขายของเบ็ดเสร็จทั้งขนม ยา และของที่ระลึก โดยเกือบทุกร้านจะเป็นร้านที่มีสัญลักษณ์ Tax Free ใครที่เป็นสายช็อปปิ้งแนะนำให้มาที่ตลาดแห่งนี้เลยค่ะ
พอหลังจากที่เราเสียทรัพย์ให้ตลาดแห่งนี้ไปแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเพื่อจะไปหาเป้าหมายของเรา นั่นก็คือ วัดเซนโซจิ โดยวิธีการเดินทาง คือ การใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายอูเอโนะมาลงที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa Sta.) โดยครั้งนี้เราสามารถใช้ One Day Pass Metro Tokyo ได้ค่ะ พอมาถึงแล้วให้ทุกคนหาประตูทางออกมายเลข 3 เดินตรงมาเรื่อย ๆ ประมาณ 50 เมตร จะเจอประตูคามินาริมง และถนนนากามิเสะ-โดริ ถนนที่ขายของฝากของที่ระลึก ขายขนมและอาหารอีกมากมาย จากประตูคามินาริมง เดินเข้าไปตามถนนนากามิเสะ-โดริอีกประมาณ 400 เมตร ทุกคนก็จะเจอวัดเซนโซจิ เนื่องจากเราไปช่วงเกือบจะ 6 โมงเย็นแล้ว ร้านค้าตามถนนนากามิเสะ-โดริก็เหลือน้อยลง แถมเรายังได้เข้าไปในวัดแค่แปปเดียว ก็โดนคุณลุง รปภ. เชิญออกมาเพื่อที่จะปิดอาคารวัดค่ะ ดังนั้น ถ้าใครจะไปวัดเซนโซจิเราแนะนำให้ไปก่อน 5 โมงเย็น น่าจะดีกว่า
สำหรับวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เราเหนื่อยมากจากการเดินที่เยอะสุดๆ พอหลังจากเยี่ยมชมวัดเซนโซจิเสร็จ เราเลยตัดสินใจที่จะกลับโรงแรมทันที ส่วนมื้อเย็นเราก็ขอฝากท้องไว้ที่ 7-11 เหมือนเดิม เพราะไม่ไหวที่จะคิดหรือจะหาร้านอาหารแล้วจ้า สำหรับขากลับเราเลือกใช้รถไฟใต้ดินเช่นเดิม โดยการขึ้นจากสถานีอาซากุสะ แล้วไปลงที่สถานีซูเอะฮิโระโจ (Suehirochō Sta.) ส่วนที่เราเลือกมาลงที่สถานีนี้เพราะเรามั่นใจว่าเราสามารถใช้บัตร One Day Pass Metro Tokyo ได้ค่ะ ถึงแม้จะต้องเดินจากสถานีดังกล่าวไปที่โรงแรมเป็นระยะทางโดยประมาณ 600 เมตรก็ตาม แต่จะเป็นการเดินเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะได้ราตรีสวัสดิ์สำหรับวันนี้จ้า
Day 5 : 15 พฤษภาคม 2567
ซาโยนาระญี่ปุ่นที่รัก
สำหรับวันสุดท้ายที่ญี่ปุ่น เราไม่ได้ไปที่ไหนแล้ว เนื่องจากสายการบินเลื่อนเวลาจากช่วงบ่ายสองเป็นเวลาเที่ยง เราเลยไม่ได้แพลนอะไรไว้นอกจากการเตรียมตัวไปสนามบินอย่างไรให้ทัน ถึงแม้ว่าเราจะเช็คอินออนไลน์แล้ว แต่เราก็ไม่ไว้ใจเรื่องของเวลาอยู่ดี โดยในส่วนของการเดินทางเพื่อไปสนามบินนาริตะในขากลับ เราจะต้องไปเอาตั๋วที่สถานีอูเอโนะ แต่ต้องเป็นโซน Keisei Skyliner Ueno นะคะ แต่ไม่ได้ไปยากค่ะ ตามทางของสถานีจะมีป้ายบอกตลอดทางว่า Keisei Skyliner Ueno ไปทางไหน โดยการเดินจะเป็นการเดินเชื่อมภายในสถานี ไม่ได้ออกไปตัวนอกสถานีเลยค่ะ ซึ่งตรงนี้เราอยากให้เผื่อเวลาไว้ประมาณ 20 นาที เนื่องจากจากสถานีอูเอโนะไป Keisei Skyliner Ueno นั้น ค่อนข้างไกลที่เดียวค่ะ พอไปถึงแล้วสามารถซื้อตั๋วได้หน้างานจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติหรือจากเคาน์เตอร์ก็ได้ค่ะ ส่วนเราซื้อมาแล้ว เราเลยแค่เอาตั๋วไปสแกนกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วค่ะ ระหว่างการเดินทางเราอยากให้ทุกคนดูให้ดีนะคะว่าลงที่ Terminal หมายเลขอะไร จะได้ไม่เสียเวลาเดินไกล และแนะนำให้เช็คอินออนไลน์ด้วยนะคะ เพราะแถวค่อนข้างสั้นกว่าเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ค่ะ
ในส่วนของขากลับเราก็ยังเจอวิบากกรรมไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็คือ ล้อรถกระเป๋าลากหลุดระหว่างทางที่ขึ้นบันไดเลื่อน ที่ดีที่เจอพี่เจ้าหน้าที่คนไทยคนดีคนเดิม พี่เค้าก็เลยแพ็คกระเป๋าลากให้ใหม่อีกรอบเพื่อป้องกันไม่ให้กระเป๋าแตกไปมากกว่านี้ พันเป็นแบบมัมมี่กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเจอพี่คนไทยใจดี 2 คน ที่ช่วยพามายังโซนเช็คอินและ ตม. ไม่งั้นเราคงเดินหลงตั้งแต่หาโซนเช็คอินแล้วค่ะ
สำหรับการรีวิวการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา อาจจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าประสบการณ์สำหรับเป็นผู้ประสบภัย และอาจจะไม่ได้มีเรื่องราวการพาไปกินตามร้านอาหารดังๆ คาเฟ่ดีๆ ขนมอร่อยๆ หรือการพาไปช๊อปปิ้ง แต่หวังว่าอย่างน้อยก็ยังคงให้ประโยชน์สำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่านเผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนที่กำลังจะตัดสินใจกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกคนเดียว ว่าควรไปไหม เราเลยแนะนำว่าให้ไปเถอะค่ะ มันสนุกมาก มันตื่นเต้นมาก และมันก็เหนื่อยมาก แต่มันคุ้มค่าจริงๆ ค่ะ
Natchayada Kantasit
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.00 น.